ลี่ฟางเหยาเดินนำเขาเข้าไปในห้องโถง ดูเหมือนว่าระยะทางจากหน้าจวนไปยังห้องโถงมันไกลกว่าเดิมหรือไม่นะ หรือเป็นเพราะว่านางยังเจ็บขาอยู่จากเมื่อวานกันแน่
“ขาของเจ้า…ยังเจ็บอยู่หรือไม่”
“ไม่เจ็บแล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณที่ท่านเป็นห่วง”
“เปล่า ข้าไม่ได้เป็นห่วงแค่ถามตามมารยาท”
ลี่ฟางเหยาถึงกับกัดฟันเพราะความโมโห นางกำหมัดแน่นและอยากชกคนเสียจริงๆในยามนี้เมื่อเดินเข้าไปในห้องโถงและนั่งลงที่โต๊ะ
“อ้าว ข้าก็นึกว่าท่านจะเดินชมจวนกับฟางเหยาก่อนเสียอีก เห็นไม่ตามมาเสียที”
“เป็นเช่นนั้นขอรับ ต้นดอกท้อและต้นทับทิมหน้าจวนช่างสะดุดสายตาของข้ายิ่งนักทำเอามองจนเพลินเลยต้องขอให้คุณหนูลี่เดินมาเป็นเพื่อนขอรับ”
“ท่านพ่อ ข้า…”
“เอามาๆ พวกเจ้าตักข้าวได้แล้วเร็วๆเข้า”
บิดานางส่งสายตามาปรามไม่ให้นางปฏิเสธและหนีออกจากโต๊ะอย่างไร้มารยาท แต่ลี่ฟางเหยาในยามนี้แทบจะไม่อยากนั่งร่วมโต๊ะกับหยางเฟิ่งหยวนผู้นี้แม้แต่สักช่วงแค่ปาดใบชา
“ดูเหมือนว่าคุณหนูลี่จะ…”
“อ้อ บุตรสาวข้าพึ่งจะหายจากอาการบาดเจ็บมา เอ่อ…ท่านอาจารย์ก็คงจะทราบเรื่องนี้มาบ้างแล้ว”
“ขอรับ แต่นั่นนับเป็นเรื่องที่ดีที่เกิดขึ้นในเมืองชิงโจว ไม่ว่าผู้ใดจะเป็นผู้ฆ่าคุณชายเหลียงนั่น ทั้งเมืองก็ต่างรู้สึกขอบคุณทั้งนั้น และเป็นโชคดีของคุณหนูลี่ด้วยเช่นกัน”
ลี่ฟางเหยาหันไปมองหน้าเขาที่ส่งยิ้มอย่างจริงใจมาให้ นี่เขาก็คิดว่าการที่เหลียงคุณตายนับเป็นเรื่องดีด้วยสินะ เช่นนั้นนางก็ยอมฝืนนั่งต่ออีกสักหน่อยก็แล้วกัน
“นี่ท่านเองก็คิดเช่นนั้นงั้นหรือ”
“แน่นอนขอรับ ก็แค่ตัวไร้ประโยชน์ สร้างแต่เรื่องเดือดร้อนไปทั่ว ก็ไม่ต่างอะไรกับขยะที่ไม่มีแก่นสารตายไป…ก็ย่อมดีกว่า เสียก็แต่…เขาทำให้ชื่อเสียงของคุณหนูลี่เสียหายไปด้วย”
“เพราะเรื่องนี้ ข้าก็เลย….”
“ท่านเสนาบดีตัดสินใจถูกแล้วขอรับ ข้าคิดว่าคุณหนูควรจะออกไปจากจวนสักพักและไปพักที่สำนักศึกษาเพื่อหลบหลีกข้อครหาเหล่านี้ก่อน อีกอย่าง อายุของคุณหนูเองก็เหมาะที่จะเรียนการปกครองและวิชากฎหมายได้แล้ว”
“เช่นนั้นจากนี้ก็คงต้องฝากท่านอาจารย์แล้ว ฟางเหยาเจ้าควรเทชาคารวะอาจารย์เจ้าเสียสิ”
“ท่านพ่อ ข้า…”
“ฟางเหยา”
นางหันไปมองหน้าที่เรียบเฉยของเฟิ่งหยวนที่มองมาที่นาง สายตานั้นน่ากลัวทุกครั้งราวกับว่าเขาพยายามจะอ่านใจนางอยู่ซึ่งนางไม่ชอบเอาเสียเลย นางยกกาน้ำชาและรินลงจอกชาและส่งให้เขา
“ลี่ฟางเหยา…คารวะท่านอาจารย์หยาง”
“ฟางเหยา พูดให้ครบ”
“จะ…จากนี้….ศิษย์ขอฝากตัวด้วยเจ้าค่ะ”
ในที่สุดนางก็รู้ว่าที่บิดาหลอกนางมากินข้าวด้วยเพราะเรื่องนี้นี่เอง นางไม่น่าหลงกลบิดาเลยจริงๆ สุดท้ายก็ต้องให้นางไปที่สำนักศึกษามิใช่หรือ และยังต้องอยู่ในการควบคุมของหยางเฟิ่งหยวนผู้นี้ด้วย
“ข้ายินดียิ่งนัก และสัญญาว่าระหว่างที่อยู่สำนักศึกษาจะไม่มีผู้ใดรังแกเจ้าได้”
ลี่ฟางหยาเงยหน้าขึ้นไปมองเขาเล็กน้อย สายตานั้นมองนางกลับมาอย่างอ่อนโยน ทำเอานางเริ่มใจสั่นอีกครั้ง
“ขะ…ขอบคุณท่านอาจารย์เจ้าค่ะ”
มื้ออาหารนั้นผ่านไปเรื่อยๆ ลี่ฟางเหยาเองก็คิดว่าอาจารย์ของนางก็มิได้เลวร้ายเท่าใดนัก หากว่าเขาไม่เย็นชาเหมือนเมื่อวานนี้จนทำให้นางต้องอับอายและสายตาที่พยายามมองทะลุถึงความคิดนั่นไม่ส่งมาให้นางบ่อยๆ นางก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดมากนัก
“เช่นนั้นอีกเจ็ดวันพบกันที่สำนักศึกษา”
“เจ้าค่ะ ขอบคุณท่านอาจารย์หยาง”
วันส่งตัวเข้าสำนักศึกษา
“คุณหนู หากว่ามีสิ่งใดอยากได้ก็ส่งจดหมายมานะเจ้าคะ ข้าจะรีบจัดหามาให้ท่าน”
“ข้ารู้แล้วอย่าร้องไห้สิ อยู่แค่นี้เองแค่ไม่ได้กลับไปนอนที่จวนเองเจ้าจะร้องทำไม”
“ก็….”
