“ข้าเข้าใจแล้วค่ะคุณหนู”
“ฟิ้ว……ฉึก!!”
อาวุธลับถูกยิงเข้ามาในห้อง แต่คนทั้งสองมิได้หลบหลีกหรือรู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด เมื่อชิงฝูเดินไปหยิบจดหมายพร้อมซองหนานั้นมายื่นให้ผู้เป็นนาย
“ค่าตอบแทนครั้งนี้เหตุใดมารวดเร็วนักเจ้าคะ ยังไม่ทันข้ามคืนเลย”
“ดูท่าข้าคงเป็นดั่งวีรสตรีที่กำจัดคนชั่วไปได้อีกหนึ่งคนกระมัง เจ้าดูสิ ตั๋วเงินพวกนี้ มากกว่าที่ตกลงเอาไว้ถึงเจ็ดเท่า”
“สกุลเหลียงก่อกรรมทำชั่วไว้มาก ครั้งนี้คงเป็นกรรมตามสนองของแท้นะเจ้าคะ”
“คนอย่างสกุลเหลียงที่ใช้เงินแก้ไขปัญหาโดยไม่คำนึงถึงจิตใจของสตรีที่เสียหาย หลายเดือนมานี้มีคนเดือดร้อนเพราะพวกเขาไม่น้อยเลยสินะ”
“คุณหนู แล้วท่านจะทำอย่างไรต่อเจ้าคะ”
“ข้าก็รับบทคนน่าสงสารต่อไปนะสิ ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้วจากนี้คงจะเป็นคนไม่ได้เรื่องต่อไปไม่ได้แล้วกระมัง ดูเหมือนว่าท่านพ่อเองก็จะดูออกเช่นกัน”
“แต่ที่นายท่านปล่อยข่าวลือเกี่ยวกับคุณหนูออกไปเช่นนั้นก็เพื่อ…”
“ข้ารู้ว่าท่านพ่อเป็นห่วงข้า แต่จากนี้ชื่อข้าจะโด่งดังทั่วเมืองชิงโจวจนเป็นที่จับตามอง พวกเราคงต้องวางแผนรับมือ”
“เจ้าค่ะ"
วันรุ่งขึ้น
“ท่านพ่อว่าอย่างไรนะเจ้าคะ สำนัก…ศึกษางั้นหรือเจ้าคะ”
“ไม่เชิงหรอก เห็นว่ามีอาจารย์มาใหม่และก็อย่างที่รู้กันว่าบุตรชั่วสกุลเหลียงถูกฆ่าเมื่อคืนเป็นข่าวใหญ่ ต่อไปชื่อของเจ้าคงต้องเป็นที่สนใจเป็นแน่ ในตอนนี้เราคงหลบซ่อนตัวไม่ได้แล้ว รอเจ้าหายดีแล้วพ่อจะรีบส่งเจ้าไปร่ำเรียนกับอาจารย์หยางเฟิ่งหยวนทันที”
“หยางเฟิ่งหยวน เขาคือผู้ใดกันเจ้าคะ ฟังดูแล้ว น่าจะเป็นชื่อบุรุษมิใช่หรือ ท่านพ่อ เหตุใดท่านจึง…”
“ในตอนนี้ข่าวของเจ้าน่าจะแพร่ไปทั้งชิงโจวแล้ว การหลบไปพักที่อื่นสักพักน่าจะเป็นการดีกว่า สำนักศึกษานั่นก็มิได้อยู่ไกลเสียหน่อย หากเจ้าได้เข้าศึกษาอาจจะทำให้เจ้าได้ผ่อนคลายกังวลมากขึ้น”
“ท่านพ่อคิดว่าหากลูกไปเข้าเรียนแล้ว ข่าวลือนั่นจะซาลงหรือเจ้าคะ”
“อย่างน้อยพ่อก็อยากให้เจ้าปลอดภัยมากกว่าอยู่ที่นี่ ถึงวันหยุดค่อยกลับมา เมื่อนั้นข่าวลือคงซาลงบ้างแล้ว”
“เรื่องนี้….”
“เจ้าลองเอากลับไปคิดดูก่อนก็แล้วกัน อีกสามวันอาจารย์หยางเฟิ่งหยวนผู้นั้นถึงจะเดินทางมาที่นี่ ระหว่างนี้เจ้าก็พักรักษาตัว ส่วนเรื่องที่ศาลเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง พ่อจะจัดการทุกอย่างให้เจ้าเอง แม่สื่อในคืนนั้นก็บอกแล้วว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บ นางพร้อมที่จะเป็นพยานให้กับพวกเรา”
“เจ้าค่ะท่านพ่อ ลูกสร้างความลำบากให้ท่านแล้ว”
“นี่นับว่าดีกว่าวันที่เจ้าเดินมาบอกพ่อว่าเจ้าตกลงจะแต่งงานเข้าสกุลเหลียงนั่นเสียอีก เจ้ารู้หรือไม่ว่าวันนั้นพ่อหัวใจแทบสลาย”
“ตอนนี้ข้าก็อยู่กับท่านแล้วนี่เจ้าคะท่านพ่อ เรื่องร้ายๆก็ผ่านไปแล้วนี่เจ้าคะ”
“นั่นก็นับว่าสวรรค์ยังมีตา หากเจ้าต้องไปอยู่ที่นั่นจริงๆ…..พ่อนึกไม่ออกเลยว่า…”
“ท่านพ่ออย่าคิดมากเลยเจ้าค่ะ ข้าจะนำเรื่องนี้กลับไปคิดดูเจ้าค่ะ”
ห้องของฟางเหยา
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านจะไปเรียนหรือไม่เจ้าคะ”
“เจ้าคิดว่าอย่างไร”
“หากท่านไปข้าก็ติดตามท่านไปไม่ได้นะสิเจ้าคะ”
“ในสายตาท่านพ่อคงเกรงว่าข้าจะรับมือกับข่าวลือที่มากมายเช่นนี้ไม่ไหว เลยหาเรื่องให้ข้าออกไปจากจวนสักพัก”
“แต่นายท่านไม่เคยรู้ว่าคุณหนู…”
“ถูกแล้วที่ให้ทุกคนรู้เช่นนั้น แม้ว่าข่าวฉาวในเมืองนี้จะเป็นเช่นไรข้าก็มิได้ใส่ใจมากไปกว่าความปลอดภัยของท่านพ่อ แต่ในตอนนี้ไม่มีทางที่ผู้ใดจะคิดร้ายกับจวนสกุลลี่ของเราได้เพราะหากมีเรื่องใดเกิดขึ้นมาทุกคนก็จะกล่าวโทษไปที่จวนสกุลเหลียง ฝ่าบาทไม่มีทางยอมแน่นอน”
“เช่นนั้นคุณหนูคิดจะไปที่สำนักศึกษาหรือเจ้าคะ”
“ข้าจะต้องดูก่อนว่าผู้ใดที่จะมาสอนข้า”
“คุณหนูหมายถึง….”
