“เธอไม่เห็นจะต้องปริปากพูดอะไรเลย หุบปากไปได้ไหม?”ฉันยังคงดิ้นรนอยู่บนเก้าอี้ หวังว่าจะคลายเชือกได้ ไม่มีทางที่ฉันจะอยู่ตรงนี้กับเธอตลอดเวลาได้ จะต้องมีเรื่องแย่ ๆ เกิดขึ้นระหว่างเราแน่ ๆ“ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการทะเลาะระหว่างผู้หญิงอีกแล้ว ให้ฉันแก้เชือกพวกเธอให้ไหม? พวกเธอจะได้สะสางเรื่องของพวกเธอได้?” ชายคนหนึ่งพูดขณะเดินมาหาเราฉันมัวแต่ยุ่งอยู่กับเอมม่าจนไม่ทันสังเกตว่าประตูถูกเปิดออก ฉันสาปแช่งตัวเองในใจสำหรับความโง่นั้น“ได้สิ ทำไมคุณไม่แก้เชือกฉัน แล้วเมื่อฉันเสร็จเรื่องกับเธอแล้ว ฉันจะได้จัดการกับคุณเป็นคนต่อไป” ฉันเดือดดาล ปล่อยให้ความโกรธของฉันออกมาผู้ชายคนนั้นหัวเราะ แน่นอนว่าเขาคิดว่ามันตลกดี เขาดูยิ่งใหญ่มากเมื่อเทียบกับฉัน สำหรับเขา การสู้กับฉันก็เหมือนกับการสู้กับเด็ก“ฉันก็อยากเห็นเธอพยายามนะ”ฉันเยาะเย้ยเขา “นี่คือสิ่งที่คุณทำยามว่างเหรอ? ลักพาตัวผู้หญิงที่ไม่มีทางสู้? มันทำให้คุณรู้สึกยิ่งใหญ่กว่าผู้ชายที่วางยาผู้หญิงจนหมดสติหรือเปล่า?”“หุบปาก!” เขาตะโกนใส่ฉัน ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวจนน่าเกลียดเขาเดินเข้ามาหาฉัน ท่าทางการเดินและการเคลื่อนไหวของเขาดูน่ากลัว ร
โรแวน“นายจะนั่งเศร้าตลอดไปเลยหรือไง?” เกเบรียลถามด้วยความรำคาญผมไม่ได้สนใจเขาเลย ผมแค่นั่งมองของเหลวสีเหลืองอำพันในแก้วของผมต่อไปพลางคิดทบทวนว่าทุกอย่างกับเอวาแย่ลงอย่างรวดเร็วได้อย่างไรผมไม่ได้เห็นแก่ตัวมากพอที่จะคิดว่าเธอทำตัวไร้เหตุผล เธอทำตัวเหมือนคนปกติทั่วไปนั่นแหละ คน ๆ หนึ่งที่ถูกคนที่เธอรักทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ผมมีความต้องการอย่างแรงกล้าที่จะบรรเทาความเจ็บปวดของเธอ ขจัดความเจ็บปวดทั้งหมดของเธอ เยียวยาเธอ แต่ผมจะทำได้อย่างไรในเมื่อผมเป็นคนที่ทำให้เธอต้องรู้สึกแบบนั้นตั้งแต่แรก?“นายทำแบบนี้ต่อไปไม่ได้นะโร ถ้าเธอไม่สนใจนาย ก็ปล่อยเธอไปซะ! เอมม่ารอนายอยู่ ขอร้องเถอะ ใช่ว่าจะไม่มีผู้หญิงคนไหนต้องการนายสักหน่อย” เขาบ่นพึมพำแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ผมไม่รับรู้การโวยวายโง่ ๆ ของเขา แต่กลับจ้องเขาเขม็ง “ถ้าอารมณ์ของฉันในตอนนี้ทำให้นายหงุดหงิดมากขนาดนั้น ก็เชิญออกไปได้เลย”เขาไม่เข้าใจ และผมก็ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะทำให้เขาเข้าใจ ผมเพิ่งตัดสินใจได้ว่าผมไม่ต้องการเอมม่า หรือผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่เอวาผมเคยเกลียดเธอ เคยคิดว่าไม่มีทางที่ผมจะต้องการเธอ แต่ตอนนี้เธอคือคนเดียวที่ผมนึกถ