“เอาน่าๆ ท่านพ่อ ข้าไปนะเจ้าคะ”
ฟางเหยาเดินเข้าไปยังสำนักศึกษา ที่นี่แบ่งห้องพักเป็นระดับชั้น ในห้องพักนี้นางได้พักกับ “กู้เป่าเป้ย” ซึ่งเป็นบุตรของขุนนางกรมคลังซึ่งนางเป็นมิตรมาก คอยแนะนำคนอื่นๆให้นางรู้จัก ซึ่งใช้เวลาไม่นานพวกนางก็เริ่มสนิทกับเพื่อนในสำนักเดียวกันหลายคน
“แต่เจ้าระวังสองคนนั้นหน่อย ท่านหญิงจ้าวลู่อินกับ…”
“เฮ้อ เจาเนี่ยเฟยกับหงเสี่ยวซี นึกแล้วว่าต้องเจอพวกนางที่นี่”
“เจ้ารู้จักพวกนางมาก่อนงั้นหรือ”
“แค่สองคน แต่ท่านหญิงนั่น ข้าไม่รู้จัก”
“อ้อ เห็นว่านางตามมาเรียนที่นี่เพราะ…..”
“รวมแถวได้แล้ว!!”
เสียงที่ทรงพลังนั้นบอกให้พวกนางรวมแถว อาจารย์หญิงเพียงหนึ่งเดียวของสำนักศึกษาเรียกรวมแถวของนักเรียนที่เป็นสตรีในสำนักศึกษาแห่งนี้
“พวกเจ้าคงได้จัดเก็บสิ่งของเรียบร้อยแล้ว จากนี้หนึ่งปีพวกเจ้าต้องอาศัยอยู่ร่วมกัน หวังว่าทุกคนจะอยู่ในระเบียบที่สำนักศึกษาวางกฎระเบียบเอาไว้ เอาละวันนี้เป็นวันเปิดภาคเรียน จงตั้งใจศึกษาให้ดี”
ช่วงเวลาพัก
“นี่เป่าเป้ย เจ้าบอกว่าท่านหญิงผู้นั้นมาเรียนที่นี่เพราะว่าอะไรนะ”
“อ้อ ใช่แล้ว เห็นบอกว่าที่นางตามที่นี่ก็เพราะอาจารย์ผู้นั้น อาจารย์หยาง....”
“หยางเฟิ่งหยวนนั่นหรือ”
“ตายจริงฟางเหยาเหตุใดเจ้าจึงเรียกนามของอาจารย์เช่นนั้นกัน”
“นั่นสิ ข้ายังไม่เคยเห็นผู้ใดกล้าเรียกหรือเอ่ยนามของอาจารย์ออกมาได้ตามใจชอบ แม้แต่ท่านหญิงเองก็ยังเรียกอาจารย์หยางเลย อ้อ ก็นึกว่าผู้ใด ที่แท้นางนี่เอง”
เจาเนี่ยเฟยเอ่ยทักขึ้นเสียงดังทำเอาคนรอบข้างเริ่มมองมาที่ฟางเหยา นางยืนมองหน้าเนี่ยเฟยที่เดินกอดอกเข้ามาพร้อมกับหงเสี่ยวซี พวกนางรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก
“นางคือผู้ใดงั้นหรือ”
“ท่านหญิง นางก็คือสตรีที่แต่งเข้าไปที่จวนแม่ทัพไม่ทันได้เข้าพิธี เจ้าบ่าวซึ่งเป็นบุตรชายแม่ทัพผู้นั้นตายก่อน”
“อ้อ…ข่าวลือในเมืองนั่นน่ะหรือ”
“ใช่เจ้าค่ะ ท่านหญิงก็คงเคยได้ยินสินะเจ้าคะ ว่านางคือตัวอัปมงคล”
เกิดเสียงฮือฮาดังขึ้นโดยรอบ พวกนางเริ่มซุบซิบนินทากัน บางคนก็จดจำใบหน้านางได้ก็เริ่มซุบซิบกันอย่างออกรส
“เฮ้อ ไม่นึกว่าหนีมาในสำนักศึกษาที่ดูสะอาดและสูงส่งเช่นนี้แล้ว ยังมีคนกล้าอมมูลสุนัขมาพ่นในนี้อีก ถึงว่าเล่าถึงได้กลิ่นอะไรเหม็นๆแปลกๆ เจ้าได้กลิ่นหรือไม่เป่าเป้ย”
“อืม ข้าก็ได้กลิ่น ในตอนแรกคิดว่าแม่บ้านคงลืมทิ้งขยะเสียอีก”
“ไม่ใช่หรอก เป็นเพราะคนแถวนี้ไม่ชอบบ้วนปาก ปากก็เลยเหม็น นี่เจ้ารู้หรือไม่คนแถวนี้บางคนทำเป็นว่าให้ผู้อื่น แต่ว่าตัวเอง น้ำก็ไม่อยากอาบ ปากก็ไม่บ้วนเอาแต่แต่งหน้าผัดแป้งปกปิดความเน่าข้างในละ”
“ตายจริง โสโครกน่าดู เช่นนี้ผู้ใดจะกล้านอนใกล้กัน”
สายตาทั้งหลายเริ่มหันกลับไปจับจ้องที่เจาเนี่ยเฟยพร้อมกับมองนางแปลก แม้แต่ท่านหญิงที่เมื่อครู่พึ่งจะพูดคุยกับนางก็เริ่มขยับถอยห่าง เนี่ยเฟยโกรธจนหน้าแดงและชี้หน้าฟางเหยาทันที
“เจ้า!! เจ้ากล้ากล่าวหาข้าได้เช่นไร ข้า…ข้าอาบน้ำนะ แล้ว…แล้วก็บ้วนปากด้วย เจ้าสิปากสุนัข”
“เอ๊ะเป่าเป้ย เมื่อครู่นี้ข้าว่านางหรือ เจ้าได้ยินว่าข้าเอ่ยนามผู้ใดหรือไม่”
“ไม่นะ ข้าได้ยินแค่เจ้าบอกว่า “คนบางคน” เท่านั้นเอง เอ๊ะ แม่นางเจา หรือว่าเจ้าทำเช่นนั้นงั้นหรือ เหตุใดเจ้าดูร้อนตัวเสียจริง”
“กรี๊ด!!……ไม่ใช่นะ ไม่ใช่ข้านะ พวกเจ้า พวกเจ้า….”
