โรแวน“นายจะนั่งเศร้าตลอดไปเลยหรือไง?” เกเบรียลถามด้วยความรำคาญผมไม่ได้สนใจเขาเลย ผมแค่นั่งมองของเหลวสีเหลืองอำพันในแก้วของผมต่อไปพลางคิดทบทวนว่าทุกอย่างกับเอวาแย่ลงอย่างรวดเร็วได้อย่างไรผมไม่ได้เห็นแก่ตัวมากพอที่จะคิดว่าเธอทำตัวไร้เหตุผล เธอทำตัวเหมือนคนปกติทั่วไปนั่นแหละ คน ๆ หนึ่งที่ถูกคนที่เธอรักทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ผมมีความต้องการอย่างแรงกล้าที่จะบรรเทาความเจ็บปวดของเธอ ขจัดความเจ็บปวดทั้งหมดของเธอ เยียวยาเธอ แต่ผมจะทำได้อย่างไรในเมื่อผมเป็นคนที่ทำให้เธอต้องรู้สึกแบบนั้นตั้งแต่แรก?“นายทำแบบนี้ต่อไปไม่ได้นะโร ถ้าเธอไม่สนใจนาย ก็ปล่อยเธอไปซะ! เอมม่ารอนายอยู่ ขอร้องเถอะ ใช่ว่าจะไม่มีผู้หญิงคนไหนต้องการนายสักหน่อย” เขาบ่นพึมพำแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ผมไม่รับรู้การโวยวายโง่ ๆ ของเขา แต่กลับจ้องเขาเขม็ง “ถ้าอารมณ์ของฉันในตอนนี้ทำให้นายหงุดหงิดมากขนาดนั้น ก็เชิญออกไปได้เลย”เขาไม่เข้าใจ และผมก็ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะทำให้เขาเข้าใจ ผมเพิ่งตัดสินใจได้ว่าผมไม่ต้องการเอมม่า หรือผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่เอวาผมเคยเกลียดเธอ เคยคิดว่าไม่มีทางที่ผมจะต้องการเธอ แต่ตอนนี้เธอคือคนเดียวที่ผมนึกถ
เหตุผลเดียวที่บริษัทของเรายังคงยืนหยัดอยู่ได้ก็เพราะว่าเราแข็งแกร่งพอ ๆ กับตระกูลโฮเวลล์ การที่พวกเขาถอนตัวและโน้มน้าวให้นักลงทุนที่ภักดีทำเช่นเดียวกันนั้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเราสักเท่าไรผมไม่โง่พอที่จะคิดว่ามันจะจบลงตรงนั้น พวกเขาอาจไม่สามารถทำลายบริษัทของเราได้ แต่ผมแน่ใจว่าพวกเขาจะหาทางอื่นเพื่อแก้แค้น ผมจะไม่สู้กับพวกเขาด้วยซ้ำ พวกเขาทำถูกต้องแล้วที่ตามเล่นงานผม ผมสมควรได้รับทุกสิ่งที่พวกเขาวางแผนจะทำกับผมสำหรับวิธีที่ผมทำต่อลูกสาวของพวกเขา“นั่นคือเหตุผลที่นายท้อแท้แบบนี้เหรอ? เพราะเธอปฏิเสธที่จะช่วยนาย?” เกเบรียลมองเขาด้วยความเห็นอกเห็นใจทราวิสถอนหายใจยาวด้วยความเหนื่อยล้า “เปล่า เป็นเพราะสิ่งที่เธอพูด เธอบอกว่าเธอไม่คิดว่าฉันเป็นครอบครัวของเธอ พูดอีกนัยก็คือ ฉันไม่มีค่าอะไรเลยสำหรับเธอ”ผมเห็นความเจ็บปวดของเขา แต่ผมไม่รู้สึกเห็นใจเขาเลย พวกเราทำแย่ไว้กับเธอมาก ที่เธอปฏิบัติต่อเราแบบนี้ยังน้อยกว่าที่เราสมควรได้รับ“แล้วนายคาดหวังอะไร? ฉันต้องถามพวกนายอยู่เรื่อยเลย” เกเบรียลบ่น“ฉันรู้ ฉันไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงคาดหวังให้เธอเป็นเหมือนเดิม ร่องรอยของเอวาคนเก่าหายไปหมดแล้ว เวลาเด