เหตุผลเดียวที่บริษัทของเรายังคงยืนหยัดอยู่ได้ก็เพราะว่าเราแข็งแกร่งพอ ๆ กับตระกูลโฮเวลล์ การที่พวกเขาถอนตัวและโน้มน้าวให้นักลงทุนที่ภักดีทำเช่นเดียวกันนั้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเราสักเท่าไรผมไม่โง่พอที่จะคิดว่ามันจะจบลงตรงนั้น พวกเขาอาจไม่สามารถทำลายบริษัทของเราได้ แต่ผมแน่ใจว่าพวกเขาจะหาทางอื่นเพื่อแก้แค้น ผมจะไม่สู้กับพวกเขาด้วยซ้ำ พวกเขาทำถูกต้องแล้วที่ตามเล่นงานผม ผมสมควรได้รับทุกสิ่งที่พวกเขาวางแผนจะทำกับผมสำหรับวิธีที่ผมทำต่อลูกสาวของพวกเขา“นั่นคือเหตุผลที่นายท้อแท้แบบนี้เหรอ? เพราะเธอปฏิเสธที่จะช่วยนาย?” เกเบรียลมองเขาด้วยความเห็นอกเห็นใจทราวิสถอนหายใจยาวด้วยความเหนื่อยล้า “เปล่า เป็นเพราะสิ่งที่เธอพูด เธอบอกว่าเธอไม่คิดว่าฉันเป็นครอบครัวของเธอ พูดอีกนัยก็คือ ฉันไม่มีค่าอะไรเลยสำหรับเธอ”ผมเห็นความเจ็บปวดของเขา แต่ผมไม่รู้สึกเห็นใจเขาเลย พวกเราทำแย่ไว้กับเธอมาก ที่เธอปฏิบัติต่อเราแบบนี้ยังน้อยกว่าที่เราสมควรได้รับ“แล้วนายคาดหวังอะไร? ฉันต้องถามพวกนายอยู่เรื่อยเลย” เกเบรียลบ่น“ฉันรู้ ฉันไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงคาดหวังให้เธอเป็นเหมือนเดิม ร่องรอยของเอวาคนเก่าหายไปหมดแล้ว เวลาเด
“นี่คุณไม่ได้พูดจริงใช่ไหม?” เอมม่าถามด้วยความตกใจสุดขีดเช่นเดียวกับฉันหัวใจของฉันเต้นแรงมาก ความตื่นตระหนกเข้าครอบงำฉัน ทำให้ฉันหายใจลำบาก ถ้าฉันคิดว่าการลักพาตัวพวกเราของรอนนี่หรือผู้เพรียกหาความตาย ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม นั่นเลวร้ายแล้ว ฉันคิดผิด เพราะสิ่งที่เขาวางแผนไว้แย่กว่านั้นมาก“โอ้ จริงแน่นอน พ่อของคุณไม่ควรยุ่งกับผม เช่นเดียวกับโรแวน ถึงเวลาแก้แค้นแล้ว” รอนนี่ยิ้มร้ายจนฉันขนลุกเขาโทรหาโรแวนต่อหน้าเราและบอกให้เขาเลือก ฉันยังคงไม่อยากเชื่อเลยว่าแผนของเขาคือให้มีเพียงเราคนเดียวเท่านั้นที่จะเดินออกไปจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัยฉันรู้สึกเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างกำลังบดขยี้ฉัน ความกลัวกำลังทำลายล้างฉัน และฉันไม่สามารถคิดอะไรได้อย่างชัดเจน ฉันแน่ใจว่าใบหน้าของฉันต้องบวมจากไอ้สารเลวที่ตบฉัน และริมฝีปากของฉันก็แตก ฉันเลือกที่จะจดจ่อกับความเจ็บปวดนั้นแทนที่จะคิดถึงหายนะที่กำลังใกล้เข้ามา“คุณไม่มีอะไรจะพูดเหรอเอวา?” รอนนี่ถามด้วยรอยยิ้มเย็นชาฉันเบือนสายตาไป ฉันคิดอะไรไม่ออก นับประสาอะไรกับการพูดอะไร นี่เป็นครั้งที่ห้าที่ฉันต้องเผชิญกับความตาย ด้วยความรู้สึกที่ไร้สติของรอนนี่ ฉันกล