“เฮ้อ ไปกันเถอะเป่าเป้ย ข้าเริ่มเหม็นอีกแล้วละ ดูเหมือนว่าแถวนี้อากาศเริ่มจะไม่ดีเสียแล้ว”
“หยุดนะ!! ลี่ฟางเหยา”
เจาเนี่ยเฟยเดินก้าวออกมา ลี่ฟางเหยาเองก็พร้อมสู้ แต่ทว่านางเห็นบางคนเดินเข้ามา…“เพี๊ยะ!!”“ว๊าย!! ฟางเหยา เจ้าเป็นอะไรหรือไม่ เจาเนี่ยเฟยนี่มันจะเกินไปหน่อยหรือไม่”ฟางเหยาล้มลงทันทีเมื่อถูกเนี่ยเฟยตบ ฟางเหยากัดมุมปากตัวเองเล็กน้อยเพื่อให้มีแผลเลือดออกและหันกลับมาและเริ่มมีน้ำตาปริ่มออกมา“นี่มันเกินไปหน่อยหรือไม่ นางยังไม่ทันได้เอ่ยว่าผู้ใดเลย” “แม่นางผู้นั้นร้ายกาจเกินไปแล้ว” “หรือว่าที่นางไม่อาบน้ำและสกปรกนั่นเป็นความจริง ทำไมถึงโกรธเช่นนั้นเล่า” “แย่ละ ข้าพักห้องเดียวกับนาง ข้าไปขอเปลี่ยนห้องดีหรือไม่ ข้ารู้สึกขยะแขยง” “ข้าด้วย ข้าก็ไม่อยากอยู่ วันไหนนางลุกขึ้นมาหาเรื่องข้าจะทำอย่างไร” ฟางเหยาหันมา น้ำตาไหลราวกับสั่งได้หันมามองหน้าเนี่ยเฟยทั้งๆ ที่เลือดไหลมุมปาก“ข้าก็แค่ไม่อยากมีเรื่องและจะไปที่อื่น เหตุใดเจ้าต้องลงไม้ลงมือกับข้าเช่นนี้เนี่ยเฟย เจ้า….”“ฟางเหยาอย่าพึ่งพูด เจ้าหลีกไปนะหากกล้าเข้าใกล้ฟางเหยาอีกอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจเจ้า!!”“แต่ว่า..ข้าก็แค่…ข้าแค่ตบเบาๆ เหตุใด…”“ตบเบาๆ แล้วนางจะมีแผลเช่นนี้ได้อย่างไร!!”“เกิดอะไรขึ้นที่นี่!!”เสียงดังของบุรุษหนุ่มเดินเข้ามา “
“ข้านึกไม่ถึงว่าบุตรีของท่านเสนาบดีจะไร้ความอดทนถึงเพียงนี้ เพียงแค่ถูกต่อว่าหรือดูถูกเพียงนิดก็มิอาจทนได้แล้ว ช่างน่าผิดหวังเสียจริง”ลี่ฟางเหยากำหมัดแน่นหันไปมองหน้าเขา ให้นางไปขัดห้องสุขาดีกว่าจะต้องทนอยู่กับเขาในหอคัมภีร์นี้ อย่างน้อยนางก็จะได้ตะโกนเพื่อระบายความแค้น แต่นี่ต้องมานั่งทนกับเขาในห้อคัมภีร์ที่ห้ามส่งเสียงดังนี่ ไม่ยุติธรรมกับนางเลยสักนิด“เอาล่ะ เริ่มเลยเถอะจะได้ไม่เลิกดึก”นางยังคงยืนอยู่ที่เดิมแม้ว่าสายตาจะมองไปยังโต๊ะที่ต้องนั่งเขียนนั่น นางพยายามเรียนรู้ทุกอย่างที่อาจารย์สอน ก่อนหน้านี้เสนาบดีลี่จ้างอาจารย์มาสอนนางเกือบหมดแล้วแต่พวกเขาปิดบังเอาไว้เพราะเสนาบดีลี่ไม่อยากให้นางต้องเปิดเผยความสามารถนี้ออกไปให้เป็นที่สนใจมากนักเพราะเขาหวงบุตรสาวนั่นเองแต่สิ่งหนึ่งที่บิดานางยังไม่รู้อีกอย่างก็คือ นางคือนักฆ่าอันดับหนึ่งที่ทางการต่างหาตัวแต่ก็มิได้จริงจังนัก เพราะนางจะรับฆ่าเฉพาะคนชั่วที่ทำความเดือดร้อนให้ชาวบ้านเท่านั้น“เหตุใดท่าน..อาจารย์ต้องมานั่งเฝ้าข้าด้วยเจ้าคะ”“ข้าไม่ได้เฝ้าเจ้า เพียงแค่จะอ่านตำราเท่านั้นพรุ่งนี้ช่วงบ่ายพวกเจ้าจะเข้าเรียนกับข้าเป็นวันแรก”“ท่าน
แต่ละคนมองหน้ากันด้วยสีหน้าไม่สู้ดีเท่าใดนักเมื่อถูกดุด้วยคำพูดที่เด็ดขาด จ้างลู่อินเอ่ยประท้วงเป็นคนแรก“ท่าน เอ่อ อาจารย์เจ้าคะ พวกเราทำผิดอันใดกันแน่เจ้าคะ”“เป่าเป้ย ข้าทนไม่ไหวแล้ว”“ฟางเหยา เจ้าจะทำสิ่งใด”“ขออนุญาตเจ้าค่ะอาจารย์หยาง”หยางเฟิ่งหยวนหันไปมองตามเสียง ลี่ฟางเหยาที่หน้าซีดนั้นมองเขาอย่างขอความเห็นใจ เขาเดินเข้าไปหานาง“เจ้ามีอะไร”“ข้า…ทนไม่ไหว ขออนุญาตไปห้องน้ำสัก…อุ๊บ… อุ๊!!”“ฟางเหยา อาจารย์เจ้าคะ ข้าจะไปเป็นเพื่อนนาง ข้าเองก็หายใจไม่ออกจะแทบจะอาเจียนเช่นกันเจ้าค่ะ”“พวกเจ้ารีบไปเถอะ”ฟางเหยารีบวิ่งออกไปเพราะเริ่มจะไม่ไหวแล้ว เป่าเป้ยเองก็รีบตามไปติดๆ สุดท้ายพวกนางก็ไปไม่ทัน และยืนอาเจียนอยู่ที่สวนจนแทบหมดแรง“พวกเจ้าเห็นแล้วหรือไม่ว่ามีความผิดใด”“อาจารย์เจ้าคะ ข้าเพียงแค่…”“เริ่มจากเจ้าก่อนจ้าวลู่อิน กลิ่นน้ำหอมของเจ้ารุนแรงมากเกินไป อีกทั้งกฎของสำนักศึกษาห้ามผัดหน้าทาปากจนเกินงาม ที่นี่สอนให้พวกเจ้าเป็นบัณฑิต มิได้สอนให้เป็นนางโลม หากพวกเจ้าไม่เข้าใจก็กลับบ้านพวกเจ้าไปได้เลย พวกเจ้าออกไปได้แล้วหากยังไม่จัดการตัวเองให้เรียบร้อยจากนี้ไม่ต้องมาเข้าเรียนวิชาที่ข้า
