เยี่ยนเยว่ฉีมองไปรอบถ้ำใต้น้ำตกจำลองซึ่งถูกสร้างขึ้นอย่างสวยงาม มีทางเดินทอดยาวสู่พื้นหินที่ยกสูงขึ้นเสมือนเป็นเกาะกลางน้ำ ด้านบนมีตั่งหินและโต๊ะสำหรับวางขนมกับน้ำชา นี่คงเป็นสถานที่สำหรับนั่งพักผ่อนขณะเดินเล่นภายในสวน
เสียงน้ำตกจากภายนอกไม่ได้ดังรบกวนอย่างที่คิด ถ้าสังเกตให้ดี ถ้ำนี้ถูกออกแบบมาให้ระบายอากาศและยังมีช่องรับแสงสว่างอีกด้วย
ดวงอาทิตย์สาดส่องลำแสงอันอบอุ่นเข้ามาภายในถ้ำ ต้องกระทบผิวน้ำปรากฏเป็นเงาระยิบระยับงดงามพลิ้วไหว
มู่เลี่ยงหรงยืนหันหลัง ในมือถือขลุ่ยหยกของนางเอาไว้
เนื่องจากเยี่ยนเยว่ฉีมีพี่ชายรูปงามราวเทพเซียนอย่างเยี่ยนจิ้นหลิง มาตรฐานบุรุษในใจของนางจึงสูงตามไปด้วย ในระหว่างที่ย่างเท้าไปตามทางเดินหินหญิงสาวจึงอดลอบพิจารณาบุรุษเบื้องหน้าไม่ได้
ฉินอ๋องสูงส่งสง่างาม ใบหน้าหล่อเหลาเหมือนถูกสลักมาอย่างละเอียดลออ ถึงแม้จะดูเย็นชาอยู่บ้าง แต่กลับทำให้โฉมสะคราญประหม่าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับเขาเพียงลำพังหัวใจดวงน้อยพลันเต้นระรัว
ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำมากขึ้นเท่าใด มือของนางก็เย็นเฉียบขึ้นทุกขณะ
หญิงสาวทั้งตื่นเต้นระคนหวาดหวั่นในหัวใจ
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า มู่เลี่ยงหรงจึงหันหลังมาอย่างช้า ๆ เห็นเยี่ยนเยว่ฉีเยื้องกรายเข้ามาหยุดยืนห่างออกไปเพียงหนึ่งจั้ง บุรุษร่างสูงใช้ดวงตาเข้มลึกพิจารณาไปทั่วเรือนร่างอันอวบอิ่มราวกับว่าจะมองให้ทะลุ
เนื่องจากถูกฟูมฟักมาอย่างทะนุถนอมยิ่ง ถึงจะมีโอกาสพบพานบุรุษอยู่บ้างตอนที่จวนแม่ทัพจัดงานเลี้ยงที่เมืองหานจี แต่ก็ยังไม่เคยมีคุณชายบ้านใดมองนางด้วยสายตาร้อนแรงถึงเพียงนี้ นัยน์ตาคมกริบทำให้หญิงสาวรู้สึกเหมือนกำลังถูกลูบโลบไปทั่วกายจนสั่นสะท้าน ใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นทุกขณะ
“คารวะฉินอ๋อง หม่อมฉันมารับขลุ่ยหยกคืนตามคำเชิญในจดหมายเพคะ” เสียงของนางทำลายบรรยากาศกระอักกระอ่วนเมื่อครู่
“อืม...เราคืนให้เจ้าแน่” มู่เลี่ยงหรงปรายสายตามองขลุ่ยหยกในมือ “เมื่อครู่เราลองเป่าขลุ่ยของเจ้า แต่ว่ามันไร้เสียง เกรงว่ามันคงตกเสียหายแล้วกระมัง” ชายหนุ่มแสร้งพูดเหมือนไม่รู้อะไร
“เรียนท่านอ๋อง ขลุ่ยของหม่อมฉันไม่ได้เสียหาย แต่เพราะทำขึ้นเป็นพิเศษ ต้องฝึกฝนและเป่าอย่างถูกวิธีจึงจะสามารถบรรเลงให้มีเสียงไพเราะได้เพคะ” เยี่ยนเยว่ฉีตอบอย่างตรงไปตรงมาไม่ปิดบัง
“เราเองก็ชื่นชอบดนตรี อีกทั้งยังร่ำเรียนมาไม่น้อย ในจวนก็มีขลุ่ยสั่งทำพิเศษอยู่หลายแบบ หรือคุณหนูเยี่ยนคิดว่าเราด้อยฝีมือจึงไม่สามารถเป่าขลุ่ยเลานี้ได้” ฉินอ๋องกล่าวเสียงเข้ม แกล้งทำเป็นมีโทสะ
“หม่อมฉันมิบังอาจ ท่านอ๋องทรงปรีชา ผู้คนในใต้หล้าต่างรู้ดี แต่เป็นเพราะขลุ่ยเลานี้อาจารย์ของหม่อมฉันเป็นผู้สร้าง ต้องอาศัยกำลังภายในเล็กน้อยจึงจะเป่าให้มีเสียงดังได้” หญิงสาวก้มศีรษะเล็กน้อย แสดงกิริยานอบน้อมราวกับต้องการขออภัย
“เราไม่เคยรู้เลยว่ามีวิธีการเป่าขลุ่ยแบบนี้อยู่ด้วย”
“หากไม่เชื่อ ท่านอ๋องก็ลองดูใหม่สิเพคะ แต่อาจจะบรรเลงเป็นเพลงยากอยู่เสียหน่อย หม่อมฉันเองต้องร่ำเรียนอยู่นานจึงสามารถเล่นเป็นบทเพลงอันไพเราะได้” สตรีเจ้าของขลุ่ยเงยหน้าขึ้นสบนัยน์ดวงตาเหยี่ยวของอีกฝ่าย รอยยิ้มแสนนุ่มนวลประทับอยู่บนใบหน้า
กิริยาของนางทำให้มันหัวใจบุรุษคันยุบยิบ เต้นเป็นจังหวะถี่รัว ทั้งที่ปกติเขาเป็นคนสุขุมเยือกเย็น แต่ครานี้กลับร้อนรุ่มจนแทบทนไม่ไหว
