“ข้านึกไม่ถึงว่าบุตรีของท่านเสนาบดีจะไร้ความอดทนถึงเพียงนี้ เพียงแค่ถูกต่อว่าหรือดูถูกเพียงนิดก็มิอาจทนได้แล้ว ช่างน่าผิดหวังเสียจริง”
ลี่ฟางเหยากำหมัดแน่นหันไปมองหน้าเขา ให้นางไปขัดห้องสุขาดีกว่าจะต้องทนอยู่กับเขาในหอคัมภีร์นี้ อย่างน้อยนางก็จะได้ตะโกนเพื่อระบายความแค้น แต่นี่ต้องมานั่งทนกับเขาในห้อคัมภีร์ที่ห้ามส่งเสียงดังนี่ ไม่ยุติธรรมกับนางเลยสักนิด
“เอาล่ะ เริ่มเลยเถอะจะได้ไม่เลิกดึก”
นางยังคงยืนอยู่ที่เดิมแม้ว่าสายตาจะมองไปยังโต๊ะที่ต้องนั่งเขียนนั่น นางพยายามเรียนรู้ทุกอย่างที่อาจารย์สอน ก่อนหน้านี้เสนาบดีลี่จ้างอาจารย์มาสอนนางเกือบหมดแล้วแต่พวกเขาปิดบังเอาไว้เพราะเสนาบดีลี่ไม่อยากให้นางต้องเปิดเผยความสามารถนี้ออกไปให้เป็นที่สนใจมากนักเพราะเขาหวงบุตรสาวนั่นเอง
แต่สิ่งหนึ่งที่บิดานางยังไม่รู้อีกอย่างก็คือ นางคือนักฆ่าอันดับหนึ่งที่ทางการต่างหาตัวแต่ก็มิได้จริงจังนัก เพราะนางจะรับฆ่าเฉพาะคนชั่วที่ทำความเดือดร้อนให้ชาวบ้านเท่านั้น
“เหตุใดท่าน..อาจารย์ต้องมานั่งเฝ้าข้าด้วยเจ้าคะ”
“ข้าไม่ได้เฝ้าเจ้า เพียงแค่จะอ่านตำราเท่านั้นพรุ่งนี้ช่วงบ่ายพวกเจ้าจะเข้าเรียนกับข้าเป็นวันแรก”
“ท่านอยู่ด้วยข้าไม่มีสมาธิ”
“เจ้าต้องเริ่มฝึกให้จิตใจแน่วแน่นิ่งดุจดั่งวายุที่ไม่สะท้านต่อใบหลิว ที่ทำได้เพียงแค่ทำให้ผิวน้ำกระเพื่อมแต่มิอาจก่อให้เกิดคลื่นพายุได้”
“พูดสิ่งใดฟังไม่เข้าใจสักนิด”
“ไม่ว่าเจ้าจะตกอยู่ในสถานการณ์ใด หากเจ้ามีสมาธิ จิตตั้งมั่น เจ้าก็จะเห็นทางออก เจ้าลองฝึกดู”
ลี่ฟางเหยาที่มือยังสั่นอยู่ไปนั่งที่โต๊ะ นางพยายามจับพู่กันให้นิ่งแต่ดูเหมือนความโกรธนั้นยังไม่ได้ลดลงไป เฟิ่งหยวนเองก็เห็นแล้วว่านางคงจะต้องใช้เวลา มือหนาของเขาเอื้อมไปจับที่มือนางเบาๆ
“เจ้าต้องตั้งจิตให้สงบ หากยังเขียนไม่ได้ให้อ่าน หากยังอ่านไม่ได้ให้มอง หากมองแล้วยังไม่ได้ก็ให้หลับตาตั้งสติก่อน หายใจเข้าลึกๆ ลองดูสิ”
“ข้า…”
“หายใจเข้า ทำตามที่ข้าบอก”
ฟางเหยาทำตามที่เขาบอก แต่นอกจากจะไม่หายสั่นแล้ว ในตอนนี้นางก็รู้สึกว่าหัวใจนางทั้งเต้นแรงและตัวสั่นอีกรอบทั้งลมหายใจที่อยู่ด้านหลัง ไออุ่นจากกายของอาจารย์หนุ่ม อีกทั้งมือที่จับพู่กันอันเดียวกันนั้น
“หลับตา แล้วหายใจเข้า………”
“หายใจออก……”
“คือว่า….”
“อย่าพึ่งพูด ทำตามข้า หายใจเข้า…..”
ฟางเหยารู้สึกราวกับตัวเริ่มเบาขึ้นอย่างน่าประหลาด นางได้ยินเพียงเสียงหัวใจของตนเองที่เต้นรัวแรง ดูเหมือนว่าอาจารย์หยางจะไม่ได้มีอาการเช่นเดียวกับนาง เขาเพียงแค่แนะนำให้นางทำ ในตอนนี้เองที่มือนางเริ่มนิ่ง ความโกรธในจิตใจนางเริ่มลดลงแล้ว
“อาจารย์หยาง คือว่า…ข้าพร้อมจะคัดคัมภีร์แล้วเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ดี”
เขาปล่อยมือนางและเดินมานั่งโต๊ะที่อยู่ฝั่งตงข้ามและเริ่มอ่านตำรา ฟางเหยาเหลือบมองเขาเป็นพักๆ แต่เมื่อเริ่มคัดไปถึงบทที่ลึกๆนางก็เริ่มไม่ได้มองเขาแล้วเพราะอยากจะคัดสิ่งนี้ให้จบๆไป
แต่น่าแปลกที่ยิ่งอ่านยิ่งจดจำและคำในคัมภีร์นั้นก็เริ่มเข้ามาในหัวและนางก็เริ่มคิดกระบวนท่าใหม่ได้จากการอ่านคัมภีร์นี้ด้วยอย่างน่าประหลาด
“นี่มันยอดเยี่ยมไปเลยมิใช่หรือ”
“(นางไม่ธรรมดาจริงๆด้วยสินะ เจ้าซ่อนความลับเอาไว้เท่าใดกันแน่นะลี่ฟางเหยา)”
เขาลอบมองนางเป็นพักๆ พร้อมกับสังเกตอาการนางไปด้วย ก่อนหน้านี้ยังมีแอบมองเขาเป็นบางครั้ง แต่พอเข้าจบที่ห้าสิบนางเริ่มมีสมาธิจดจ่อมากขึ้นและเมื่อขึ้นจบที่หนึ่งร้อยเข้านางกลับเริ่มยิ้มราวกับว่าค้นพบบางอย่างในคัมภีร์นั่น
“อาจารย์หยาง ข้าคัดเสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ่”
“อืม เจ้าไปพักผ่อนได้ แล้วก็….”