“ท่านพ่อบอกว่าอีกสองวันอาจารย์นั่นจะมาที่นี่มิใช่หรือ ข้าก็แค่ไปทดสอบเขาหน่อย”
“คุณหนู ท่านจะก่อเรื่องอีกแล้วหรือเจ้าคะ”
“ชิงฝูเจ้านี่ใส่ร้ายข้าตลอดเลย ก่อเรื่องอันใดกัน ข้าก็ต้องอยากเห็นก่อนสิว่าอาจารย์ที่จะมาสอนข้าน่าเชื่อถือหรือไม่”
“เจ้าค่ะๆ ไม่ก่อเรื่องเจ้าค่ะ”
สองวันถัดมา หน้าสำนักศึกษา
“คุณหนู เรามาแอบดูเช่นนี้จะดีจริงๆหรือเจ้าคะ”
“ไมเห็นจะแปลกเลย ก็แค่อยากเห็น มันน่าแปลกอย่างไรกัน นี่พวกเราก็นั่งอยู่ด้านบนของโรงน้ำชาแล้วเห็นเฉยๆ มิได้เดินไปแล้วตั้งใจมองหน้าเขาเสียเมื่อไหร่กัน”
“นั่นเจ้าค่ะ มีรถม้าจอดที่หน้าสำนักศึกษา”
ลี่ฟางเหยาหันไปมองตามที่ชิงฝูบอก ประตูรถม้านั้นเปิดออก บุรุษหนุ่มในชุดสีขาวสะอาดตาแลดูเป็นบัณฑิตที่น่านับถือ เดินถือพัดในมือออกมา ใบหน้าที่ดูสะอาดเกลี้ยงเกลาราวกับเทพมาจุตินั้นตราตรึงใจของฟางเหยาทันที
ใบหน้าคมได้รูป จมูกที่รับกับคิ้วเข้มดุจปลายหมึกจรด ตาคมดุจพญาเหยี่ยวนั้นยิ่งทำให้ใบหน้าของบุรุษนั้นยิ่งดูน่ามอง
“อาจารย์เฟิ่งหยวน ท่านมาแล้ว”
“คารวะท่านผู้อาวุโส”
“เชิญเข้าไปด้านในก่อน”
“ข้า….อยากเดินเล่นสักพัก ขอบคุณที่พวกท่านมารอต้อนรับนะขอรับ”
“เช่นนั้น…ข้าจะให้คนนำทางท่านไป”
ฟางเหยารีบหันกลับมาทันที ดูราวกับว่าคนผู้นั้นจะรู้ว่านางแอบมองอยู่ หรือนางอาจจะคิดไปเองก็ได้เพราะเขาจะรู้ได้เช่นไรเพราะนางอยู่ถึงชั้นสองของโรงน้ำชา เขาไม่มีทางมีตาหลังได้
“คุณหนู เหตุใดท่านจึงหน้าแดงถึงเพียงนั้น”
“ข้า!!….ระ…ร้อน ร้อนมาก”
“แต่อากาศวันนี้มีลมพัดเย็นสบาย หรือว่าชานี่จะ…”
“ใช่ๆๆ ชามันร้อน”
ฟางเหยามือสั่นเมื่อหยิบอาหารในจานขึ้นมากินเพื่อไม่ให้สาวใช้ของนางสงสัย นางหันกลับไปอีกครั้ง คนผู้นั้นก็ไม่อยู่แล้ว
“อ้าว…ไปที่ใดแล้วละ”
“คะ คุณหนูเจ้าคะ คะ คือ….”
ชิงฝูอึกอักเมื่อคุณหนูนางหันไปมองยังประตูหน้าสำนักศึกษา แต่บัดนี้มีแต่ความว่างเปล่า สาวใช้สะกิดนางที่ยืนหันไปมองโดยที่ไม่ทันได้รู้ว่ามีผู้อื่นมายืนอยู่ด้านหลัง
“แย่จังเลยไม่ได้เห็นหน้าชัดๆเลย ว๊าย!!”
นางหันกลับมากะทันหันจึงทำให้เกือบคนชนกับใบหน้าของคนอีกคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง นางเผลอตัวซัดฝ่ามือออกไปแต่เขากลับรับได้และปัดมือนางออก ฟางเหยาจึงนึกขึ้นได้แล้วแสร้งล้มลงเพราะคิดว่าคนตรงหน้าจะรับนางได้ทัน แต่…
“โครม!!”
“คุณหนู!!”
“โอ๊ยย!!”
ฟางเหยาล้มลงพร้อมกับเห็นชายชุดสีขาวสะอาดตาตรงหน้า นางค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองบุรุษหนุ่มตรงหน้า เขาคือคนที่พึ่งจะลงจากรถม้าเมื่อครู่นี้มิใช่หรือ เพียงชั่วพริบตาเดียวเหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่โดยที่นางไม่ทันได้สังเกตเห็นเลยล่ะ
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านเป็นอะไรมากหรือไม่เจ้าคะ”
“โอ๊ย ข้าเจ็บขา ท่าน…เหตุใดจึงมายืนอยู่ด้านหลังผู้อื่น แล้วยังแล้งน้ำใจเช่นนี้อีก”
“คุณหนูเจ้าคะ….”