“ฉันไม่เชื่อเลยว่าเธอเพิ่งจะพูดแบบนั้นเกี่ยวกับคุณพ่อ!”“โชคดีที่ฉันไม่สนใจว่าเธอจะคิดยังไง” ฉันตวาดเธออยู่เงียบ ๆ และปล่อยให้ฉันใช้สมาธิไม่ได้หรือไง? ทุกวินาทีที่ผ่านไปโดยที่ฉันยังไม่เป็นอิสระ ความวิตกกังวลของฉันก็เพิ่มมากขึ้นเธอจ้องมาที่ฉันแต่ก็เงียบไว้ ฉันโล่งใจ ตอนนี้ฉันสามารถจดจ่อกับการแก้มือให้เป็นอิสระได้แล้ว ถ้าฉันทำได้ ทุกอย่างก็จะราบรื่น ฉันหวังว่าอย่างนั้นฉันไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้วเมื่อฉันยอมแพ้ มือของฉันสั่น ข้อมือของฉันร้อนผ่าว และฉันรู้สึกได้ว่าเลือดกำลังไหลออกมา ราวกับว่ายิ่งฉันพยายามเท่าไร เชือกก็ยิ่งบาดลึกลงไปในผิวหนังของฉันมากขึ้นเท่านั้นฉันถอนหายใจแรง ๆ ฉันเกลียดที่จะทำแบบนี้ แต่ฉันไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ณ จุดนี้ ฉันต้องเลือกระหว่างทางนั้นหรือเสี่ยงที่จะเป็นคนถูกฆ่า“ฉันมีแผนที่อาจจะได้ผล” ฉันหันไปหาเอมม่าและบอกเธออย่างไม่เต็มใจ มันรู้สึกเหมือนมันเป็นการกระทบต่ออัตตาของฉัน แต่เมื่อพิจารณาถึงความเสี่ยงในตอนนี้ ก็ช่างทิฐิฉันเถอะ“ทีนี้อยากได้ความช่วยเหลือจากฉันขึ้นมาแล้วเหรอ? เธอเพิ่งบอกฉันว่าฉันควรหุบปาก และว่าเธอไม่ได้สนใจว่าฉันจะคิดยังไงไม่ใช่เหรอ?” เ
ฉันออกไปสำรวจสถานที่นั้น เราอยู่ในลานขยะ ฉันยิ้มให้กับโชคของเรา นั่นหมายความว่ามีสถานที่มากมายให้ซ่อนตัวจากผู้เพรียกหาความตายและลูกน้องของเขา“เราต้องหาทางออก ฉันเชื่อว่าหลังจากนั้นทุกอย่างจะง่ายขึ้น” ฉันบอกเอมม่าขณะที่เราเริ่มเคลื่อนตัวเธอพยักหน้าเห็นด้วยและเดินเคียงข้างฉัน เราระมัดระวังในขณะที่มองหาทางออกโดยซ่อนตัวและระวังว่าเราไม่ได้เดินออกไปในที่โล่ง“ทางออกอยู่ที่ไหนเนี่ย?” เอมม่าหงุดหงิดอย่างชัดเจนเราเดินมาได้ไม่กี่นาที แม้ว่าจะไม่เจอคนร้ายเลยก็ตาม แต่ก็ยังหาทางออกไม่ได้“บางทีเราควรจะพักสักหน่อย” ฉันเริ่มรู้สึกเหนื่อย ใบหน้าของฉันเจ็บ มือและเท้าของฉันก็เจ็บไปด้วยความคิดนั้นหายไปทันทีเมื่อเราได้ยินเสียงสัญญาณเตือนดังลั่นไปทั่วลานหัวใจฉันเต้นแรง บ้าจริง นี่มันแย่จริง ๆ ฉันแน่ใจว่าพวกเขาคงรู้แล้วว่าเราหนีออกมาได้“ไป ไป ไป” ฉันยืนกรานขณะดึงเอมม่าไปข้างหน้า เธอมีสีหน้าหวาดกลัวสุดขีดราวกับว่าเธอเพิ่งเห็นชีวิตของตัวเองฉายแวบผ่านหน้าไปเรารีบเร่งไปข้างหน้าอย่างไม่รู้ทาง เราไม่รู้ว่ากำลังจะไปที่ไหน เรารู้เพียงว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะถูกจับไม่ได้ฉันคอยมองไปข้างหลังเพื
“บ้าเอ๊ย เจ็บชะมัด” เอมม่าร้องด้วยความเจ็บปวด ทำให้ฉันฟื้นจากอาการตกใจทันเวลาที่เห็นชายคนนั้นยกปืนขึ้นฉันรีบคว้าปืนที่ฉันทำตกแล้วยิงทันที เขาล้มลงกับพื้น ฉันลุกขึ้นและรีบวิ่งไปหาเอมม่าที่กำลังดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้นฉันไม่แม้แต่จะตรวจสอบว่าชายคนนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว ตอนนี้มันไม่สำคัญสำหรับฉันเลย