เอมม่าฉันไม่ได้ขยับตัวเลยตั้งแต่ที่โรแวนจากไป ฉันรู้สึกเหมือนกำแพงกำลังปิดล้อมตัวฉันและฉันไม่มีทางหนี ไม่มีทางที่จะระงับความเจ็บปวดที่ฉันรู้สึกอยู่ภายในได้ทุกอย่างมันเจ็บไปหมดและฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะหยุดมันอย่างไร ฉันไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรหรือจะต้องตอบสนองอย่างไรทำไมเรื่องแบบนี้ถึงเกิดขึ้นกับฉัน? นั่นคือคำถามที่ฉันถามตัวเองอยู่เสมอ แต่ฉันไม่เคยได้รับคำตอบเลย ไม่มีแม้แต่คำใบ้ว่าทำไมฉันถึงยังต้องเจอเรื่องแย่ ๆ แม้จะได้ผู้ชายคนนั้นมาครองแล้วก็ตามฉันรู้สึกถึงน้ำตาที่ไหลรินลงมาบนใบหน้า ฉันเกลียดที่ต้องอ่อนแอ ฉันเกลียดที่ต้องร้องไห้ ฉันเช็ดน้ำตาออกไปเพราะโกรธตัวเองที่ปล่อยให้มันไหลลงมาเมื่อตอนที่พ่อเสียชีวิต ฉันพังทลายมาก ฉันเป็นเจ้าหญิงของเขา และเขาคือฮีโร่ของฉัน ฉันไม่ได้ใช้เวลาอยู่กับเขามากนักเพราะฉันย้ายไปอยู่เมืองอื่น แต่เมื่อเราได้มีเวลาอยู่ด้วยกัน มันก็เยี่ยมมากฉันคิดว่าฉันจะไม่มีวันทำใจได้กับการตายของเขา ฉันคิดว่าโลกนี้ไม่เหลืออะไรแล้ว จนกระทั่งโรแวนกับฉันได้คุยกัน เขาบอกฉันว่าเขากับเอวาหย่าร้างกันแล้ว และขอโอกาสจากฉันฉันรักเขาตั้งแต่ฉันจำความได้ ฉันไม่เคยหยุดรักเขาเลยแ
อย่างที่ฉันเคยบอกไว้ว่า สำหรับเราเอวาไม่ใช่คนสำคัญ แล้วทำไมเธอจะต้องเป็นเป้าหมายของใครด้วย?มอลลี่ถอนหายใจ “ถ้าฉันอยู่ที่นั่น ฉันคงตบเตือนสติเธอไปแล้ว เอมม่าเธอเป็นถึงทนายความ แต่เธอก็ยังเชื่อว่าน้องสาวของเธอสามารถทำแบบนั้นกับตัวเองได้เพื่อเรียกร้องความสนใจจากโรแวนเหรอ?”“ก็เพราะฉันเป็นทนายความ ฉันถึงเชื่อแบบนั้น เธอไม่รู้เหรอว่าผู้หญิงสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อเรียกร้องความสนใจจากอดีตสามีหลังจากที่อีกฝ่ายมีคนใหม่ไปแล้ว”ฉันเคยรับคดีอดีตภรรยาและอดีตแฟนสาวมาหลายครั้งแล้วหลังจากที่พวกเธอได้ทำร้ายคนอื่นและคนที่พวกตนคิดว่ารักเพียงเพื่อหวังเอาผู้ชายของพวกตนกลับคืนมา“คนเรามักจะทำอะไรบ้า ๆ เมื่อมีความรัก และยัยบ้าก็เป็นฉายาของเอวา” ฉันเสริมตอนที่เราเป็นวัยรุ่น เอวาทำทุกอย่างเพื่อดึงดูดความสนใจของโรแวน เธอถึงกับทำลายเดตของเรา ทำลายชุดที่ฉันเลือกไว้เพื่อไปเจอโรแวน และครั้งหนึ่งเธอยังใส่สีย้อมผมสีเขียวในแชมพูของฉัน นั่นเป็นเพียงบางส่วนที่เธอทำ เธอไม่เคยหยุดจนกระทั่งในที่สุดก็สามารถแย่งโรแวนไปจากฉันได้“ฉันก็ไม่ได้ชอบอะไรเอวานักหนาเพราะสิ่งที่หล่อนเคยทำกับเธอ แต่ฉันคิดว่าหล่อนคงไม่ลดตัวลงไป