“เจ้าเงียบไปก่อน”
บุรุษหนุ่มกางพัดออกมาด้วยท่าทีเรียบเฉยเหมือนกับใบหน้าของเขาที่มิได้แสดงสีหน้าใดๆเมื่อมองมาที่นางฟางเหยามองเขากลับด้วยหน้าตาที่ถือดีอยู่ไม่น้อย ไม่เคยมีผู้ใดกล้าทำให้นางขายหน้าเช่นนี้มาก่อน ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่มีผู้ใดจำนางได้ แต่บัดนี้เริ่มมีคนจำนางได้แล้วและเพราะเห็นแผลที่รอบคอนาง
“ข้าต้องถามคุณหนูมากกว่าว่า เจ้ามาแอบดูข้าด้วยเหตุใด”
ลี่ฟางเหยาค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นมา ขานางพลิกตอนที่หมุนมาพบหน้าเขาจนเกิดอาการเคล็ดและเริ่มเจ็บเล็กน้อยแต่สายตานั่นที่มองนางอยู่ราวกับกำลังอ่านจิตใจทำให้นางเริ่มนึกหวั่นเล็กน้อย“ท่านพูดเหลวไหลอันใดกัน ผู้ใดจะมองท่านกัน”“คุณหนูช่างหลีกเลี่ยงเก่งยิ่งนักเมื่อครู่นี้ข้ายังได้ยินเต็มสองหูว่าท่านถามอยู่ว่า “หายไปที่ใดเร็วนัก” อยู่เลยมิใช่หรือ"“นั่น….ข้าก็แค่…เห็นรถม้าหายไปเพราะมัวแต่มองอะไรเรื่อยเปื่อย”“งั้นข้าคงเข้าใจผิดแล้ว”“สำคัญตนผิดไปแล้วคุณชาย ชิงฝูวันนี้ข้าไม่มีอารมณ์กินชาที่นี่แล้ว กลับกันเถอะ”“คุณหนู ดูเหมือนว่าเจ้าจะบาดเจ็บถ้าอย่างไรให้ข้า…”“ไม่ต้องมายุ่ง เรามิได้รู้จักกันและคงไม่ต้องมีเรื่องใดให้พบเจอกันอีกด้วย ข้าไม่อยากผูกบุญคุณกับผู้ใด ขอลา”นางเดินออกไปพร้อมกับขาที่กะเผลกแต่ก็ไม่ร้องเลยสักคำ เมื่อนางเดินออกไปเขาจึงสังเกตว่าคนทั้งร้านเริ่มมองและเริ่มซุบซิบตามนางออกไป“ใช่นางแน่ ผู้ที่จะแต่งเข้าสกุลเหลียงแล้วจะถูกฆ่า นางรอดมาได้”“นางเป็นถึงบุตรของท่านเสนาบดีเชียวนะ”“ดูรอยแผลที่คอนางสิ ช่างน่าสงสารเสียจริง”พัดถึงพับลงในมืออย่างสงบช้าๆ พร้อมกับบุรุษหนุ่มที่ชะโงกออกไปดูสตรีส
ลี่ฟางเหยาเดินนำเขาเข้าไปในห้องโถง ดูเหมือนว่าระยะทางจากหน้าจวนไปยังห้องโถงมันไกลกว่าเดิมหรือไม่นะ หรือเป็นเพราะว่านางยังเจ็บขาอยู่จากเมื่อวานกันแน่“ขาของเจ้า…ยังเจ็บอยู่หรือไม่”“ไม่เจ็บแล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณที่ท่านเป็นห่วง”“เปล่า ข้าไม่ได้เป็นห่วงแค่ถามตามมารยาท”ลี่ฟางเหยาถึงกับกัดฟันเพราะความโมโห นางกำหมัดแน่นและอยากชกคนเสียจริงๆในยามนี้เมื่อเดินเข้าไปในห้องโถงและนั่งลงที่โต๊ะ“อ้าว ข้าก็นึกว่าท่านจะเดินชมจวนกับฟางเหยาก่อนเสียอีก เห็นไม่ตามมาเสียที”“เป็นเช่นนั้นขอรับ ต้นดอกท้อและต้นทับทิมหน้าจวนช่างสะดุดสายตาของข้ายิ่งนักทำเอามองจนเพลินเลยต้องขอให้คุณหนูลี่เดินมาเป็นเพื่อนขอรับ”“ท่านพ่อ ข้า…”“เอามาๆ พวกเจ้าตักข้าวได้แล้วเร็วๆเข้า”บิดานางส่งสายตามาปรามไม่ให้นางปฏิเสธและหนีออกจากโต๊ะอย่างไร้มารยาท แต่ลี่ฟางเหยาในยามนี้แทบจะไม่อยากนั่งร่วมโต๊ะกับหยางเฟิ่งหยวนผู้นี้แม้แต่สักช่วงแค่ปาดใบชา“ดูเหมือนว่าคุณหนูลี่จะ…”“อ้อ บุตรสาวข้าพึ่งจะหายจากอาการบาดเจ็บมา เอ่อ…ท่านอาจารย์ก็คงจะทราบเรื่องนี้มาบ้างแล้ว”“ขอรับ แต่นั่นนับเป็นเรื่องที่ดีที่เกิดขึ้นในเมืองชิงโจว ไม่ว่าผู้ใดจะเป็นผู้ฆ่าคุ
เจาเนี่ยเฟยเดินก้าวออกมา ลี่ฟางเหยาเองก็พร้อมสู้ แต่ทว่านางเห็นบางคนเดินเข้ามา…“เพี๊ยะ!!”“ว๊าย!! ฟางเหยา เจ้าเป็นอะไรหรือไม่ เจาเนี่ยเฟยนี่มันจะเกินไปหน่อยหรือไม่”ฟางเหยาล้มลงทันทีเมื่อถูกเนี่ยเฟยตบ ฟางเหยากัดมุมปากตัวเองเล็กน้อยเพื่อให้มีแผลเลือดออกและหันกลับมาและเริ่มมีน้ำตาปริ่มออกมา“นี่มันเกินไปหน่อยหรือไม่ นางยังไม่ทันได้เอ่ยว่าผู้ใดเลย” “แม่นางผู้นั้นร้ายกาจเกินไปแล้ว” “หรือว่าที่นางไม่อาบน้ำและสกปรกนั่นเป็นความจริง ทำไมถึงโกรธเช่นนั้นเล่า” “แย่ละ ข้าพักห้องเดียวกับนาง ข้าไปขอเปลี่ยนห้องดีหรือไม่ ข้ารู้สึกขยะแขยง” “ข้าด้วย ข้าก็ไม่อยากอยู่ วันไหนนางลุกขึ้นมาหาเรื่องข้าจะทำอย่างไร” ฟางเหยาหันมา น้ำตาไหลราวกับสั่งได้หันมามองหน้าเนี่ยเฟยทั้งๆ ที่เลือดไหลมุมปาก“ข้าก็แค่ไม่อยากมีเรื่องและจะไปที่อื่น เหตุใดเจ้าต้องลงไม้ลงมือกับข้าเช่นนี้เนี่ยเฟย เจ้า….”