“เป่าเป้ย ข้าจะโกรธจริงๆแล้วนะ”“ก็ได้ๆ ข้าไม่พูดแล้วไปกันเถอะ เสร็จแล้วก็เอาของไปเก็บแล้วไปหาข้าวกินกันเถอะข้าหิวจะตายอยู่แล้ว”พวกนางพากันไปกินข้าวที่ห้องอาหารของสำนักศึกษาซึ่งท่านหญิงจ้าวลู่อินและเจาเนี่ยเฟยนั่งกินอยู่ก่อนหน้านั้นแล้วเมื่อพวกนางเข้าไปถึง ฟางเหยาและเป่าเป้ยจึงพยายามหาที่นั่งที่ห่างจากพวกนางให้มากที่สุดเพราะไม่อยากมีเรื่อง“ท่านหญิง พวกนางมาแล้ว”“ข่าวลือนั่นเป็นเรื่องจริงแค่ไหน”“เพื่อนของข้าบอกว่าอาจารย์หยางสั่งให้นางเดินตามไปหลังจากพวกเราเดินออกจากห้องมาเจ้าค่ะ เห็นว่านางกับอาจารย์หยางเข้าไปในห้องของอาจารย์หยางสองคน”“นังแพศยาไร้ยางอาย”“ท่านหญิง ท่านจะทำอย่างไรต่อ เข้าไปจัดการนางเลยดีหรือไม่”“ไม่ วิธีของเจ้ามันไม่เคยได้ผล เจ้าก็เห็นผลลัพธ์มิใช่หรือครั้งนี้อยู่เฉยๆไปเถอะ ใช้กำลังไม่ใช้ความคิดเอาชนะคนเช่นนางไม่ได้หรอก ครั้งนี้ให้ข้าจัดการเอง”เจาเนี่ยเฟยนิ่งไปทันที นี่ท่านหญิงราวกับหลอกด่าว่านางไม่มีความคิด ทำสิ่งใดก็พลาดเสมอ จ้าวลู่อินไม่เหมือนนาง แม้ว่าจะไม่เคยออกหน้าให้มีเรื่องแต่ก็เป็นพวกชอบยุให้ผู้อื่นมีเรื่องกันด้วยคำพูดนิ่มๆ ซึ่งพวกนางก็มักจะหลงกลเพราะนางเป
เสียงนั้นทำให้นางชะงักไปทันที นางพลาดแล้ว!!“หยางเฟิ่งหยวน!!”คนตรงหน้าสวมชุดใหม่แล้วและเดินออกมา สีหน้านางตกใจสุดขีดเมื่อเห็นเขา นางเผลอใช้วิชายุทธ์ต่อหน้าเขาไปเสียแล้ว“ท่านมาทำอะไรที่นี่!! …..อาจารย์หยาง”“ข้า…เห็นเจ้าไม่ออกมาเสียที ก็เลย….”เมื่อเขาพูดจบนางก็เริ่มเข้าใจทันที เรื่องก่อนหน้านี้ผุดขึ้นมาเต็มหัวนางทันทีพร้อมกับนางที่หันหน้าหลบตาเขาทันที“เจ้า….เป็นอะไรมากหรือไม่”“อย่าเข้ามา!! ข้า…สบายดี ขอบคุณอาจารย์หยาง ข้าขอตัวก่อน”“เดี๋ยวสิ ข้า…อยากขอโทษเรื่องเมื่อครู่นี้”“ไม่เป็นไร ไม่จำเป็นต้องขอโทษข้าหรอกเจ้าค่ะ ท่าน….ลืมไปเสียเถอะ”“เจ้า…แน่ใจหรือว่า…”“เอาเป็นว่าข้าไม่เคยพบท่าน ไม่เคยเจอท่านที่นี่ หรือที่ใดทั้งสิ้น ข้าแค่มาเดินเล่นเท่านั้น และตอนนี้ก็หายออกมานานแล้วดังนั้น…..ข้าขอตัวก่อน”ฟางเหยาวิ่งออกจากป่าไผ่ไปโดยเร็ว นางไม่หันกลับมาอีกเลยจนถึงหน้าหอพักที่มีเพื่อนๆนั่งเล่นกันอยู่ เป่าเป้ยเดินมาหานาง“อ้าว เจ้ากลับมาแล้วเหรอ ฟางเหยา นี่เจ้าหนีอะไรมาทำไมหอบเป็นลูกสุนัขเช่นนี้เล่า”“เป่าเป้ย ข้า….ไม่มีอะไร”“เหตุใดวันนี้คนมานั่งด้านนอกกันเยอะขนาดนี้ละ”“พวกเขามีข่าวซุบซิบเร
บัดนี้สายตาของเหล่านักเรียนในห้องต่างหันมามองต้นเหตุของข่าวลือนั่น จ้าวลู่อินเริ่มรู้สึกอับอายและกระอักกระอ่วนแม้ว่าหยางเฟิ่งหยวนจะมิได้ปฏิเสธนางออกมาโดยตรง แต่ก็ทำให้ทุกคนรู้สึกได้ว่านางกำลังโกหกและคิดไปเองในเรื่องของเขา นางอับอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนีอยู่แล้ว เหตุใดเขาจึงไม่ไว้หน้านางถึงเพียงนี้“พี่เฟิ่งหยวน!!”“ท่านหญิง พวกนางกำลัง…มองท่านอยู่เจ้าค่ะ”“มองอะไรกันงั้นหรือ พวกเจ้าอยากไปกักตัวที่หอคัมภีร์ที่ผีเยอะนั่นหรือ เหตุใดไม่รีบเขียนงานกันเล่า”นักเรียนที่เหลือรีบหันกลับไปเขียนงานของตัวเองแต่เสียงกระซิบนั้นก็ดังไม่ขาดสายจนจ้าวลู่อินนั้นมือสั่นจนแทบจะเขียนสิ่งใดไม่ได้เลย“ท่านหญิง ท่านจะทำเช่นไรต่อเจ้าคะ”“ข้าจะส่งจดหมาย ไปบอกท่านพ่อให้จัดการเขา”“แต่ว่าท่านอ๋อง….จะไม่ตำหนิท่านหรือเจ้าคะที่…..”“หุบปาก!! หากพวกเจ้าได้เรื่องมากกว่านี้จะเป็นเช่นวันนี้งั้นหรือ ข้าต้องไปล้างห้องสุขาแต่นังคนสกุลลี่นั่นทำเพียงอยู่หอคัมภีร์คัดตำรากับพี่เฟิ่งหยวนไม่กี่จบ นางทำให้ข้าอับอาย แค้นนี้ข้าต้องสะสางกับนางแน่”ฟางเหยาเดินออกมาจากหอนอนเพื่อจะไปขอยา นางพบกับอาจารย์จินสั่วเข้าพอดี“เด็กน้อยเจ้าหน้า