เอวาฉันยังคงรู้สึกแย่กับการกระทำของโรแวนเมื่อสองสามวันก่อน ฉันไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา เขาพยายามทำลายความสัมพันธ์กับเอมม่าหรือยังไง? เขาต้องการให้ฉันมีปัญหากับเธอมากขึ้นหรือยังไง?เอมม่าคิดว่าฉันพยายามจะจับผู้ชายของเธออยู่แล้ว คิดว่าฉันกำลังทำทุกวิถีทางเพื่อแย่งเขามาจากเธอ สิ่งที่เธอไม่เข้าใจก็คือฉันแค่ต้องการความสงบสุข ฉันไม่ต้องการโรแวน ฉันเคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว ฉันเคยพยายามทำแบบนั้นและได้เรียนรู้บทเรียนจากประสบการณ์ที่ยากลำบาก“เธอแน่ใจเหรอ?” เสียงเล็ก ๆ ที่น่ารำคาญถามฉัน “เธอปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอชอบจูบนั้น เธอจินตนาการให้เขาจูบเธอแบบนั้นมาเสมอ แบบที่เต็มไปด้วยความต้องการและความหลงใหล”ฉันสลัดความคิดนั้นออกไป มันผิด ฉันตั้งใจที่จะตัดใจจากโรแวนและค้นหาชีวิตและความรักของตัวเอง แค่เพราะร่างกายของฉันทรยศมันก็ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย การตอบสนองของฉันเป็นเพียงการตอบสนองทางชีววิทยาเท่านั้น ไม่มีอะไรมากกว่านั้น“โกหกตัวเองต่อไปเถอะ” เสียงนั้นเถียงฉันไม่ได้โกหกตัวเอง หรือบางทีฉันอาจจะโกหกก็ได้ สิ่งสำคัญคือฉันจะไปใส่ใจพฤติกรรมที่ไม่ปกติของโรแวนหรือการจูบที่ไม่คาดคิดของเขาฉันละทิ้งคว
พูดตามตรง เล็ตตี้กลายเป็นคนสำคัญสำหรับฉันมากในช่วงเวลาสั้น ๆ ที่เรารู้จักกัน เธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดที่ฉันไม่เคยรู้ว่าต้องการมาก่อน เป็นเพื่อนที่ฉันไม่เคยได้มีในสมัยมัธยมเพราะฉันหมกมุ่นอยู่กับการทำให้โรแวนสนใจฉันมากเกินไป“ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีเลย” ฉันบอกเธออย่างเขินอายใบหน้าของเธอสดใสขึ้นและรอยยิ้มก็ปรากฏ “เล่าทุกอย่างให้ฉันฟังหน่อย”“ไม่มีอะไรให้เล่ามากเลยเล็ตตี้ เราไปทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารหรูแห่งหนึ่ง แล้วเขาก็พาฉันไปกินไอศกรีม ซึ่งเป็นส่วนที่ฉันชอบที่สุดของคืนนั้น”“เขาได้จูบคุณหรือเปล่า?” ความตื่นเต้นปรากฏชัดบนใบหน้าของเธอฉันหัวเราะ เหมือนกับสิ่งที่ฉันเล่าไปไม่ได้เข้าหูเธอเลย เธอแค่อยากรู้ว่าคืนนั้นจบลงอย่างไร“เปล่า” ฉันตอบเธอ “ฉันรู้ว่าเขาต้องการนะแต่เขาไม่ได้ทำ ฉันไม่แน่ใจว่าฉันควรจะผิดหวังดีหรือเปล่า”“ทำไมล่ะ?”“เพราะใจหนึ่งฉันอยากให้เขาทำแบบนั้น ฉันแค่อยากรู้ว่าการถูกใครสักคนที่ต้องการฉันจูบมันจะรู้สึกอย่างไร แต่อีกส่วนหนึ่งของฉันก็ดีใจที่เขาไม่ได้จูบฉัน เพราะฉันไม่แน่ใจว่าฉันพร้อมหรือยัง”เธอเงียบและจ้องมองฉัน ฉันเห็นความคิดของเธอทำงานอย่างหนักขณะที่เธอนึกถึ