ไม่สำคัญเมื่อฉันถูกกระตุ้นด้วยอะดรีนาลีนและเอมม่ากำลังเลือดออกบนพื้น“ฉันกำลังจะตายใช่ไหม?” เธอถามน้ำตาคลอเบ้าฉันจะบอกเธอให้หยุดร้องไห้ก็ได้ แต่ฉันไม่ทำ ไม่ใช่เมื่อเธอเป็นคนผลักฉันและรับกระสุนแทนฉัน“ไม่หรอก” ฉันตอบขณะตรวจดูเธอเธอถูกยิงที่ไหล่และมีเลือดออกมาก ฉันกังวล อันดับแรกเธออาจเสียเลือดจนตาย และอันดับสองเรายังอยู่ในที่อันตราย ต้องมีใครสักคนมาพบเราในที่สุด“โกหก!” เธอขู่เมื่อฉันกดแผลเธอเพื่อหยุดเลือด “ถ้าฉันจะไม่ตาย แล้วทำไมฉันถึงรู้สึกเหมือนกำลังจะตายล่ะ?”ฉันไม่ตอบ และเลือกที่จะพยายามหยุดเลือดแทน ในฐานะครู เราจำเป็นต้องรู้วิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้น กระสุนยังฝังอยู่ข้างใน ดังนั้นฉันจึงไม่สามารถเอามันออกมาได้ ยิ่งเมื่อฉันไม่รู้ขอบเขตของความเสียหาย แทนที่จะทำอย่างนั้น ฉั
หัวใจของฉันเริ่มเต้นผิดจังหวะและความกลัวก็เริ่มเข้ามาแทนที่ฉันเขย่าตัวเธอและพลิกตัวเธอ ฉันรับเธอไว้ก่อนที่เธอจะล้มลงกับพื้น ฉันพลิกตัวเธอเพื่อให้เธอนอนบนตักของฉัน ฉันกระซิบชื่อเธออีกครั้ง แต่เธอยังคงไม่ตอบสนองด้วยมือที่สั่นเทาและความกลัว ฉันตรวจชีพจรของเธอ กลัวว่าจะไม่ได้รู้สึกอะไรเลย ฉันถอนหายใจด้วยความโล่งใจเมื่อรู้สึกถึงมัน มันอ่อนแรงไปนิดหน่อย แต่ก็ยังอยู่ ฉันถอนหายใจด้วยความโล่งอก ฉันไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรหากไม่พบชีพจรเธอน้ำตาฉันเริ่มคลอเบ้า เราติดอยู่ที่นี่ เอมม่าเลือดออกและอ่อนแรง ฉันเหนื่อยและปวดเมื่อย และเราอยู่ตรงกลางค่ายของศัตรูพอดีฉันไม่ได้หยุดน้ำตาตัวเองเมื่อพวกมันเริ่มไหล ฉันแค่เบื่อหน่าย ทำไมเรื่องทั้งหมดนี้ถึงต้องเกิดขึ้นกับฉันตอนนี้? ฉันไม่ได้ต้องการอะไรเลยนอกจากความสงบสุข แต่ฉันก็ไม่ได้รับสิ่งนั้น ฉันเกลียดสิ่งนี้ เกลียดทุกอย่างที่เกิดขึ้นฉันจับชีพจรของเอมม่าต่อเพื่อให้แน่ใจว่าเธอยังอยู่ เราคงไม่มีวันสนิทกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันต้องการให้เธอตาย“ดูสิว่าฉันเจอใคร” เสียงที่โหดร้ายพูดขึ้น “เหนื่อยกับการวิ่งหนีแล้วเหรอ? หรือว่าเพื่อนของเธอตายไปแล้ว?”ฉันเ
เขาเริ่มเดินอีกครั้ง และฉันก็เดินตามเขาไปข้างหลัง"นี่เป็นห้องทำงานของโรแวน" เขาพูดเมื่อเราหยุดอยู่หน้าประตูบานหนึ่งที่ประตูมีชื่อของพี่ชายเขาติดอยู่ ฉันพยักหน้าเล็กน้อยโดยไม่แน่ใจว่าทำไมฉันต้องรู้เรื่องนี้ แน่นอนว่าฉันจะมาทำงานให้เขา แต่ฉันจะต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนในระดับสูงคนอื่น ๆ ด้วยเหรอ?"