“ฟางเหยาอย่าพึ่งพูด เจ้าหลีกไปนะหากกล้าเข้าใกล้ฟางเหยาอีกอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจเจ้า!!”“แต่ว่า..ข้าก็แค่…ข้าแค่ตบเบาๆ เหตุใด…”“ตบเบาๆ แล้วนางจะมีแผลเช่นนี้ได้อย่างไร!!”“เกิดอะไรขึ้นที่นี่!!”เสียงดังของบุรุษหนุ่มเดินเข้ามา “
“ข้านึกไม่ถึงว่าบุตรีของท่านเสนาบดีจะไร้ความอดทนถึงเพียงนี้ เพียงแค่ถูกต่อว่าหรือดูถูกเพียงนิดก็มิอาจทนได้แล้ว ช่างน่าผิดหวังเสียจริง”ลี่ฟางเหยากำหมัดแน่นหันไปมองหน้าเขา ให้นางไปขัดห้องสุขาดีกว่าจะต้องทนอยู่กับเขาในหอคัมภีร์นี้ อย่างน้อยนางก็จะได้ตะโกนเพื่อระบายความแค้น แต่นี่ต้องมานั่งทนกับเขาในห้อคัมภีร์ที่ห้ามส่งเสียงดังนี่ ไม่ยุติธรรมกับนางเลยสักนิด“เอาล่ะ เริ่มเลยเถอะจะได้ไม่เลิกดึก”นางยังคงยืนอยู่ที่เดิมแม้ว่าสายตาจะมองไปยังโต๊ะที่ต้องนั่งเขียนนั่น นางพยายามเรียนรู้ทุกอย่างที่อาจารย์สอน ก่อนหน้านี้เสนาบดีลี่จ้างอาจารย์มาสอนนางเกือบหมดแล้วแต่พวกเขาปิดบังเอาไว้เพราะเสนาบดีลี่ไม่อยากให้นางต้องเปิดเผยความสามารถนี้ออกไปให้เป็นที่สนใจมากนักเพราะเขาหวงบุตรสาวนั่นเองแต่สิ่งหนึ่งที่บิดานางยังไม่รู้อีกอย่างก็คือ นางคือนักฆ่าอันดับหนึ่งที่ทางการต่างหาตัวแต่ก็มิได้จริงจังนัก เพราะนางจะรับฆ่าเฉพาะคนชั่วที่ทำความเดือดร้อนให้ชาวบ้านเท่านั้น“เหตุใดท่าน..อาจารย์ต้องมานั่งเฝ้าข้าด้วยเจ้าคะ”“ข้าไม่ได้เฝ้าเจ้า เพียงแค่จะอ่านตำราเท่านั้นพรุ่งนี้ช่วงบ่ายพวกเจ้าจะเข้าเรียนกับข้าเป็นวันแรก”“ท่าน
แต่ละคนมองหน้ากันด้วยสีหน้าไม่สู้ดีเท่าใดนักเมื่อถูกดุด้วยคำพูดที่เด็ดขาด จ้างลู่อินเอ่ยประท้วงเป็นคนแรก“ท่าน เอ่อ อาจารย์เจ้าคะ พวกเราทำผิดอันใดกันแน่เจ้าคะ”“เป่าเป้ย ข้าทนไม่ไหวแล้ว”“ฟางเหยา เจ้าจะทำสิ่งใด”“ขออนุญาตเจ้าค่ะอาจารย์หยาง”หยางเฟิ่งหยวนหันไปมองตามเสียง ลี่ฟางเหยาที่หน้าซีดนั้นมองเขาอย่างขอความเห็นใจ เขาเดินเข้าไปหานาง“เจ้ามีอะไร”“ข้า…ทนไม่ไหว ขออนุญาตไปห้องน้ำสัก…อุ๊บ… อุ๊!!”“ฟางเหยา อาจารย์เจ้าคะ ข้าจะไปเป็นเพื่อนนาง ข้าเองก็หายใจไม่ออกจะแทบจะอาเจียนเช่นกันเจ้าค่ะ”“พวกเจ้ารีบไปเถอะ”ฟางเหยารีบวิ่งออกไปเพราะเริ่มจะไม่ไหวแล้ว เป่าเป้ยเองก็รีบตามไปติดๆ สุดท้ายพวกนางก็ไปไม่ทัน และยืนอาเจียนอยู่ที่สวนจนแทบหมดแรง“พวกเจ้าเห็นแล้วหรือไม่ว่ามีความผิดใด”“อาจารย์เจ้าคะ ข้าเพียงแค่…”“เริ่มจากเจ้าก่อนจ้าวลู่อิน กลิ่นน้ำหอมของเจ้ารุนแรงมากเกินไป อีกทั้งกฎของสำนักศึกษาห้ามผัดหน้าทาปากจนเกินงาม ที่นี่สอนให้พวกเจ้าเป็นบัณฑิต มิได้สอนให้เป็นนางโลม หากพวกเจ้าไม่เข้าใจก็กลับบ้านพวกเจ้าไปได้เลย พวกเจ้าออกไปได้แล้วหากยังไม่จัดการตัวเองให้เรียบร้อยจากนี้ไม่ต้องมาเข้าเรียนวิชาที่ข้า
“เป่าเป้ย ข้าจะโกรธจริงๆแล้วนะ”“ก็ได้ๆ ข้าไม่พูดแล้วไปกันเถอะ เสร็จแล้วก็เอาของไปเก็บแล้วไปหาข้าวกินกันเถอะข้าหิวจะตายอยู่แล้ว”พวกนางพากันไปกินข้าวที่ห้องอาหารของสำนักศึกษาซึ่งท่านหญิงจ้าวลู่อินและเจาเนี่ยเฟยนั่งกินอยู่ก่อนหน้านั้นแล้วเมื่อพวกนางเข้าไปถึง ฟางเหยาและเป่าเป้ยจึงพยายามหาที่นั่งที่ห่างจากพวกนางให้มากที่สุดเพราะไม่อยากมีเรื่อง“ท่านหญิง พวกนางมาแล้ว”“ข่าวลือนั่นเป็นเรื่องจริงแค่ไหน”“เพื่อนของข้าบอกว่าอาจารย์หยางสั่งให้นางเดินตามไปหลังจากพวกเราเดินออกจากห้องมาเจ้าค่ะ เห็นว่านางกับอาจารย์หยางเข้าไปในห้องของอาจารย์หยางสองคน”“นังแพศยาไร้ยางอาย”“ท่านหญิง ท่านจะทำอย่างไรต่อ เข้าไปจัดการนางเลยดีหรือไม่”“ไม่ วิธีของเจ้ามันไม่เคยได้ผล เจ้าก็เห็นผลลัพธ์มิใช่หรือครั้งนี้อยู่เฉยๆไปเถอะ ใช้กำลังไม่ใช้ความคิดเอาชนะคนเช่นนางไม่ได้หรอก ครั้งนี้ให้ข้าจัดการเอง”เจาเนี่ยเฟยนิ่งไปทันที นี่ท่านหญิงราวกับหลอกด่าว่านางไม่มีความคิด ทำสิ่งใดก็พลาดเสมอ จ้าวลู่อินไม่เหมือนนาง แม้ว่าจะไม่เคยออกหน้าให้มีเรื่องแต่ก็เป็นพวกชอบยุให้ผู้อื่นมีเรื่องกันด้วยคำพูดนิ่มๆ ซึ่งพวกนางก็มักจะหลงกลเพราะนางเป
เสียงนั้นทำให้นางชะงักไปทันที นางพลาดแล้ว!!“หยางเฟิ่งหยวน!!”คนตรงหน้าสวมชุดใหม่แล้วและเดินออกมา สีหน้านางตกใจสุดขีดเมื่อเห็นเขา นางเผลอใช้วิชายุทธ์ต่อหน้าเขาไปเสียแล้ว“ท่านมาทำอะไรที่นี่!! …..อาจารย์หยาง”“ข้า…เห็นเจ้าไม่ออกมาเสียที ก็เลย….”เมื่อเขาพูดจบนางก็เริ่มเข้าใจทันที เรื่องก่อนหน้านี้ผุดขึ้นมาเต็มหัวนางทันทีพร้อมกับนางที่หันหน้าหลบตาเขาทันที“เจ้า….เป็นอะไรมากหรือไม่”“อย่าเข้ามา!! ข้า…สบายดี ขอบคุณอาจารย์หยาง ข้าขอตัวก่อน”“เดี๋ยวสิ ข้า…อยากขอโทษเรื่องเมื่อครู่นี้”“ไม่เป็นไร ไม่จำเป็นต้องขอโทษข้าหรอกเจ้าค่ะ ท่าน….ลืมไปเสียเถอะ”“เจ้า…แน่ใจหรือว่า…”“เอาเป็นว่าข้าไม่เคยพบท่าน ไม่เคยเจอท่านที่นี่ หรือที่ใดทั้งสิ้น ข้าแค่มาเดินเล่นเท่านั้น และตอนนี้ก็หายออกมานานแล้วดังนั้น…..ข้าขอตัวก่อน”ฟางเหยาวิ่งออกจากป่าไผ่ไปโดยเร็ว นางไม่หันกลับมาอีกเลยจนถึงหน้าหอพักที่มีเพื่อนๆนั่งเล่นกันอยู่ เป่าเป้ยเดินมาหานาง“อ้าว เจ้ากลับมาแล้วเหรอ ฟางเหยา นี่เจ้าหนีอะไรมาทำไมหอบเป็นลูกสุนัขเช่นนี้เล่า”“เป่าเป้ย ข้า….ไม่มีอะไร”“เหตุใดวันนี้คนมานั่งด้านนอกกันเยอะขนาดนี้ละ”“พวกเขามีข่าวซุบซิบเร
บัดนี้สายตาของเหล่านักเรียนในห้องต่างหันมามองต้นเหตุของข่าวลือนั่น จ้าวลู่อินเริ่มรู้สึกอับอายและกระอักกระอ่วนแม้ว่าหยางเฟิ่งหยวนจะมิได้ปฏิเสธนางออกมาโดยตรง แต่ก็ทำให้ทุกคนรู้สึกได้ว่านางกำลังโกหกและคิดไปเองในเรื่องของเขา นางอับอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนีอยู่แล้ว เหตุใดเขาจึงไม่ไว้หน้านางถึงเพียงนี้“พี่เฟิ่งหยวน!!”“ท่านหญิง พวกนางกำลัง…มองท่านอยู่เจ้าค่ะ”“มองอะไรกันงั้นหรือ พวกเจ้าอยากไปกักตัวที่หอคัมภีร์ที่ผีเยอะนั่นหรือ เหตุใดไม่รีบเขียนงานกันเล่า”นักเรียนที่เหลือรีบหันกลับไปเขียนงานของตัวเองแต่เสียงกระซิบนั้นก็ดังไม่ขาดสายจนจ้าวลู่อินนั้นมือสั่นจนแทบจะเขียนสิ่งใดไม่ได้เลย“ท่านหญิง ท่านจะทำเช่นไรต่อเจ้าคะ”“ข้าจะส่งจดหมาย ไปบอกท่านพ่อให้จัดการเขา”“แต่ว่าท่านอ๋อง….จะไม่ตำหนิท่านหรือเจ้าคะที่…..”“หุบปาก!! หากพวกเจ้าได้เรื่องมากกว่านี้จะเป็นเช่นวันนี้งั้นหรือ ข้าต้องไปล้างห้องสุขาแต่นังคนสกุลลี่นั่นทำเพียงอยู่หอคัมภีร์คัดตำรากับพี่เฟิ่งหยวนไม่กี่จบ นางทำให้ข้าอับอาย แค้นนี้ข้าต้องสะสางกับนางแน่”ฟางเหยาเดินออกมาจากหอนอนเพื่อจะไปขอยา นางพบกับอาจารย์จินสั่วเข้าพอดี“เด็กน้อยเจ้าหน้า
ห้องส่งตัวกู้เป่าเป้ยโม่วตงลี่เดินเข้ามายังห้องส่งตัวเจ้าสาวของเขาพร้อมกับไม้มงคลเพื่อเปิดหน้าเจ้าสาว“ตงลี่ นั่นท่านหรือ”“ข้าเองเป่าเป้ย ขอโทษที่ให้เจ้ารอนานนะ”“ไม่เป็นไร ท่านรีบเถิด ข้ารู้สึกแปลกๆ อยากเปลี่ยนชุดแล้ว”“ได้สิ ข้าจะเปิดหน้าเจ้าตอนนี้เลย”เขาใช้ไม้เปิดใบหน้าเจ้าสาวแต่มันดันติดเครื่องประดับบนศีรษะของนางจนดึงออกไม่ได้“อย่าดึงนะ ข้าเอาออกเอง”“แย่จริง ข้ารีบร้อนไปหน่อยน่ะ”“ตงลี่ เหตุใดมือของท่านจึงสั่นถึงเพียงนี้”“ข้า…”“ท่านดื่มมาหนักหรือ หน้าท่านก็แดงมากเลยเกิดอะไรขึ้น