วันนี้ เสียงโทรศัพท์ของฉันดังนับร้อยครั้งได้แล้วโดยมีชื่อของเล็ตตี้เด่นอยู่บนหน้าจอ กระนั้นเช่นหลายครั้งที่ผ่านมา ฉันเมินเฉยต่อสายเรียกเข้าพวกนั้น เธอพยายามติดต่อฉันตั้งเแต่เมื่อวานสภาพจิตใจของฉันไม่พร้อมที่จะพูดดุยกับเธอตอนนี้ เธอยังติดต่อกับสังคมและผู้คนที่ฉันพยายามหลีกหนีอยู่ ซึ่งนั่นทำให้ฉันตระหนักได้ว่าอยู่ตรงทางแยกชีวิตที่จำเป็นต้องเลือก“ขออีกแก้ว” ฉันสั่งบาร์เทนเดอร์ทันทีที่เสียงเรียกเข้าเงียบลงวันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของฉัน และฉันจึงฉลองให้ตนเองเช่นนี้แหละ ตัวคนเดียวอยู่ในบาร์แห่งหนึ่ง นั่งดื่มเหล้าผสมน้ำผลไม้ และคำพูดของโรแวนยังทิ่มแทงอยู่ไม่จางหายฉันพยายามเป็นอย่างมากที่จะโยนความคิดเหล่านั้นทิ้งไปเสีย พยายามเหลือเกินที่จะลืมทุกคำพูดซึ่งเขาโยนใส่ฉัน แต่นั่นเป็นเรื่องยากลำบากจริง ๆ คำพูดนั้นตามหลอกหลอนฉันเฉกเช่นผีร้ายเราทั้งสองแต่งงานอยู่กินกันมาหลายปี แต่ฉันก็ไม่เคยนึกเอะใจเรื่องที่เขามองฉันเป็นเพียงสิ่งบันเทิงทางกามเท่านั้น อีกทั้งยังหลอกใช้ให้ฉันกลายเป็นตัวแทนเรือนร่างของเอมม่าด้วยซ้ำ หัวใจของฉันแหลกสลายครั้งแล้วครั้งเล่านับตั้งแต่เกิดเหตุวันนั้นที่บ้านฉันที่จริ
“ฉันสบายดีค่ะ…แค่ไม่อยากคุยกับเธอในตอนนี้” ฉันเปล่งเสียงดังขึ้นเสียงดนตรีไม่ดังมาก แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตคำว่าดังอยู่“นี่คุณอยู่ร้านเหล้าหรือ?” เขาเอ่ยถามเนื่องจากได้ยินเสียงคนรอบข้างร้องเพลงที่พวกเขาชื่นชอบกันเสียงดัง“ก็ประมาณนั้นค่ะ”“เมาหรือเปล่า?”“แค่มึน ๆ” ฉันตอบคำถาม ที่จริงฉันตั้งใจจะดื่มให้ภาพตัดไปเลย“แล้วมีคนขับรถที่ไว้ใจได้แล้วหรือยังครับ?ฉันแอบหัวเราะให้กับมุกนั้น เขาสวมบทบาทคุณตำรวจแสนดีอยู่ และฉันชื่นชอบเป็นอย่างมาก ฉันชอบที่เขาใส่ไว้ว่าฉันจะกลับบ้านอย่างไรด้วย“ยังเลยค่ะ คิดว่าจะนั่งแท็กซี่กลับ” ฉันตอบกลับ“ไม่ได้ ห้ามนั่ง ขอผมสิบนาที” เขาเอ่ยก่อนกดวางสายไปฉันขมวดคิ้วใส่โทรศัพท์ตนเองพลางสงสัยว่าทำไมอีธานถึงบอกเช่นนั้นออกมา เมื่อคิดได้ว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญขนาดนั้น ฉันจึงปล่อยเรื่องนั้นไป วันนี้สิ่งที่ฉันต้องทำคือลืมทุกเรื่องและสนุกให้สุดเหวี่ยงฉันไม่รู้เลยว่าผ่านไปนานเท่าใดแล้วเมื่อมีใครบางคนเดินเข้ามานั่งเก้าอี้ข้างฉัน ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองและรู้สึกตกใจเมื่อพบว่าสายตาสีฟ้าคู่งามของอีธานกำลังจ้องมองฉันอยู่“อีธาน คุณมาได้ไงเนี่ย?” ฉันเอ่ยถามด้วยความรู้สึกงุน