“คุณสมควรได้รับการจูบราวกับว่าวาระสุดท้ายของโลกกำลังจะมาถึง” คำพูดของเล็ตตี้ทำให้ฉันหลุดจากภวังค์ เธอจับมือฉันไว้และคอยให้กำลังใจฉันฉันมองดูเธอและถอนหายใจด้วยความโล่งใจ เธอไม่ได้มองฉันด้วยความสงสารหรือเห็นใจ นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ฉันต้องการจากเธอ“นอกจากเรื่องนั้นแล้วทุกอย่างก็สมบูรณ์แบบใช่ไหมคะ?” เธอถาม“ใช่ ฉันเห็นโรแวนและเอมม่าด้วย ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไปออกเดตกัน”“จริงเหรอเนี่ย?”“ใช่ค่ะ” ฉันตอบพลางจิบเครื่องดื่มและพยายามลืมไปว่าพวกเขาดูสมบูรณ์แบบแค่ไหนเมื่ออยู่ด้วยกันเอมม่าพูดถูก เธอและโรแวนถูกสร้างมาคู่กัน ในตอนนั้นทุกคนต่างก็เห็นตรงกันและในที่สุดฉันก็เริ่มเห็นแล้วตอนนี้“ฉันหวังว่าเขาได้เห็นว่าคุณสวยจนน่าตกใจแค่ไหน และฉันหวังว่าเขาจะสำนึกเสียใจที่ทิ้งความงามที่แท้จริงไป”ฉันหัวเราะ ฉันบอกแล้วว่าเล็ตตี้ดีต่อความภูมิใจในตัวเองของฉัน ในที่สุดก็มีมนุษย์อีกคนที่ไม่หมกมุ่นอยู่กับความสวยงามของเอมม่า ในที่สุดก็มีคนที่ไม่เปรียบเทียบฉันกับพี่สาวหรือเอาความงามของเธอมาข่มต่อหน้าฉัน“แค่นั้นเหรอคะ? ไม่มีอะไรน่าสนใจเกิดขึ้นอีกเลยเหรอ?” เธอถาม“ไม่มีแล้ว” ฉันส่ายหัวฉันอยากจะเล่าเร
ฉันเพิ่งทำความสะอาดเสร็จเมื่อโทรศัพท์ดังขึ้น ด้วยเหตุผลบางอย่างฉันรู้สึกว่าการทำความสะอาดช่วยผ่อนคลายได้เสมอ มันเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ฉันลืมเรื่องที่ทำให้ฉันเครียดได้เมื่อฉันกลับมาตั้งหลักได้อีกครั้งและสามารถดูแลตัวเองได้ ฉันจึงได้เลิกจ้างลิเดีย เธอช่วยฉันได้มากแต่ฉันไม่ต้องการพยาบาลอีกต่อไปแล้ว นอกจากนี้ฉันยังชอบเป็นอิสระมากกว่าฉันเดินข้ามห้องและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ชั่วขณะหนึ่งฉันเกือบจะวางสายเมื่อเห็นชื่อของเล็ตตี้ปรากฏขึ้น ฉันยังคงโกรธเธออยู่เล็กน้อย แต่ใจส่วนหนึ่งของฉันก็เข้าใจเธอเช่นกัน ฉันคงทำทุกอย่างเพื่อผู้ชายที่ฉันรัก รวมถึงการพยายามทำให้เขากับน้องสาวที่พรากกันไปได้กลับมาอยู่ด้วยกัน“ว่าไง” ฉันตอบขณะเดินขึ้นไปที่ห้องของฉัน“ฉันขอโทษจริง ๆ นะเอวา ฉันล้ำเส้นไปทั้ง ๆ ที่ฉันสัญญาว่าจะไม่พูดถึงทราวิส” อารมณ์ในน้ำเสียงของเธอทำให้ฉันตั้งตัวไม่ติดเธอฟังดูจริงใจและเศร้าเล็กน้อย ฉันรู้สึกประหลาดใจและไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ฉันไม่เคยชินกับการที่คนอื่นขอโทษฉันอย่างตั้งใจจริงเลย จริง ๆ แล้วไม่มีใครรอบตัวฉันเลยที่ขอโทษเมื่อพวกเขาทำผิดต่อฉัน“เล็ตตี้…”เธอตัดบทฉันก่อนที่ฉันจะทันได้พ
“ได้สิ ฉันเข้าใจ” เธอกล่าวก่อนที่จะหยุดชะงัก “แต่เราโอเคกันใช่ไหม? ฉันสาบานว่าฉันจะรักษาสัญญาและจะไม่พูดถึงทราวิสอีก”“ใช่ เราโอเคแล้ว อย่าคิดมาก” ฉันบอกเธออย่างจริงใจทุกคำ“ขอบคุณนะ” เธอกล่าวอย่างตื่นเต้น “ฉันจะปล่อยคุณไปคุยกับโนอาแล้ว ฝากทักทายเขาด้วยนะ ราตรีสวัสดิ์”“เช่นกันจ้ะ เล็ตตี้”ฉันวางสายและหายใจเข้าลึก ๆ เนื่องจากโนอาได้วางสายไปแล้ว ฉันจึงโทรกลับไปหาเขา“ฮัลโหล?” ฉันนิ่งอึ้งเมื่อได้ยินเสียงของคุณแม่ดังมาจากอีกฝั่งฉันไม่ได้คุยกับแม่อีกเลยตั้งแต่วันนั้นที่สนามบิน ในบรรดาคนที่ทำให้ฉันเจ็บปวด แม่เป็นคนที่ทำให้ฉันเจ็บปวดที่สุด แม่ควรจะรักและทะนุถนอมลูก ๆ ของตน แต่ฉันไม่ได้อะไรจากแม่เลย แม่ไม่สนใจใยดีฉันได้อย่างไร? เธอปฏิบัติกับฉันเหมือนว่าฉันไม่มีค่าเลยได้อย่างไร?