“เจ้าคะ?”
“เรื่องของจ้าวลู่อิน ข้าไม่อยากให้เจ้านำมันมาใส่ใจเพราะเจ้ามิได้เป็นอย่างที่นางพูด”
ฟางเหยาเกือบจะลืมเรื่องนี้ไปแล้วหากว่าเขาไม่พูดขึ้นมา แสดงว่าเขากับจ้าวลู่อินสนิทสนมกันก่อนที่นางจะมาที่นี่จริงๆ เพราะลู่อินเผลอเรียกเขาว่าพี่เฟิ่งหยวนหลายครั้งราวกับจะแสดงตนให้คนอื่นๆรู้ว่าฐานะของนางไม่ธรรมดา
“อาจารย์กำลังแก้ตัวแทนนางในฐานะ…”
“ข้าไม่จำเป็นต้องแก้ตัวแทนผู้ใด ข้าไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับจ้าวลู่อินแม้แต่น้อย ข้าคิดเช่นไรก็พูดเช่นนั้นเจ้ากลับไปได้แล้ว”
“ขอบคุณท่านอาจารย์ หากแต่ว่าเพียงแค่วาจาประโยคเดียวของท่าน มิอาจลบล้างคำพูดที่นางได้เอ่ยออกมาแล้วไม่ ข้าเองก็มิใช่คนที่มีบุญคุณไม่ทดแทน มีแค้นแล้วปล่อยผ่าน ต้องขออภัยที่รับไว้ได้เพียงคำพูดแต่ไม่รับปากว่าจะไม่ทำอะไรนาง หากว่านางยังไม่หยุดหาเรื่องพวกข้า”
“เจ้า…ไม่อยากอยู่อย่างสงบๆหรืออย่างไร เหตุใดต้อง….”
นางออกไปแล้วอย่างรวดเร็ว เขาคิดไม่ผิดจริงๆ ลี่ฟางเหยาต้องไม่ใช่คนธรรมดา การจะเดินออกจากที่นี่อย่างรวดเร็วนั้นมิใช่คนธรรมดาจะทำได้ นอกจากนางจะมีวิชายุทธ์
“ข้าเพียงแค่คิดว่าเจ้าไม่ใช่อย่างที่นางพูด มิได้บอกให้เจ้าอภัยให้จ้าวลู่อินเสียหน่อย”
ห้องพัก
“เป่าเป้ย ข้าไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ ไม่ได้เมื่อยขนาดนั้น”
“ตั้งสองร้อยจบเชียวนะ ตาเฒ่านั้นเหตุใดจึงได้โหดเหี้ยมเพียงนี้กัน นี่มันแค่วันแรกเอง”
เป่าเป้ยพูดพร้อมกับบีบนวดมือของฟางเหยาไปด้วย
“เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าพรุ่งนี้ช่วงบ่ายพวกเรามีเรียนกับเขา”
“หา เจอเลยงั้นหรือตายแน่แล้วๆ จะโหดเพียงใดกันนะ เฮ้อ ไม่อยากคิดเลย”
วันถัดมา
ในห้องเรียนวิชาการปกครองในวันนี้เงียบผิดปกติ นั่นเพราะทุกคนต่างจดจ้องรอคอยเพื่อจะได้ร่ำเรียนวิชานี้กับท่านอาจารย์ที่รูปงามที่สุดในสำนักศึกษาและเป็นที่สนใจของนักเรียนทุกคนในเวลานี้
“เจ้าว่าใบหน้าข้าขาวเกินไปหรือไม่”
“วันนี้ข้าตั้งใจอบน้ำหอมมาเลยนะ”
ลี่ฟางเหยามองหน้ากันกับเป่าเป้ย พวกนางรู้สึกว่าเริ่มเวียนหัวมากขึ้นเพราะกลิ่นที่อบอวลอยู่ในห้องนี้มันมากมายเกินไป
“เป่าเป้ย ข้าอยากจะอาเจียน”
“อย่าพึ่งชวนข้าคุย ข้า…กลั้นหายใจอยู่”
“เจ้าจะกลั้นได้ตลอดงั้นหรือ”
"พวกนางเอาสิ่งใดมาใส่กัน ทำไมถึงได้…
“มาแล้วๆ อาจารย์หยางมาแล้ว”
เป่าเป้ยและฟางเหยาที่ผลัดกันพัดเพื่อระบายอากาศ นั่งหลังตรงเพื่อรออาจารย์เข้ามาในห้อง หยางเฟิ่งหยวนเดินเข้ามาในห้องโดยมิได้มองผู้ใด
เมื่อเขาเดินมาถึงหน้าห้องและหันมา ทั้งหมดทำความเคารพและนั่งลงทันที
“เจ้าน่ะคนที่อยู่แถวหลังคนที่สาม และก็ฝั่งซ้ายมือ พวกแถวที่สี่นับจากด้านหลัง เจ้าด้วยจ้าวลู่อิน แล้วก็เจ้า และเจ้าอีกสองคน ทั้งหมดที่ข้าเรียก ลุกขึ้นมา”
พวกนางต่างรู้สึกตื่นเต้นเมื่อถูกอาจารย์หยางเรียกให้ลุกขึ้น แต่ละคนนั่งคนละที่ซึ่งพวกนางไม่รู้ว่าเขาเรียกขึ้นมาทำไม
“อาจารย์เรียกพวกข้าจะให้พวกข้าทำสิ่งใดเจ้าคะ”
“ออกจากห้องเรียนของข้าไปเดี๋ยวนี้!!”