เมื่อเก้าปีก่อนเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นแสดงว่ามีการแจ้งเตือนใหม่ ซึ่งทำให้ฉันลืมตาตื่นจากการนอนหลับอย่างไม่เต็มตื่น ฉันไม่สามารถนอนหลับได้เต็มตามาสองปีด้วยเหตุผลบางประการส่วนหนึ่งของฉันบอกว่าสาเหตุนั้นมาจากโรแวน หัวใจและสมองไม่ได้รู้สึกสงบเลยเพราะเขาไม่ได้อยู่ข้างกายอีกแล้ว การที่ฉันไม่ได้พักผ่อนอย่างดีนั้นเริ่มต้นมาจากช่วงที่เขาเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเมื่อสองปีก่อน ช่วงที่เขาต้องเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยนั้น ฉันแทบจะนอนไม่หลับเลย แต่ในช่วงวันหยุดที่เขากลับมาบ้าน ฉันหลับได้อย่างกับเด็กน้อยฉันส่งเสียงโอดครวญออกมาเพราะนี่ก็เป็นอีกคืนที่นอนไม่หลับ จากนั้นลุกขึ้นดูโทรศัพท์ ฉันรู้สึกแปลกใจ แต่เพียงแวบเดียวความสุขก็เข้ามาแทนที่เมื่อเห็นว่าการแจ้งเตือนนั้นคืออะไรฉันจ่ายเงินจ้างให้คนช่วยติดตั้งแอปพลิเคชันที่ช่วยติดตามโรแวนไปด้วยตลอดทุกหนทุกหน ตอนนี้มันแจ้งเตือนว่าเขาอยู่บ้านฉันกระโดดลงจากเตียงและรีบแต่งตัว เขาอาจกลับมาพร้อมกับเอมม่า หรือทราวิสหรืออาจเป็นเกเบรียลก็เป็นได้ แต่ใครสนกันเล่า ฉันเพียงต้องการพบหน้าเขาแม้ว่าจะแค่มองอยู่ห่าง ๆ ก็ตามทันทีที่ฉันแต่งตัวเสร็จ สายตาก็แอบเหลือบมองออ
“เอมม่าบอกเธอยังไม่พร้อม บอกว่าเธอขอตั้งใจเรียนก่อน ทำไมถึงไม่อยากแต่งงานกับผมเล่า? เธอไม่รักผมหรือ?” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเจ็บปวดฉันไม่รู้ว่าควรพูดว่าอย่างไรดี ส่วนหนึ่งของฉันปิติยินดีที่เธอปฏิเสธเขา ขณะที่อีกด้านหนึ่งก็รู้สึกเจ็บปวดแทนเขาเพราะไม่เคยเห็นเขาเสียน้ำตาเลยสักครั้ง“คุณออกจะยอดเยี่ยมนะคะโรแวน ถ้าเธอไม่อยากแต่งงานกับคุณ คนที่ขาดทุนก็คือเอมม่าเอง หมายถึงช่างหัวเธอเถอะ คุณหาได้ดีกว่านั้นเยอะ” ฉันยกแก้วขึ้นมาเขาจ้องมองฉันครู่หนึ่งก่อนเผยยิ้มออกมา “พูดถูก ช่างหัวเธอเลย” เขาสบถออกมาพร้อมชนแก้วกับฉันฉันไม่รู้เลยว่าเราทั้งสองอยู่ตรงนั้นนานขนาดไหน เราพูดคุย เต้นและดื่มกัน เมื่อเดินออกมาจากร้าน เราทั้งสองเมาแทบสิ้นสติ เขานั้นเมากว่าฉันอีกเขาแนะนำว่าเราควรไปพักที่ห้องในโรงแรมของเขากันก่อน และฉันก็เห็นดีเห็นงามด้วย ฉันจะกลับบ้านทั้งสภาพเมามายเช่นนี้ไม่ได้ พ่อแม่ได้ถลกหนังฉันออกมาทั้งเป็นแน่ อีกทั้งตอนนี้ฉันเองก็แทบยืนตรงไม่ได้ด้วยซ้ำเขาเรียกรถแท็กซี่ เพียงไม่กี่นาทีเราก็เดินทางมาถึงห้องพักของเขาเมื่อประตูด้านหลังเราถูกปิดลง เขาก็คร่อมอยู่บนร่างฉัน จูบและสัม