“นี่คุณไม่ได้พูดจริงใช่ไหม?” เอมม่าถามด้วยความตกใจสุดขีดเช่นเดียวกับฉันหัวใจของฉันเต้นแรงมาก ความตื่นตระหนกเข้าครอบงำฉัน ทำให้ฉันหายใจลำบาก ถ้าฉันคิดว่าการลักพาตัวพวกเราของรอนนี่หรือผู้เพรียกหาความตาย ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม นั่นเลวร้ายแล้ว ฉันคิดผิด เพราะสิ่งที่เขาวางแผนไว้แย่กว่านั้นมาก“โอ้ จริงแน่นอน พ่อของคุณไม่ควรยุ่งกับผม เช่นเดียวกับโรแวน ถึงเวลาแก้แค้นแล้ว” รอนนี่ยิ้มร้ายจนฉันขนลุกเขาโทรหาโรแวนต่อหน้าเราและบอกให้เขาเลือก ฉันยังคงไม่อยากเชื่อเลยว่าแผนของเขาคือให้มีเพียงเราคนเดียวเท่านั้นที่จะเดินออกไปจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัยฉันรู้สึกเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างกำลังบดขยี้ฉัน ความกลัวกำลังทำลายล้างฉัน และฉันไม่สามารถคิดอะไรได้อย่างชัดเจน ฉันแน่ใจว่าใบหน้าของฉันต้องบวมจากไอ้สารเลวที่ตบฉัน และริมฝีปากของฉันก็แตก ฉันเลือกที่จะจดจ่อกับความเจ็บปวดนั้นแทนที่จะคิดถึงหายนะที่กำลังใกล้เข้ามา“คุณไม่มีอะไรจะพูดเหรอเอวา?” รอนนี่ถามด้วยรอยยิ้มเย็นชาฉันเบือนสายตาไป ฉันคิดอะไรไม่ออก นับประสาอะไรกับการพูดอะไร นี่เป็นครั้งที่ห้าที่ฉันต้องเผชิญกับความตาย ด้วยความรู้สึกที่ไร้สติของรอนนี่ ฉันกล
“ฉันไม่เชื่อเลยว่าเธอเพิ่งจะพูดแบบนั้นเกี่ยวกับคุณพ่อ!”“โชคดีที่ฉันไม่สนใจว่าเธอจะคิดยังไง” ฉันตวาดเธออยู่เงียบ ๆ และปล่อยให้ฉันใช้สมาธิไม่ได้หรือไง? ทุกวินาทีที่ผ่านไปโดยที่ฉันยังไม่เป็นอิสระ ความวิตกกังวลของฉันก็เพิ่มมากขึ้นเธอจ้องมาที่ฉันแต่ก็เงียบไว้ ฉันโล่งใจ ตอนนี้ฉันสามารถจดจ่อกับการแก้มือให้เป็นอิสระได้แล้ว ถ้าฉันทำได้ ทุกอย่างก็จะราบรื่น ฉันหวังว่าอย่างนั้นฉันไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้วเมื่อฉันยอมแพ้ มือของฉันสั่น ข้อมือของฉันร้อนผ่าว และฉันรู้สึกได้ว่าเลือดกำลังไหลออกมา ราวกับว่ายิ่งฉันพยายามเท่าไร เชือกก็ยิ่งบาดลึกลงไปในผิวหนังของฉันมากขึ้นเท่านั้นฉันถอนหายใจแรง ๆ ฉันเกลียดที่จะทำแบบนี้ แต่ฉันไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ณ จุดนี้ ฉันต้องเลือกระหว่างทางนั้นหรือเสี่ยงที่จะเป็นคนถูกฆ่า“ฉันมีแผนที่อาจจะได้ผล” ฉันหันไปหาเอมม่าและบอกเธออย่างไม่เต็มใจ มันรู้สึกเหมือนมันเป็นการกระทบต่ออัตตาของฉัน แต่เมื่อพิจารณาถึงความเสี่ยงในตอนนี้ ก็ช่างทิฐิฉันเถอะ“ทีนี้อยากได้ความช่วยเหลือจากฉันขึ้นมาแล้วเหรอ? เธอเพิ่งบอกฉันว่าฉันควรหุบปาก และว่าเธอไม่ได้สนใจว่าฉันจะคิดยังไงไม่ใช่เหรอ?” เ
