วันแต่งงานของเย่ว์ลู่ยังไม่ถึงยามเฉิน ตงฟางหลีก็พานางมาถึงจวนอ๋องสาม นั่งในตำแหน่งที่ได้ระบุเอาไว้แล้วเหล่าผู้มีอำนาจและผู้สูงศักดิ์ในเมืองเหวินจิงต่างรู้สึกประหลาดใจกับงานแต่งอย่างกะทันหันนี้ยิ่งนักทว่า งานแต่งระหว่างท่านหญิงจากจวนหลูหยางอ๋องและจวนอ๋องสาม ทั้งยังเป็นงานแต่งที่ฮ่องเต้ทรงพระราชทาน
หวนนึกขึ้นได้ว่าบิดามารดาเสียชีวิตไปตั้งแต่เย่ว์ลู่ยังเด็ก นี่เป็นการคำนับให้แก่บิดามารดา ก็ต่างพากันถอนหายใจว่าเด็กคนนี้ช่างกตัญญูรู้ความอย่างไรก็ตามเมื่อถึงการคำนับครั้งสุดท้าย ยามที่สามีภรรยาคำนับกันและกัน เย่ว์ลู่กลับไม่คุกเข่าลงขุนนางพิธีการเอ่ยเตือนนางอยู่หลายครั้ง นางก็ยังนิ่งไม่ไหวติงเช่น
ท่านอ๋องสามก็มิคิดว่าเรื่องราวจะแปรเปลี่ยนมาเป็นเช่นนี้เขารู้ดีว่าเย่ว์ลู่จะทำอะไรลงไปโดยไม่เห็นแก่หน้าของเขา ทว่า เขามิคิดเลยว่าสตรีนางนี้จักกล้าก่อเรื่องต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ได้เรื่องอับอายขายขี้หน้าเช่นนี้ อีกไม่นานคงได้กระจายไปทั่วเมืองเหวินจิงเป็นแน่“เย่ว์ลู่ ข้ารู้ดีว่าเจ้ารู้สึกเสียใจม
“พอแล้ว” ท่านอ๋องสามยืนอยู่ตรงกลางระหว่างพวกนางด้วยใบหน้ามืดหม่นนั้น “เสด็จแม่ สมองของเย่ว์ลู่ได้รับการกระทบกระเทือน ท่านที่เป็นผู้ใหญ่อย่าไปคิดเล็กคิดน้อยอันใดกับนางเลยพ่ะย่ะค่ะ”“เย่ว์ลู่ เด็กดี เจ้าเห็นแก่หน้าข้าเสีย อย่าได้คิดก่อเรื่องก่อราวอีกเลย หากถึงเรือนหอเมื่อใดแล้ว เจ้าอยากจะด่าข้าตีข้า ก
ราชองครักษ์ภายในจวนอ๋องที่ถูกล่อลวงออกไปนั้น หลังจากที่รู้ว่าตนเองถูกหลอกจึงรีบร้อนกลับมาที่จวนอ๋องสามในทันทีพวกเขามิคิดเลยว่าภายในจวนจักมีขอทานมากมายเข้ามาเช่นนี้ พร้อมทั้งรีบร้อนไล่เหล่าขอทานออกไปในทันที ในยามนี้ ภายในห้องจัดงานเลี้ยงเต็มไปด้วยความโกลาหลวุ่นวาย พร้อมทั้งกลิ่นเหม็นหึ่งที่ลอยไปทั่
“มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ไม่ว่าจักทำอาชีพใด มีลักษณะนิสัยเช่นไร ล้วนแต่มีกลุ่มมีก้อนเป็นของตนเองทั้งนั้น ข้าคิดว่าขอทานเหล่านี้ก็จักต้องมีกล่อมของตนเองเช่นกัน” ฉินเหยี่ยนเย่ว์พลันถอนหายใจออกมา หากแต่พรรคยาจกนั้น มีอยู่ในเพียงนิยายกำลังภายในเท่านั้น นางเพียงแค่ฉุกคิดขึ้นมาได้เท่านั้นเองตงฟางหลีที่ตกอยู