ฉันมองใบหน้าเขาและโยนความเจ็บปวดนี้ทิ้งไป โรแวนดูเหมือนต้องการใครสักคน ดังนั้นฉันจึงเดินเข้าไปหาเขาพร้อมวางมือไว้บนไหล่ พยายามปลอบประโลมเขากลับกันเขาแสดงท่าทีรุนแรงออกมา เขาผลักฉันจนเสียหลักล้ม“อย่ามาแตะต้องตัวผม นางผู้หญิงใจง่าย” เขาคำรามลั่น ความโกรธเกรี้ยวและความขมขื่นแผ่ออกมาฉันลุกขึ้นยืนพร้อมน้ำตา “โรแวน ฉันไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นนะ”ฉันบอกได้เลยว่าเขาไม่ได้ฟังอะไรฉันอีกแล้ว“ออกไปให้พ้น…ผมไม่อยากเห็นหน้าเธออีก” เขาเอ่ยพร้อมนั่งลงบนเตียงด้วยสภาพจิตใจแตกสลาย น้ำตาไหลรินออกมาจากดวงตาคู่นั้นสภาพของเขาตอนนี้ทำให้หัวใจฉันแตกสลาย เขาดูเจ็บปวดและแตกสลาย ฉันต้องการช่วยเหลือเขา กระนั้น ฉันรู้ดีว่าความช่วยเหลือของฉันต้องถูกปฏิเสธแน่ ฉันจึงเลือกเดินออกไปแทนฉันต้องให้สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงฝันร้ายเท่านั้น แต่ไม่ใช่เลยฉันได้กระทำสิ่งที่ผิดมหันต์ลงไปเสียแล้ว…สองวันต่อมา“มันมุดหัวอยู่ที่ไหน?” ฉันได้ยินเสียงเอมม่ากรีดร้องมาจากชั้นล่างหัวใจฉันเต้นระรัวราวกับจะระเบิดออกมาจากอก ลึก ๆ แล้ว ฉันรู้ว่าโรแวนคงเล่าความจริงทุกอย่างให้เธอฟังจนหมดแล้ว เพราะฉะนั้นเธอถึงได้เลือ
สองเดือนต่อมา ฉันจ้องมองที่ตรวจครรภ์อย่างหวาดกลัว เมื่อเหลือบมองที่ตรวจซึ่งขึ้นสองขีด นั่นก็แน่ชัดแล้วว่าฉันตั้งท้องแล้วจริง ๆฉันจึงหยิบที่ตรวจขึ้นมาลองอีกอันหนึ่งเพราะหวังว่ามันจะตรวจผิดแต่ผลก็เหมือนเดิม ฉันท้องลูกของโรแวนชีวิตในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมาราวกับนรกก็ว่าได้ ฉันกลายเป็นพวกนอกคอกไม่ใช่เพียงคนในครอบครัวเท่านั้น แต่ที่โรงเรียนด้วยเช่นกัน ทุกคนรู้เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างฉันกับโรแวน แต่ไม่ใครเลยเชื่อฉันเมื่อบอกว่าคืนนั้นฉันเมาคำด่าทอต่างมาลงที่ฉันทั้งหมดเพราะฉันเป็นผู้หญิงใจง่ายไปยั่วแฟนพี่สาวตนเองตอนเขาเมาไม่ได้สติที่โรงเรียน มีแต่คนรังแกฉัน และทั้งเมืองก็มีแต่คนรังเกียจฉันแม่และพ่อพูดกับฉันน้อยจนนับคำได้จวบจนทุกวันนี้ เอมม่าตัดขาดกับฉันอย่างสิ้นเชิงโดยที่เธอบอกว่าฉันตายจากเธอไปแล้ว สำหรับทราวิส ฉันไม่ได้อยู่ในสายตาของเขานับตั้งแต่นั้น ฉันไม่ได้เจอหรือพูดคุยกับโรแวนเลยนับตั้งแต่คืนนั้นหัวใจของฉันแตกสลายครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดช่วงสองสัปกดาห์ที่ผ่านมา โดยที่ไม่มียาบรรเทาใด ๆ ที่สามารถเยียวยาความเจ็บปวดและการถูกปฏิเสธเช่นนี้ได้ หากฉันมองว่าชีวิตมันย่ำแย่แล้ว นี่คงแย
ไม่มีทางหนีอื่นแล้วนอกจากหน้าต่าง ฉันจึงใช้เก้าอี้กระแทกกระจกและพังเหล็กดัดที่กั้นหน้าต่างออกไป จนกระทั่งสามารถออกไปได้ ฉันโยนกระเป๋าเดินทางออกไปทางหน้าต่างและมันก็ตกลงพื้นอย่างที่ฉันเคยบอก ห้องของฉันอยู่ไกลที่สุดจากในบ้าน ดังนั้นเสียงดังเช่นนี้ไม่อาจทำให้คนที่เหลือรู้ตัวได้ ฉันจึงปีนลงมาอย่างช้า ๆ และระมัดระวังเศษกระจกที่แตก ฉันรู้สึกโล่งอกเมื่อพบว่าตนเองสามารถลงมาได้อย่างปลอดภัยฉันรู้สึกดีใจมากเมื่อรู้ว่าตนสามารถหนีออกมาได้ ฉันจึงเดินไปคว้ากระเป๋าเดินทางและออกเดินไปพร้อมมัน สายตาของฉันจับจ้องไปยังโทรศัพท์ขณะกำลังเรียกรถมารับ ความสุขของฉันอยู่ได้เพียงไม่นานเมื่อฉันบังเอิญเจอกับใครบางคน ฉันเงยหน้าขึ้นมามองและความหวาดกลัวก็เข้ามาอีกครั้งเมื่อสายตาสบเข้ากับตาสีเงินคู่งามของโรแวน“นี่คิดจะหนีไปกับลูกของผมจริง ๆ หรือ?” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุดอันตรายฉันปล่อยมือออกจากระเป๋าเดินทางและปัดมือผ่านปลายผมไปบนอากาศ“ฉันบอกกับแม่ไปแล้วนะว่านี่ไม่ใช่ลูกคุณ” ฉันโกหกออกไปพร้อมถอยหลังก้าวหนึ่งไม่มีวันที่ฉันจะให้ลุกของตนเองเติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายเช่นนี้แน่นอน โดยเฉพาะสถานที่ซึ่งเก
ณ ปัจจุบัน“อย่างที่เห็น พวกเขามีเหตุผลที่จะเกลียดฉัน... ฉันทำลายความรักของพวกเขา” ฉันพึมพำในขณะที่น้ำตาคลอเบ้าการหวนคิดถึงอดีตเป็นเรื่องที่เจ็บปวดสำหรับฉันเสมอ ตอนนั้นฉันไร้เดียงสาโง่เขลาและคิดว่าตัวเองจะทำให้เขารักฉันได้หลังจากที่ฉันทำลายชีวิตเขาแท้ ๆ เก้าปีผ่านไป ฉันยังคงต้องชดใช้สำหรับการรักโรแวน วูดส์“แต่มันไม่ใช่ความผิดของคุณไม่ใช่เหรอ?” อีธานถามฉันขณะที่นิ้วของเขาค่อย ๆ ลูบไล้นิ้วของฉัน“ไม่ มันคือความผิดของฉัน ฉันปล่อยให้ความหลงใหลในตัวเขาเป็นศูนย์กลางการตัดสินใจ และเพราะเหตุนั้นฉันจึงได้ทำผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต” น้ำตาของฉันไหลออกมาไม่หยุดหากฉันย้อนเวลากลับไปได้ หากฉันเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ ได้ ฉันใช้ชีวิตที่ผ่านมาด้วยความเสียใจ หากฉันยอมฟังเสียงที่คอยเตือนในหัวของฉัน หากแต่เพียงฉันใส่ใจมันแทนที่จะเพิกเฉยมัน มันคงช่วยให้ฉันไม่ต้องเจ็บปวดและเสียใจมากขนาดนี้หากตอนนั้นฉันรู้ตัวเร็วว่าฉันกำลังตั้งครรภ์ ฉันคงสามารถหนีปัญหาได้เร็วกว่านี้ ฉันจะได้จากไปและไม่บอกโรแวนว่าฉันตั้งครรภ์ลูกของเขาจะได้ไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลย ฉันรู้ว่ามันฟังดูชั่วร้ายมาก แต่เมื่อมองย้อนกลับไปต
เกเบรียลผมยังคงรู้สึกถึงสัมผัสเนียนนุ่มของผิวเธอเหมือนกับมันซึมลึกอยู่ใต้ผิวของผมเอง ชั่วขณะหนึ่งผมอยากใช้นิ้วหัวแม่มือไล้ไปตามข้อต่อที่เต้นเป็นจังหวะอยู่ด้านในแขนของเธอฮาร์เปอร์คนใหม่นี้น่าสนใจ เธอร้อนแรง และท่าทางแบบใหม่นี้ทำให้ผมรู้สึกติดใจได้ ผมชอบผู้หญิงที่มั่นใจ เร้าอารมณ์ และมีบุคลิกที่ร้อนแรง ผมชอบที่พวกเธอท้าทายและไม่ยอมแพ้เธอกลายเป็นผู้หญิงแบบนั้นและมันทำให้ผมสนใจ เธอเป็นคนที่ร้อนแรงและไม่กลัวที่จะบอกให้ผมไปตายซะ ผมจะไม่สนใจได้อย่างไรเล่า?