แต่ละคนมองหน้ากันด้วยสีหน้าไม่สู้ดีเท่าใดนักเมื่อถูกดุด้วยคำพูดที่เด็ดขาด จ้างลู่อินเอ่ยประท้วงเป็นคนแรก“ท่าน เอ่อ อาจารย์เจ้าคะ พวกเราทำผิดอันใดกันแน่เจ้าคะ”“เป่าเป้ย ข้าทนไม่ไหวแล้ว”“ฟางเหยา เจ้าจะทำสิ่งใด”“ขออนุญาตเจ้าค่ะอาจารย์หยาง”หยางเฟิ่งหยวนหันไปมองตามเสียง ลี่ฟางเหยาที่หน้าซีดนั้นมองเขาอย่างขอความเห็นใจ เขาเดินเข้าไปหานาง“เจ้ามีอะไร”“ข้า…ทนไม่ไหว ขออนุญาตไปห้องน้ำสัก…อุ๊บ… อุ๊!!”“ฟางเหยา อาจารย์เจ้าคะ ข้าจะไปเป็นเพื่อนนาง ข้าเองก็หายใจไม่ออกจะแทบจะอาเจียนเช่นกันเจ้าค่ะ”“พวกเจ้ารีบไปเถอะ”ฟางเหยารีบวิ่งออกไปเพราะเริ่มจะไม่ไหวแล้ว เป่าเป้ยเองก็รีบตามไปติดๆ สุดท้ายพวกนางก็ไปไม่ทัน และยืนอาเจียนอยู่ที่สวนจนแทบหมดแรง“พวกเจ้าเห็นแล้วหรือไม่ว่ามีความผิดใด”“อาจารย์เจ้าคะ ข้าเพียงแค่…”“เริ่มจากเจ้าก่อนจ้าวลู่อิน กลิ่นน้ำหอมของเจ้ารุนแรงมากเกินไป อีกทั้งกฎของสำนักศึกษาห้ามผัดหน้าทาปากจนเกินงาม ที่นี่สอนให้พวกเจ้าเป็นบัณฑิต มิได้สอนให้เป็นนางโลม หากพวกเจ้าไม่เข้าใจก็กลับบ้านพวกเจ้าไปได้เลย พวกเจ้าออกไปได้แล้วหากยังไม่จัดการตัวเองให้เรียบร้อยจากนี้ไม่ต้องมาเข้าเรียนวิชาที่ข้า
“เป่าเป้ย ข้าจะโกรธจริงๆแล้วนะ”“ก็ได้ๆ ข้าไม่พูดแล้วไปกันเถอะ เสร็จแล้วก็เอาของไปเก็บแล้วไปหาข้าวกินกันเถอะข้าหิวจะตายอยู่แล้ว”พวกนางพากันไปกินข้าวที่ห้องอาหารของสำนักศึกษาซึ่งท่านหญิงจ้าวลู่อินและเจาเนี่ยเฟยนั่งกินอยู่ก่อนหน้านั้นแล้วเมื่อพวกนางเข้าไปถึง ฟางเหยาและเป่าเป้ยจึงพยายามหาที่นั่งที่ห่างจากพวกนางให้มากที่สุดเพราะไม่อยากมีเรื่อง“ท่านหญิง พวกนางมาแล้ว”“ข่าวลือนั่นเป็นเรื่องจริงแค่ไหน”“เพื่อนของข้าบอกว่าอาจารย์หยางสั่งให้นางเดินตามไปหลังจากพวกเราเดินออกจากห้องมาเจ้าค่ะ เห็นว่านางกับอาจารย์หยางเข้าไปในห้องของอาจารย์หยางสองคน”“นังแพศยาไร้ยางอาย”“ท่านหญิง ท่านจะทำอย่างไรต่อ เข้าไปจัดการนางเลยดีหรือไม่”“ไม่ วิธีของเจ้ามันไม่เคยได้ผล เจ้าก็เห็นผลลัพธ์มิใช่หรือครั้งนี้อยู่เฉยๆไปเถอะ ใช้กำลังไม่ใช้ความคิดเอาชนะคนเช่นนางไม่ได้หรอก ครั้งนี้ให้ข้าจัดการเอง”เจาเนี่ยเฟยนิ่งไปทันที นี่ท่านหญิงราวกับหลอกด่าว่านางไม่มีความคิด ทำสิ่งใดก็พลาดเสมอ จ้าวลู่อินไม่เหมือนนาง แม้ว่าจะไม่เคยออกหน้าให้มีเรื่องแต่ก็เป็นพวกชอบยุให้ผู้อื่นมีเรื่องกันด้วยคำพูดนิ่มๆ ซึ่งพวกนางก็มักจะหลงกลเพราะนางเป
เสียงนั้นทำให้นางชะงักไปทันที นางพลาดแล้ว!!“หยางเฟิ่งหยวน!!”คนตรงหน้าสวมชุดใหม่แล้วและเดินออกมา สีหน้านางตกใจสุดขีดเมื่อเห็นเขา นางเผลอใช้วิชายุทธ์ต่อหน้าเขาไปเสียแล้ว“ท่านมาทำอะไรที่นี่!! …..อาจารย์หยาง”“ข้า…เห็นเจ้าไม่ออกมาเสียที ก็เลย….”เมื่อเขาพูดจบนางก็เริ่มเข้าใจทันที เรื่องก่อนหน้านี้ผุดขึ้นมาเต็มหัวนางทันทีพร้อมกับนางที่หันหน้าหลบตาเขาทันที“เจ้า….เป็นอะไรมากหรือไม่”“อย่าเข้ามา!! ข้า…สบายดี ขอบคุณอาจารย์หยาง ข้าขอตัวก่อน”“เดี๋ยวสิ ข้า…อยากขอโทษเรื่องเมื่อครู่นี้”“ไม่เป็นไร ไม่จำเป็นต้องขอโทษข้าหรอกเจ้าค่ะ ท่าน….ลืมไปเสียเถอะ”“เจ้า…แน่ใจหรือว่า…”“เอาเป็นว่าข้าไม่เคยพบท่าน ไม่เคยเจอท่านที่นี่ หรือที่ใดทั้งสิ้น ข้าแค่มาเดินเล่นเท่านั้น และตอนนี้ก็หายออกมานานแล้วดังนั้น…..ข้าขอตัวก่อน”ฟางเหยาวิ่งออกจากป่าไผ่ไปโดยเร็ว นางไม่หันกลับมาอีกเลยจนถึงหน้าหอพักที่มีเพื่อนๆนั่งเล่นกันอยู่ เป่าเป้ยเดินมาหานาง“อ้าว เจ้ากลับมาแล้วเหรอ ฟางเหยา นี่เจ้าหนีอะไรมาทำไมหอบเป็นลูกสุนัขเช่นนี้เล่า”“เป่าเป้ย ข้า….ไม่มีอะไร”“เหตุใดวันนี้คนมานั่งด้านนอกกันเยอะขนาดนี้ละ”“พวกเขามีข่าวซุบซิบเร