ห้องทำงานผมอยู่ถัดจากของเขา แต่ให้ผมพาคุณชมรอบ ๆ สักเดี๋ยวหนึ่งก่อนจะให้ผู้ช่วยผมอีกคนแนะนำส่วนที่เหลือและอธิบายงานที่คุณต้องทำ""ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้ค่ะ... ฉันมั่นใจว่าผู้ช่วยของคุณสามารถพาชมได้ คุณคงมีอะไรต้องทำเยอะแยะ" ฉันบอกเขาด้วยน้ำเสียงหวานเลี่ยนเกเบรียลขึ้นชื่อเรื่องการมีความสัมพันธ์กับผู้ช่วยส่วนตัวของเขา และเขาก็ไม่เคยพยายามปิดบังความจริงสกปรกนี้เลยมันทำให้ฉันรำคาญใจมากในตอนที่เรายังแต่งงานกัน ฉันเกลียดที่รู้ว่าเขาเป็นสามีของฉันแต่ไม่ยอมหยุดเที่ยวนอนไปทั่ว ทั้งที่เขาสามารถมีอะไรกับฉันได้ตลอด แต่ฉันก็รู้ดีกว่าเขาไม่มีทางต้องการนอนกับฉันนอกจากจะเป็นคนเจ้าชู้ที่ชอบผู้หญิงหลายแบบแล้ว กาเบรียลยังชอบความจริงที่ว่ามันทำให้ฉันเจ็บปวด เขาใช้มันเป็นเครื่องมือในการลงโทษฉันเพราะการแต่งง
“ฮาร์เปอร์ คุณจะลงจากรถได้หรือยัง? มันเสียเวลาผมนะ” เกเบรียลตวาดใส่ฉันฉันเงยหน้าขึ้นมองเขา คิ้วของเขาขมวดมุ่น แสดงถึงความหงุดหงิดและไม่พอใจ ฉันถอนหายใจก่อนจะลงจากรถ นี่แหละเกเบรียลที่ฉันคุ้นเคย เย็นชา หยิ่งผยอง และหยาบคายฉันจัดกระโปรงให้เรียบร้อยก่อนจะหยิบกระเป๋าถือขึ้นมา เขาเริ่มเดินนำไป และฉันก็เดินตามหลังเขาเหมือนลูกแกะที่ถูกนำไปสู่โรงฆ่าสัตว์ ฉันประหม่าเสียจนรู้สึกเหมือนหัวใจกำลังจะกระเด็นออกมาจากอกฉันกำลังย่างเท้าเข้าสู่โลกของเกเบรียล เข้าสู่ดินแดนของเขา มันทั้งอึดอัดและน่ากลัวที่จะอยู่ในที่ที่เขามีอำนาจควบคุมทุกอย่างโดยสิ้นเชิงเกเบรียลกดปุ่มลิฟต์ พอลิฟต์เปิด เขาก้าวเข้าไป ฉันเดินตามและยืนอยู่ข้าง ๆ พยายามสงบใจที่เต้นรัวเกินควบคุม“คนที่สามารถใช้ลิฟต์นี้ได้มีแค่ครอบครัวผม มันจะพาเราขึ้นตรงไปยังชั้นบนสุดซึ่งเป็นห้องทำงานของเรา” เขาเริ่มพูดต่อ “ผมจะเพิ่มชื่อคุณในระบบ จะได้ไม่ต้องใช้ลิฟต์ธรรมดา”ฉันประหลาดใจกับระดับความพิเศษนี้ ครอบครัวของฉันก็ร่ำรวย แต่เราไม่เคยมีลิฟต์ส่วนตัวในตึกเลย ทุกคน รวมถึงประธานและครอบครัวผู้ก่อตั้ง ต้องใช้ลิฟต์สองตัวที่มีร่วมกัน“ค่ะ” ฉันตอบกลับ
ฮาร์เปอร์แจ็คสัน หนึ่งในคนขับรถของเกเบรียลเปิดประตูให้ฉัน ฉันก้าวขึ้นไปในรถโดยมีเกเบรียลตามเข้ามานั่งข้างฉันฉันยังคงไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองตกลงเรื่องนี้ แต่ในส่วนลึกฉันรู้ว่ามันสมเหตุสมผล เกเบรียลพูดถูกว่าจะมีอะไรที่เหมาะสมไปกว่าการได้เรียนรู้จากคนที่เก่งที่สุดในธุรกิจล่ะ เกเบรียลกับโรแวนเป็นคนที่เก่งที่สุดในวงการ พวกเขายังเก่งกว่าพ่อของพวกเขาเอง ซึ่งตอนนี้เกษียณไปแล้วแต่ยังคงเป็นหัวหน้าคณะกรรมการบริหารฉันใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าจะตัดสินใจได้ว่าจะใส่อะไรดี ฉันเคยทำงานจากที่บ้านเป็นส่วนใหญ่ และเวลาที่ต้องไปบริษัท ฉันก็มักจะใส่ชุดลำลอง เพราะบริษัทที่ฉันเคยทำงานให้มีบรรยากาศในการทำงานที่ผ่อนคลายฉันอยากดูดีและสร้างความประทับใจแรกให้ได้ดี ฉันไม่มีเสื้อผ้าสำหรับทำงานมากนักและวางแผนจะไปช้อปปิ้งสุดสัปดาห์นี้ ถึงแม้เงินจะตึงมือ แต่ฉันคิดว่าซื้อกระโปรงกับเสื้อเชิ้ตเพิ่มอีกสักสองสามชุดก็คงเป็นเรื่องจำเป็นหลังจากเลือกชุดเสร็จ ฉันลงไปกินอาหารเช้า เกเบรียลมองฉันผ่าน ๆ ก่อนจะหันกลับไปสนใจโทรศัพท์ พอกินเสร็จ ก็ถึงเวลาที่เราต้องออกจากบ้าน ลิลลี่ยังไม่ตื่น ฉันเลยฝากข้อความไว้กับชารอน“คุณจะให้
เกเบรียลผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับเสียงครางเบา ๆ และความรู้สึกว่าตัวเองกำลังแข็งตัวอย่างกับหินแกรนิต บ้าเอ้ย ตอนที่ผมตัดสินใจเซ็นสัญญาแต่งงานกับฮาร์เปอร์ ผมไม่ได้คาดคิดเลยว่ามันจะยากขนาดนี้ และไม่ได้คาดคิดเลยว่าเธอจะส่งต่อผมได้ขนาดนี้ผมมีปัญหาแบบผู้ชายที่เจ็บปวดที่สุด และไอ้นั่นของผมก็แข็งจนแทบระเบิดผมลุกขึ้นจากเตียง เดินไปที่ห้องน้ำด้วยระยะทางสั้น ๆ โดยที่ไอ้นั่นชี้ทางให้ ผมยังคงไม่เข้าใจว่ามันเป็นไปได้อย่างไร หมายถึงว่าผมไม่ใช่วัยรุ่นที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้แล้วนี่ ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าครั้งสุดท้ายที่ตื่นมาแบบนี้คือตอนไหน แต่ตั้งแต่ฮาร์เปอร์กลับมายังไม่ถึงเดือนเลยด้วยซ้ำ ผมกลับทำตัวเหมือนเด็กหนุ่มไร้เดียงสาอีกครั้งผมไม่เข้าใจเลยว่าเธอทำแบบนี้กับผมได้ยังไง ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยส่งผลอะไรแบบนี้กับผมเลย เธอก็ยังคงเป็นฮาร์เปอร์คนเดิมที่ผมรู้จัก มีเพียงรูปร่างกับท่าทีที่เปลี่ยนไป แต่ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงมีผลกับผมขนาดนี้ผมสลัดความคิดพวกนั้นออกจากหัวก่อนก้าวเข้าไปในห้องน้ำ น้ำเย็น ๆ น่าจะช่วยแก้ปัญหาสุดแข็งตัวนี้ได้ผ่านไปหลายสิบนาที ผมออกมาจากห้องน้ำด้วยความรู้สึกที่ยังอัดอ
ฮาร์เปอร์"ดึกดื่นปานนี้ กำลังมองอะไรอยู่เหรอ?" เสียงทุ้มทำให้ฉันสะดุ้งจากด้านหลัง"ตกใจหมดเลย" ฉันพึมพำขณะพยายามสงบใจที่เต้นแรง "อย่าโผล่มาจากข้างหลังอย่างนั้นสิ"เกเบรียลเดินวนรอบเคาน์เตอร์ครัวและมายืนตรงข้ามกับฉัน เมื่อเขาทำแบบนั้น ให้สายตาฉันได้เห็นเขา คอก็แห้งขึ้นทันที รู้สึกกระหายน้ำเหมือนไม่ได้ดื่มน้ำมานานแล้วและการกลืนก็กลายเป็นปัญหาใหญ่เกเบรียลใส่เสื้อผ้าชิ้นเดียวคือกางเกงขาสั้นสีเทาที่หลวมต่ำบนสะโพก ผู้ชายคนนั้นเป็นงานศิลปะที่มีร่างกายเหมือนเทพเจ้ากรีก ไหล่กว้าง กล้ามท้องเป็นลอน และเส้นวีไลน์ที่ทำให้ผู้หญิงทุกคนคลั่งไคล้แนวไรขนสีเข้มที่เริ่มจากสะดือแล้วหายไปในกางเกง ราวกับว่าไรขนนั้นชี้ไปยังสวรรค์ฉันอยากจะเบนสายตาออกไปแต่ไม่สามารถทำได้ สายตาฉันดื่มด่ำราวกับเขาเป็นแหล่งน้ำเดียวที่มี สายตาจ้องไปที่ทุกซอกทุกมุมของร่างกายเขา สังเกตเห็นรอยสักแบบชนเผ่าบนหน้าอก นั่นเป็นสิ่งใหม่ มันไม่ได้มีตอนที่เราเคยมีอะไรกันเมื่อหลายปีที่แล้ว และการเห็นมันทำให้ฉันอยากรู้ว่ามันหมายถึงอะไรไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเกเบรียลเป็นผู้ชายที่น่าทึ่ง โดยเฉพาะตอนนี้ อย่าคิดว่าฉันพูดแบบนี้แค่ตอนนี้ แม้แต่ต