ตอนที่เราแต่งงานกันนั้นเธอน่าเบื่อ บุคลิกที่น่าเบื่อทำให้เธอดูจืดชืดในสายตาของผม ไม่มีอะไรน่าสนใจเกี่ยวกับเธอเลย ในขณะที่ผมชอบผู้หญิงที่มีเขี้ยวเล็บ เธอกลับเชื่อฟังมากเกินไป คิดแต่จะทำให้ผมพอใจและดึงดูดความสนใจกันอย่างเดียวเธอยอมลดตัวทุกอย่างเพียงเพื่อให้ผมสนใจ หากเพียงเธอผลักผมให้ออกห่างไปผมก็คงจะสนใจเธอแล้ว ฮาร์เปอร์เมื่อก่อนเป็นคนขี้อายและกลัวแถมขาดความมั่นใจในตัวเอง สิ่งนั้นมันทำให้ผมรู้สึกไม่อยากสนใจเธอเลยผมถอนหายใจแล้วก็ผลักความคิดเหล่านั้นออกไป พยายามขับไล่ความสงสัยที่มีต่อฮาร์เปอร์ เบคเกตต์ ที่ตอนนี้เป็นวู้ดออกไป วินาทีถั
“คุณต้องการอะไร เกเบรียล? อย่างที่เห็น ฉันไม่อยากคุยตอนนี้” ฉันลุกขึ้นจากพื้นพร้อมกับเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุดคำพูดของลิลลี่ยังคงดังก้องอยู่ในหัวของฉัน มันบาดลึกซ้ำไปซ้ำมา ฉันเอามือสางผม พยายามไล่ความเจ็บปวดที่ท่วมท้นออกไป ฉันรู้ว่าสักวันมันต้องเกิดขึ้น และฉันก็รู้ว่าเธออาจจะรับมันไม่ได้ดีนักลองคิดดูสิ คุณจะรับมันไหวไหมถ้าแม่มาบอกว่าผู้ชายที่คุณคิดว่าเป็นพ่อมาตลอดกลับกลายเป็นคนอื่นไป? ว่าคุณถูกหลอกมาตลอด และไม่มีใครคิดจะบอกความจริงจนกระทั่งมันเลี่ยงไม่ได้ ฉันเข้าใจเธอ ฉันเข้าใจปฏิกิริยาของเธอ ฉันแค่ไม่รู้ว่าจะตอบสนองต่อคำพูดและความเจ็บปวดในดวงตาของเธออย่างไร“ลิลลี่ไม่ได้ตั้งใจพูดแบบนั้นหรอก” เกเบรียลพูดพลางเดินเข้ามาในห้องฉันจ้องเขม็งไปที่เขา ความรู้สึกบางอย่างที่น่าเกลียดพุ่งขึ้นในใจ “แล้วคุณจะรู้ได้ยังไง? คุณแทบจะไม่รู้จักเธอเลยด้วยซ้ำ แล้วจะมาบอกฉันว่าเธอไม่ได้ตั้งใจได้ไง”“แล้วมันเป็นความผิดใครล่ะ?” เขาสวนกลับทันที จ้องฉันด้วยสายตาโกรธจัดฉันทั้งโกรธทั้งเสียใจ ฉันกำลังหาที่ระบาย หาทางที่จะดึงความสนใจตัวเองออกจากความเจ็บปวดที่ถาโถม เกเบรียลจึงกลายเป็นเป้าหมายของฉัน เพราะ
ฮาร์เปอร์สัปดาห์นี้วุ่นวายสุด ๆ เหมือนฉันวิ่งทำธุระตั้งแต่กลับมาที่เมืองนี้โดยไม่ได้พักเลยสักนิดอย่างน้อยตอนนี้ลิลลี่ก็ดูสบายขึ้นแล้ว เกเบรียลไม่ยอมส่งที่นอนของเธอมาเพราะบอกว่าที่นอนที่นี่สบายกว่า แต่เขายอมส่งผ้าปูที่นอนกับผ้าห่มมาให้แทน ซึ่งมันช่วยได้เยอะเลย ตอนนี้เธอหลับสบายตลอดทั้งคืนส่วนเกเบรียล ฉันจะเริ่มจากตรงไหนดี? เขากลับมาบ้านแม้จะดึกดื่นขนาดไหน แต่ก็เท่านั้นเอง เราสองคนพยายามหลบหน้ากัน ต่างทำเหมือนกับว่าอีกฝ่ายไม่มีตัวตนอยู่ในชีวิต ฉันคิดว่าแบบนี้ดีกว่า อย่างน้อยลิลลี่จะได้ไม่เห็นเราทะเลาะกันตลอดเวลา“แม่คะ แม่อยากคุยกับหนูเหรอ?” เสียงของลิลลี่ดึงฉันกลับมาสู่ปัจจุบันฉันวางผ้าที่กำลังพับอยู่ลง แล้วนั่งลงบนเตียงก่อนจะส่งสัญญาณให้เธอมานั่งด้วยกัน เธอเดินข้ามห้องมาพร้อมขมวดคิ้ว ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ ฉันเราอยู่ในห้องของฉัน อย่างที่เดาได้ว่าเกเบรียลกับฉันไม่ได้นอนห้องเดียวกัน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่ฉันไม่รู้ว่าจะอธิบายให้ลิลลี่เข้าใจอย่างไร เพราะเธอต้องสงสัยแน่ ๆ ในเมื่อก่อนหน้านี้ฉันกับเลียมเคยนอนร่วมห้องกัน“แม่คะ?”“ขอโทษนะลูก มีบางอย่างที่แม่อยากจะอธิบายให้หนูฟัง” ฉั