ตอนนี้ฉันเป็นแม่คนเองแล้ว ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมแม่ถึงทำแบบนั้นได้ ฉันไม่สามารถนึกภาพตัวเองทำแบบนั้นกับโนอาได้เลย“เอวา เป็นยังไงบ้าง?” แม่ถามเบา ๆ เสียงสั่นเล็กน้อยไม่มีอะไรหลุดออกมาจากริมฝีปากของฉัน ฉันยังคงนิ่งเงียบ ไม่ใช่เพราะฉันไม่มีอะไรจะพูดกับเธอ แต่เพราะฉันมีเรื่องมากมายที่จะพูดและไม่มีคำไหนดีเลย ฉั
ฉันลืมตาขึ้นมาและพบว่าตัวเองอยู่ในห้องนั่งเล่น มือของฉันถูกมัดไว้กับพนักเก้าอี้“อ่า ตื่นสักที ฉันกำลังสงสัยพอดีว่าเธอจะใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะตื่น เพราะยังไงฉันก็อยากให้เหยื่อของฉันมีสติก่อนที่ฉันจะลงมือฆ่า” เสียงของชายคนนั้นทำให้ฉันขนลุกไปทั้งตัวเขาเดินอ้อมมาและฉันก็ได้เห็นเขา อย่างน้อยก็บางส่วนของเขาเพราะเขาปิดหน้าเอาไว้ เขาเป็นผู้ชายตัวใหญ่และบึกบึน แขนของเขาเพียงข้างเดียวดูเหมือนว่าจะสามารถบดขยี้หัวคนให้แหลกได้ เขาเผยถึงความอันตรายและไม่ใช่เพราะว่าตอนนี้ฉันเป็นเหยื่อของเขา แค่มีบางอย่างที่น่าหวาดกลัวอยู่ในตัวเขาเขานั่งลงตรงหน้าฉันพร้อมกับถือแก้วไวน์ในมือ แก้วของฉันและไวน์ของฉัน เขาดูสบายใจมากราวกับว่านี่คือบ้านของตนฉันพยายามดิ้นรนหนี แต่เชือกก็รัดแน่น“เธอสามารถพยายามดิ้นได้ตามต้องการเลย แต่คราวนี้เธอจะหนีจากฉันไม่ได้แน่” เขาหัวเราะ “เธอทำให้ฉันมีปัญหามากพอแล้ว และฉันไม่ชอบปัญหา”“คุณเป็นใครและคุณต้องการอะไรจากฉัน?” ฉันถามเขาบางทีถ้าฉันทำให้เขาพูดได้ ฉันอาจจะได้อะไรบางอย่างจากเขาและซื้อเวลาให้ตัวเองได้บ้าง ไม่มีทางที่ไม่มีใครสังเกตเห็นว่ามีคนบุกรุกบ้านของฉันใช่ไหม?“เอาเ
ฮาร์เปอร์ฉันขยับตัวไปมาบนเตียงโดยพยายามหาท่าที่สบายที่สุด พูดตามตรงฉันดูเหมือนปลาวาฬและรู้สึกเหมือนปลาวาฬด้วย ฉันกำลังพับผ้าอยู่เพราะดูเหมือนว่านั่นคือสิ่งเดียวที่ฉันได้รับอนุญาตให้ทำเกเบรียลดูแลฉันมากเกินความจำเป็นตั้งแต่เขารู้ว่าฉันตั้งครรภ์ ฉันแทบห้ามขยับร่างกายเลยเพราะอาจทำให้เขาตื่นตระหนกไปหมด ถึงแม้ว่ามันจะทำให้ฉันแทบบ้า แต่ฉันก็รู้สึกว่ามันน่ารักดีฉันเผยยิ้มเมื่อนึกถึงตอนตั้งท้องลิลลี่ เลียมดูแลฉันดีเหมือนกัน เขาไม่ได้ดูแลฉันมากเกินความจำเป็นอย่างที่เกเบรียลทำ แต่เขาก็ดูแลฉันอยู่ดี หมายถึงเขาเคยวิ่งไปซื้อของที่ร้านกลางดึกเพราะฉันรู้สึกหิวโดยไม่บ่นสักคำ มีแต่ผู้ชายที่ใส่ใจเท่านั้นที่จะทำแบบนั้นการตั้งครรภ์ครั้งนี้แตกต่างจากการตั้งครรภ์ลิลลี่ในหลาย ๆ ด้าน ตัวอย่างเช่น ตอนท้องลิลลี่ ฉันแทบไม่แพ้ท้องเลย แต่ครั้งนี้ฉันแพ้ท้องตอนเย็นด้วย และมันอยู่ไปถึงช่วงเข้าเดือนที่สี่ มันแย่จริง ๆ ที่ต้องรู็สึกแย่ตลอดเวลาแล้วก็เรื่องความอยากอาหาร ตอนท้องลิลลี่ ฉันอยากกินของหวาน ๆ แต่ครั้งนี้ฉันอยากกินของคาวและเค็มมากกว่า มันบ้ามาก ฉันไม่อยากกินของหวานเลยตั้งแต่รู้ว่าตัวเองท้อง อย่าพูดถึ
ผมนั่งอยู่ข้าง ๆ กันเนอร์และพวกเรามาอยู่ที่โรงพยาบาลกันทุกวัน ทางโรงเรียนของกันเนอร์เข้าใจสถานการณ์ดี เขาเลยไม่ต้องไปโรงเรียน โนอามาเยี่ยมเขาทุกวันและนำการบ้านมาให้เสมอ"พวกเราเคยคุยกันด้วยนะครับ โนอาบอกผมว่าเขารู้สึกยังไง มันรู้สึกดีที่ได้คุยกับเขาเรื่องนี้ ได้คุยกับคนที่เคยผ่านมันมาและเข้าใจว่ามันยากแค่ไหน" เขาหยุดขณะที่คลายปมผมของผู้เป็นแม่ก่อนที่จะพูดต่อ "ไม่ต้องห่วงนะครับ แม่กับโนอาจะเข้ากันได้ดีตอนแม่รู้จักเขาดีขึ้นแล้ว"ขอร้องแหละ เอมม่า ได้โปรดตื่นเถอะ ฟื้นขึ้นมาเพื่อกันเนอร์เถอะนะ ผมขอเท่านี้จริง ๆ ผมภาวนา อ้อนวอนเธอในใจให้ลืมตาขึ้นมา"พวกเรายังเหลืออะไรต้องทำด้วยอีกตั้งเยอะ" กันเนอร์วางหวีลง "อะไรอีกเยอะที่พวกเรายังไม่เคยทำ ผมยังต้องรู้จักแม่ให้มากขึ้นนะครับ และแม่ก็ยังต้องรู้จักผมเหมือนกัน อีกอย่างแม่สัญญากับผมว่าจะให้ของขวัญผมทุกปีที่แม่พลาดไป แม่ให้มาหนึ่งชิ้นแล้ว เหลืออีกสิบเจ็ดชิ้นนะครับ"เช่นเดียวกับสี่วันที่ผ่านมา เอมม่าไม่ได้ตอบกลับ ไม่มีแม้แต่การเคลื่อนไหวที่จะให้ความหวังว่าเธอจะหายดีเสียงถอนหายใจดัง กันเนอร์จับและจูบหลังมือเธอ "ผมไม่เคยได้พูดให้ฟังเลย แต่ผมรัก
เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีพลันหายไปและผมก็สะดุดกับคำพูดของคุณหมอ ผมไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่เขาพูดหรือความหมายเป็นนัยของคำพูดนี้ได้อย่างเต็มที่เสียงอุทานอย่างตกใจดังขึ้นเต็มห้อง ทุกคนต่างจ้องมองแพทย์ราวกับเขาเป็นมนุษย์ต่างดาวจากนอกโลก"เธอจะได้สติไหมคะ? แล้วพวกเราเข้าเยี่ยมเลยได้ไหม?" เสียงของเอวาดังขึ้น"ตอนนี้ยังไม่ฟื้นครับ เธออยู่ในห้องฉุกเฉินและอนุญาตให้เฉพาะสมาชิกในครอบครัวใกล้ชิดเข้าเยี่ยมได้เท่านั้น" เขาตอบ "ผมจะจัดการให้ในอีกสักครู่... ขอตัวนะครับ ผมต้องไปตรวจเธออีกครั้ง"พวกเราจ้องมองแผ่นหลังคุณหมอขณะที่เขาเดินออกไป ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจอย่างยิ่งที่ได้ยินว่าเอมม่าอาจจะเดินไม่ได้อีกแล้วผมทรุดตัวลงนั่งเพราขาไม่เหลือเรี่ยวแรงจะยืนต่อไปได้อีกต่อไปผมไม่เข้าใจเลย ตอนนี้เธอกำลังฟื้นฟูสิ่งต่าง ๆ อยู่ และทุกอย่างก็ดำเนินไปได้ด้วยดี เธอฟื้นฟูความสัมพันธ์และประกอบชีวิตตนเองขึ้นมาใหม่ ทำไมเรื่องนี้ถึงเกิดขึ้นกับเธอได้นะ?***"แม่ผมจะฟื้นเมื่อไหร่ครับ?" กันเนอร์ถามแพทย์ที่กำลังยุ่งอยู่กับการตรวจดูอาการของเอมม่าตอนนี้เธอออกจากห้องฉุกเฉินได้แล้ว พวกเขาย้ายเธอออกมาเมื่อประมาณสองวัน