บัดนี้สายตาของเหล่านักเรียนในห้องต่างหันมามองต้นเหตุของข่าวลือนั่น จ้าวลู่อินเริ่มรู้สึกอับอายและกระอักกระอ่วนแม้ว่าหยางเฟิ่งหยวนจะมิได้ปฏิเสธนางออกมาโดยตรง แต่ก็ทำให้ทุกคนรู้สึกได้ว่านางกำลังโกหกและคิดไปเองในเรื่องของเขา นางอับอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนีอยู่แล้ว เหตุใดเขาจึงไม่ไว้หน้านางถึงเพียงนี้“พี่เฟิ่งหยวน!!”“ท่านหญิง พวกนางกำลัง…มองท่านอยู่เจ้าค่ะ”“มองอะไรกันงั้นหรือ พวกเจ้าอยากไปกักตัวที่หอคัมภีร์ที่ผีเยอะนั่นหรือ เหตุใดไม่รีบเขียนงานกันเล่า”นักเรียนที่เหลือรีบหันกลับไปเขียนงานของตัวเองแต่เสียงกระซิบนั้นก็ดังไม่ขาดสายจนจ้าวลู่อินนั้นมือสั่นจนแทบจะเขียนสิ่งใดไม่ได้เลย“ท่านหญิง ท่านจะทำเช่นไรต่อเจ้าคะ”“ข้าจะส่งจดหมาย ไปบอกท่านพ่อให้จัดการเขา”“แต่ว่าท่านอ๋อง….จะไม่ตำหนิท่านหรือเจ้าคะที่…..”“หุบปาก!! หากพวกเจ้าได้เรื่องมากกว่านี้จะเป็นเช่นวันนี้งั้นหรือ ข้าต้องไปล้างห้องสุขาแต่นังคนสกุลลี่นั่นทำเพียงอยู่หอคัมภีร์คัดตำรากับพี่เฟิ่งหยวนไม่กี่จบ นางทำให้ข้าอับอาย แค้นนี้ข้าต้องสะสางกับนางแน่”ฟางเหยาเดินออกมาจากหอนอนเพื่อจะไปขอยา นางพบกับอาจารย์จินสั่วเข้าพอดี“เด็กน้อยเจ้าหน้า
เกิดเหตุชุลมุนขึ้นและนักเรียนคนอื่นๆก็วิ่งจนทุกคนเริ่มสงสัย มีเพียงคนเดียวที่ไม่รู้เรื่องคือจ้าวลู่อินที่อยู่ในหอคัมภีร์เท่านั้นอาจารย์เจิ้นหัวผู้ดูแลกฎของสำนักศึกษาและเป็นอาจารย์ใหญ่เดินมาพร้อมกับหยางเฟิ่งหยวน เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าถึงกับตกใจ “แกะเชือกให้พวกนาง ผู้ใดจะบอกข้าได้บ้างว่าเกิดสิ่งใดขึ้น”“เหยาเหยา เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง!!”ฟางเหยาทำท่าพึ่งตื่นนอนและค่อยๆลุกขึ้นมาจากเตียง ใบหน้านางเริ่มมีสีเลือดแล้วหลังจากนอนพักผ่อนไปเต็มที่ในช่วงบ่าย เฟิ่งหยวนเองก็รู้สึกโล่งใจขึ้นเมื่อเห็นว่านางดีขึ้นแล้ว“เป่าเป้ย เกิดอะไรขึ้น”ฟางเหยาถามพร้อมกับสีหน้าที่แปลกใจ หยางเฟิ่งหยวนเดินเข้ามาหานางและมองนาง สายตานั่นมองกี่ทีนางก็ไม่ชอบเลย เหมือนว่าเขาจะชอบอ่านใจคน แต่นางป่วยอยู่ เขาคงไม่คิดที่จะสงสัยนางหรอกกระมัง“เจ้าค่อยๆลุก ดีขึ้นหรือยัง”แต่น้ำเสียงอ่อนโยนที่เขาไถ่ถามทำเอาเป่าเป้ยแอบตกใจเล็กน้อยและค่อนข้างมั่นใจว่าระหว่างทั้งคู่ต้องมีสิ่งใดเกิดขึ้นแน่เพราะเพื่อนรักของนางในตอนนี้หน้าแดงจนผิดสังเกต“ดะ…ดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ พะ..พวกนางคือ….”“เจาเนี่ยเฟย กับหงเสี่ยวซี”“พวกนางมาทำอะไรที่นี่ คงไม่
สายตาเยือกเย็นดุจน้ำแข็งกลางหิมะนั่นมองมาที่นาง แม้ว่าจะกลัวแต่จ้าวลู่อินกลับปิดบังมันแทบจะมิด นอกจากอาการสั่นแล้ว นอกนั้นนางก็ยังทำใจดีสู้เสืออยู่ เมื่อเขาเดินมาใกล้นาง ตัวนางกลับสั่นมากขึ้น“หากเจ้ากล้าปริปากแม้เพียงนิด อย่าว่าแต่ตำแหน่งท่านหญิงของเจ้า แม้แต่ตำแหน่งอ๋องของบิดาเจ้าก็อย่าคิดว่าข้าจะปลดยศคืนไม่ได้ จำเอาไว้ว่าข้า…มิใช่ผู้ที่เจ้าจะมาต่อรองสิ่งใดด้วยได้อย่าให้ข้าหมดความอดทน หากไม่อยากให้สกุลจ้าวของพวกเจ้าต้องสิ้นไปในมือข้า จ้าวลู่อิน!!”เขาเดินจากไปในทันทีโดยมิได้หันมามองนางอีก จ้าวลู่อินทรุดตัวลงกับพื้นทันที พร้อมกับหายใจหอบถี่ นางไม่เคยรู้สึกกลัวตายเท่าวันนี้มาก่อนเลย และไม่เคยพบว่าหยางเฟิ่งหยวนสามารถใช้น้ำเสียงและสายตาที่น่ากลัวนั่นกับนางได้ นี่ไม่ใช่อย่างที่นางคิด นางไม่ได้ตั้งใจจะขัดแย้งกับเขา “เพราะเจ้าคนเดียว ลี่ฟางเหยา”ห้องพักอาจารย์หยาง“กงเย่!!”“ขอรับคุณชาย”“เจ้านำจดหมายนี่ส่งไปให้น้องเก้าและรีบบอกให้เขามาที่ชิงโจว ให้เขาบอกเสด็จพ่อว่าสิ่งที่ต้องการหาอยู่ที่นี่ แต่ข้าต้องการกำลังเสริมถึงจะสามารถค้นหาได้”“แต่ว่าองค์ชาย แล้วทางท่านอ๋อง…”“ไม่ต้องให้เขารู้เรื่