ฉันออกไปสำรวจสถานที่นั้น เราอยู่ในลานขยะ ฉันยิ้มให้กับโชคของเรา นั่นหมายความว่ามีสถานที่มากมายให้ซ่อนตัวจากผู้เพรียกหาความตายและลูกน้องของเขา“เราต้องหาทางออก ฉันเชื่อว่าหลังจากนั้นทุกอย่างจะง่ายขึ้น” ฉันบอกเอมม่าขณะที่เราเริ่มเคลื่อนตัวเธอพยักหน้าเห็นด้วยและเดินเคียงข้างฉัน เราระมัดระวังในขณะที่มองหาทางออกโดยซ่อนตัวและระวังว่าเราไม่ได้เดินออกไปในที่โล่ง“ทางออกอยู่ที่ไหนเนี่ย?” เอมม่าหงุดหงิดอย่างชัดเจนเราเดินมาได้ไม่กี่นาที แม้ว่าจะไม่เจอคนร้ายเลยก็ตาม แต่ก็ยังหาทางออกไม่ได้“บางทีเราควรจะพักสักหน่อย” ฉันเริ่มรู้สึกเหนื่อย ใบหน้าของฉันเจ็บ มือและเท้าของฉันก็เจ็บไปด้วยความคิดนั้นหายไปทันทีเมื่อเราได้ยินเสียงสัญญาณเตือนดังลั่นไปทั่วลานหัวใจฉันเต้นแรง บ้าจริง นี่มันแย่จริง ๆ ฉันแน่ใจว่าพวกเขาคงรู้แล้วว่าเราหนีออกมาได้“ไป ไป ไป” ฉันยืนกรานขณะดึงเอมม่าไปข้างหน้า เธอมีสีหน้าหวาดกลัวสุดขีดราวกับว่าเธอเพิ่งเห็นชีวิตของตัวเองฉายแวบผ่านหน้าไปเรารีบเร่งไปข้างหน้าอย่างไม่รู้ทาง เราไม่รู้ว่ากำลังจะไปที่ไหน เรารู้เพียงว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะถูกจับไม่ได้ฉันคอยมองไปข้างหลังเพื
“บ้าเอ๊ย เจ็บชะมัด” เอมม่าร้องด้วยความเจ็บปวด ทำให้ฉันฟื้นจากอาการตกใจทันเวลาที่เห็นชายคนนั้นยกปืนขึ้นฉันรีบคว้าปืนที่ฉันทำตกแล้วยิงทันที เขาล้มลงกับพื้น ฉันลุกขึ้นและรีบวิ่งไปหาเอมม่าที่กำลังดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้นฉันไม่แม้แต่จะตรวจสอบว่าชายคนนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว ตอนนี้มันไม่สำคัญสำหรับฉันเลย ไม่สำคัญเมื่อฉันถูกกระตุ้นด้วยอะดรีนาลีนและเอมม่ากำลังเลือดออกบนพื้น“ฉันกำลังจะตายใช่ไหม?” เธอถามน้ำตาคลอเบ้าฉันจะบอกเธอให้หยุดร้องไห้ก็ได้ แต่ฉันไม่ทำ ไม่ใช่เมื่อเธอเป็นคนผลักฉันและรับกระสุนแทนฉัน“ไม่หรอก” ฉันตอบขณะตรวจดูเธอเธอถูกยิงที่ไหล่และมีเลือดออกมาก ฉันกังวล อันดับแรกเธออาจเสียเลือดจนตาย และอันดับสองเรายังอยู่ในที่อันตราย ต้องมีใครสักคนมาพบเราในที่สุด“โกหก!” เธอขู่เมื่อฉันกดแผลเธอเพื่อหยุดเลือด “ถ้าฉันจะไม่ตาย แล้วทำไมฉันถึงรู้สึกเหมือนกำลังจะตายล่ะ?”ฉันไม่ตอบ และเลือกที่จะพยายามหยุดเลือดแทน ในฐานะครู เราจำเป็นต้องรู้วิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้น กระสุนยังฝังอยู่ข้างใน ดังนั้นฉันจึงไม่สามารถเอามันออกมาได้ ยิ่งเมื่อฉันไม่รู้ขอบเขตของความเสียหาย แทนที่จะทำอย่างนั้น ฉั