เกิดเหตุชุลมุนขึ้นและนักเรียนคนอื่นๆก็วิ่งจนทุกคนเริ่มสงสัย มีเพียงคนเดียวที่ไม่รู้เรื่องคือจ้าวลู่อินที่อยู่ในหอคัมภีร์เท่านั้นอาจารย์เจิ้นหัวผู้ดูแลกฎของสำนักศึกษาและเป็นอาจารย์ใหญ่เดินมาพร้อมกับหยางเฟิ่งหยวน เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าถึงกับตกใจ “แกะเชือกให้พวกนาง ผู้ใดจะบอกข้าได้บ้างว่าเกิดสิ่งใดขึ้น”“เหยาเหยา เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง!!”ฟางเหยาทำท่าพึ่งตื่นนอนและค่อยๆลุกขึ้นมาจากเตียง ใบหน้านางเริ่มมีสีเลือดแล้วหลังจากนอนพักผ่อนไปเต็มที่ในช่วงบ่าย เฟิ่งหยวนเองก็รู้สึกโล่งใจขึ้นเมื่อเห็นว่านางดีขึ้นแล้ว“เป่าเป้ย เกิดอะไรขึ้น”ฟางเหยาถามพร้อมกับสีหน้าที่แปลกใจ หยางเฟิ่งหยวนเดินเข้ามาหานางและมองนาง สายตานั่นมองกี่ทีนางก็ไม่ชอบเลย เหมือนว่าเขาจะชอบอ่านใจคน แต่นางป่วยอยู่ เขาคงไม่คิดที่จะสงสัยนางหรอกกระมัง“เจ้าค่อยๆลุก ดีขึ้นหรือยัง”แต่น้ำเสียงอ่อนโยนที่เขาไถ่ถามทำเอาเป่าเป้ยแอบตกใจเล็กน้อยและค่อนข้างมั่นใจว่าระหว่างทั้งคู่ต้องมีสิ่งใดเกิดขึ้นแน่เพราะเพื่อนรักของนางในตอนนี้หน้าแดงจนผิดสังเกต“ดะ…ดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ พะ..พวกนางคือ….”“เจาเนี่ยเฟย กับหงเสี่ยวซี”“พวกนางมาทำอะไรที่นี่ คงไม่
สายตาเยือกเย็นดุจน้ำแข็งกลางหิมะนั่นมองมาที่นาง แม้ว่าจะกลัวแต่จ้าวลู่อินกลับปิดบังมันแทบจะมิด นอกจากอาการสั่นแล้ว นอกนั้นนางก็ยังทำใจดีสู้เสืออยู่ เมื่อเขาเดินมาใกล้นาง ตัวนางกลับสั่นมากขึ้น“หากเจ้ากล้าปริปากแม้เพียงนิด อย่าว่าแต่ตำแหน่งท่านหญิงของเจ้า แม้แต่ตำแหน่งอ๋องของบิดาเจ้าก็อย่าคิดว่าข้าจะปลดยศคืนไม่ได้ จำเอาไว้ว่าข้า…มิใช่ผู้ที่เจ้าจะมาต่อรองสิ่งใดด้วยได้อย่าให้ข้าหมดความอดทน หากไม่อยากให้สกุลจ้าวของพวกเจ้าต้องสิ้นไปในมือข้า จ้าวลู่อิน!!”เขาเดินจากไปในทันทีโดยมิได้หันมามองนางอีก จ้าวลู่อินทรุดตัวลงกับพื้นทันที พร้อมกับหายใจหอบถี่ นางไม่เคยรู้สึกกลัวตายเท่าวันนี้มาก่อนเลย และไม่เคยพบว่าหยางเฟิ่งหยวนสามารถใช้น้ำเสียงและสายตาที่น่ากลัวนั่นกับนางได้ นี่ไม่ใช่อย่างที่นางคิด นางไม่ได้ตั้งใจจะขัดแย้งกับเขา “เพราะเจ้าคนเดียว ลี่ฟางเหยา”ห้องพักอาจารย์หยาง“กงเย่!!”“ขอรับคุณชาย”“เจ้านำจดหมายนี่ส่งไปให้น้องเก้าและรีบบอกให้เขามาที่ชิงโจว ให้เขาบอกเสด็จพ่อว่าสิ่งที่ต้องการหาอยู่ที่นี่ แต่ข้าต้องการกำลังเสริมถึงจะสามารถค้นหาได้”“แต่ว่าองค์ชาย แล้วทางท่านอ๋อง…”“ไม่ต้องให้เขารู้เรื่
ห้องส่งตัวกู้เป่าเป้ยโม่วตงลี่เดินเข้ามายังห้องส่งตัวเจ้าสาวของเขาพร้อมกับไม้มงคลเพื่อเปิดหน้าเจ้าสาว“ตงลี่ นั่นท่านหรือ”“ข้าเองเป่าเป้ย ขอโทษที่ให้เจ้ารอนานนะ”“ไม่เป็นไร ท่านรีบเถิด ข้ารู้สึกแปลกๆ อยากเปลี่ยนชุดแล้ว”“ได้สิ ข้าจะเปิดหน้าเจ้าตอนนี้เลย”เขาใช้ไม้เปิดใบหน้าเจ้าสาวแต่มันดันติดเครื่องประดับบนศีรษะของนางจนดึงออกไม่ได้“อย่าดึงนะ ข้าเอาออกเอง”“แย่จริง ข้ารีบร้อนไปหน่อยน่ะ”“ตงลี่ เหตุใดมือของท่านจึงสั่นถึงเพียงนี้”“ข้า…”“ท่านดื่มมาหนักหรือ หน้าท่านก็แดงมากเลยเกิดอะไรขึ้น ปกติท่านดื่มสุราเมาง่ายเช่นนี้เลยงั้นหรือ”“ข้าไม่ได้เมานะ เจ้า…ต้องดื่มสุรานี่กับข้าด้วย”“อ้อ ใช่แล้วๆข้าเกือบลืมไปเลย มาเพคะองค์ชาย”“ยังจำได้สินะว่าข้าเป็นองค์ชาย ปกติพูดกับข้าธรรมดานี่”“ก็ผู้ใดขอให้หม่อมฉันพูดเช่นนั้นเองเล่าเพคะ ตอนนี้จะมาน้อยอกน้อยใจมันไม่ช้าไปหรอกหรือเพคะ”“ก็แค่ช่วงจะไปเมืองหลวงเท่านั้นที่จะให้เจ้าฝึกพูดเช่นนั้น แต่ต่อไปก็ไม่ต้องพูดเป็นทางการแล้ว ข้าได้ยินพี่สะใภ้คุยกับพี่แปดแล้วเวียนหัว”“เช่นนั้นข้าจะเริ่มฝึกพรุ่งนี้ก็แล้วกันนะ”“ตามใจเจ้าเลย มาเถอะน้องหญิง ดื่มสุรามงคลกัน