เกเบรียลผมยังคงรู้สึกถึงสัมผัสเนียนนุ่มของผิวเธอเหมือนกับมันซึมลึกอยู่ใต้ผิวของผมเอง ชั่วขณะหนึ่งผมอยากใช้นิ้วหัวแม่มือไล้ไปตามข้อต่อที่เต้นเป็นจังหวะอยู่ด้านในแขนของเธอฮาร์เปอร์คนใหม่นี้น่าสนใจ เธอร้อนแรง และท่าทางแบบใหม่นี้ทำให้ผมรู้สึกติดใจได้ ผมชอบผู้หญิงที่มั่นใจ เร้าอารมณ์ และมีบุคลิกที่ร้อนแรง ผมชอบที่พวกเธอท้าทายและไม่ยอมแพ้เธอกลายเป็นผู้หญิงแบบนั้นและมันทำให้ผมสนใจ เธอเป็นคนที่ร้อนแรงและไม่กลัวที่จะบอกให้ผมไปตายซะ ผมจะไม่สนใจได้อย่างไรเล่า?ตอนที่เราแต่งงานกันนั้นเธอน่าเบื่อ บุคลิกที่น่าเบื่อทำให้เธอดูจืดชืดในสายตาของผม ไม่มีอะไรน่าสนใจเกี่ยวกับเธอเลย ในขณะที่ผมชอบผู้หญิงที่มีเขี้ยวเล็บ เธอกลับเชื่อฟังมากเกินไป คิดแต่จะทำให้ผมพอใจและดึงดูดความสนใจกันอย่างเดียวเธอยอมลดตัวทุกอย่างเพียงเพื่อให้ผมสนใจ หากเพียงเธอผลักผมให้ออกห่างไปผมก็คงจะสนใจเธอแล้ว ฮาร์เปอร์เมื่อก่อนเป็นคนขี้อายและกลัวแถมขาดความมั่นใจในตัวเอง สิ่งนั้นมันทำให้ผมรู้สึกไม่อยากสนใจเธอเลยผมถอนหายใจแล้วก็ผลักความคิดเหล่านั้นออกไป พยายามขับไล่ความสงสัยที่มีต่อฮาร์เปอร์ เบคเกตต์ ที่ตอนนี้เป็นวู้ดออกไป วินาทีถั
“คุณต้องการอะไร เกเบรียล? อย่างที่เห็น ฉันไม่อยากคุยตอนนี้” ฉันลุกขึ้นจากพื้นพร้อมกับเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุดคำพูดของลิลลี่ยังคงดังก้องอยู่ในหัวของฉัน มันบาดลึกซ้ำไปซ้ำมา ฉันเอามือสางผม พยายามไล่ความเจ็บปวดที่ท่วมท้นออกไป ฉันรู้ว่าสักวันมันต้องเกิดขึ้น และฉันก็รู้ว่าเธออาจจะรับมันไม่ได้ดีนักลองคิดดูสิ คุณจะรับมันไหวไหมถ้าแม่มาบอกว่าผู้ชายที่คุณคิดว่าเป็นพ่อมาตลอดกลับกลายเป็นคนอื่นไป? ว่าคุณถูกหลอกมาตลอด และไม่มีใครคิดจะบอกความจริงจนกระทั่งมันเลี่ยงไม่ได้ ฉันเข้าใจเธอ ฉันเข้าใจปฏิกิริยาของเธอ ฉันแค่ไม่รู้ว่าจะตอบสนองต่อคำพูดและความเจ็บปวดในดวงตาของเธออย่างไร“ลิลลี่ไม่ได้ตั้งใจพูดแบบนั้นหรอก” เกเบรียลพูดพลางเดินเข้ามาในห้องฉันจ้องเขม็งไปที่เขา ความรู้สึกบางอย่างที่น่าเกลียดพุ่งขึ้นในใจ “แล้วคุณจะรู้ได้ยังไง? คุณแทบจะไม่รู้จักเธอเลยด้วยซ้ำ แล้วจะมาบอกฉันว่าเธอไม่ได้ตั้งใจได้ไง”“แล้วมันเป็นความผิดใครล่ะ?” เขาสวนกลับทันที จ้องฉันด้วยสายตาโกรธจัดฉันทั้งโกรธทั้งเสียใจ ฉันกำลังหาที่ระบาย หาทางที่จะดึงความสนใจตัวเองออกจากความเจ็บปวดที่ถาโถม เกเบรียลจึงกลายเป็นเป้าหมายของฉัน เพราะ