ลี่ฟางเหยาเห็นสายตาของกู้เป่าเป้ยที่ไม่ต่างกับจ้าวลู่อินเท่าใดนักจึงได้รีบเขย่าตัวนางให้มีสติกลับคืนมาอีกครั้ง“เป่าเป้ย เจ้ารู้จักเขางั้นหรือ”“ข้า….รู้จักสิ จิตรกรที่เมืองหลวงเขาเคยเป็นอาจารย์ให้ข้าอยู่สามเดือน”“แล้วเขามีนามว่าอย่างไร?”ห้องโถงใหญ่“อาจารย์ “โม่วตงลี่” จะมาสอนวิชาศิลปะแทนอาจารย์คงเลี่ยงที่พึ่งจะเกษียนออกไป”""คำนับอาจารย์โม่ว""“อาจารย์หล่อเหลามากจริงๆ เขาดูยิ้มง่ายกว่าท่านเซียนหยางนั่นอีก”“ใช่ๆ แม้ท่านเซียนหยางจะหล่อเหลาแต่ก็ดูน่ากลัว อาจารย์โม่วมองดูแล้วเป็นมิตรกว่าเขาเป็นไหนๆ”“แต่เรื่องความหล่อเหลารูปงามก็ต้องยกให้กับท่านเซียนหยางละนะ”ใช่แล้ว พวกนักเรียนต่างพากันเรียกหยางเฟิ่งหยวนว่า “ท่านเซียนหยาง” เพราะความรู้และวิชาที่สอนนั้นล้ำลึกและยากแสนยาก มีนักเรียนน้อยมากที่สอบผ่านการทดสอบของเขา ในชั้นเรียนของพวกนางมีเพียงแค่กู้เป่าเป้ย ลี่ฟางเหยาและนักเรียนที่มาใหม่ของจวนอ๋องเท่านั้นที่พอจะผ่านเกณฑ์ที่เขาสอน “เป่าเป้ย เจ้าเป็นอะไรหรือไม่ เหตุใดเจ้าหน้าซีดถึงเพียงนี้”“ข้าไม่เป็นไร ไม่เป็นไรจริงๆ ข้าอยากกลับไปพักแล้ว”“ข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้าเอง”“อืม”พวกนางเดินออกจ
ยอดไผ่เกิดเสียงอีกครั้ง ร่างนั้นลงมาที่พื้นด้วยเสียงที่แผ่วเบา“เจ้ารู้ได้อย่างไร”“ข้าไปหาท่านที่ห้องแต่ไม่พบ ข้าเลยเดินสำรวจดูไปเรื่อย ใครจะคิดว่ามีร่องรอยของท่านแถวนี้”“หึ สายตาสอดรู้ของเจ้านี่หากเอาไปใช้อย่างอื่นคงดีไม่น้อย”“อย่างน้อยก็ไม่ต้องให้นางมาฝึกในที่ที่อันตรายมากขนาดนี้แล้วตามมาเฝ้านางทุกคืนหรอกว่าหรือไม่”“ใครบอกว่าข้ามาเฝ้านาง ข้า….ข้ามาดูลาดเลาและสอดส่องดูพวกห้วนตู๋ต่างหาก”“อ้อ…แล้วท่านได้ความคืบหน้าอะไรบ้าง” (สายตาท่านมิได้มองไปที่พวกมันเสียหน่อย ดูสิว่าท่านจะแก้ตัวอย่างไร)“ก็ยังเหมือนเดิม แต่ฝั่งตะวันออกดูเหมือนจะมีเรื่องเกิดขึ้นนะ อาจจะไฟไหม้ เจ้ามาดูสิ”พวกเขาพุ่งตัวขึ้นไปที่ยอดไผ่อีกครั้ง“จริงด้วย ไฟไหม้จริงๆ”“ข้ากำลังคิดว่า นอกจากพวกเราแล้วอาจจะมีผู้อื่นอีกหรือไม่ที่ต้องการแย่งชิงตรานี้”“ท่านกำลังหมายถึง….พวกแค้วนหาน”“แม้จะยังพิสูจน์อะไรไม่ได้ แต่อีกสิบวัน พวกสำนักศึกษาชายจะพานักเรียนมาเรียนแลกเปลี่ยนที่นี่เป็นเวลาสามเดือน ในระหว่างนั้นค่อยจับตามองพวกเขา”“ท่านหมายถึงองค์ชายน้อยผู้นั้นหรือขอรับ”“ใช่ เขาเป็นนักเรียนของสำนักศึกษาเช่นกัน “กว้านเหมา" ระหว่าง
ห้องส่งตัวกู้เป่าเป้ยโม่วตงลี่เดินเข้ามายังห้องส่งตัวเจ้าสาวของเขาพร้อมกับไม้มงคลเพื่อเปิดหน้าเจ้าสาว“ตงลี่ นั่นท่านหรือ”“ข้าเองเป่าเป้ย ขอโทษที่ให้เจ้ารอนานนะ”“ไม่เป็นไร ท่านรีบเถิด ข้ารู้สึกแปลกๆ อยากเปลี่ยนชุดแล้ว”“ได้สิ ข้าจะเปิดหน้าเจ้าตอนนี้เลย”เขาใช้ไม้เปิดใบหน้าเจ้าสาวแต่มันดันติดเครื่องประดับบนศีรษะของนางจนดึงออกไม่ได้“อย่าดึงนะ ข้าเอาออกเอง”“แย่จริง ข้ารีบร้อนไปหน่อยน่ะ”“ตงลี่ เหตุใดมือของท่านจึงสั่นถึงเพียงนี้”“ข้า…”“ท่านดื่มมาหนักหรือ หน้าท่านก็แดงมากเลยเกิดอะไรขึ้น ปกติท่านดื่มสุราเมาง่ายเช่นนี้เลยงั้นหรือ”“ข้าไม่ได้เมานะ เจ้า…ต้องดื่มสุรานี่กับข้าด้วย”“อ้อ ใช่แล้วๆข้าเกือบลืมไปเลย มาเพคะองค์ชาย”“ยังจำได้สินะว่าข้าเป็นองค์ชาย ปกติพูดกับข้าธรรมดานี่”“ก็ผู้ใดขอให้หม่อมฉันพูดเช่นนั้นเองเล่าเพคะ ตอนนี้จะมาน้อยอกน้อยใจมันไม่ช้าไปหรอกหรือเพคะ”“ก็แค่ช่วงจะไปเมืองหลวงเท่านั้นที่จะให้เจ้าฝึกพูดเช่นนั้น แต่ต่อไปก็ไม่ต้องพูดเป็นทางการแล้ว ข้าได้ยินพี่สะใภ้คุยกับพี่แปดแล้วเวียนหัว”“เช่นนั้นข้าจะเริ่มฝึกพรุ่งนี้ก็แล้วกันนะ”“ตามใจเจ้าเลย มาเถอะน้องหญิง ดื่มสุรามงคลกัน
พิธีมงคลสมรส“ยินดีด้วยๆ องค์ชายทั้งสองยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ทั้งเฟิ่งหยวนและตงลี่ต้องคอยรับแขกในงานหลังจากที่เจ้าสาวของพวกเขาถูกส่งไปยังห้องส่งตัวแล้ว แม้ว่าแต่ละคนจะอยากเร่งไปยังห้องส่งตัวมากแต่ก็ยังทำไม่ได้เพราะต้องอยู่ในงานเลี้ยงก่อน องค์รัชทายาทสั่งคนให้เรียกทั้งคู่เข้าไปในห้องเพื่อเลี่ยงแขกสักครู่ “พี่ใหญ่ เรียกพวกเรามา มีเรื่องเร่งด่วนอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”“ข้ามีของขวัญจะมอบให้เจ้าทั้งสอง”พวกเขาเดินตามองค์รัชทายาทเข้าไปในห้องและนั่งที่โต๊ะ “นี่คือ….”“นี่ก็คือของขวัญที่จะมอบให้พวกเจ้าในคืนนี้ ดื่มเสียสิ ข้าให้คนต้มมาให้พวกเจ้า บำรุงเสียหน่อยก่อนจะเข้าห้องส่งตัว”""บำรุง""“ใช่ เชื่อข้าเถอะน่า ข้าเป็นพี่เจ้านะเรื่องเช่นนี้ข้าผ่านมาก่อน รับรองว่าเจ้าจะได้มีบุตรทันใช้เป็นแน่ เหตุใดจ้องหน้าข้าเช่นนี้เล่า ไม่เชื่องั้นหรือ”“ไม่ใช่ไม่เชื่อพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ว่าข้าคิดว่าพี่แปดกับข้า จำเป็นต้องบำรุงด้วยยานี่ด้วยงั้นหรือพ่ะย่ะค่ะก็ในเมื่อพวกกระหม่อม….แข็งแรงดุจอาชาศึกขนาดนี้”“เจ้าไม่เชื่อข้างั้นหรือ ข้าไม่ทำร้ายเจ้าบ่าวหมาดๆอย่างพวกเจ้าหรอกน่า เจ้าดูพี่สะใภ้เจ้าเป็นตัวอย่างสิ นางตั้งครรภ
สิบวันถัดมากองทัพขององค์รัชทายาทเดินทางไปแคว้นหานพร้อมกับส่งมอบตัวองค์ชายกว้านเหมาพร้อมกับยื่นข้อเสนอให้แคว้นหานหยุดรุกรานแคว้นรอบข้างเป็นเวลาสามสิบปีนับจากนี้ตัวแทนแคว้นต่างๆเข้าร่วมในการทำข้อสัญญาในครั้งนี้ด้วย กว้านเหมาถูกลดลำดับขั้นเป็นเพียงอ๋องและถูกส่งไปชายแดนด้านตะวันออกซึ่งห่างไกลกับความเจริญเพื่อเป็นการลงโทษ“เขายอมงั้นหรือเพคะ”“เป็นคำสั่งของฮ่องเต้เพื่อจะดัดนิสัยเขาที่เอาแต่ใจ อันที่จริงฮองเฮาเองก็หาวิธีดัดนิสัยของเขามานานแล้วครั้งนี้ถือว่าเขาน่าจะเข็ดไปอีกนาน”“เช่นนั้นเรื่องที่ชายแดนก็นับว่าสงบแล้ว”“ใช่แล้วล่ะ กว้านเหมากลัวแทบตายเมื่อรู้ว่ายาถอนพิษต้องกินถึงสามครั้ง เขาเลยยอมบอกแหล่งผลิตอาวุธร้ายแรงและแหล่งผู้ที่ค้าขายดินปืนและเครื่องมือผลิตให้พี่ใหญ่ จากนี้คงจะไม่มีผู้ใดกล้าผลิตอาวุธนั่นอีก”“แน่ใจหรือเพคะว่าเขาบอกหมดแล้ว”“เขากลัวขนาดนั้น คงไม่กล้าปิดบังอะไรไว้อีกแล้วละ เรื่องนี้เป็นความชอบของเจ้า เสด็จพ่อประทานรางวัลมาให้มากมายรวมถึง…ล้างมลทินให้กับวิหควายุด้วย จากนี้วิหควายุคือจอมยุทธ์ผู้ผดุงความเป็นธรรมกำจัดคนชั่วเพื่อแผ่นดิน”“เช่นนั้นแสดงว่าหม่อมฉันก็ยังใช้ชื่อน
“เจ้าจะให้ข้าเชื่อใจ ทั้งๆที่เจ้าไม่เคยบอกไม่เคยพูดสิ่งใดเลยงั้นหรือฟางเหยา”“เฟิ่งหยวน เรื่องนี้หม่อมฉันเป็นคนผิดเอง แต่โปรดฟังเหตุผลก่อน ในเวลานั้นหม่อมฉันมีเวลาตัดสินใจเพียงเล็กน้อย พระองค์มิได้มาหาหม่อมฉันก่อนที่ข้าจะไปที่นั่น หม่อมฉันรู้เพราะว่าพระองค์ถูกอาจารย์ขังเอาไว้ เรื่องนี้ไม่โทษพระองค์ แต่หม่อมฉันรู้นิสัยของกว้านเหมาว่าจะต้องทำเช่นนั้นเลยตัดสินใจเอาตัวเองเข้าเสี่ยง แต่รู้ว่าเขาต้องหลงกลตั้งแต่แรกโดยที่ไม่ต้องเปลืองตัว เรื่องนี้…”“แล้วหากเขาไม่หลงกลเจ้า และทำเรื่องน่าอายนั่นขึ้นมาละ เจ้าคิดว่าหากข้ารู้เรื่องนี้ทีหลัง หรือเจ้ากว้านเหมานั่นมาพูดกับข้าว่ามัน…..”