หัวใจของฉันเริ่มเต้นผิดจังหวะและความกลัวก็เริ่มเข้ามาแทนที่ฉันเขย่าตัวเธอและพลิกตัวเธอ ฉันรับเธอไว้ก่อนที่เธอจะล้มลงกับพื้น ฉันพลิกตัวเธอเพื่อให้เธอนอนบนตักของฉัน ฉันกระซิบชื่อเธออีกครั้ง แต่เธอยังคงไม่ตอบสนองด้วยมือที่สั่นเทาและความกลัว ฉันตรวจชีพจรของเธอ กลัวว่าจะไม่ได้รู้สึกอะไรเลย ฉันถอนหายใจด้วยความโล่งใจเมื่อรู้สึกถึงมัน มันอ่อนแรงไปนิดหน่อย แต่ก็ยังอยู่ ฉันถอนหายใจด้วยความโล่งอก ฉันไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรหากไม่พบชีพจรเธอน้ำตาฉันเริ่มคลอเบ้า เราติดอยู่ที่นี่ เอมม่าเลือดออกและอ่อนแรง ฉันเหนื่อยและปวดเมื่อย และเราอยู่ตรงกลางค่ายของศัตรูพอดีฉันไม่ได้หยุดน้ำตาตัวเองเมื่อพวกมันเริ่มไหล ฉันแค่เบื่อหน่าย ทำไมเรื่องทั้งหมดนี้ถึงต้องเกิดขึ้นกับฉันตอนนี้? ฉันไม่ได้ต้องการอะไรเลยนอกจากความสงบสุข แต่ฉันก็ไม่ได้รับสิ่งนั้น ฉันเกลียดสิ่งนี้ เกลียดทุกอย่างที่เกิดขึ้นฉันจับชีพจรของเอมม่าต่อเพื่อให้แน่ใจว่าเธอยังอยู่ เราคงไม่มีวันสนิทกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันต้องการให้เธอตาย“ดูสิว่าฉันเจอใคร” เสียงที่โหดร้ายพูดขึ้น “เหนื่อยกับการวิ่งหนีแล้วเหรอ? หรือว่าเพื่อนของเธอตายไปแล้ว?”ฉันเ
โรแวนผมไม่สามารถอธิบายความกลัวที่ผมรู้สึกได้เมื่อเห็นไอ้สารเลวนั้นจ่อปืนที่หัวของเธอ เธอกำลังสั่นและน้ำตาไหลอาบแก้ม ผมได้ยินเธออ้อนวอนขอให้เขาปล่อยเธอไป แต่ผมรู้ว่าเขาจะไม่ทำอย่างนั้นเมื่อเธอหลับตาลง ราวกับยอมรับชะตากรรมของเธอ มันเกือบทำให้ผมต้องทรุดเข่าลง ถ้าไม่ใช่เพราะผมรู้ว่าเธอเหนื่อย ผมคงปล่อยผู้ชายคนนั้นไปเพื่อที่ผมจะได้มอบการทรมานในแบบฉบับของผมเองให้กับเขาทีหลัง“เธอต้องการหมอ โรแวน” เธอพูดด้วยเสียงแผ่วเบาในขณะที่ผมคุกเข่าลงต่อหน้าเธอผมได้ส่งข้อความหาเกเบรียลแล้ว รถพยาบาลจะมาถึงในไม่กี่นาที ไม่ใช่ว่าผมไม่สนใจเอมม่า ผมสน แต่ผมแค่สนใจเอวามากกว่าผมจับใบหน้าของเธอเบา ๆ แก้มของเธอบวม และตาของเธอก็บวมเช่นกัน แก้มของเธอช้ำ และริมฝีปากของเธอแตกสีหน้าของผมแข็งกร้าวขึ้นเมื่อนึกถึงว่ามีคนทำร้ายเธอ“ใครตบคุณ? รอนนี่เหรอ?” ผมกัดฟันถามเธอเบ้หน้าเมื่อผมลูบแก้มที่ช้ำของเธอ บ้าเอ๊ย! ความเจ็บปวดของเธอทำให้หัวใจผมเต้นแรง ผมอยากจะฆ่าไอ้สารเลวที่ทำร้ายเธอมากกว่าเดิม“ไม่สำคัญหรอก... เราต้องพาเอมม่าไปโรงพยาบาล” เธอกล่าวขณะเริ่มยืนขึ้นผมดันเธอลงเบา ๆ และตรวจดูเธอต่อไปโดยไม่สนใจสิ่งที่
ฉันหยุดหายใจเเพราะความตกใจ และผละออกจากเขา ในขณะที่ร่างเล็ก ๆ กระโดดขึ้นมาบนตัวเรา"สุขสันต์วันคริสต์มาส!" เขาตะโกนอย่างมีความสุขด้วยเสียงร้องเพลง“หัวจะปวด” ทั้งกาเบรียลและฉันครางอย่างหงุดหงิดจะมาช้ากว่านี้สักชั่วโมงไม่ได้หรืออย่างไร? ถ้ามีใครสักคนในครอบครัวนี้ที่ชอบขัดจังหวะเรา มันก็ต้องเป็นลูกคนที่สอง แอนดรูว์ คนนี้แน่นอน เราเรียกเขาว่าดรูว์เขาอาจจะไม่รู้ว่าเขาเป็นตัวขัดจังหวะแค่ไหน แต่ก็ไม่สำคัญยังไงเขาก็ทำอยู่ดี"ตื่นครับ! ตื่น!" เขาตะโกนเสียงดัง