พิธีมงคลสมรส“ยินดีด้วยๆ องค์ชายทั้งสองยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ทั้งเฟิ่งหยวนและตงลี่ต้องคอยรับแขกในงานหลังจากที่เจ้าสาวของพวกเขาถูกส่งไปยังห้องส่งตัวแล้ว แม้ว่าแต่ละคนจะอยากเร่งไปยังห้องส่งตัวมากแต่ก็ยังทำไม่ได้เพราะต้องอยู่ในงานเลี้ยงก่อน องค์รัชทายาทสั่งคนให้เรียกทั้งคู่เข้าไปในห้องเพื่อเลี่ยงแขกสักครู่ “พี่ใหญ่ เรียกพวกเรามา มีเรื่องเร่งด่วนอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”“ข้ามีของขวัญจะมอบให้เจ้าทั้งสอง”พวกเขาเดินตามองค์รัชทายาทเข้าไปในห้องและนั่งที่โต๊ะ “นี่คือ….”“นี่ก็คือของขวัญที่จะมอบให้พวกเจ้าในคืนนี้ ดื่มเสียสิ ข้าให้คนต้มมาให้พวกเจ้า บำรุงเสียหน่อยก่อนจะเข้าห้องส่งตัว”""บำรุง""“ใช่ เชื่อข้าเถอะน่า ข้าเป็นพี่เจ้านะเรื่องเช่นนี้ข้าผ่านมาก่อน รับรองว่าเจ้าจะได้มีบุตรทันใช้เป็นแน่ เหตุใดจ้องหน้าข้าเช่นนี้เล่า ไม่เชื่องั้นหรือ”“ไม่ใช่ไม่เชื่อพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ว่าข้าคิดว่าพี่แปดกับข้า จำเป็นต้องบำรุงด้วยยานี่ด้วยงั้นหรือพ่ะย่ะค่ะก็ในเมื่อพวกกระหม่อม….แข็งแรงดุจอาชาศึกขนาดนี้”“เจ้าไม่เชื่อข้างั้นหรือ ข้าไม่ทำร้ายเจ้าบ่าวหมาดๆอย่างพวกเจ้าหรอกน่า เจ้าดูพี่สะใภ้เจ้าเป็นตัวอย่างสิ นางตั้งครรภ
สิบวันถัดมากองทัพขององค์รัชทายาทเดินทางไปแคว้นหานพร้อมกับส่งมอบตัวองค์ชายกว้านเหมาพร้อมกับยื่นข้อเสนอให้แคว้นหานหยุดรุกรานแคว้นรอบข้างเป็นเวลาสามสิบปีนับจากนี้ตัวแทนแคว้นต่างๆเข้าร่วมในการทำข้อสัญญาในครั้งนี้ด้วย กว้านเหมาถูกลดลำดับขั้นเป็นเพียงอ๋องและถูกส่งไปชายแดนด้านตะวันออกซึ่งห่างไกลกับความเจริญเพื่อเป็นการลงโทษ“เขายอมงั้นหรือเพคะ”“เป็นคำสั่งของฮ่องเต้เพื่อจะดัดนิสัยเขาที่เอาแต่ใจ อันที่จริงฮองเฮาเองก็หาวิธีดัดนิสัยของเขามานานแล้วครั้งนี้ถือว่าเขาน่าจะเข็ดไปอีกนาน”“เช่นนั้นเรื่องที่ชายแดนก็นับว่าสงบแล้ว”“ใช่แล้วล่ะ กว้านเหมากลัวแทบตายเมื่อรู้ว่ายาถอนพิษต้องกินถึงสามครั้ง เขาเลยยอมบอกแหล่งผลิตอาวุธร้ายแรงและแหล่งผู้ที่ค้าขายดินปืนและเครื่องมือผลิตให้พี่ใหญ่ จากนี้คงจะไม่มีผู้ใดกล้าผลิตอาวุธนั่นอีก”“แน่ใจหรือเพคะว่าเขาบอกหมดแล้ว”“เขากลัวขนาดนั้น คงไม่กล้าปิดบังอะไรไว้อีกแล้วละ เรื่องนี้เป็นความชอบของเจ้า เสด็จพ่อประทานรางวัลมาให้มากมายรวมถึง…ล้างมลทินให้กับวิหควายุด้วย จากนี้วิหควายุคือจอมยุทธ์ผู้ผดุงความเป็นธรรมกำจัดคนชั่วเพื่อแผ่นดิน”“เช่นนั้นแสดงว่าหม่อมฉันก็ยังใช้ชื่อน
“เจ้าจะให้ข้าเชื่อใจ ทั้งๆที่เจ้าไม่เคยบอกไม่เคยพูดสิ่งใดเลยงั้นหรือฟางเหยา”“เฟิ่งหยวน เรื่องนี้หม่อมฉันเป็นคนผิดเอง แต่โปรดฟังเหตุผลก่อน ในเวลานั้นหม่อมฉันมีเวลาตัดสินใจเพียงเล็กน้อย พระองค์มิได้มาหาหม่อมฉันก่อนที่ข้าจะไปที่นั่น หม่อมฉันรู้เพราะว่าพระองค์ถูกอาจารย์ขังเอาไว้ เรื่องนี้ไม่โทษพระองค์ แต่หม่อมฉันรู้นิสัยของกว้านเหมาว่าจะต้องทำเช่นนั้นเลยตัดสินใจเอาตัวเองเข้าเสี่ยง แต่รู้ว่าเขาต้องหลงกลตั้งแต่แรกโดยที่ไม่ต้องเปลืองตัว เรื่องนี้…”“แล้วหากเขาไม่หลงกลเจ้า และทำเรื่องน่าอายนั่นขึ้นมาละ เจ้าคิดว่าหากข้ารู้เรื่องนี้ทีหลัง หรือเจ้ากว้านเหมานั่นมาพูดกับข้าว่ามัน…..”