“หม่อมฉันเข้าใจเรื่องที่พระองค์ทรงกังวล แต่มันมิได้เกิดขึ้นและหม่อมฉันเองก็คิดแผนเอาไว้แล้วหากว่าเขาไม่หลงกล ก็แค่ใส่ยาเอาไว้ในสุราเท่านั้น เขาไม่มีทางที่จะได้สัมผัสตัวหม่อมฉัน เฟิ่งหยวนหม่อมฉัน…..พูดจริงๆนะ”“เรื่องยาถอนพิษนั่น.....”“ยาถอนพิษนั่นเป็นแผนของหม่อมฉันเอง ก่อนหน้านี้อาจารย์เคยเตือนแล้วว่าคนผู้นี้มีมากกล หม่อมฉันเลยคิดว่าการถอนพิษกับเขามันง่ายไปหน่อย หนามยอกเอาหนามบ่งเช่นนี้จึงจะสามารถลากแผนชั่วของเขาออก
หยางเฟิ่งหยวนเดินออกมาจากห้องโถงเพื่อจะเดินกลับออกไปขึ้นรถม้า ฟางเหยาเมื่อเห็นเขาจึงรีบขอตัวจากเพื่อนๆและวิ่งตามเขาออกมาทันทีเพราะไม่แน่ใจว่าเขานึกไม่พอใจสิ่งใดหรือไม่“เฟิ่งหยวน นั่นท่านจะไปที่ใด”เขาชะงักไปเล็กน้อย แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของเสด็จอาในห้องโถงและเรื่องยาถอนพิษที่องค์รัชทายาทตรัสเมื่อครู่เขาก็เริ่มกัดกรามด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย“องค์ชาย พระองค์เป็นอะไรไปเพคะ”“เปล่า ข้าเหนื่อยแล้วอยากกลับไปพักผ่อน”“แต่ว่านี่ยังไม่ดึกเลยนะเพคะ แล้วก็องค์รัชทายาทก็ยังประทับอยู่”เขาหันมามองใบหน้าที่มองเขาโดยที่ไม่ได้รู้ว่าเขากำลังโมโหนาง และยังไม่รู้ว่าตอนนี้ในใจขององค์ชายแปดเริ่มร้อนรนเพราะความโกรธ“เหตุใดพระองค์จึงทำท่าทีเช่นนี้ มีผู้ใดทำให้พระองค์กริ้วงั้นหรือเพคะ”“ลี่ฟางเหยา เจ้าคิดจะบอกเรื่องยาถอนพิษของกว้านเหมากับข้าเมื่อใด”คำถามนี้ทำเอานางตกใจไปเล็กน้อยเพราะมัวแต่ยุ่งและตื่นเต้นที่ได้กลับบ้านจนลืมบอกเรื่องนี้กับเขาไป นึกไม่ถึงว่าจะทำให้เขาโกรธ ฟางเหยารู้สึกแปลกใจ เรื่องยาพิษนั่นนางนำยาถอนพิษไปให้อาจารย์แล้วจึงมิได้ใส่ใจอีก แต่เหตุใด….“พระองค์โกรธหม่อมฉันเรื่องนี้หรือเพคะ หม่อมฉันคิ
“ที่ชิงโจวเป็นบ้านของฟางเหยา ข้าเองก็คิดว่าที่นี่น่าอยู่และเงียบสงบมาก และข้าก็รับปากกับอาจารย์ใหญ่เอาไว้แล้วว่าจะดูแลสำนักศึกษานี้ร่วมกับเขา ดังนั้นเรื่องกลับเมืองหลวง ข้าทูลเสด็จพ่อไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“พี่แปด ท่านไม่เห็นบอกข้าเลย เช่นนั้นข้าจะทำให้เป่าเป้ยท้องบ้าง จะได้…”“ไม่ต้องเลย เจ้ากับพระสนมโม่วยังต้องคุยกันอีก อย่าลืมสิว่า ที่พระชายาเจ้าหนีมาเพราะเสด็จแม่เจ้า ตัวเจ้าเป็นผู้ก่อเรื่องต้องพานางไปพบพระสนมก่อนอย่างน้อยให้นางได้รับรู้ว่านางเข้าใจพระชายาเจ้าผิด นางเป็นถึงบุตรีขุนนางใหญ่ มิใช่หญิงชาวบ้านอย่างที่เสด็จแม่เจ้าคิด”“ข้าก็เพียงแค่พูดเผื่อไว้เท่านั้นเองพ่ะย่ะค่ะ อย่างไรข้าก็ส่งจดหมายไปบอกเสด็จแม่แล้ว นางก็เข้าใจแล้วเพียงแต่หากพระองค์รู้ว่ามีหลานก็จะยิ่งดีใจมากกว่าเดิมเท่านั้นเอง”“ข้าเข้าใจเจ้านะน้องเก้า แต่เจ้าจะสุกเอาเผากินไม่ได้ การที่เจ้าทำเช่นนี้ก็มิใช่ว่าจะดีกับนาง ดีเพียงใดแล้วที่นางไม่ตั้งครรภ์ก่อนจะหมั้นหมายกับเจ้า โชคดีที่บิดานางไม่เอาเรื่อง”“ข้าทราบแล้ว พี่ใหญ่ตักเตือนได้ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ ว่าแต่ท่านลงมาชิงโจวครั้งนี้กะจะมาต่อรองกับแคว้นหานใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”“ใช่