จนชั่วขณะหนึ่งฉันไม่ได้ยินอะไรเลย นอกจากเสียงก้องของเจ้าลูกชาย"ไม่ต้องตะโกนก็ได้ ดรูว์" เกเบรียลบ่น "พ่อแม่ได้ยินชัดเจนโดยที่หนูไม่ต้องทำให้แก้วหูพ่อแม่แตกก็ได้"ดูเหมือนดรูว์จะไม่ฟังเลย เขาเด้งขึ้นเด้งลงบนเตียง มีความสุขแผ่ซ่านออกมาจากตัวเขาเกเบรียลขยับตัวใต้ผ้าห่ม คงพยายามขยับทุกอย่างให้เข้าที ฉันขยับร่างกายขึ้นและพิงหัวเตียง ก่อนจะคว้าลูกชายที่กระตือรือร้นและอยู่ไม่นิ่งมา สิ่งสุดท้ายที่เราต้องการคือเขาทำร้ายพ่อของเขาด้วยการเผลอเหยียบเข้ากลางตัวเขาหรืออะไรทำนองนั้น"หนูพยายามห้ามเลียมแล้วนะคะ แต่แม่ก็รู้ว่าเขาเป็นยังไงเวลาต
ฮาร์เปอร์ฉันกำลังล่องลอยอยู่บนปุยเมฆสีขาวนุ่มฟูแห่งการนอนหลับ ฉันรู้สึกอบอุ่น รู้สึกสงบ และรู้สึกได้รับความรักฉันเริ่มรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาทีละน้อย เกเบรียลนอนอยู่ข้างหลังฉัน แขนโอบกอดฉันไว้ เขาทำแบบนี้ทุกครั้งที่เรานอนหลับด้วยกัน เขากอดฉันไว้แน่นในอ้อมแขน ราวกับว่าเขากลัวว่าฉันจะหายไปหากไม่ทำเช่นนี้ฉันขยับตัวเล็กน้อยเพื่อหลุดออกจากอ้อมแขนของสามี ทว่าแทนที่จะปล่อยฉันไป เขากลับกระชับมือแน่นขึ้น ซึ่งดันฉันเข้าไปแนบชิดมากขึ้นฉันหยุดขยับเมื่อรู้สึกถึงเขา ฉันรู้สึกถึง น้องน้อยที่ตื่นมาเคารพธงชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา ฮอร์โมนของฉันพลุ่งพล่าน และฉันก็ต้องการเขาขึ้นมาทันที ฉันอยากให้เขาสอดแทรกเข้ามาในร่างนี้เรื่องบนเตียงของเราสองช่างสมบูรณ์ แต่ก็มีบางครั้งที่ต้องการมากกว่านี้ อาจเพราะมีลูกด้วยกันถึงสามคนแล้ว บางเวลามันก็ยากที่จะมีเวลาส่วนตัวที่ไม่ถูกรบกวนได้"อืม" เกเบรียลร้องครางเมื่อฉันถูบั้นท้ายกับเป้าของเขาเสียงนั้นเดินทางลงไปจนถึงจุดนั้นของฉัน ฉันถูอีกครั้ง กระตุ้นเสียงครางแสนเร้าอารมณ์จากเขาอีกเกเบรียลเริ่มประทับจูบตามหลัง ไหล่ และคอ มันผ่านมาสองสามวันแล้ว และฉันก็โหยหาเขา
"ใช่เลยครับ" เขาตอบรับรอยยิ้มของฉัน ขณะที่คิลเลียนเดินเข้ามาหาเรา"ผมมาขโมยภรรยาแสนสวยของผมคืนแล้วครับ" เสียงเขาแหบพร่า และฉันอดไม่ได้ที่จะละลายไปกับโทนเสียงนั้น มันเซ็กซี่สุด ๆ ไปเลย“เธอเป็นของคุณแล้วนะ” คาลวินปล่อยมือจากฉันและหลีกทาง ก่อนจะเดินจากไปคิลเลียนดึงฉันเข้าไปในอ้อมกอดเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีช่องว่างระหว่างเรา "เป็นยังไงบ้าง? ปวดหลังหรือเปล่า? ขาเป็นยังไง?"