“ให้ข้าหรือ?” ฉินเหยี่ยนเย่ว์เปิดออกดู ลายมือด้านบนมีความวุ่นวายยิ่งนัก อีกทั้งตำราเล่มนี้ดูเก่าไปหน่อย“นี่คือสิ่งที่ท่านนักพรตเต๋าเทียนหลิงทิ้งเอาไว้” ตงฟางเจวี๋ยกล่าว “บางส่วนถูกรวบรวมมาจากที่ต่าง ๆ โดยเฟยจิ้ง และมีบางส่วนข้าเป็นคนรวบรวมมาจากสถานที่ต่าง ๆ”ฉินเหยี่ยนเย่ว์เลิกคิ้วเล็กน้อยหลินเฟยจ
“หม่อมฉันไม่ใช่นางจริง ๆ มิใช่ว่าท่านรู้มานานแล้วหรือ? หม่อมฉันเป็นศิษย์ของนักพรตเต๋าเทียนหลิง นี่มิใช่ว่าท่านวางแผนเรื่องนี้เองกับมือหรือ?” นางกล่าวตงฟางหลีคลี่รอยยิ้มอย่างขมขื่นคราแรกเพื่อให้เสด็จพ่อยอมรับการเปลี่ยนแปลงของนาง และเพื่อให้เหตุผลที่สมเหตุสมผลในการมีชีวิตอยู่ต่อไปกับนาง ถึงได้คิดกลอ
ฉินเหยี่ยนเย่ว์มิได้คำตอบกลับ อารมณ์ไม่ดีนัก จึงดึงผ้าห่มขึ้นคลุมศีรษะ ไม่สนใจตงฟางหลี“เลิกคลุมได้แล้ว” ตงฟางหลีถืออาภรณ์ตัวใหม่มา ก่อนจะช่วยสวมให้นางอย่างเบามือฉินเหยี่ยนเย่ว์ยังคงพูดพึมพำนางดึงตัวตงฟางหลีเข้ามา “พี่เจ็ด ท่านไม่คิดว่าท่านทำเกินไปบ้างหรือ?”ตงฟางหลีฉวยโอกาสนี้โอบนางไว้ในอ้อมแขน “
ฉินเหยี่ยนเย่ว์ที่อยู่ในความฝันไม่ได้ยินเสียง ทว่ากลับได้กลิ่นที่คุ้นเคยนั้นนั่นเป็นกลิ่นที่ทำให้คนสงบจิตใจได้ฉินเหยี่ยนเย่ว์ผ่อนคลายลงโดยไม่รู้ตัวนางพลิกตัว และใช้มือตีคนข้าง ๆ อย่างแรง“ยัยหนู!”ใบหน้าของตงฟางหลีทะมึนทึน “ท่านอนของเจ้านี่!”ฉินเหยี่ยนเย่ว์ได้ยินสิ่งที่ตงฟางหลีกำลังพูดไม่ค่อยชัด
เมื่อคิดว่านางอาจจะจากไป เมื่อคิดว่าจะสูญเสียนางไป เมื่อคิดถึงภาพเหตุการณ์ในแต่ละเหตุการณ์ที่ไม่มีนางอยู่ด้วยแล้ว เขาไม่สามารถยอมรับได้เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหากนางทิ้งเขาไป เขาจะสามารถทำอะไรได้บ้าง“ยัยหนู” เขาก้มหน้าลง แล้วกดหน้าผากลงบนหน้าผากของนาง “ข้ากลัวมาก จนถึงตอนนี้มือข้ายังสั่นอยู่เลย จนกระทั