‘มารดามันเถอะ! นางเป็นภูตพรายหรืออย่างไร เหตุใดข้าจึงหวั่นไหวถึงเพียงนี้ ไม่ได้เด็ดขาดมู่เลี่ยงหรง เจ้าต้องไม่หลงเล่ห์แห่งสตรีง่ายดายเช่นนี้’
ฉินอ๋องพยายามข่มใจอย่างสุดความสามารถเยี่ยนเยว่ฉียังคงส่งยิ้ม แต่แอบลอบบิดผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดอยู่ใต้แขนเสื้อ ยามช้อนสายตาขึ้นมองบุรุษชุดดำคราใด ก็เห็นเขาเพียรจดจ้องนางไม่วางตา ตอนนี้หน้านางร้อนไปหมดแล้ว นึกอยากให้เขาตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง
‘ท่านอ๋อง ท่านจะเป่าก็เป่า จะคืนก็คืนเสียทีเถิด หากอยู่ด้วยกันสองต่อสองไปเรื่อย ๆ คงอันตรายต่อความรู้สึกเป็นแน่’
ในขณะที่เยี่ยนเยว่ฉีว้าวุ่น มู่เลี่ยงหรงเองก็รู้สึกเหมือนกำลังจะพ่ายแพ้ เพียงสตรีตรงหน้ายกมืองามดุจลำเทียนขึ้นลูบปิ่นปักผมจนเห็นเรียวแขนขาวราวหิมะ ใบหูของเขาก็ร้อนขึ้นทันที
‘นี่ข้ากำลังเขินอายผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ หึ! เป็นอย่างไรก็เป็นกัน หวั่นไหวแล้วอย่างไร นางเป็นว่าที่หวางเฟยของจวนฉินอ๋องอยู่แล้ว ยังไงข้าก็มีสิทธิ์เต็มที่ วันนี้จะเกี้ยวว่าที่พระชายาของตนเองสักครั้งก็คงไม่เสียหายกระมัง’
ชายหนุ่มตัดสินใจจรดริมฝีปากบางบนขลุ่ยหยก หลุบตาลงเล็กน้อย เขาตั้งสมาธิแล้วปลดปล่อยลมปราณสู่เครื่องดนตรีอันแสนพิเศษ ฉับพลันก็บังเกิดเสียงขลุ่ย
บทเพลงรักนกยวนยางล่องลอยกังวานไปทั่วถ้ำหิน แม้เสียงจะยังไม่คงที่ แต่ก็มากพอให้เยี่ยนเยว่ฉีตื่นตะลึงระคนประทับใจ นางนึกไม่ถึงว่าฉินอ๋องจะสามารถเป่าขลุ่ยพลิ้วพรายเป็นเพลงได้ตั้งแต่ครั้งแรก
นัยน์ตาดอกท้อทอประกายชื่นชมส่งไปให้บุรุษตรงหน้า พลางคิดในใจว่าจะดีสักเพียงใดหากเนื้อคู่ของนางจะเป็นชายผู้องอาจและมากความสามารถอย่างบุรุษผู้นี้
มู่เลี่ยงหรงพยายามควบคุมลมปราณ แต่ขลุ่ยหยกเลานี้ก็เป่ายากเสียจริง ถึงอย่างนั้นเขาก็ทำอย่างตั้งใจ ด้วยพยายามจะถ่ายทอดความรู้สึก และความปรารถนาที่กำลังท่วมท้นผ่านเพลงรักนกยวนยางอันเลื่องชื่อ ซึ่งบุรุษนิยมใช้เพลงรักนี้เกี้ยวพาอิสตรี
‘ช่างน่าอาย...แต่ข้าก็ยินดี เยี่ยนเยว่ฉีเจ้าจงภูมิใจเถิด องค์ชายเช่นข้าไม่เคยกระทำเพื่อสตรีใดถึงเพียงนี้’
โดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้ กระแสกระสันจากขลุ่ยวิเศษแผ่กระจายไปอย่างเชื่องช้า จนในที่สุดเยี่ยนเยว่ฉีถูกรายล้อมเอาไว้ด้วยมนต์ตราแห่งบุรุษเพศ
ยามนี้คลื่นอารมณ์ปั่นป่วนรุนแรงถาโถมสู่กายนาง พลังจากความต้องการอันร้อนแรงนี้ฉุดรั้งนางให้จมดิ่งสู่ความปรารถนาของผู้บรรเลงเพลงรักโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
เยี่ยนเยว่ฉีโดนพลังปราณผสานกับอำนาจของขลุ่ยวิเศษก่อให้เกิดความรู้สึกร้อนรุ่มยากจะอธิบาย ความวาบหวามหวั่นไหวเข้าจู่โจมพาให้เรี่ยวแรงหดหายแทบจะหมดสิ้น ขาเรียวงามของนางพลันอ่อนยวบ
ครั้นมู่เลี่ยงหรงสังเกตเห็นสตรีตรงหน้าเกิดอาการผิดปกติเขาจึงหยุดเป่าขลุ่ยทันที ร่างสูงปราดเข้าไปรับร่างบางสู่อ้อมแขนได้ทันท่วงทีเขาไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดหญิงสาวถึงได้หมดเรี่ยวแรง จึงได้แต่ประคองนางไว้ในอ้อมแขน แล้วใช้อีกมือหนึ่งลูบแก้มนวลอย่างห่วงใยร่างงามนุ่มนิ่มหอมกรุ่นอ่อนระทวยพิงอกแกร่ง ใบหน้านางแดงเรื่อจนถึงใบหู เสียงหายใจหอบกระชั้นดังชัดเจน นัยน์ตาฉ่ำปรือ ริมฝีปากสีแดงสดเผยอออกเล็กน้อยราวกับกำลังเชื้อเชิญให้เขาเข้าครอบครองผ่านไปครู่หนึ่งนางยังคงเหมือนคนไร้สติสิ้นเรี่ยวแรง