“หม่อมฉันเข้าใจเรื่องที่พระองค์ทรงกังวล แต่มันมิได้เกิดขึ้นและหม่อมฉันเองก็คิดแผนเอาไว้แล้วหากว่าเขาไม่หลงกล ก็แค่ใส่ยาเอาไว้ในสุราเท่านั้น เขาไม่มีทางที่จะได้สัมผัสตัวหม่อมฉัน เฟิ่งหยวนหม่อมฉัน…..พูดจริงๆนะ”“เรื่องยาถอนพิษนั่น.....”“ยาถอนพิษนั่นเป็นแผนของหม่อมฉันเอง ก่อนหน้านี้อาจารย์เคยเตือนแล้วว่าคนผู้นี้มีมากกล หม่อมฉันเลยคิดว่าการถอนพิษกับเขามันง่ายไปหน่อย หนามยอกเอาหนามบ่งเช่นนี้จึงจะสามารถลากแผนชั่วของเขาออก
หยางเฟิ่งหยวนเดินออกมาจากห้องโถงเพื่อจะเดินกลับออกไปขึ้นรถม้า ฟางเหยาเมื่อเห็นเขาจึงรีบขอตัวจากเพื่อนๆและวิ่งตามเขาออกมาทันทีเพราะไม่แน่ใจว่าเขานึกไม่พอใจสิ่งใดหรือไม่“เฟิ่งหยวน นั่นท่านจะไปที่ใด”เขาชะงักไปเล็กน้อย แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของเสด็จอาในห้องโถงและเรื่องยาถอนพิษที่องค์รัชทายาทตรัสเมื่อครู่เขาก็เริ่มกัดกรามด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย“องค์ชาย พระองค์เป็นอะไรไปเพคะ”“เปล่า ข้าเหนื่อยแล้วอยากกลับไปพักผ่อน”“แต่ว่านี่ยังไม่ดึกเลยนะเพคะ แล้วก็องค์รัชทายาทก็ยังประทับอยู่”เขาหันมามองใบหน้าที่มองเขาโดยที่ไม่ได้รู้ว่าเขากำลังโมโหนาง และยังไม่รู้ว่าตอนนี้ในใจขององค์ชายแปดเริ่มร้อนรนเพราะความโกรธ“เหตุใดพระองค์จึงทำท่าทีเช่นนี้ มีผู้ใดทำให้พระองค์กริ้วงั้นหรือเพคะ”“ลี่ฟางเหยา เจ้าคิดจะบอกเรื่องยาถอนพิษของกว้านเหมากับข้าเมื่อใด”คำถามนี้ทำเอานางตกใจไปเล็กน้อยเพราะมัวแต่ยุ่งและตื่นเต้นที่ได้กลับบ้านจนลืมบอกเรื่องนี้กับเขาไป นึกไม่ถึงว่าจะทำให้เขาโกรธ ฟางเหยารู้สึกแปลกใจ เรื่องยาพิษนั่นนางนำยาถอนพิษไปให้อาจารย์แล้วจึงมิได้ใส่ใจอีก แต่เหตุใด….“พระองค์โกรธหม่อมฉันเรื่องนี้หรือเพคะ หม่อมฉันคิ
“ที่ชิงโจวเป็นบ้านของฟางเหยา ข้าเองก็คิดว่าที่นี่น่าอยู่และเงียบสงบมาก และข้าก็รับปากกับอาจารย์ใหญ่เอาไว้แล้วว่าจะดูแลสำนักศึกษานี้ร่วมกับเขา ดังนั้นเรื่องกลับเมืองหลวง ข้าทูลเสด็จพ่อไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“พี่แปด ท่านไม่เห็นบอกข้าเลย เช่นนั้นข้าจะทำให้เป่าเป้ยท้องบ้าง จะได้…”“ไม่ต้องเลย เจ้ากับพระสนมโม่วยังต้องคุยกันอีก อย่าลืมสิว่า ที่พระชายาเจ้าหนีมาเพราะเสด็จแม่เจ้า ตัวเจ้าเป็นผู้ก่อเรื่องต้องพานางไปพบพระสนมก่อนอย่างน้อยให้นางได้รับรู้ว่านางเข้าใจพระชายาเจ้าผิด นางเป็นถึงบุตรีขุนนางใหญ่ มิใช่หญิงชาวบ้านอย่างที่เสด็จแม่เจ้าคิด”“ข้าก็เพียงแค่พูดเผื่อไว้เท่านั้นเองพ่ะย่ะค่ะ อย่างไรข้าก็ส่งจดหมายไปบอกเสด็จแม่แล้ว นางก็เข้าใจแล้วเพียงแต่หากพระองค์รู้ว่ามีหลานก็จะยิ่งดีใจมากกว่าเดิมเท่านั้นเอง”“ข้าเข้าใจเจ้านะน้องเก้า แต่เจ้าจะสุกเอาเผากินไม่ได้ การที่เจ้าทำเช่นนี้ก็มิใช่ว่าจะดีกับนาง ดีเพียงใดแล้วที่นางไม่ตั้งครรภ์ก่อนจะหมั้นหมายกับเจ้า โชคดีที่บิดานางไม่เอาเรื่อง”“ข้าทราบแล้ว พี่ใหญ่ตักเตือนได้ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ ว่าแต่ท่านลงมาชิงโจวครั้งนี้กะจะมาต่อรองกับแคว้นหานใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”“ใช่