ผมพยายามเหยียดตัวแผ่นหลังตรง ขณะฝืนใจสร้างความกล้าหาญจอมปลอมให้กับตนเอง ผมพยายามพูดออกมาให้พยาบาลคนนั้นรู้ว่าตนเองยังไหว แต่ลิ้นกลับแข็งทื่อไปหมดและคำพูดก็ไม่ยอมหลุดออกจากปากเลยสักคำเธอตบไหล่ผมเบา ๆ "ดิฉันเข้าใจค่ะ ไปนั่งพักก่อนดีกว่า ดูเหมือนว่าลูกชายคุณต้องการพี่พักพิงในตอนนี้นะคะ พวกคุณควรเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจซึ่งกันและกัน"ผมทำได้เพียงอย่างเดียวคือพยักหน้าตอบรับก่อนเดินออกไป ผมเดินไปหากันเนอร์และนั่งข้าง ๆ ลูกชาย ก่อนดึงเขามานั่งบนตัก พวกเรากอดกัน เป็นที่ยึดเหนี่ยวให้กันและกันผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้วตอนที่ผมรู้สึกว่ามีคนเขย่าตัวเรียก ผมมัวจดจ่อกับเอมม่าและเพิ่งเห็นว่าเอวากำลังจ้องมองอยู่ คิ้วเรียวขมวดมุ่น ริมฝีปากคว่ำลงและดวงตาเต็มไปด้วยความกังวล"เรามากันหมดบ้านเลยค่ะ" เธอพึมพำเบา ๆ ก่อนที่จะนั่งข้าง ๆ “ยังไม่ออกจากห้องผ่าตัดอีกเหรอคะ?""ครับ" ผมเหมือนต้องใช้พลังทั้งหมดเพื่อเปล่งคำพูดออกมา"มันเกิดอะไรขึ้น?" ทราวิสเอ่ยถามพร้อมกับประคองผู้เป็นแม่ ซึ่งดูเหมือนจะสติหลุดลอยอยู่ในอ้อมแขนเธอเหมือนจวนเป็นลมอยู่รอมร่อ หรือไม่เธออาจกำลังรำลึกถึงอดีตเช่นกัน เพราะเวลาที่
ความเย็นยะเยือกเข้าปกคลุมร่างกาย ลมหายใจผมเริ่มถี่กระชั้น ผมรู้สึกหายใจไม่ออกเมื่อความเจ็บปวดในอกทวีความรุนแรงขึ้น ผมดึงกันเนอร์เข้ามาใกล้ตัวแล้วกอดเขาไว้ราวกับเขาเป็นลมหายใจของผมมันจะเป็นอย่างนี้ไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เธอต้องไม่เป็นอะไรสิผมพูดคำเหล่านั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนบทสวดภาวนา เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมไม่เสียสติต่อให้ต้องเสียอะไรก็จะให้เธอจากไปตอนนี้ไม่ได้ ไม่ใช่ตอนที่กันเนอร์เพิ่งตัดสินใจให้โอกาสครั้งที่สองกับเธอและยอมรับเธอกลับเข้ามาในชีวิต ผมรู้จักลูกชายเป็นอย่างดี การที่เอมม่าจากโลกนี้ไปจะต้องทำให้เขาเสียใจมาก ความปรารถนาเดียวของกันเนอร์คือการมีแม่ การให้เอมม่าเป็นแม่และยอมรับเขา มันคงโหดร้ายหากในที่สุดเขาได้รับโอกาสนั้นแต่กลับต้องสูญเสียเธอไป"ไม่เป็นไรแล้วครับ ไม่เป็นไรแล้ว" เอริคประกาศ เสียงเต็มไปด้วยความโล่งใจผมไม่เคยมีความสุขกับการได้ยินคำพูดแบบนี้มาก่อน ความโล่งใจนั้นมากมายมหาศาล ขณะที่แสงแห่งความหวังเริ่มส่องประกายทะลุผ่านเมฆดำมืดที่ปกคลุมพวกเราผมทรุดตัวลงเอนพิงกายในรถพยาบาลนั้น ก่อนทอดถอนใจออกมาด้วยความโล่งอก ผมเฝ้าดูสัญญาณชีพของเธออย่างไม่วางตา ภาวนาไ