ชายหนุ่มจึงตวัดแขนอุ้มร่างขึ้นแนบกาย เขาพาหญิงสาวไปยังตั่งหินแล้วนั่งลง ส่งผลให้ยามนี้เยี่ยนเยว่ฉีนั่งอยู่บนตักแกร่ง มู่เลี่ยงหรงจดจ้องโฉมสะคราญในอ้อมแขนอย่างไม่วางตา กิริยาช่างยั่วยวนชวนให้เขาตกตะลึง ต้องลอบกลืนน้ำลายด้วยรู้สึกว่าคอนั้นแห้งผาก‘นางกำลังเชิญชวนข้าอยู่อย่างนั้นหรือ’เมื่อเห็นว่าหญิงสาวยินดีอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างเต็มใจ เขาก็ไม่สามารถควบคุมตนเองได้อีก ความสุขุมเยือกเย็นที่เคยมีพลันสลายไปจนสิ้น ในที่สุดเขาจรดริมฝีปากแนบปากอันอวบอิ่มลิ้นร้อนตวัดไล้เลียกลีบปากสีกุหลาบอย่างแผ่วเบา จากนั
ครั้นนึกถึงยามพบกันที่ใต้ต้นหลิว บุตรสาวท่านกั๋วกงก็ไม่มีท่าทีอยากจะกระโจนสู่อ้อมอกของเขาเสียหน่อย แต่ก็เป็นไปได้ว่าเยี่ยนเยว่ฉีอาจจะเขินอายเมื่อมีคนอื่นอยู่ด้วย หรือไม่นางอาจจะประทับใจบทเพลงรักนกยวนยางกระมังเพราะเมื่อครู่เขาเองก็พยายามส่งกระแสความรู้สึกอันท่วมท้นไปถึงนาง ‘นางชอบข้างั้นรึ’เขาคิดเข้าข้างตัวเอง ยิ่งหวนนึกถึงสายตาหวานหยาดเยิ้มที่นางส่งให้ที่ใต้ต้นหลิวจึงทำให้รู้สึกมั่นใจขึ้นหลายส่วนหากนางพึงใจในตัวเขาเช่นกัน การแต่งงานย่อมเกิดจากความเต็มใจ เท่ากับไม่ต้องบังคับขู่เข็นใครทั้งสิ้น รอยยิ้มอย่างหาได้ยากจึงปรากฏบนใบหน้าของฉินอ๋อง“เสี่ยวเยว่...เจ้าชอบเพลงรักของเรามากหรือ” มู่เลี่ยงหรงกระซิบถามนางพร้อมเรียกขานด้วยชื่อ แอบหวังว่านางจะมีใจให้ดั่งที่เขาคิด“ทะ...ท่านอ๋องเล่นได้ดีจนหม่อมฉันตกใจ ไม่คิดว่าคนที่เพิ่งจับขลุ่ยพลิ้วพรายครั้งแรกจะเป่าเป็นเพลงที่...ที่…” เยี่ยนเยว่ฉีนิ่งเงียบ นางไม่กล้าบอกชายหนุ่มว่าพอได้ฟังเพลงของเขาก็เกิดความรู้สึกหวามไหวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก จนปล่อยตัวปล่อยใจให้ท่านอ๋องเชยชิมริมฝีปากและต้องตกอยู่ในอ้อมกอดของบุรุษตัวโตอย่างเช่นในยามนี้นางไม
“ฮือ... ปล่อยนะ ถ้าหม่อมฉันไร้ยางอายแล้วมากอดทำไมกัน ถ้าหม่อมฉันเหมือนสตรีที่อยากปีนขึ้นเตียงท่านพวกนั้น...แล้วจะมาจูบทำไม ในเมื่อเหยียดหยามกันขนาดนี้ ทำไมท่านอ๋องไม่เมินหม่อมฉันไปเสียเลย”เห็นนางตัดพ้อร้องไห้สะอึกสะอื้น มู่เลี่ยงหรงก็ปวดใจอย่างบอกไม่ถูก สตรีนางนี้ช่างบอบบางยิ่งนัก ขนาดร้องไห้ก็ยังงดงามราวดอกสาลี่ที่ต้องฝน แล้วผู้ใดเล่าเมื่อได้เห็นภาพนี้จะทนใจแข็งอยู่ได้อีกชายหนุ่มรวบมือเรียวบางที่กำลังทุบอกเขาเอาไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียวแล้วโน้มคอลงประทับจูบบนเปลือกตาอย่างแผ่วเบาราวสัมผัสของปีกแมลงปอ ใช้ริมฝีปากดูดซับน้ำตาของนางเพื่อปลอบประโลม จมูกโด่งรั้นลากไล่ลงมาบนแก้มนวลมู่เลี่ยงหรงชะงักไปครู่หนึ่ง ลมหายใจร้อนเริ่มกระชั้นถี่ สุดท้ายก็พ่ายแพ้ต่อแรงดึงดูดอันมหาศาล ท่านอ๋องตัดสินใจครอบครองริมฝีปากสีแดงระเรื่อของนางอีกครั้ง เหยียนเยว่ฉีต่อต้านโดยการเม้มปากเอาไว้แน่น พยายามครองสติของตนไว้ไม่ให้หวั่นไหวไปกับการล่อลวงอันแสนวาบหวามนี้ เขายังคงคิดว่านางมีใจเพียงแต่ขวยอายอยู่เท่านั้น“อืม...เด็กดี อย่าปากแข็งอีกเลย จะเอียงอายไปไย เจ้าไม่ได้ชอบเราแม้สักนิดเลยหรือ” มู่เลี่ยงหรงกระซิบชิดริม