ปกติท่านดื่มสุราเมาง่ายเช่นนี้เลยงั้นหรือ”“ข้าไม่ได้เมานะ เจ้า…ต้องดื่มสุรานี่กับข้าด้วย”“อ้อ ใช่แล้วๆข้าเกือบลืมไปเลย มาเพคะองค์ชาย”“ยังจำได้สินะว่าข้าเป็นองค์ชาย ปกติพูดกับข้าธรรมดานี่”“ก็ผู้ใดขอให้หม่อมฉันพูดเช่นนั้นเองเล่าเพคะ ตอนนี้จะมาน้อยอกน้อยใจมันไม่ช้าไปหรอกหรือเพคะ”“ก็แค่ช่วงจะไปเมืองหลวงเท่านั้นที่จะให้เจ้าฝึกพูดเช่นนั้น แต่ต่อไปก็ไม่ต้องพูดเป็นทางการแล้ว ข้าได้ยินพี่สะใภ้คุยกับพี่แปดแล้วเวียนหัว”“เช่นนั้นข้าจะเริ่มฝึกพรุ่งนี้ก็แล้วกันนะ”“ตามใจเจ้าเลย มาเถอะน้องหญิง ดื่มสุรามงคลกัน
พิธีมงคลสมรส“ยินดีด้วยๆ องค์ชายทั้งสองยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ทั้งเฟิ่งหยวนและตงลี่ต้องคอยรับแขกในงานหลังจากที่เจ้าสาวของพวกเขาถูกส่งไปยังห้องส่งตัวแล้ว แม้ว่าแต่ละคนจะอยากเร่งไปยังห้องส่งตัวมากแต่ก็ยังทำไม่ได้เพราะต้องอยู่ในงานเลี้ยงก่อน องค์รัชทายาทสั่งคนให้เรียกทั้งคู่เข้าไปในห้องเพื่อเลี่ยงแขกสักครู่ “พี่ใหญ่ เรียกพวกเรามา มีเรื่องเร่งด่วนอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”“ข้ามีของขวัญจะมอบให้เจ้าทั้งสอง”พวกเขาเดินตามองค์รัชทายาทเข้าไปในห้องและนั่งที่โต๊ะ “นี่คือ….”“นี่ก็คือของขวัญที่จะมอบให้พวกเจ้าในคืนนี้ ดื่มเสียสิ ข้าให้คนต้มมาให้พวกเจ้า บำรุงเสียหน่อยก่อนจะเข้าห้องส่งตัว”""บำรุง""“ใช่ เชื่อข้าเถอะน่า ข้าเป็นพี่เจ้านะเรื่องเช่นนี้ข้าผ่านมาก่อน รับรองว่าเจ้าจะได้มีบุตรทันใช้เป็นแน่ เหตุใดจ้องหน้าข้าเช่นนี้เล่า ไม่เชื่องั้นหรือ”“ไม่ใช่ไม่เชื่อพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ว่าข้าคิดว่าพี่แปดกับข้า จำเป็นต้องบำรุงด้วยยานี่ด้วยงั้นหรือพ่ะย่ะค่ะก็ในเมื่อพวกกระหม่อม….แข็งแรงดุจอาชาศึกขนาดนี้”“เจ้าไม่เชื่อข้างั้นหรือ ข้าไม่ทำร้ายเจ้าบ่าวหมาดๆอย่างพวกเจ้าหรอกน่า เจ้าดูพี่สะใภ้เจ้าเป็นตัวอย่างสิ นางตั้งครรภ
สิบวันถัดมากองทัพขององค์รัชทายาทเดินทางไปแคว้นหานพร้อมกับส่งมอบตัวองค์ชายกว้านเหมาพร้อมกับยื่นข้อเสนอให้แคว้นหานหยุดรุกรานแคว้นรอบข้างเป็นเวลาสามสิบปีนับจากนี้ตัวแทนแคว้นต่างๆเข้าร่วมในการทำข้อสัญญาในครั้งนี้ด้วย กว้านเหมาถูกลดลำดับขั้นเป็นเพียงอ๋องและถูกส่งไปชายแดนด้านตะวันออกซึ่งห่างไกลกับความเจริญเพื่อเป็นการลงโทษ“เขายอมงั้นหรือเพคะ”“เป็นคำสั่งของฮ่องเต้เพื่อจะดัดนิสัยเขาที่เอาแต่ใจ อันที่จริงฮองเฮาเองก็หาวิธีดัดนิสัยของเขามานานแล้วครั้งนี้ถือว่าเขาน่าจะเข็ดไปอีกนาน”“เช่นนั้นเรื่องที่ชายแดนก็นับว่าสงบแล้ว”“ใช่แล้วล่ะ กว้านเหมากลัวแทบตายเมื่อรู้ว่ายาถอนพิษต้องกินถึงสามครั้ง เขาเลยยอมบอกแหล่งผลิตอาวุธร้ายแรงและแหล่งผู้ที่ค้าขายดินปืนและเครื่องมือผลิตให้พี่ใหญ่ จากนี้คงจะไม่มีผู้ใดกล้าผลิตอาวุธนั่นอีก”“แน่ใจหรือเพคะว่าเขาบอกหมดแล้ว”“เขากลัวขนาดนั้น คงไม่กล้าปิดบังอะไรไว้อีกแล้วละ เรื่องนี้เป็นความชอบของเจ้า เสด็จพ่อประทานรางวัลมาให้มากมายรวมถึง…ล้างมลทินให้กับวิหควายุด้วย จากนี้วิหควายุคือจอมยุทธ์ผู้ผดุงความเป็นธรรมกำจัดคนชั่วเพื่อแผ่นดิน”“เช่นนั้นแสดงว่าหม่อมฉันก็ยังใช้ชื่อน