แผ่นหลังของผู้หญิงคนนั้นหันมาทางฉัน รวมถึงกันเนอร์ด้วย ฉันไม่ต้องกังวลเรื่องคาลวินเพราะเขาดูเหมือนตกอยู่ในห้วงความหลงใหล เขาใส่ใจกับทุกสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นพูด พร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนเด่นชัดบนริมฝีปากอีกครั้งที่ความรู้สึกไม่สบายใจจมลึกลงในหัวใจของฉัน ทำไมฉันถึงรู้สึกเหมือนหายใจได้ไม่ทั่วท้อง? เหมือนมีหินก้อนใหญ่ติดอยู่ในลำคอฉันเพ่งสายตามองไปยังพวกเขา แม้จะไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดเพราะโต๊ะอยู่ห่างออกไป แต่ความสงบสุขและความสุขบนใบหน้าของคาลวินก็เพียงพอที่จะบอกฉันว่าเกิดอะไรขึ้น เขากำลังออกเดต และกันเนอร์ก็มาด้วย ผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนไม่ได้รังเกียจอะไร แต่ฉันไม่มีวันปล่อยให้ผู้หญิงคนอื่นมาแทนที่ฉันในชีวิตของลูกชายเด็ดขาดถึงแม้ฉันจะมองไม่เห็นกันเนอร์ แต่ฉันรู้ว่าเขาเหมือนกับคาลวิน กันเนอร์เองก็มีความสุขที่ได้อยู่ที่นั่น เพราะถ้าไม่ใช่แบบนั้น คาลวินคงพาลูกชายกลับไปแล้วแต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ฉันยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น ทั้งที่รู้สึกเหมือนหัวใจถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ ฉันไม่รู้ว่าฉันนั่งอยู่นานแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว การได้เห็นเขามีความสุขกลับทำให้ฉันเจ็บปวดอย่างประหลาด มันเหมือนหัวใจถูกบดขยี้
คำพูดของมอลลี่ยังคงก้องอยู่ในหัว แม้กระทั่งตอนที่เรากำลังกินของหวาน ฉันชอบไอศกรีมมาก แต่วันนี้ฉันกลับไม่สามารถสนุกกับมันได้เลย โดยเฉพาะเมื่อเธอสามารถทำให้ฉันเริ่มสงสัยในทุกสิ่งที่ฉันเชื่อมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา"ทำไมเธอเงียบจัง?" มอลลี่ถามขณะที่วางแก้วมิลค์เชคลง "หรือเธอกำลังคิดถึงสิ่งที่ฉันเพิ่งพูด?"ประโยคสุดท้ายมาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขณะที่เธอเอนหลังพิงเก้าอี้"เปล่า" ฉันโกหก "แค่กำลังคิดว่าฉันจะทำยังไงให้คาลวินกับกันเนอร์ยกโทษให้ฉัน ไม่ว่าฉันจะมองมุมไหนก็ไม่มีทางออกที่ดีเลย"ในฐานะทนายความ ฉันเคยชินกับการมองสถานการณ์จากหลายมุมมองเวลาปกป้องลูกความของฉัน นั่นคือสิ่งที่ทำให้ฉันเก่งในสิ่งที่ฉันทำ ฉันไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือและพิจารณาทุกผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ ฉันทำแบบนั้นกับสถานการณ์นี้แล้ว แต่กลับไม่พบความหวังเลยฉันอาจไม่ได้รักคาลวิน แต่ฉันรู้จักเขาเป็นอย่างดี เขาเคยให้โอกาสฉันนับครั้งไม่ถ้วนเพื่อให้ฉันจัดลำดับความสำคัญของชีวิตให้ถูกต้อง แต่ฉันกลับไม่ทำ คาลวินเป็นคนที่เมื่อเขาถึงจุดที่ทนไม่ไหว มันก็จบ ไม่มีการย้อนกลับ ไม่มีโอกาสอีก ไม่มีการให้อภัยฉันจะนั่งหลอกตัวเองที่นี่ก็ได้ แต่ฉัน