เห็นไหม ฉันบอกแล้วไง เขาเป็นเสือร้ายในคราบทนายความ แต่ดูแลเอาใจใส่และรักใคร่ในฐานะคู่ครอง ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันมีสเปคแบบไหน จนกระทั่งฉันได้พบเขา"สบายดีค่ะ ที่รัก ไม่ต้องเป็นห่วงขนาดนั้นก็ได้" ฉันหัวเราะเบา ๆ ดันตัวเองเข้าไปใกล้เขามากขึ้น"ผมเคยบอกว่าผมรักคุณแล้วหรือยัง?" เขาถามฉันอดไม่ได้ที่จะยิ้มขณะที่เขย่งปลายเท้าและกระซิบชิดริมฝีปากของเขา "ประมาณพันครั้งแล้วค่ะวันนี้ แต่ฉันไม่ได้บ่นอะไรนะ""คุณคือสิ่งที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับผมเลยนะครับ เอมม่า ผมนึกไม่ออกเลยว่าชีวิตผมจะเป็นยังไงหากไม่มีคุณ ผมรู้ว่าเราได้กล่าวคำสาบานกันไปแล้ว แต่ผมสัญญาว่าจะรักและทะนุถนอมคุณเสมอ เพราะคุณคือของขวัญที่เบื้องบนประทานมา ผมสัญญา
มอลลี่เป็นหนึ่งในเพื่อนเจ้าสาว เช่นเดียวกับเอวา คอนนี่ เล็ตตี้ ฮาร์เปอร์ และคินลีย์ พวกเธอเป็นเพื่อนสาวกันมาสี่ปีแล้วตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุวันนั้น แน่นอนว่าฉันไม่มีวันหาใครมาแทนมอลลี่ได้ เธอเป็นเพื่อนสนิทที่สุด แต่ฉันก็รู้สึกขอบคุณที่มีพวกเธออยู่เช่นกันอีกอย่างเมื่อวานนี้มอลลี่บอกฉันว่าเธอกำลังคิดจะย้ายมาอยู่ที่นี่ ฉันตื่นเต้นมาก ฉันรักเธอ แต่เรายอมรับว่าเป็นเพื่อนระยะไกลกันมันรักษาความสัมพันธ์กันได้ยาก ฉันมีความสุขมากที่เธอจะย้ายมาอยู่ใกล้ ๆเสียงเพลงช้าลง และกันเนอร์ก็เดินเข้ามา ตัดบทสนทนาทั้งหมด“เต้นรำกันหน่อยไหมครับ แม่?”มีเสียง ว้าว ดังขึ้นเป็นระลอก และฉันสาบานได้ว่าหัวใจฉันละลายไปตรงนั้นเลย"แน่นอนสิจ๊ะ สุดหล่อของแม่" ฉันตอบก่อนจะจับมือเขาตอนนี้กันเนอร์อายุสิบสี่ เป็นวัยรุ่นแล้วเชื่อไหมล่ะ? เขาสูงเท่าฉันแล้ว และฉันมั่นใจว่าอีกไม่กี่ปีเขาจะสูงกว่าฉัน ฉันไม่ว่าอะไรหรอก เขาก็จะเป็นลูกชายตัวน้อยของฉันเสมอคาลวินและฉันตัดสินใจส่งเขาไปเข้ารับการบำบัดทันทีที่ฉันออกจากโรงพยาบาล เราเข้าร่วมการบำบัดร่วมกันบ้าง และพูดคุยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเรา และเกี่ยวกับวันที่เกิดอุบัติเหตุ
เอมม่าฉันเต้นรำกับมอลลี่ ปล่อยให้เสียงเพลงโอบล้อมตัวไว้ ฉันรู้สึกปวดหลังเล็กน้อยแต่ก็ไม่สำคัญอะไรเลยเมื่อฉันมีความสุขสุด ๆ แบบนี้ชุดเดรสสะบัดไปมาขณะที่เราตะโกนเนื้อเพลง หน้าร้อนแสนสาหัส ของเทย์เลอร์ สวิฟต์ออกมาสุดเสียง เอวาที่กำลังตั้งครรภ์ท้องแก่ก็เข้าร่วมกับเราด้วย ฉันหัวเราะเพราะเธอคิดว่าเธอกำลังเต้นอยู่เลยแต่เปล่าเลย ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเรียกสิ่งที่เธอกำลังทำว่าอะไรดีจำนวนครั้งที่ฉันเรียกว่าตนเองมีความสุขนั้นสามารถนับนิ้วได้เลย หนึ่งคือตอนที่ฉันสอบเนติบัณฑิตได้ สองคือตอนที่กันเนอร์เรียกฉันว่าแม่เป็นครั้งแรกหลังจากผ่านมานาน และสามคือวันนี้ งานแต่งของฉันคุณได้ยินไม่ผิดหรอกค่ะ ฉันแต่งงานแล้วและฉันมีความสุขอย่างที่สุดจำทนายหนุ่มน่ารักที่ฉันเล่าให้เอวาฟังในวันเกิดของเจมส์ได้ไหมคะ? จะว่าอย่างไรดี เขาไม่เคยละความพยายามเลยค่ะ ไม่ว่าฉันจะปฏิเสธเขากี่ครั้งก็ตาม เขาขอฉันคบหาอยู่เรื่อย ๆ และที่ฉันบอกว่าเรื่อย ๆ ก็คือเขาขอเกือบทุกวัน ฉันเบื่อที่จะได้ยินคำถามเดิม ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนวันหนึ่งฉันก็ตอบตกลง ปรากฏว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตนี้เลยฉันชะลอฝีเท้าลง ดวงตามองหาเจ้าบ