“เจ้าจะให้ข้าเชื่อใจ ทั้งๆที่เจ้าไม่เคยบอกไม่เคยพูดสิ่งใดเลยงั้นหรือฟางเหยา”“เฟิ่งหยวน เรื่องนี้หม่อมฉันเป็นคนผิดเอง แต่โปรดฟังเหตุผลก่อน ในเวลานั้นหม่อมฉันมีเวลาตัดสินใจเพียงเล็กน้อย พระองค์มิได้มาหาหม่อมฉันก่อนที่ข้าจะไปที่นั่น หม่อมฉันรู้เพราะว่าพระองค์ถูกอาจารย์ขังเอาไว้ เรื่องนี้ไม่โทษพระองค์ แต่หม่อมฉันรู้นิสัยของกว้านเหมาว่าจะต้องทำเช่นนั้นเลยตัดสินใจเอาตัวเองเข้าเสี่ยง แต่รู้ว่าเขาต้องหลงกลตั้งแต่แรกโดยที่ไม่ต้องเปลืองตัว เรื่องนี้…”“แล้วหากเขาไม่หลงกลเจ้า และทำเรื่องน่าอายนั่นขึ้นมาละ เจ้าคิดว่าหากข้ารู้เรื่องนี้ทีหลัง หรือเจ้ากว้านเหมานั่นมาพูดกับข้าว่ามัน…..”“หม่อมฉันเข้าใจเรื่องที่พระองค์ทรงกังวล แต่มันมิได้เกิดขึ้นและหม่อมฉันเองก็คิดแผนเอาไว้แล้วหากว่าเขาไม่หลงกล ก็แค่ใส่ยาเอาไว้ในสุราเท่านั้น เขาไม่มีทางที่จะได้สัมผัสตัวหม่อมฉัน เฟิ่งหยวนหม่อมฉัน…..พูดจริงๆนะ”“เรื่องยาถอนพิษนั่น.....”“ยาถอนพิษนั่นเป็นแผนของหม่อมฉันเอง ก่อนหน้านี้อาจารย์เคยเตือนแล้วว่าคนผู้นี้มีมากกล หม่อมฉันเลยคิดว่าการถอนพิษกับเขามันง่ายไปหน่อย หนามยอกเอาหนามบ่งเช่นนี้จึงจะสามารถลากแผนชั่วของเขาออก
หยางเฟิ่งหยวนเดินออกมาจากห้องโถงเพื่อจะเดินกลับออกไปขึ้นรถม้า ฟางเหยาเมื่อเห็นเขาจึงรีบขอตัวจากเพื่อนๆและวิ่งตามเขาออกมาทันทีเพราะไม่แน่ใจว่าเขานึกไม่พอใจสิ่งใดหรือไม่“เฟิ่งหยวน นั่นท่านจะไปที่ใด”เขาชะงักไปเล็กน้อย แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของเสด็จอาในห้องโถงและเรื่องยาถอนพิษที่องค์รัชทายาทตรัสเมื่อครู่เขาก็เริ่มกัดกรามด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย“องค์ชาย พระองค์เป็นอะไรไปเพคะ”“เปล่า ข้าเหนื่อยแล้วอยากกลับไปพักผ่อน”“แต่ว่านี่ยังไม่ดึกเลยนะเพคะ แล้วก็องค์รัชทายาทก็ยังประทับอยู่”เขาหันมามองใบหน้าที่มองเขาโดยที่ไม่ได้รู้ว่าเขากำลังโมโหนาง และยังไม่รู้ว่าตอนนี้ในใจขององค์ชายแปดเริ่มร้อนรนเพราะความโกรธ“เหตุใดพระองค์จึงทำท่าทีเช่นนี้ มีผู้ใดทำให้พระองค์กริ้วงั้นหรือเพคะ”“ลี่ฟางเหยา เจ้าคิดจะบอกเรื่องยาถอนพิษของกว้านเหมากับข้าเมื่อใด”คำถามนี้ทำเอานางตกใจไปเล็กน้อยเพราะมัวแต่ยุ่งและตื่นเต้นที่ได้กลับบ้านจนลืมบอกเรื่องนี้กับเขาไป นึกไม่ถึงว่าจะทำให้เขาโกรธ ฟางเหยารู้สึกแปลกใจ เรื่องยาพิษนั่นนางนำยาถอนพิษไปให้อาจารย์แล้วจึงมิได้ใส่ใจอีก แต่เหตุใด….“พระองค์โกรธหม่อมฉันเรื่องนี้หรือเพคะ หม่อมฉันคิ
“ที่ชิงโจวเป็นบ้านของฟางเหยา ข้าเองก็คิดว่าที่นี่น่าอยู่และเงียบสงบมาก และข้าก็รับปากกับอาจารย์ใหญ่เอาไว้แล้วว่าจะดูแลสำนักศึกษานี้ร่วมกับเขา ดังนั้นเรื่องกลับเมืองหลวง ข้าทูลเสด็จพ่อไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“พี่แปด ท่านไม่เห็นบอกข้าเลย เช่นนั้นข้าจะทำให้เป่าเป้ยท้องบ้าง จะได้…”“ไม่ต้องเลย เจ้ากับพระสนมโม่วยังต้องคุยกันอีก อย่าลืมสิว่า ที่พระชายาเจ้าหนีมาเพราะเสด็จแม่เจ้า ตัวเจ้าเป็นผู้ก่อเรื่องต้องพานางไปพบพระสนมก่อนอย่างน้อยให้นางได้รับรู้ว่านางเข้าใจพระชายาเจ้าผิด นางเป็นถึงบุตรีขุนนางใหญ่ มิใช่หญิงชาวบ้านอย่างที่เสด็จแม่เจ้าคิด”“ข้าก็เพียงแค่พูดเผื่อไว้เท่านั้นเองพ่ะย่ะค่ะ อย่างไรข้าก็ส่งจดหมายไปบอกเสด็จแม่แล้ว นางก็เข้าใจแล้วเพียงแต่หากพระองค์รู้ว่ามีหลานก็จะยิ่งดีใจมากกว่าเดิมเท่านั้นเอง”“ข้าเข้าใจเจ้านะน้องเก้า แต่เจ้าจะสุกเอาเผากินไม่ได้ การที่เจ้าทำเช่นนี้ก็มิใช่ว่าจะดีกับนาง ดีเพียงใดแล้วที่นางไม่ตั้งครรภ์ก่อนจะหมั้นหมายกับเจ้า โชคดีที่บิดานางไม่เอาเรื่อง”“ข้าทราบแล้ว พี่ใหญ่ตักเตือนได้ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ ว่าแต่ท่านลงมาชิงโจวครั้งนี้กะจะมาต่อรองกับแคว้นหานใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”“ใช่