ตู้เหิงคิดถึงสุ่ยเยียนที่เย็นชาและไม่ชอบพบปะผู้คน หัวใจก็คันยุบยิบยิ่งสุ่ยเยียนไม่สนใจเขามากเท่าใด เขาก็ยิ่งอยากเข้าใกล้มากขึ้นแม้ว่าจะถูกนางจ้องเขม็ง แต่เขาก็สามารถมีความสุขไปได้อีกครึ่งวันในฐานะบุรุษสง่าผ่าเผย จะต้องยึดมั่นจนถึงที่สุด ไม่ละทิ้งกลางคัน ที่สำคัญกว่านั้นคือต้องรักษาตนให้บริสุทธิ์ด
“ไปทำตามที่พระชายาบอก” ตงฟางหลีรับช่วงต่อ “ข้าจะไปขอประทานอภัยจากเสด็จพ่อ เจ้าออกไปเตรียมตัวก่อนเถอะ”หลี่เวยหลิงลังเลมากการจุดไฟเผาในพระราชวัง เป็นเรื่องที่พระชายาอ๋องเจ็ดเท่านั้นที่กล้าทำทว่า นอกจากการเผาแล้ว ดูเหมือนจะไม่มีวิธีอื่นแก้ปัญหาที่ดีเลยเขารับคำสั่งแล้วออกไปตงฟางหลีมองไปที่ห้องโถงให
พระสนมเหยามองดูท่าทางของป้าหวนแล้วหันหลังกลับแม้ว่านางไม่มีวรยุทธ์ แต่ก็มองออกว่าชีพจรหัวใจของป้าหวนปริแตกแล้ว คงไม่รอดแล้วถูกผิด บุญคุณความแค้น จบลงเมื่อตายป้าหวนถือม้วนหนังวัวไว้ติดกับหัวใจราวกับกำลังถือสมบัติล้ำค่าอยู่สุดท้ายชีพจรหัวใจที่ตัดบัวยังเหลือใยถูกทำลาย เนื่องจากการจู่โจมของยาคลั่งสง
“เจ้าพูดเหลวไหล” ป้าหวนเอ่ยขัดคำพูดของนาง “นี่เป็นไปไม่ได้ คนอย่างพวกเขา จะตามหาข้าได้อย่างไร?”“ตอนที่ข้าถูกคนทรมานอย่างไร้มนุษยธรรม พวกเขาอยู่ที่ไหน? ตอนที่ข้าต้องการพวกเขามากที่สุด พวกเขาอยู่ที่ไหน? จนถึงตอนนี้เจ้ายังมาพูดคำสวยหรูอะไรอีก”“เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่า เจ้าได้สังหารคนหลายร้อยคนในครอบครัว
พระสนมเหยาค่อย ๆ เดินออกมาจากห้องลับทั่วร่างของนางเต็มไปด้วยเลือด และไม่สามารถมองเห็นสีดั้งเดิมของเสื้อผ้าได้เลยร่างกายอ่อนแอมาก ต้องมีชื่อเจี้ยนประคองถึงจะสามารถฝืนยืนได้“สนมเหยา” ฉินเหยี่ยนเย่ว์เห็นว่านางยังมีชีวิตอยู่ หัวใจที่แขวนไว้กลางอากาศก็ร่วงหล่นลงมา “พระองค์อย่าขยับ ยังต้องพักฟื้นอย่างร
ป้าหวนฝืนร่างกายตนถอยหลังไปสองสามก้าว และกระอักเลือดออกมาสองสามคำ“พวกท่าน!” หลังจากที่จิตใจของป้าหวนสับสนวุ่นวาย จึงเต็มไปด้วยช่องโหว่ นางถูกตงฟางหลีโจมตี และชีพจรหัวใจก็ได้รับผลกระทบเลือดลมชี่สูบฉีดพุ่งสูงขึ้น ชีพจรหัวใจถูกจำกัด และลมหายใจผิดปกติเมื่อรู้ว่านางไม่สามารถเอาชนะพวกเขาได้ จึงยัดยาคลั