กันเนอร์มีน้องชายแล้ว งงกันอยู่ใช่ไหมคะ? เพราะเมื่อกี้ฉันกับเอวากำลังคุยเรื่องแฟนกันอยู่เลย เชสไม่ใช่ลูกชายของฉันค่ะ เขาเป็นลูกชายตัวน้อยของคาลวินและคินลีย์ พวกเขาแต่งงานกันเมื่อปีที่แล้วแล้วมีเชสตัวน้อยน่ารักคนนี้เป็นลูกน้อยคาลวินและฉันสนิทกันมากขึ้นตั้งแต่อุบัติเหตุ เหมือนกับกันเนอร์ เขายกโทษให้ฉัน และพวกเราก็สามารถสร้างมิตรภาพที่สวยงามได้คินลีย์เป็นผู้หญิงที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ เธอเข้ากับพวกเราทุกคนได้ เธอใจดีและน่ารัก และที่สำคัญที่สุด เธอทำให้คาลวินมีความสุขและปฏิบัติต่อกันเนอร์เหมือนลูกชายของเธอเอง"ไม่จ้ะ ไม่เคยเกินจริงเลย" เอวาแก้ตัว "น้าแค่อยากให้แม่หนูเล่าเรื่องทนายความน่ารักที่ที่ทำงานให้ฟังมากกว่านี้""ผมขอจบตรงนี้นะครับ ไปดีกว่า" เขาพูด ดูเหมือนจะขยะแขยงเล็กน้อย "แม่ดูน้องได้ใช่ไหมครับ หรือผมควรจะพาน้องไปด้วย?"“แม่สบายมากจ้ะ…ไปเล่นกับเพื่อน ๆ เถอะ”เขาพยักหน้าก่อนที่จะวิ่งไปหาโนอาและคนอื่น ๆ คาลวินใจดีพอที่จะแก้ไขข้อตกลงเรื่องการดูแลบุตร ตอนนี้พวกเราดูแลกันเนอร์ร่วมกัน ลูกอยู่กับคาลวินวันธรรมดาและใช้วันหยุดสุดสัปดาห์กับฉัน"เอาล่ะ กลับมาเรื่องผู้ชายน่ารักคนนั้นก่อนนะ
สามปีต่อมาเอมม่า"จริงจังนะ เอมม่า เมื่อไหร่เธอจะหาแฟนสักที?" เอวาเอ่ยถามพร้อมนั่งลงข้าง ๆ ฉันฉันมองออกไปที่สวนหลังบ้านและยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ วันนี้เป็นวันเกิดของเจมส์ลูกชายของทราวิสและเล็ตตี้ ซึ่งตั้งชื่อตามพ่อของพวกเราและเจมส์กำลังจะอายุครบหนึ่งขวบเล็ตตี้และทราวิสแต่งงานกันเมื่อประมาณสองปีที่แล้ว ทราวิสคุกเข่าขอเธอแต่งงานทันทีที่ฉันได้สติขึ้นหลังจากอุบัติเหตุที่เกือบจะพรากชีวิตฉันไป คุณอาจจะสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนขับรถคนนั้น เขาถูกจำคุกห้าปีในข้อหาขับรถโดยประมาท ฉันหวังว่าเขาจะได้รับบทเรียนนะกลับมาที่ทราวิสและเล็ตตี้ ฉันคิดว่าการเห็นฉันอยู่ในโรงพยาบาลทำให้เขารู้ว่าชีวิตสั้นแค่ไหน เขาขอเธอแต่งงานและเล็ตตี้ก็ตอบตกลง พวกเขาแต่งงานกันซึ่งเป็นงานแต่งงานฤดูใบไม้ผลิที่สวยงามตอนนี้ัฉันได้กลายเป็นเพื่อนกับเอวาก็เลยถูกดึงเข้ามาในวงจรนี้ด้วย คอนนี่และรีเปอร์แต่งงานกันแบบงานแต่งงานเล็ก ๆ ที่เป็นกันเองกับเพื่อนสนิทและครอบครัว สี่เดือนต่อมาทั้งสองก็อ้าแขนรับลูกสาวของพวกเขา เฮเวน ตอนนี้คอนนี่ก็กำลังตั้งครรภ์ลูกคนที่สองซึ่งเป็นลูกสาวอีกคนฮาร์เปอร์และเกเบรียลก็กำลังจะมีลูกด้วยกันอีก