ได้ยินคำของฉินอ๋อง เยี่ยนเยว่ฉีคิดว่าตนต้องถูกประหารแน่ นางจึงตัดสินใจโผเข้าไปกอดขาชายหน่มหวังให้เขาคลายโทสะลงก่อน มิเช่นนั้นท่านพ่อคงเดือดร้อนไปด้วยมู่เลี่ยงหรงเบิกนัยน์ตาด้วยความตกใจ สตรีผู้นี้จะเล่นเล่ห์อะไรอีก“หม่อมฉันเพียงตกใจกลัวซูจิ้งเป็นอันตราย ท่านอ๋องอย่าเกลียดเยว่ฉีนะเพคะ”“ปล่อยเปิ่นหวางเดี๋ยวนี้” มือแข็งแรงดันไหล่น้อย ๆ ของหญิงสาว เขาออกแรงไม่มาก เพียงแค่อยากรักษาระยะห่าง ด้วยไม่อาจเดาใจสตรีที่กำลังเปลี่ยนท่าที แต่ความโกรธที่พวยพุ่งขึ้นเมื่อครู่กลับค่อย ๆ มลายหายไปอย่างประหลาด เขาไม่อาจเชื่อได้ว่าตนเองจะสามารถตัดใจจากสตรีผู้นี้ได้เลย‘ให้ตายเถอะ เยี่ยนเยว่ฉี หากเจ้าไม่ยอมปล่อยมือเสียตอนนี้ ข้าสาบานว่าจะไม่รามือจากเจ้าอีกต่อไปเช่นกัน’“ไม่เพคะ ท่านอ๋องจะไม่เมตตาเยว่ฉีจริง ๆ หรือ” นางช้อนนัยน์ตาหวานซึ้งขึ้นสบกับเขาแล้วกัดริมฝีปากภาพตรงหน้าทำให้ชาติบุรุษถึงกับหายใจไม่ออก เห็นนางเศร้าสร้อยจิตใจก็อ่อนวูบ อย่างไรก็ตามเขาไม่มีทางให้นางได้ล่วงรู้ถึงความอ่อนไหวที่กำลังก่อตัวขึ้น“ปล่อย...เปิ่นหวางจะไม่ฟังอะไรอีกแล้ว พอกันที” ขาขยับถอยออกเล็กน้อย แต่มือนุ่มนิ่มนั้นยึดชายชุดคลุมส
มู่เลี่ยงหรงก้าวออกจากถ้ำ ปรับสีหน้ากลับมาเป็นอ๋องผู้สูงส่งและเยือกเย็น ฝ่ายเยี่ยนเยว่ฉีมองซ้ายมองขวาหาซูจิ้ง พอเห็นดังนั้น เขาจึงใช้ลมปราณช่วยเปล่งเสียงดังออกไป“ซิ่นเฉิง! นำคนของคุณหนูเยี่ยนกลับมา”เพียงไม่นานชายผู้หนึ่งก็เดินนำหน้าซูจิ้งออกมาจากสวนอีกด้านสาวใช้ตัวน้อยเอาแต่เดินก้มหน้าก้มตาตามหลังคนผู้นั้นมาอย่างเงียบ ๆ ยามนางเดินเข้ามาใกล้พอสมควร ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นใบหน้าของฉินอ๋อง ครั้นนึกถึงคำที่ตนก่นด่าซิ่นเฉิงกับ ‘นายท่าน’ ของเขาใบหน้าพลันซีดเผือด มีเหงื่อเม็ดน้อย ๆ ผุดขึ้นบนหน้าผาก แต่พอหวนคำนึงเรื่องน่าอายของตนเองกับองครักษ์หนุ่ม ซูจิ้งก็กลับมาหน้าแดงซ่านอีกครั้งเยี่ยนเยว่ฉีเห็นสาวใช้คนสนิทมีท่าทีแปลก ๆ เดี๋ยวหน้าซีดเดี๋ยวหน้าแดง ก็รีบเข้าไปถามด้วยความห่วงใย“ซูจิ้งเจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม เขาทำอะไรรุนแรงกับเจ้าหรือเปล่า”“มะ...ไม่มีอะไรเจ้าค่ะคุณหนู” ซูจิ้งก้มหน้าตอบไม่ยอมสบตาผู้เป็นนายมองสาวใช้ของตนสลับไปมากับองครักษ์ “ทำไมเจ้าเอาแต่ก้มหน้าก้มตา บอกข้ามาเขาทำร้ายเจ้าหรือไม่ ถ้าเขาแตะต้องเจ้า ข้าจะขอให้ท่านอ๋องลงโทษคนผู้นี้อย่างสาสม”“ไม่มีอะไรจริง ๆ เจ้าค่ะคุณหนู องครักษ์ซิ
‘น่าอายนัก นี่ข้าคิดอะไรอยู่ ท่านอ๋อง ข้าเพิ่งเจอนางแค่ครั้งเดียวจะไปรู้ได้อย่างไรว่าชอบนางหรือเปล่า’ ซิ่นเฉิงได้แต่ร่ำร้องอยู่ในใจเพียงผู้เดียวเมื่อแยกกับมู่เลี่ยงหรงที่ภูเขาจำลองแล้ว เยี่ยนเยว่ฉีกับซูจิ้งก็มุ่งหน้ากลับไปร่วมงานชมดอกเหมยเพื่อเตรียมการแสดงอย่างไม่รอช้าสาวใช้ร่างเล็กประคองผู้เป็นนายไปเดินเคียงกันตามเส้นทางอันสวยงามของอุทยานหลวงอย่างเงียบเชียบ ถึงแม้จะรู้สึกสนใจใคร่รู้สถานการณ์เมื่อครู่ของกันและกัน แต่ก็ไม่มีผู้ใดเอ่ยอะไรแม้แต่ครึ่งคำขณะกำลังเดินข้ามหนึ่งในบรรดาสะพานมากมายของสวนอันใหญ่โต เยี่ยนเยว่ฉีพลันนึกถึงเรื่องเมื่อหลายวันก่อนเยี่ยนจิ้นหลิงแจ้งถึงชะตาที่นางไม่อาจเลี่ยงได้ฟังคราแรกนางก็ร้องไห้ฟูมฟายเสียยกใหญ่ ด้วยตีความทั้งหมดไปเองว่าตนคงไม่อาจพ้นการถูกคัดเลือกไปเป็นพระสนมในวังหลังนางทบทวนเหตุการณ์ในวันนี้ ก็เห็นว่าตนเองน่าจะคาดเดาคำทำนายของพี่ชายผิดไปเสียแล้ว เพราะตั้งแต่เหยียบย่างเข้ามาในวังหลวง บุรุษเพียงผู้เดียวที่นางได้ใกล้ชิดมีเพียงฉินอ๋องเท่านั้นเมื่อนึกถึงใบหน้าหล่อเหลาของชายผู้เอาแต่ใจ เยี่ยนเยว่ฉีพลันหน้าแดงขึ้นมาอีกครา ท่านอ๋องผู้นี้ช่างเผด็จการยิ่