"ทำไมฉันถึงยอมให้เธอชวนฉันออกไปกินข้าวกลางวันด้วยนะ?" ฉันบ่นพลางมองทิวทัศน์ด้านนอกที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วฉันไม่ได้ออกจากบริเวณของครอบครัวมานานแล้ว ครั้งสุดท้ายน่าจะเป็นตอนที่ฉันไปงานแต่งงานของเอวา บอกตามตรง ฉันตกใจมากตอนที่เธอเชิญฉันไปงานนั้น ในบรรดาคนทั้งหมด ฉันคิดว่าฉันน่าจะเป็นคนที่เธอไม่อยากให้ไปร่วมงานแต่งงานมากที่สุด“ก็เพราะเธอจำเป็นต้องออกไปข้างนอกบ้างไง” มอลลี่ตอบพลางดึงฉันกลับมาสู่บทสนทนา“ฉันก็ออกจากบ้านนะ มอลลี่” ฉันพูดปกป้องตัวเองเสียงหัวเราะเยาะของเธอทำให้ฉันหงุดหงิดมาก“เดินไปที่สวนไม่เรียกว่าการออกไปข้างนอกหรอกย่ะ” เธอตอบโต้ “เลิกบ่นแล้วนั่งพักผ่อนเถอะ เธอจะสนุกกับการออกไปเที่ยวเล็ก ๆ ครั้งนี้ รับรองเลย”“ไม่มั้ง”เมื่อพูดจบ ฉันเอนหลังพิงเก้าอี้แล้วหลับตาลง ความคิดในหัวของฉันวิ่งวุ่นไปเป็นพันเรื่องในแต่ละนาที ฉันจับพวกมันไว้ไม่ได้หรือควบคุมมันไม่ได้เลยตั้งแต่คุยกับมอลลี่ในห้อง ความคิดของฉันก็วิ่งพล่านไปทั่ว ฉันรู้ว่ามันคงไม่ง่าย แต่เธอพูดถูก ฉันจะมัวแต่นั่งอยู่ในห้อง จมปลักและสาปแช่งความโง่ของตัวเองต่อไปไม่ได้ ถ้าฉันยังเป็นแบบนี้ ฉันอาจไม่มีโอกาสได้อยู่กับลูกชา
เอมม่า"ออกจากห้องบ้างเถอะนะ เอมม่า ลูกไม่ควรใช้เวลาทั้งวันติดอยู่ในห้องรก ๆ แบบนี้" แม่บอกฉัน แต่ฉันไม่แม้แต่จะเหลือบมอง เฝ้าแต่จดจ้องอยู่ที่ซีรีส์เศร้าที่กำลังดูอยู่ฉันนั่งอยู่บนเตียง ยังสวมชุดนอนอยู่ พร้อมของว่างกระจายอยู่รอบ ๆ ผ้าห่ม มีเครื่องดื่มหลากหลายชนิดและถังไอศกรีมที่ฉันกำลังจมปลักอยู่ ผ้าม่านถูกปิดมืดสนิทเพราะฉันเพิ่งติดตั้งม่านกันแสงเมื่อไม่กี่เดือนก่อน"นั่นแหละที่หนูพยายามบอกมันอยู่เนี่ย แต่มันไม่ยอมฟังหนูเลยคะแม่" มอลลี่พูดขึ้นฉันรู้สึกได้ว่าเธอกำลังจ้องฉันด้วยสายตาดุดัน แต่ฉันไม่สนใจเลยสักนิด ฉันแค่อยากอยู่คนเดียวเพื่อจมอยู่กับความทุกข์ของตัวเอง เพราะท้ายที่สุดแล้ว ฉันก็เป็นคนที่ทำให้ตัวเองต้องมาเจอเรื่องแบบนี้"กันเนอร์จะพูดว่ายังไงถ้าหลานเห็นลูกในสภาพนี้? ทั้งตัวเองและห้องก็ดูไม่ได้เลย ไม่รู้เลยว่าลูกหวีผมครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ หรืออาบน้ำครั้งสุดท้ายตอนไหน" แม่พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจฉันสะดุ้งขึ้นทันทีที่ได้ยินชื่อกันเนอร์ แล้วหันไปหาแม่ทันที"ลูกถามถึงหนูเหรอ? อยากเจอหนูใช่ไหม?" ฉันถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวังแม่ใช้เวลาอยู่กับเขา เช่นเดียวกับทราวิส