"ไม่ไหวแล้ว! ฉันต้องเบ่งเดี๋ยวนี้" ฉันคำรามพร้อมจับเสื้อเกเบรียลไว้ฉันรู้สึกบ้าไปแล้ว เหมือนฉันเสียสติไปแล้ว ความเจ็บปวดกำลังทำให้ฉันบ้าไปแล้วจริง ๆโชคดีที่พวกเราไปถึงห้องคลอดก่อนที่ฉันจะคลอดลูกตรงทางเดินของโรงพยาบาล ฉันถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเดินไปถึงห้องคลอด และเจ้าหน้าที่ก็เริ่มเตรียมพร้อมให้ฉันเอวาอยู่ในห้องเรียบร้อย ฉันรู้สึกขอบคุณที่มีคนเข้าใจความรู้สึกตอนที่ช่องคลอดฉีกออกเป็นสองส่วนเพื่อให้เด็กตัวน้อย ๆ ออกมาดูโลก"ฉันไม่ไหวแล้ว" ฉันกัดฟันพูด ก่อนที่จะยกตัวขึ้นและเบ่งสุดแรงฉันสาบานว่าฉันรู้สึกเหมือนก้นจะแตกและมันก็เพิ่มความเจ็บปวดให้ฉันมากขึ้น"ความผิดคุณเลย!" ฉันกรีดร้องใส่เกเบรียลขณะที่จับมือเขาไว้แน่นฉันจ้องเขม็งไปที่เขา ลมหายใจถี่กระชั้น และรูจมูกบานออกเพื่อพยายามสูดอากาศเข้าไปในปอดให้ได้มากที่สุด"เตรียมนะ เธอ เบ่งเลย" เอวาเร่งเร้าฉันขณะที่เช็ดเหงื่อออกจากหน้าผากให้ฉัน "เกเบรียลไม่สำคัญแล้วตอนนี้""อ้าว ใจร้ายนะ เอวา" เกเบรียลพึมพำพร้อมจ้องเขม็งไปยังเอวา เธอจ้องเขม็งกลับราวกับจะบอกให้เขาหุบปากและทำตามน้ำไปฉันบีบมือพวกเขาเมื่อมดลูกหดตัวอีกครั้ง และฉันก็ออ
"สบายมากจ้ะ หมีน้อยลิลลี่ แม่กำลังจะคลอดลูก... จำที่แม่บอกหนูได้ไหมว่าอะไรจะเกิดขึ้นตอนถึงเวลาแบบนี้?"เธอพยักหน้า "ค่ะ แม่บอกว่าแม่จะเจ็บท้อง แต่หนูไม่ต้องห่วง เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้น้องเกิดมาค่ะ""ดีมากจ้ะ" ฉันเบ้หน้าเมื่อการหดเกร็งตัวจู่โจมฉันอีกครั้ง "นั่นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้ ดังนั้นอย่ากลัวไปนะจ๊ะ"เกเบรียลจับมือและช่วยให้ฉันเดินออกจากห้อง ฉันหายใจเข้าทางจมูกและหายใจออกทางปาก แต่พูดตามตรงมันไม่ได้ช่วยอะไรเลย"หนูแค่ไม่เข้าใจน่ะค่ะ ทำไมแม่ต้องเจ็บด้วย? ทำไมเด็กถึงออกมาจากท้องแม่ไม่ได้โดยไม่ทำให้แม่เจ็บล่ะคะ?"สิ่งที่ฉันไม่ต้องการที่สุดคือทำให้ลูกสาวหวาดกลัวโดยต้องอธิบายให้เธอฟังว่าความเจ็บปวดนั้นจำเป็นสำหรับการออกแรงเบ่งเด็กออกมาจากร่างกายฉัน เธอจะอยากรู้ว่าทำไมต้องเบ่งลูกออกมาด้วย และฉันจะต้องอธิบายว่าเพราะลูกตัวใหญ่และทางออกเล็กกว่า ดังนั้นการหดเกร็งตัวเหล่านั้นจึงจำเป็นสำหรับการเบ่งลูกออกมา จากนั้นเธอจะอยากรู้ว่าทางออกนั้นคืออะไร และฉันจะต้องบอกเธอว่าลูกออกมาทางนั้นอย่างไรเล่าอย่างที่คุณเห็น นั่นไม่ใช่บทสนทนาที่เธอเตรียมใจรับได้นัก เธอจะตกใจกลัวเมื่อรู้ว