สิ้นคำสั่งผู้เป็นนาย องครักษ์หนุ่มชักอาวุธประจำกายแล้วพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เพลงดาบของซิ่นเฉิงนับเป็นสุดยอดวิชา ความสามารถอยู่ในระดับผู้เยี่ยมยุทธ์ ดังนั้นหากเป็นคนฝีมือธรรมดาย่อมไม่สามารถต่อกรกับชายชุดเทาผู้นี้ได้เลยเยี่ยนจิ้นหลิงกลั้วหัวเราะเสียงดัง วิ่งหลบคมดาบอันว่องไวปานสายลมอย่างสนุกสนานคนหนึ่งหนีคนหนึ่งตามทุก ๆ ครั้งที่ซิ่นเฉิงตวัดแขนฟาดฟัน เขาจะหลบได้ทันอย่างเฉียดฉิว เป็นภาพน่าหวาดเสียวยิ่งนัก“อะ...ข้ากลัวนะ” จิ้งจอกหนุ่มวิ่งหนีไปรอบ ๆ แต่สีหน้าแววตาไม่มีความตระหนกเลยสักนิด แถมยังหัวเราะเยาะหยันองครักษ์เบาๆ อีกด้วยเวลาผ่านไปราวครึ่งก้านธูป การเล่นไล่จับนี้ก็ยังไม่มีทีท่าจะจบลง มู่เลี่ยงหรงหงุดหงิดเป็นอย่างยิ่ง รู้สึกว่าตนกำลังถูกเยี่ยนจิ้นหลิงหยามเกียรติเข้าให้แล้วฉินอ๋องรวบรวมลมปราณบนฝ่ามือแล้วซัดใบไม้กลุ่มหนึ่งใส่เยี่ยนจิ้นหลิงทันที โดยเน้นที่จุดตาย...กุนซือหนุ่มหมุนตัวหลบ ‘อาวุธลับ’ อันหลอมรวมพลังคมกริบซึ่งพุ่งเข้ามาหมายเอาชีวิตตนเองไว้ได้ทัน แต่ผมสีเงินปอยหนึ่งถูกตัดขาดร่วงหล่นกระจัดกระจายเยี่ยนจิ้นหลิงหยุดหัวเราะแล้วเหลือบมองมู่เลี่ยงหรงด้วยสายตาเย็นยะเย
“หากน้องสาวของกระหม่อมมีวาสนาจะไม่ให้ยินดีได้อย่างไร” เยี่ยนจิ้นหลิงพูดพลางคลี่พัดในมือแล้วโบกด้วยท่วงท่าสง่างาม“แล้วอย่างไรเล่า หากไม่ยินดีเราก็มีวิธีให้เจ้าเปลี่ยนใจตั้งมากมาย”“กระหม่อมคิดว่าพวกเราควรจะสมัครสมานสามัคคีกันเอาไว้จะดีกว่า น้ำหนักของจิ้นหลิงในใจเยว่ฉีนั้นไม่น้อยเลยทีเดียว” รอยยิ้มที่บนใบหน้าสะท้อนความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม“เราไม่จำเป็นต้องเชื่อใจคนหลอกลวงเช่นเจ้า”“กระหม่อมหลอกลวงอันใด”“เจ้ามีวรยุทธ์แต่กลับมุสาว่าไม่มี”“มิได้ ท่านอ๋องเข้าใจผิดแล้ว ที่ผ่านมากระหม่อมไม่เคยพูดว่าตนเองไม่มีวรยุทธ์เลยสักครั้ง เป็นผู้อื่นพากันเล่าลือไปเองต่างหาก” เขาแสร้งทำท่าเหนื่อยหน่าย มือยังคงสะบัดพัดหยกม่วงไม่หยุด“เจ้าจิ้งจอกเงินจอมเจ้าเล่ห์” มู่เลี่ยงหรงยังคงไม่เชื่อถือบุรุษตรงหน้า“กระหม่อมจะถือว่านั่นเป็นคำชม แต่ท่านอ๋องลองตรองดูสักนิดเถิด คำเล่าลือนั้นจะหาความจริงได้มากน้อยสักเพียงไหน หากผู้คนพากันพูดว่าท่านอ๋องมีนิ้วมือเก้านิ้ว นั่นจะถือว่าเป็นความจริงอย่างนั้นหรือ”“แล้วเพราะเหตุอันใด ที่ผ่านมาจึงไม่เคยมีผู้ใดพูดถึงเรื่องวรยุทธ์ของเจ้า”“เป็นเพราะกระหม่อมถนัดการใช้สมองมากกว่าก
มู่เลี่ยงหรงแทรกกายเข้าไปใกล้ชิดแนบสนิทยิ่งกว่าเก่า เยี่ยนเยว่ฉีเพิ่งตระหนักว่าตนกำลังอยู่ในท่วงท่าอันแสนน่าอาย มือทั้งสองโอบคอแกร่ง สองขาเกี่ยวกระหวัดรัดเอวสอบของเขาไว้แน่น หญิงงามแรกแย้มหน้าแดงซ่านด้วยความกระดากอาย นางจึงซุกหน้าลงกับอกเขา หวังว่าอีกฝ่ายจะมองไม่เห็นสีหน้าของตนเองในยามนี้บุรุษผู้เหิมเกริมจึงได้โอกาสใช้ปากกัดกระตุกสายเอี๊ยม ผ้าเนื้อบางเบาไหลหล่นพ้นเรือนร่าง เมื่อไม่มีอะไรบดบัง ทรวงอกงดงามที่อาบไล้ด้วยแสงนวลของตะเกียงก็ปรากฏสู่สายตาของเขา เนื้อนวลขาวดุจหิมะแต้มด้วยสีชมพูที่ปลายยอดช่างอวบอิ่มอลังการอย่างเกินตัว มู่เลี่ยงหรงตกตะลึงขณะที่มองเนื้อนวลสล้างสะท้อนไหวขึ้นลงไปตามจังหวะหายใจ ช่างเป็นภาพอันยั่วเย้าแสนตราตรึง กายบุรุษร้อนวูบวาบ กระแสอุ่นร้อนไหลรวมลงมาที่ท้องน้อยไม่ขาดสาย ความเป็นชายถูกปลุกขึ้นอย่างไม่อาจควบคุมได้ชายหนุ่มเต็มตัวถูกภาพงดงามเบื้องหน้ากระตุ้นจนถึงกับกัดฟันกรอด แต่จิตสำนึกพยายามข่มกลั้นไม่ให้จับนางกระแทกกระทั้นเพื่อระบายความอัดอั้นทรมานไปเสียก่อน ดวงแก้วสีนิลส่องประกายร้อนแรงแผดเผาทำลาย เยี่ยนเยว่ฉีหน้าแดงซ่าน พยายามใช้สองมือหวังปิดบังทรวงอกจากสายสา