ทันทีที่พวกเราเข้าไปในโบสถ์ ฉันก็สังเกตเห็นโรแวนในทันที เขาอยู่ในชุดสูทสีดำเช่นเดียวกับน้องชายของเขา เราเดินไปยังด้านหน้าของโบสถ์พร้อมกับที่บาทหลวงเดินเข้ามา"สวัสดีครับ คุณฮาร์เปอร์" โรแวนกล่าวทักทายอย่างสุภาพพร้อมรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นฉันถึงกับตกตะลึง โรแวนดูเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่เหมือนกับคนที่ฉันเคยรู้จักมาก่อน เมื่อก่อนเขามักจะดูเย็นชาและห่างเหิน เหมือนมีบางอย่างคอยถ่วงจิตใจเขาไว้ และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ แต่ตอนนี้เขากลับดูอบอุ่นราวกับความมืดที่เคยครอบงำเขาได้เลือนหายไป"สะ…สวัสดีค่ะ" ฉันตอบกลับอย่างตะกุกตะกักฉันอดสงสัยไม่ได้ว่าเขากลับไปคืนดีกับแฟนเก่าหรือยัง เพราะทุกคนรู้ว่าเขาเปลี่ยนไปหลังจากเสียเธอไปและต้องแต่งงานกับเอวา ใช่ นั่นคงจะเป็นเหตุผล เขาเกลียดเอวา การเปลี่ยนแปลงนี้น่าจะเกี่ยวกับเอมม่า พี่สาวของเอวา"เริ่มกันเลยไหม?" บาทหลวงพูดขัดขึ้นมา และเราสามคนก็พยักหน้าตอบรับฉันยืนอยู่ข้าง ๆ เกเบรียล ในขณะที่โรแวนยืนอยู่ด้านหลังเราฉันพยายามไม่สนใจคำกล่าวของบาทหลวง เพราะฉันไม่ได้มีอะไรขัดแย้งกับโบสถ์ แต่ฉันคิดว่ามันคงง่ายกว่านี้ถ้าเกเบรียลตกลงทำพิธีที่อำเภอแทนไม่รู้ว่าผ
ฉันบรรจงลงแปรงปัดหน้าเป็นครั้งสุดท้ายก่อนมองตนเองในกระจก ฉันรู้สึกสติกระเจิงเพราะว่าวันนี้เป็นวันแต่งงานครั้งที่สาม ตอนฉันคิดอย่างนั้นมันก็ดูเหมือนเป็นเรื่องแย่ถูกไหม? สิ่งเดียวที่ทำให้ฉันรู้สึกสงบใจได้นั่นคือการที่ฉันได้แต่งงานกับชายที่เคยแต่งงานด้วยเมื่อหลายปีก่อนหน้า ซึ่งก็คือสามีคนแรกของฉันฉันสวมใส่ชุดและหยิบกระเป๋าพร้อมเดินออกจากห้อง อากาศที่แทรกผ่านกายเหมือนประกายไฟฟ้าที่ปกคลุมวิญญาณเอาไว้เกเบรียลนำร่างหนังสือสัญญาฉบับใหม่มาให้ในเย็นวันนั้นทันทีที่เรียบร้อย และวันต่อมา เราก็เดินทางไปหาบาทหลวงเพื่อดำเนินการเรื่องต่าง ๆ“พร้อมไหม?” เกเบรียลเอ่ยถามเมื่อเราเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นรอฉันไม่ได้ตอบอะไร รู้สึกเหมือนความคิดมันติดชะงัก ฉันจึงพยักหน้าตอบกลับเท่านั้น“แล้วทำไมหนูไปด้วยไม่ได้?” ลิลลี่สะอื้นไห้ซึ่งทำให้ฉันหันไปหาเธอลูกสาวนั่งอยู่บนโซฟารูปตัวแอลด้วยหน้าบึ้งตึง มือกอดอกแน่น เธอไม่ใช่เด็กที่อารมณ์ร้อนแต่อย่างไร เพียงแค่ไม่เคยชินกับสถานนี้ก็เท่านั้น “มีแค่ผู้ใหญ่ที่ไปได้นะลูก” ฉันตัดบทอย่างง่าย ๆ “คุณชารอนอยู่นี่แล้วไงลูก เดี๋ยวเธอจะดูแลลูกเองจนกว่าเราจะกลับมา”ชารอน