“ลี่ฟางเหยา ตามสบายเถิด”“ขอบพระทัยองค์รัชทายาท”ทั้งหมดพากันนั่งที่เก้าอี้ของแขก บรรดาเพื่อนๆต่างก็พากันนั่งที่ของตนในห้องโถงซึ่งวันนี้ได้รับเกียรติจากองค์รัชทายาทรับสั่งให้นั่งรวมกันได้เพราะเป็นงานเลี้ยงภายในจึงไม่ต้องมากพิธี“เอาละน้องแปด ข้าพึ่งคุยกับท่านเสนาบดีลี่ เรื่องทาบทามสู่ขอน้องสะใภ้ให้กับเจ้า”ทั้งเพื่อนๆของฟางเหยาที่หันมามองหน้ากันล้วนพากันยินดีที่ได้รับฟังข่าวดีนี้ เฟิ่งหยวนเองก็เช่นกัน“ขอบพระทัยเสด็จพี่”เฟิ่งหยวนหันไปมองเสนาบดีลี่และคุกเข่าลงในทันที เสนาบดีลี่รีบคุกเข่าตามองค์ชายด้วยความซื่อเพราะไม่นึกว่าเขาจะคุกเข่าให้แต่องค์รัชทายาทจับแขนเสนาบดีลี่เอาไว้มิให้เขาคุกเข่า“ท่านไม่ต้องคุกเข่า ให้เขาพูดไป”“เอ่อ ตะ…แต่ว่า…”“เชื่อข้า น้องแปด พูดไปสิ”องค์รัชทายาทหันไปบอกให้หยางเฟิ่งหยวนกล่าวเอง“ข้าองค์ชายแปดเป่ยอี้เฟิ่งหยวน วันนี้อยากจะสู่ขอบุตรีของท่าน ลี่ฟางเหยาให้เป็นพระชายาของข้า หวังว่าท่านเสนาบดีจะเห็นถึงความจริงใจและตกลงมอบนางให้กับข้า ข้าสาบานต่อหน้าท่านว่าชาตินี้จะรักและให้เกียรตินาง ดูแลนางและเคียงข้างนางตลอดชีวิตไม่คิดเป็นอื่น”องค์รัชทายาทที่ยืนพยุงเสนาบดีล
“แต่ว่าเรื่องนั้น…”“แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดโทษเขาแม้แต่ข้าก็ตาม แต่ตาแก่นั่นก็ยังนึกว่าเป็นความผิดของเขาอยู่วันยังค่ำเพราะขบวนเสด็จครั้งนั้นเขารับหน้าที่จากเสด็จพ่อเพื่อพาพระสนมไปขอพรนอกวัง”“เป็นเช่นนี้นี่เอง ดังนั้นอาจารย์จึงตัดสินใจจะตามหาผู้ที่ทำเรื่องชั่วในวันนั้น”“ใช่ แต่ที่ข้านึกไม่ถึงก็คือเขารับเจ้าเป็นศิษย์”“เรื่องนั้น…อาจจะเป็นเพราะว่าข้าเจอเรื่องราวคล้ายๆกับพระองค์กระมังเพคะ อาจารย์คงรู้สึกผิดกับพระองค์ และในตอนนั้นที่พบกันก็เป็นวันที่ข้าสูญเสียท่านแม่ไปพอดี”“นึกไม่ถึงว่าลูกศิษย์เพียงคนเดียวของเขาจะกลายมาเป็นพระชายาของข้าในวันนี้”“เช่นนั้น เป่าเป้ยกับองค์ชายเก้าก็ต้อง…”“ใช่ เจ้าเข้าใจถูกต้องแล้วนางเองก็ต้องถูกแต่งตั้งเป็นพระชายาเก้าเช่นกัน”“ในวังหลวงนั่น….ข้าไม่นึกอยากเข้าไปเพคะ”“ไม่อยากเข้าก็ไม่เห็นจำเป็นต้องเข้าไปเลยนี่ ในวังหลวงมีองค์รัชทายาทอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีพวกข้าอยู่หรอก”“เช่นนี้”“ใช่ ข้ากับน้องเก้าก็มาประจำอยู่ที่ชิงโจว ท่านอ๋องจ้าวเริ่มชรามากแล้ว เขาเคยทูลขอเสด็จพ่อไปหลายครั้งให้แต่งตั้งองค์ชายมาเป็นท่านอ๋องเพื่อดูแลเมืองชิงโจว ครั้งนี้ข้าจึงได้มาอยู่ที่น
ฟางเหยาหันไปมองพระพักตร์ที่ทั้งจริงจังและสายตาที่มีความหวังมาให้นาง “พระองค์คิดเรื่องนี้มานานแล้วสินะเพคะ”“แต่กว่าจะได้พาเจ้ามาถึงที่นี่ได้ก็นานเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน นึกไม่ถึงว่าจะมีเรื่องมากมายเกิดขึ้นเช่นนี้”“หม่อมฉันเองก็คาดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ถึงขนาดเป็นสงครามระหว่างแคว้นได้เช่นกันเพคะ”“ไม่ใช่หรอก แค่กว้านเหมาคนเดียวมิใช่ทั้งแคว้น การที่เราไม่ปลิดชีพขององค์ชายในครั้งนี้เพื่อป้องกันข้อพิพาทที่อาจจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า ที่จริงกว้านเหมากับพี่ใหญ่ข้ามีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน เขาจึงหาโอกาสที่จะล้างแค้น แต่พอมีเรื่องของเจ้าเข้ามา ก็ดูเหมือนว่าเขาจะคอยหาเรื่องข้าไปด้วย”“เรื่องแค้นส่วนตัวแต่ถึงกับก่อสงครามขึ้นมา เขาช่างน่าขยะแขยงเสียยิ่งนัก”“ข้าไม่สนใจเขา เรื่องนี้ให้องค์รัชทายาทจัดการไปเถอะ ตอนนี้ข้าต้องการคำตอบของเจ้าลี่ฟางเหยา”เขาใช้นิ้วเชยคางนางขึ้นมาสบตาเขาใกล้ๆจนลมหายใจของทั้งคู่รดกันอยู่ ริมฝีปากแทบจะติดกันอยู่แล้ว“ดูเหมือนพระองค์จะไม่มีคำตอบอื่นให้หม่อมฉันเลยนะเพคะ”“แน่นอนว่าเจ้าห้ามปฏิเสธ แต่เจ้าเองก็ต้องตอบข้ามาก่อนเพื่อความแน่ใจ”ลี่ฟางเหยายิ้มให้เขา มือเรียวโอบต