เยี่ยนเยว่ฉีสะอื้นเพราะเจ็บไปหมด โทสะของเขายังคงคุกรุ่นจึงรั้งใบหน้าของนางให้เชิดขึ้นเพื่อรับจูบอันลึกซึ้งและรุนแรงมากกว่าเก่า เฝ้ารุกเร้าผ่านทางแยกที่เผยอออก สอดปลายลิ้นเกี่ยวกระหวัดดูดดึงขบกัดลิ้นบางอย่างมันเขี้ยว หญิงสาวแทบหายใจไม่ออก ร่างสั่นสะท้านครางหวิว ทั้งเจ็บปวดและสุขสมในเวลาเดียวกัน ก่อเกิดเป็นความทรมานอันแสนหวาน บุรุษผู้นี้กำลังลงทัณฑ์นางให้สาสม สัมผัสจึงเต็มไปด้วยอารมณ์รุนแรง ไม่เหมือนจูบอันดูดดื่มเมื่อวันวาน นางเสียใจที่เขาไม่ทะนุถนอมตนเองอีกแล้ว“อือ จะ...เจ็บ” เยี่ยนเยว่ฉีพยายามร้องประท้วง ในขณะที่เขาถอนริมฝีปากออกเล็กน้อย“ข้าเจ็บกว่าเจ้ามากมายนัก” เขาโต้ตอบด้วยเสียงอันแหบพร่า“ท่านอ๋องเจ็บปวดด้วยเรื่องใด” ประกายน้ำใสคลอเบ้าตา เจ็บเพราะจูบที่เขามอบให้นาง“เจ้ายิ้มให้ชายอื่น หัวเราะยามเขาพูดจา ที่สำคัญเจ้ามองเมินไม่สนใจ ทำให้ข้าทั้งเจ็บปวดและริษยา”“ท่านอ๋องหึงหม่อมฉันจริง ๆ ด้วย” มุมปากอิ่มงามเผยรอยยิ้ม“สาแก่ใจเจ้าแล้วใช่หรือไม่ จะหัวเราะเยาะข้าก็ได้” ใบหน้าคมเบี่ยงหลบเล็กน้อย ด้วยไม่ต้องการให้สตรีตรงหน้ามองเห็นร่องรอยของความหวั่นไหว คำพูดเหล่านี้ไม่เคยหลุดออกมาจากปา
“ไม่หึงก็ไม่หึง เยว่ฉีรับรู้ความรู้สึกของท่านอ๋องแล้วเพคะ”“ก็ดี”“ในเมื่อท่านอ๋องยืนกรานว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้ หม่อมฉันก็จะได้คลายใจ”“คลายใจ เรื่องใด”“เรื่องที่รู้สึกผิดต่อท่านอ๋อง หม่อมฉันคงทึกทักไปเองว่าเผลอทำให้คู่หมั้นทรมานใจแล้ว”“หึ! หวังให้เราเจ็บปวดเพราะเจ้าคงเร็วไปร้อยปี” มู่เลี่ยงหรงยังคงปฏิเสธ“เยว่ฉีทราบแล้วเพคะ” นางเสมองไปทางอื่น แล้วแสร้งถอนหายใจ “หน้าเสียดายจริง ๆ ทั้งที่หลังจบเทศกาลหยวนเซียวหม่อมฉันคิดว่าระหว่างเราคงไปกันได้ดี มาวันนี้ก็รู้ซึ้งแล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้ ที่ท่านอ๋องทำไปทั้งหมดคงไม่ได้มาจากใจอันแท้จริง แต่ก็ต้องยอมรับว่าคำหวานเหล่านั้นทำให้ผู้อื่นเคลิบเคลิ้มมากทีเดียว”“เจ้าคิดว่าเราโป้ปดอย่างนั้นหรือ”“มิได้ แต่เมื่อครู่ท่านอ๋องเป็นผู้กล่าวเองว่าไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่ชายอื่นมาสารภาพรักกับหม่อมฉัน อีกทั้งไม่มีความรู้สึกอื่นใดนอกจากกลัวเสียหน้าเท่านั้น เช่นนี้จะให้ผู้อื่นคิดเห็นเช่นไรได้” เยี่ยนเยว่ฉีจดจ้องดวงตาบุรุษตรงหน้านิ่ง “ช่างน่าขันยิ่งนัก หม่อมฉันบังอาจคิดว่าตนเป็นคนสำคัญ แต่ความจริงแล้วสำหรับท่านอ๋องหม่อมฉันคงเป็นเพียงบุปผาดาดดื่นดอกหนึ่งเท
“เยี่ยนเยว่ฉีอย่ามาเฉไฉ! คอยดูให้ดีเถิดว่าเราจะลงโทษเจ้าอย่างไร” มู่เลี่ยงหรงตีหน้าเคร่งขรึมเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกที่แท้จริง เขาไม่มีทางยอมรับว่าทำเรื่องไร้มารยาทเป็นอันขาดเฟิงหลี่จื้อได้ยินดังนั้นก็ตกใจ ไม่คิดว่าฉินอ๋องจะบันดาลโทสะถึงขั้นจะลงไม้ลงมือกับหญิงสาว อย่างไรเสียก็เป็นชายชาตินักรบและตนเองก็คือต้นเหตุในเรื่องนี้ เขาจึงหวังไกล่เกลี่ยเพื่อไม่ให้ท่านอ๋องทำร้ายสตรีที่ตนมีใจ“เรียนท่านอ๋อง หากจะลงโทษนาง กระหม่อมยินดีจะเป็นผู้รับโทษแทน” แทนที่สถานการณ์จะดีขึ้น แต่คำพูดประโยคนี้กลับเหมือนดั่งการน้ำมันราดลงบนกองไฟ ยามนี้ฉินอ๋องอยากจะสับเขาเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วโยนลงแม่น้ำเสียให้รู้แล้วรู้รอดมู่เลี่ยงหรงหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับบุรุษผู้บังอาจแตะต้องสตรีของตนอีกครั้ง น้ำแข็งเริ่มจับตัวหนาขึ้นในแววตา อากาศเย็นสบายกลายเป็นหนาวจับจิตจนเฟิงหลี่จื้อขนลุกขึ้นมาจริง ๆ“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า ทางที่ดีสงบปากสงบคำเอาไว้ดีกว่า”“ทั้งหมดเป็นความผิดของกระหม่อมที่ละเลยเรื่องชายหญิงไม่ควรชิดใกล้”“เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ เปิ่นหวางจะให้โอกาสเจ้ากลับไปอย่างไม่บุบสลาย” มู่เลี่ยงหรงไม่ได้สนใจเหตุผล
“กระหม่อมคงรับไม่ไหว ท่านอ๋องไม่ได้ทำผิดอันใดไม่ต้องกล่าวเช่นนั้นกับซือเซิน” อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายตกใจ ด้วยสถานะสูงส่ง ฉินอ๋องไม่มีความจำเป็นจะต้องลดตัวลงมากล่าวคำขออภัยเขา“ข้าไม่ได้ตั้งใจ”“ซือเซินรู้...” อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายเงยหน้าขึ้น ส่งยิ้มเพื่อคลายความกังวลใจให้สหายสูงศักดิ์หลังจากปรับอารมณ์ความรู้สึกกับถางซือเซินเรียบร้อยแล้ว มู่เลี่ยงหรงจึงหันกลับไปยังโต๊ะของตระกูลเยี่ยนอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่เห็นเงาร่างของเยี่ยนเยว่ฉีกับเฟิงหลี่จื้อเสียแล้ว แม้สังเกตดี ๆ เยี่ยนจิ้นหลิงจะหายไปด้วยก็ตามความกระวนกระวายแทรกซึมเข้ามาอย่างเฉียบพลัน เขาไม่อาจวางใจอะไรได้ทั้งสิ้น ด้วยรอยยิ้มงดงามเป็นธรรมชาติที่นางมอบให้ชายคนนั้นเป็นแบบที่ไม่เคยมีให้กับตนเองไฟริษยายังคงตอกย้ำในจิตใจ อ๋องหนุ่มรีบลุกขึ้นแล้วสาวเท้าออกไปเพื่อตามหาคู่หมั้นในทันทีเยี่ยนจิ้นหลิงเดินนำน้องสาวกับเฟิงหลี่จื้อไปบนดาดฟ้า เขาชวนทั้งสองพูดคุยตลอดทาง ในที่สุดก็พามาหยุดยืนอยู่บริเวณด้านหลังของเรือ แต่แล้วบุรุษผมสีเงินก็อ้างว่าลืมวางพัดไม้หอมไว้บนโต๊ะ จึงขอตัวกลับไปเอา แล้วบอกให้คนทั้งสองรอเขาอยู่ที่นี่ก่อนเมื่อกุนซือหนุ่มเดินจากไป
มู่เลี่ยงหรงคิดว่า ยิ่งอยู่ตรงนี้ก็ยิ่งมีโทสะ การจากไปตั้งหลักน่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด ท่านอ๋องหนุ่มจึงพยายามเก็บงำอาการ ก่อนจะเดินนำถางซือเซียนกับอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายไปทางห้องโถงอย่างมิรั้งรอ เพราะไม่ต้องการเห็นภาพบาดตานี้อีกแม้แต่ชั่วเค่อเยี่ยนจิ้นหลิงอัศจรรย์ใจไม่น้อยที่ฉินอ๋องเก็บกักอารมณ์ได้ดีเยี่ยม แต่สายตากรุ่นโกรธนั่นไม่อาจเล็ดลอดสายตาจิ้งจอกไปได้‘ตีเหล็กก็ต้องตีตอนร้อนสิ ถึงจะได้ผลลัพธ์ชั้นดี ฉินอ๋องท่านคิดว่าแค่นี้จะหนีพ้นหรือ นี่มันบนเรือนะ’“เอาล่ะ ได้เวลาอาหารค่ำแล้ว พวกเราไปกินข้าวกันก่อนดีกว่า” เยี่ยนจิ้นหลิงเอ่ยชวน“ดีเหมือนกัน น้องสาวก็รู้สึกหิวแล้ว”“หลี่จื้อ เจ้ามาร่วมโต๊ะกับพวกข้าสิ ท่านแม่ทัพเฟิงคงไม่ว่ากระไรหรอก” เยี่ยนจิ้นหลิงเอ่ยชวน“หากไม่รังเกียจ หลี่จื้อขอรบกวนแล้ว”จิ้งจอกเงินปรายยิ้มเล็กน้อย ก็เดินนำสหายเก่ากับน้องสาวแสนสวยไปยังห้องโถงใหญ่เพื่อร่วมรับประทานอาหารตลอดเส้นทางเฟิงหลี่จื้อคอยปรายตามองเยี่ยนเยว่ฉีอยู่บ่อยครั้งเนื่องจากไม่ใช่งานเลี้ยง ที่นั่งจึงถูกจัดวางไว้สำหรับแต่ละครอบครัวเป็นสัดส่วน ขณะที่ฮ่องเต้กับฮองเฮานั้นทรงประทับอยู่ในห้องแยกที่มีม่า