“ลี่ฟางเหยา ตามสบายเถิด”“ขอบพระทัยองค์รัชทายาท”ทั้งหมดพากันนั่งที่เก้าอี้ของแขก บรรดาเพื่อนๆต่างก็พากันนั่งที่ของตนในห้องโถงซึ่งวันนี้ได้รับเกียรติจากองค์รัชทายาทรับสั่งให้นั่งรวมกันได้เพราะเป็นงานเลี้ยงภายในจึงไม่ต้องมากพิธี“เอาละน้องแปด ข้าพึ่งคุยกับท่านเสนาบดีลี่ เรื่องทาบทามสู่ขอน้องสะใภ้ให้กับเจ้า”ทั้งเพื่อนๆของฟางเหยาที่หันมามองหน้ากันล้วนพากันยินดีที่ได้รับฟังข่าวดีนี้ เฟิ่งหยวนเองก็เช่นกัน“ขอบพระทัยเสด็จพี่”เฟิ่งหยวนหันไปมองเสนาบดีลี่และคุกเข่าลงในทันที เสนาบดีลี่รีบคุกเข่าตามองค์ชายด้วยความซื่อเพราะไม่นึกว่าเขาจะคุกเข่าให้แต่องค์รัชทายาทจับแขนเสนาบดีลี่เอาไว้มิให้เขาคุกเข่า“ท่านไม่ต้องคุกเข่า ให้เขาพูดไป”“เอ่อ ตะ…แต่ว่า…”“เชื่อข้า น้องแปด พูดไปสิ”องค์รัชทายาทหันไปบอกให้หยางเฟิ่งหยวนกล่าวเอง“ข้าองค์ชายแปดเป่ยอี้เฟิ่งหยวน วันนี้อยากจะสู่ขอบุตรีของท่าน ลี่ฟางเหยาให้เป็นพระชายาของข้า หวังว่าท่านเสนาบดีจะเห็นถึงความจริงใจและตกลงมอบนางให้กับข้า ข้าสาบานต่อหน้าท่านว่าชาตินี้จะรักและให้เกียรตินาง ดูแลนางและเคียงข้างนางตลอดชีวิตไม่คิดเป็นอื่น”องค์รัชทายาทที่ยืนพยุงเสนาบดีล
“แต่ว่าเรื่องนั้น…”“แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดโทษเขาแม้แต่ข้าก็ตาม แต่ตาแก่นั่นก็ยังนึกว่าเป็นความผิดของเขาอยู่วันยังค่ำเพราะขบวนเสด็จครั้งนั้นเขารับหน้าที่จากเสด็จพ่อเพื่อพาพระสนมไปขอพรนอกวัง”“เป็นเช่นนี้นี่เอง ดังนั้นอาจารย์จึงตัดสินใจจะตามหาผู้ที่ทำเรื่องชั่วในวันนั้น”“ใช่ แต่ที่ข้านึกไม่ถึงก็คือเขารับเจ้าเป็นศิษย์”“เรื่องนั้น…อาจจะเป็นเพราะว่าข้าเจอเรื่องราวคล้ายๆกับพระองค์กระมังเพคะ อาจารย์คงรู้สึกผิดกับพระองค์ และในตอนนั้นที่พบกันก็เป็นวันที่ข้าสูญเสียท่านแม่ไปพอดี”“นึกไม่ถึงว่าลูกศิษย์เพียงคนเดียวของเขาจะกลายมาเป็นพระชายาของข้าในวันนี้”“เช่นนั้น เป่าเป้ยกับองค์ชายเก้าก็ต้อง…”“ใช่ เจ้าเข้าใจถูกต้องแล้วนางเองก็ต้องถูกแต่งตั้งเป็นพระชายาเก้าเช่นกัน”“ในวังหลวงนั่น….ข้าไม่นึกอยากเข้าไปเพคะ”“ไม่อยากเข้าก็ไม่เห็นจำเป็นต้องเข้าไปเลยนี่ ในวังหลวงมีองค์รัชทายาทอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีพวกข้าอยู่หรอก”“เช่นนี้”“ใช่ ข้ากับน้องเก้าก็มาประจำอยู่ที่ชิงโจว ท่านอ๋องจ้าวเริ่มชรามากแล้ว เขาเคยทูลขอเสด็จพ่อไปหลายครั้งให้แต่งตั้งองค์ชายมาเป็นท่านอ๋องเพื่อดูแลเมืองชิงโจว ครั้งนี้ข้าจึงได้มาอยู่ที่น
ฟางเหยาหันไปมองพระพักตร์ที่ทั้งจริงจังและสายตาที่มีความหวังมาให้นาง “พระองค์คิดเรื่องนี้มานานแล้วสินะเพคะ”“แต่กว่าจะได้พาเจ้ามาถึงที่นี่ได้ก็นานเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน นึกไม่ถึงว่าจะมีเรื่องมากมายเกิดขึ้นเช่นนี้”“หม่อมฉันเองก็คาดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ถึงขนาดเป็นสงครามระหว่างแคว้นได้เช่นกันเพคะ”“ไม่ใช่หรอก แค่กว้านเหมาคนเดียวมิใช่ทั้งแคว้น การที่เราไม่ปลิดชีพขององค์ชายในครั้งนี้เพื่อป้องกันข้อพิพาทที่อาจจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า ที่จริงกว้านเหมากับพี่ใหญ่ข้ามีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน เขาจึงหาโอกาสที่จะล้างแค้น แต่พอมีเรื่องของเจ้าเข้ามา ก็ดูเหมือนว่าเขาจะคอยหาเรื่องข้าไปด้วย”“เรื่องแค้นส่วนตัวแต่ถึงกับก่อสงครามขึ้นมา เขาช่างน่าขยะแขยงเสียยิ่งนัก”“ข้าไม่สนใจเขา เรื่องนี้ให้องค์รัชทายาทจัดการไปเถอะ ตอนนี้ข้าต้องการคำตอบของเจ้าลี่ฟางเหยา”เขาใช้นิ้วเชยคางนางขึ้นมาสบตาเขาใกล้ๆจนลมหายใจของทั้งคู่รดกันอยู่ ริมฝีปากแทบจะติดกันอยู่แล้ว“ดูเหมือนพระองค์จะไม่มีคำตอบอื่นให้หม่อมฉันเลยนะเพคะ”“แน่นอนว่าเจ้าห้ามปฏิเสธ แต่เจ้าเองก็ต้องตอบข้ามาก่อนเพื่อความแน่ใจ”ลี่ฟางเหยายิ้มให้เขา มือเรียวโอบต