"ไม่เอาน่า เอมม่า ลืมตาสีฟ้าคู่นั้นขึ้นมาสิ" ผมอ้อนวอนเพื่อตัวผมเองและกันเนอร์ "คุณไม่อยากให้ผมยกโทษให้เหรอไง? ฟื้นเถอะนะ"เธอไม่ตอบสนอง ดวงตายังคงปิดสนิท ใบหน้าซีดขาวเหมือนกระดาษ และผมสีบลอนด์กระจายอยู่ด้านหลัง ถ้าไม่มีเลือดที่เปรอะเปื้อนเต็มไปหมด เธอคงดูเหมือนตุ๊กตาสิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่รอเท่านั้นซึ่งทำให้ทรมานใจอย่างมาก ผมคอยจับชีพจรของเธอเพื่อตรวจดูให้แน่ใจว่าเธอยังอยู่กับพวกเรา ตอนนี้มีคนมารวมตัวกันมากขึ้น แต่ก็ไม่สำคัญ พวกเขาไม่สำคัญเลย ไม่ใช่ตอนที่เอมม่าดูเหมือนวิญญาณออกจากร่างแบบนี้ หน้าอกของเธอแทบจะไม่กระเพื่อมขึ้นลงเลย"ช่างแล้วเว้ย" ผมลุกขึ้นเตรียมที่จะเอารถออกจากโรงรถและพาเธอไปโรงพยาบาล เพราะดูเหมือนว่ารถพยาบาลกำลังกินลมชมวิวกันอยู่ตอนกำลังจะหันหลังกลับ ผมก็ได้ยินเสียงไซเรน หัวใจผมคลายลงด้วยความโล่งอก ผมหันไปเห็นรถพยาบาลกำลังเข้ามา คนอื่น ๆ หลีกทางให้พวกเขามาถึงพวกเรา เจ้าหน้าที่ปฐมพยาบาลสองคนรีบลงมาจากรถพร้อมเปลหามวิ่งตรงมาที่เรา"ดิฉันชื่อทาช่าค่ะ ส่วนทางนี้คือเอริค เกิดอะไรขึ้นคะ?" เจ้าหน้าที่ปฐมพยาบาลหญิงถามหลังจากแนะนำตัวก่อนคุกเข่าลง"ผมไม่ได้ตั้งใจครับ" ชายร้
คาลวินวันนี้เป็นวันที่เหมาะแก่การพักผ่อนและผ่อนคลายจริง ๆ ผมไม่ได้มีอะไรทำมากนัก ดังนั้นหลังจากกันเนอร์กับผมทำงานบ้านด้วยกันเสร็จ เขาก็ถามว่าขอไปหาเอมม่าได้ไหมตอนแรกผมก็นึกแปลกใจ แต่ผมสัญญาไว้กับเขาแล้วว่าผมจะตามใจเขา จะเคารพการตัดสินใจของเขาถ้าเขาต้องการทำความรู้จักกับเอมม่าและอนุญาตให้เธอเข้ามาในชีวิตเธอกล่าวทักทายเมื่อทั้งสองเจอกันและเริ่มพูดคุย แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยพูดอะไรก็ตาม พูดตามตรงผมคิดว่าเธอเหมือนรู้เวลาที่ทั้งสองสามารถพบเจอกันได้ ไม่ว่าเขาจะไปโรงเรียนและเธอกำลังไปทำงาน หรือเขากลับจากโรงเรียนและเธอกลับจากทำงานแล้วเธอก็ส่งของขวัญวันเกิดให้เจ้าลูกชายแล้ว ผมคิดว่าเธอพยายามซื้อใจเขาด้วยของขวัญ แต่หลังจากที่ผมอ่านข้อความบนการ์ด มันสั้นแต่จริงใจ เธอบอกเขาว่าเธอจะให้ของขวัญวันเกิดและคริสต์มาสให้เขาครบช่วงที่เธอพลาดไปผมควรจะหงุดหงิด แต่กลับไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย ผมรู้ว่าพ่อแม่ส่วนใหญ่จะรู้สึกว่าลูกรักตนน้อยลงหากลูกเลือกที่จะทำความรู้จักกับพ่อแม่ที่ทิ้งไป ผมไม่ได้เป็นแบบนั้น สำหรับผม ความสุขของกันเนอร์สำคัญที่สุด ถ้าการทำความรู้จักกับแม่แท้ ๆ และการมีเธออยู่ข้างกายจะทำให้สิ่งต่า