แม้คุณหนูถางผู้นั้นจะไม่มีวาสนาต่อฉินอ๋องก็ตาม แต่สตรีนางใดเล่าจะทนเห็นสตรีอื่นคอยเดินตามบุรุษของตนราวกับเงาได้ แต่เมื่อพี่ชายคนโปรดยืนยันว่าจะเป็นคนจัดการหญิงน่าตายผู้นั้นด้วยตนเอง นางก็จะไม่ก้าวก่ายเยี่ยนเยว่ฉีจึงตัดสินใจวกกลับมาสนทนาต่อด้วยเรื่องที่ยังค้างคา“แล้วน้องจะรู้หัวใจของฉินอ๋องได้อย่างไร” “เรื่องนั้นง่ายมาก เพียงต้องเกาให้ถูกที่คัน” บุรุษผมสีเงินเผยแววตาเจ้าเล่ห์แสนกล“ขอจิ้งจอกสีเงินแห่งแคว้นชี้แนะข้าน้อยด้วย” เยี่ยนเยว่ฉียิ้มตอบจนตาหยีเยี่ยนจิ้นหลิงขยับเข้าไปใกลแล้วกระซิบกระซาบสองสามประโยค นางทำตาโต ตกใจไม่น้อย“จะดีหรือพี่รอง”“ย่อมดี เขาทำให้เจ้าสำลักน้ำส้มเกือบร้อยไหได้แล้วกระมัง แล้วทำไมจะเอาคืนบ้างมิได้”“ข้ากลัวท่านอ๋องจะมีโทสะน่ะสิ เขาอาจหาทางลงโทษผู้อื่นอย่างหนักก็ได้”“ถ้ากลัวก็ไม่ต้อง แต่หากอยากรู้เจ้าก็ต้องเสี่ยง” เยี่ยนจิ้นหลิงโบกพัดในมือ “เจ้าควรจะหวั่นใจว่า ฉินอ๋องจะไร้โทสะเสียมากกว่า เพราะหากเป็นเช่นนั้น เจ้าคงรู้ตัวกระมังว่าน้ำหนักของเจ้าในใจของเขามัน...เบาเพียงใด”“ฉีเอ๋อร์ต้องการรู้ว่าตนเองอยู่ส่วนไหนในใจเขา ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไรก็ตาม”“หืม...ตก
“ย่อมไม่ใช่เช่นนั้น แต่หากเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับคำทำนาย รวมไปถึงคำเตือนเล็ก ๆ น้อย ๆ คนในตระกูลล้วนต้องให้ความสำคัญกับคำพูดของพี่รอง มิเช่นนั้นอาจจะต้องเสียใจในภายหลัง”“เหลวไหล!”“ท่านอ๋องโปรดอย่าดูเบา พี่ชายของหม่อมฉันไม่เคยผิดพลาดแม้แต่ครั้งเดียว”“หึ! งั้นข้าขอถาม เคยมีคนไม่เชื่อเขาบ้างหรือไม่”“ย่อมมีอยู่แล้วเพคะ”“แล้วคนเหล่านั้นเป็นอย่างไร”“บ้างก็ประสบปัญหาหนัก พิกลพิการ แต่ส่วนใหญ่ล้วนตายไปหมดแล้ว”“...” มู่เลี่ยงหรงถึงกับสะอึก“เชื่อหม่อมฉันเถิดเพคะ พวกเรามิบังอาจลบลู่ฝ่าบาทกับท่านอ๋องอย่างแน่นอน” เยี่ยนเยว่ฉีอ้อนวอนด้วยท่าทางของสตรีอ่อนแอน่าสงสาร“ได้! ในเมื่อพูดมาขนาดนี้แล้ว เราจะเชื่อคำเจ้าก็แล้วกัน” พอเห็นนางทำหน้าเศร้าจิตใจของเขาก็ไหววูบ ไม่อาจถือโทษนางได้อีก มิหนำซ้ำยังอยากจะโอบกอดปลอบประโลมยิ่งนัก“หากท่านอ๋องเมตตา ได้โปรดรอเยว่ฉีนะเพคะ” นัยน์ตาหวานล้ำกับน้ำเสียงอันออดอ้อนของนางทำให้มู่เลี่ยงหรงหูแดงซ่าน เลือดในกายของเขากำลังเดือดพล่าน ต้องควบคุมสติระงับไม่ให้รีบร้อนครอบครองริมฝีปากสีกลีบกุหลาบอันแสนจะยั่วยวนเสียตอนนี้“อย่าปล่อยให้เรารอนานเกินไปเล่าพระจันทร์ดวงน้อย”
ส่วนจ้าวจวิ้นอ๋องก็ดูพึงใจในตัวถางซือเซียนเป็นอย่างมาก ดรุณีน้อยเองก็มีท่าทีเขินอายเมื่อชายหนุ่มส่งสายตาลึกซึ้งไปให้ บุตรสาวแม่ทัพใหญ่จึงรู้สึกแปลกใจ ตกลงแล้วสตรีผู้นั้นชอบพอผู้ใดกันแน่ แต่หากนางหมายจะเปลี่ยนกิ่งไม้สูง นั่นย่อมเป็นผลดีกับตนเองมิใช่หรือการสนทนาผ่านไปสักครู่หนึ่ง มู่เลี่ยงหรงเริ่มรำคาญจ้าวกุ้ยอินเป็นกำลัง และเหมือนเยี่ยนเยว่ฉีจะไม่ได้รู้สึกอยากกินน้ำส้มยามท่านหญิงพูดคุยกับเขา ดูท่าคู่หมั้นคนงามจะรู้จักการมองสีหน้าผู้คนอยู่บ้าง ในเมื่อไม่มีประโยชน์ตนก็คร้านที่จะสนทนากับสองพี่น้องตระกูลจ้าวต่อไป“แดดเริ่มแรงแล้ว เปิ่นหวางคงต้องขอตัวพาคู่หมั้นกับเซียนเอ๋อร์กลับไปพักผ่อน เกรงว่าพวกนางจะไม่สบายได้”“ก็ให้พวกนางกลับไปเองสิ อินอินไม่ได้เจอเลี่ยงหรงเกอเกอตั้งนาน มีเรื่องอยากจะพูดคุยอีกมากมาย”“เปิ่นหวางต้องไปหารือเรื่องงานราชการกับพระเชษฐาอีก”“แต่ว่า...” จ้าวกุ้ยอินพยายามคัดค้าน“เปิ่นหวางขอตัว” ใบหน้าหล่อเหลาราวรูปสลักดูเย็นชาห่างเหินอย่างยิ่ง มู่เลี่ยงหรงพยักหน้าให้จ้าวจวิ้นอ๋องเล็กน้อย จากนั้นจึงสาวเท้าเดินจากไปทันที ถางซือเซียนกับเยี่ยนเยว่ฉีจึงรีบยอบกายเป็นเชิงอำลาจวิ้นอ