“ลี่ฟางเหยา ตามสบายเถิด”“ขอบพระทัยองค์รัชทายาท”ทั้งหมดพากันนั่งที่เก้าอี้ของแขก บรรดาเพื่อนๆต่างก็พากันนั่งที่ของตนในห้องโถงซึ่งวันนี้ได้รับเกียรติจากองค์รัชทายาทรับสั่งให้นั่งรวมกันได้เพราะเป็นงานเลี้ยงภายในจึงไม่ต้องมากพิธี“เอาละน้องแปด ข้าพึ่งคุยกับท่านเสนาบดีลี่ เรื่องทาบทามสู่ขอน้องสะใภ้ให้กับเจ้า”ทั้งเพื่อนๆของฟางเหยาที่หันมามองหน้ากันล้วนพากันยินดีที่ได้รับฟังข่าวดีนี้ เฟิ่งหยวนเองก็เช่นกัน“ขอบพระทัยเสด็จพี่”เฟิ่งหยวนหันไปมองเสนาบดีลี่และคุกเข่าลงในทันที เสนาบดีลี่รีบคุกเข่าตามองค์ชายด้วยความซื่อเพราะไม่นึกว่าเขาจะคุกเข่าให้แต่องค์รัชทายาทจับแขนเสนาบดีลี่เอาไว้มิให้เขาคุกเข่า“ท่านไม่ต้องคุกเข่า ให้เขาพูดไป”“เอ่อ ตะ…แต่ว่า…”“เชื่อข้า น้องแปด พูดไปสิ”องค์รัชทายาทหันไปบอกให้หยางเฟิ่งหยวนกล่าวเอง“ข้าองค์ชายแปดเป่ยอี้เฟิ่งหยวน วันนี้อยากจะสู่ขอบุตรีของท่าน ลี่ฟางเหยาให้เป็นพระชายาของข้า หวังว่าท่านเสนาบดีจะเห็นถึงความจริงใจและตกลงมอบนางให้กับข้า ข้าสาบานต่อหน้าท่านว่าชาตินี้จะรักและให้เกียรตินาง ดูแลนางและเคียงข้างนางตลอดชีวิตไม่คิดเป็นอื่น”องค์รัชทายาทที่ยืนพยุงเสนาบดีล
“แต่ว่าเรื่องนั้น…”“แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดโทษเขาแม้แต่ข้าก็ตาม แต่ตาแก่นั่นก็ยังนึกว่าเป็นความผิดของเขาอยู่วันยังค่ำเพราะขบวนเสด็จครั้งนั้นเขารับหน้าที่จากเสด็จพ่อเพื่อพาพระสนมไปขอพรนอกวัง”“เป็นเช่นนี้นี่เอง ดังนั้นอาจารย์จึงตัดสินใจจะตามหาผู้ที่ทำเรื่องชั่วในวันนั้น”“ใช่ แต่ที่ข้านึกไม่ถึงก็คือเขารับเจ้าเป็นศิษย์”“เรื่องนั้น…อาจจะเป็นเพราะว่าข้าเจอเรื่องราวคล้ายๆกับพระองค์กระมังเพคะ อาจารย์คงรู้สึกผิดกับพระองค์ และในตอนนั้นที่พบกันก็เป็นวันที่ข้าสูญเสียท่านแม่ไปพอดี”“นึกไม่ถึงว่าลูกศิษย์เพียงคนเดียวของเขาจะกลายมาเป็นพระชายาของข้าในวันนี้”“เช่นนั้น เป่าเป้ยกับองค์ชายเก้าก็ต้อง…”“ใช่ เจ้าเข้าใจถูกต้องแล้วนางเองก็ต้องถูกแต่งตั้งเป็นพระชายาเก้าเช่นกัน”“ในวังหลวงนั่น….ข้าไม่นึกอยากเข้าไปเพคะ”“ไม่อยากเข้าก็ไม่เห็นจำเป็นต้องเข้าไปเลยนี่ ในวังหลวงมีองค์รัชทายาทอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีพวกข้าอยู่หรอก”“เช่นนี้”“ใช่ ข้ากับน้องเก้าก็มาประจำอยู่ที่ชิงโจว ท่านอ๋องจ้าวเริ่มชรามากแล้ว เขาเคยทูลขอเสด็จพ่อไปหลายครั้งให้แต่งตั้งองค์ชายมาเป็นท่านอ๋องเพื่อดูแลเมืองชิงโจว ครั้งนี้ข้าจึงได้มาอยู่ที่น
ฟางเหยาหันไปมองพระพักตร์ที่ทั้งจริงจังและสายตาที่มีความหวังมาให้นาง “พระองค์คิดเรื่องนี้มานานแล้วสินะเพคะ”“แต่กว่าจะได้พาเจ้ามาถึงที่นี่ได้ก็นานเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน นึกไม่ถึงว่าจะมีเรื่องมากมายเกิดขึ้นเช่นนี้”“หม่อมฉันเองก็คาดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ถึงขนาดเป็นสงครามระหว่างแคว้นได้เช่นกันเพคะ”“ไม่ใช่หรอก แค่กว้านเหมาคนเดียวมิใช่ทั้งแคว้น การที่เราไม่ปลิดชีพขององค์ชายในครั้งนี้เพื่อป้องกันข้อพิพาทที่อาจจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า ที่จริงกว้านเหมากับพี่ใหญ่ข้ามีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน เขาจึงหาโอกาสที่จะล้างแค้น แต่พอมีเรื่องของเจ้าเข้ามา ก็ดูเหมือนว่าเขาจะคอยหาเรื่องข้าไปด้วย”“เรื่องแค้นส่วนตัวแต่ถึงกับก่อสงครามขึ้นมา เขาช่างน่าขยะแขยงเสียยิ่งนัก”“ข้าไม่สนใจเขา เรื่องนี้ให้องค์รัชทายาทจัดการไปเถอะ ตอนนี้ข้าต้องการคำตอบของเจ้าลี่ฟางเหยา”เขาใช้นิ้วเชยคางนางขึ้นมาสบตาเขาใกล้ๆจนลมหายใจของทั้งคู่รดกันอยู่ ริมฝีปากแทบจะติดกันอยู่แล้ว“ดูเหมือนพระองค์จะไม่มีคำตอบอื่นให้หม่อมฉันเลยนะเพคะ”“แน่นอนว่าเจ้าห้ามปฏิเสธ แต่เจ้าเองก็ต้องตอบข้ามาก่อนเพื่อความแน่ใจ”ลี่ฟางเหยายิ้มให้เขา มือเรียวโอบต