ฉันจ้องมองลูกชายอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถอดถุงมือออก"แล้วนั่นทำอะไรอีกล่ะครับ?" เขาดูขบขันกับการกระทำของฉัน"ก็หนูเป็นครูของฉันไง ถ้าคิดว่าใช้มือเปล่าจะดีกว่า ฉันก็จะทำแบบนั้นจ้ะ"ฉันทำตามที่เด็กชายแนะนำและพรวนดินเข้าด้วยกัน ฉันไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะการสัมผัสดินด้วยมือหรือเปล่า หรือการมีเขาอยู่ข้าง ๆ หรือทั้งสองอย่าง แต่ความสงบสุขบางอย่างก็เข้ามาปกคลุมฉัน ฉันรู้สึกเบาและโปร่งสบายราวกับอยู่บนสวรรค์ชั้นเจ็ดความกังวลพลันหายไปในขณะที่กันเนอร์แนะนำฉันเรื่องการทำสวน ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทั้งเขาและเอวาถึงชอบสิ่งนี้มาก มันผ่อนคลายมาก และฉันรู้สึกเชื่อมโยงกับโลกอย่างประหลาด"ขอบคุณสำหรับของขวัญนะครับ" กันเนอร์พูด ดึงความสนใจของฉันไปที่เขาฉันตัดสินใจว่าจะให้ของขวัญวันเกิดและคริสต์มาสแก่เขาสำหรับทุกปีที่ฉันพลาดไป เมื่อไม่กี่วันก่อน ฉันซื้อของขวัญให้เขาชิ้นหนึ่ง ไม่รู้เลยว่าตนเองจะซื้ออะไรให้ดี แต่พนักงานที่ร้านบอกว่าฉันควรซื้อปืนฉีดน้ำไฟฟ้าให้ เขาบอกว่ามันยี่ห้อมันคูย์ คูเบย์รุ่นเอสทู เขาสาธิตวิธีใช้งานให้ฉันดู ซึ่งดูเจ๋งมาก มันน่าจะเป็นสิ่งที่ทราวิส โรแวน และเกบจะต้องชอบมากถ้าทั้งสามยังเป็น
เอมม่าฉันจ้องมองความยุ่งเหยิงตรงหน้า ไม่แน่ใจจริง ๆ ว่าจะจัดการกันมันอย่างไร ช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ฉันรู้สึกแปลก ๆ และไม่สามารถระบุเหตุผลที่แน่ชัดได้ว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนี้ฉันพยายามคิดทบทวนแล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรผุดขึ้นมาในหัวเลย สิ่งที่ฉันรู้คือ ฉันรู้สึกแปลก ๆ เหมือนมีอะไรผิดปกติ หรือกำลังจะมีเรื่องร้าย ๆ เกิดขึ้น ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ฉันก็ไม่สามารถสลัดความรู้สึกนี้ออกไปได้ มันยังคงอยู่และทับถมอยู่ภายในจิตใจเคยรู้สึกแบบนั้นกันไหม? รู้สึกเหมือนมีลางสังหรณ์ว่ากำลังจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น? มันทำให้ฉันหงุดหงิด เพราะฉันไม่สามารถบอกได้แน่ชัดและมันกำลังทำให้ฉันคลั่งตายอยู่แล้วฉันถอนหายใจพลางมองลงไปยังมือที่สวมถุงมืออยู่ คุณหมอมีอาแนะนำว่าฉันควรทำอะไรสักอย่างเพื่อเบี่ยงเบนความกังวลและผ่อนคลายให้มากขึ้น เมื่อวานฉันคุยกับเอวา และบังเอิญพูดถึงเรื่องนี้ เธอแนะนำว่าฉันควรลองทำสวนดูบ้าง ตามที่เธอพูด มันเคยช่วยเธออยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนเธอเครียดและต้องการทำอะไรสักอย่างเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจเอวาบอกฉันว่าเธอเคยปลูกผัก แต่เธอแนะนำให้ฉันลองปลูกดอกไม้ดูถ้าไม่อยากปลูกผักดังนั้นฉันก็เ