ฮาร์เปอร์สัปดาห์นี้วุ่นวายสุด ๆ เหมือนฉันวิ่งทำธุระตั้งแต่กลับมาที่เมืองนี้โดยไม่ได้พักเลยสักนิดอย่างน้อยตอนนี้ลิลลี่ก็ดูสบายขึ้นแล้ว เกเบรียลไม่ยอมส่งที่นอนของเธอมาเพราะบอกว่าที่นอนที่นี่สบายกว่า แต่เขายอมส่งผ้าปูที่นอนกับผ้าห่มมาให้แทน ซึ่งมันช่วยได้เยอะเลย ตอนนี้เธอหลับสบายตลอดทั้งคืนส่วนเกเบรียล ฉันจะเริ่มจากตรงไหนดี? เขากลับมาบ้านแม้จะดึกดื่นขนาดไหน แต่ก็เท่านั้นเอง เราสองคนพยายามหลบหน้ากัน ต่างทำเหมือนกับว่าอีกฝ่ายไม่มีตัวตนอยู่ในชีวิต ฉันคิดว่าแบบนี้ดีกว่า อย่างน้อยลิลลี่จะได้ไม่เห็นเราทะเลาะกันตลอดเวลา“แม่คะ แม่อยากคุยกับหนูเหรอ?” เสียงของลิลลี่ดึงฉันกลับมาสู่ปัจจุบันฉันวางผ้าที่กำลังพับอยู่ลง แล้วนั่งลงบนเตียงก่อนจะส่งสัญญาณให้เธอมานั่งด้วยกัน เธอเดินข้ามห้องมาพร้อมขมวดคิ้ว ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ ฉันเราอยู่ในห้องของฉัน อย่างที่เดาได้ว่าเกเบรียลกับฉันไม่ได้นอนห้องเดียวกัน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่ฉันไม่รู้ว่าจะอธิบายให้ลิลลี่เข้าใจอย่างไร เพราะเธอต้องสงสัยแน่ ๆ ในเมื่อก่อนหน้านี้ฉันกับเลียมเคยนอนร่วมห้องกัน“แม่คะ?”“ขอโทษนะลูก มีบางอย่างที่แม่อยากจะอธิบายให้หนูฟัง” ฉั
แผ่นหลังของผู้หญิงคนนั้นหันมาทางฉัน รวมถึงกันเนอร์ด้วย ฉันไม่ต้องกังวลเรื่องคาลวินเพราะเขาดูเหมือนตกอยู่ในห้วงความหลงใหล เขาใส่ใจกับทุกสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นพูด พร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนเด่นชัดบนริมฝีปากอีกครั้งที่ความรู้สึกไม่สบายใจจมลึกลงในหัวใจของฉัน ทำไมฉันถึงรู้สึกเหมือนหายใจได้ไม่ทั่วท้อง? เหมือนมีหินก้อนใหญ่ติดอยู่ในลำคอฉันเพ่งสายตามองไปยังพวกเขา แม้จะไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดเพราะโต๊ะอยู่ห่างออกไป แต่ความสงบสุขและความสุขบนใบหน้าของคาลวินก็เพียงพอที่จะบอกฉันว่าเกิดอะไรขึ้น เขากำลังออกเดต และกันเนอร์ก็มาด้วย ผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนไม่ได้รังเกียจอะไร แต่ฉันไม่มีวันปล่อยให้ผู้หญิงคนอื่นมาแทนที่ฉันในชีวิตของลูกชายเด็ดขาดถึงแม้ฉันจะมองไม่เห็นกันเนอร์ แต่ฉันรู้ว่าเขาเหมือนกับคาลวิน กันเนอร์เองก็มีความสุขที่ได้อยู่ที่นั่น เพราะถ้าไม่ใช่แบบนั้น คาลวินคงพาลูกชายกลับไปแล้วแต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ฉันยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น ทั้งที่รู้สึกเหมือนหัวใจถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ ฉันไม่รู้ว่าฉันนั่งอยู่นานแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว การได้เห็นเขามีความสุขกลับทำให้ฉันเจ็บปวดอย่างประหลาด มันเหมือนหัวใจถูกบดขยี้