เมื่อกลับมาถึงจวนอ๋องหลี ทั้งสองคนที่ไม่มีความสุขมาตลอดทาง ทำหน้านิ่ง มีทะเลาะกันบ้างเล็กน้อยเป็นครั้งคราว คนใช้ที่เดินผ่านพากันก้มหน้า เกรงว่าจะโดนหางเลขไปด้วยฉู่เจียวเจียวกุมท้องเอาไว้ นั่งลงด้วยท่าทีสงบและผ่อนคลาย “ท่านอ๋องคงจะไม่ถือสาที่ต้องรินน้ำให้ข้าใช่หรือไม่?”นางยิ้ม ยิ้มที่จองหอง ยิ้มที่ยั่วยุเมื่อมีลูก นางก็เปลี่ยนจากท่าทางถ่อมตัวเมื่อในเมื่อก่อน เปลี่ยนเป็นคนละคนโดยสิ้นเชิง กลายเป็นคนมั่นใจในตัวเองและเปิดเผยเด็กคนนี้ ให้ความมั่นใจที่เต็มเปี่ยมแก่นางเฟิงเจิ้งหลีเดินไปที่ริมโต๊ะ หยิบแก้วขึ้นมา“อยากได้น้ำอุ่น” ฉู่เจียวเจียวกุมท้อง “ลูกชายกลัวหนาว”ท่าทางของชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อย มือจับแน่นขึ้น หลังจากกวาดสายตามองแวบหนึ่ง ก็คลายมือออกเงียบ ๆ ไม่ได้พูดจา หันหลังแล้วเดินออกไป ไปเอาน้ำอุ่นที่ห้องครัว ฉู่เจียวเจียวจ้องมองแผ่นหลังของเขา รอยยิ้มนัยน์ตาค่อย ๆ จางหายไป กลายเป็นความทุกข์ทรมานนางรู้ดี ว่าในใจของเขาไม่มีนางนางรู้ดี ที่เขาดีต่อนางเป็นเพราะถูกบีบบังคับ ล้วนเป็นความเสแสร้ง ถ้าหากไม่ใช่เพราะนางกำจุดอ่อนของเขาไว้ในมือของนาง เกรงว่าเขาคงไม่มีทางหันมามองนาง
ทันทีที่ฮูหยินเว่ยได้ยิน ก็ดึงมือของอ๋องหลีเอาไว้แน่น “หลีเอ๋อร์เอย ตอนนี้เจียวเจียวกำลังท้องกำลังไส้ เรื่องไหนสำคัญ เจ้าต้องเข้าใจสิ!”ลูกคือเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเอง เป็นของขวัญที่สวรรค์ประทานให้ เป็นสิ่งของที่อะไรก็ทดแทนไม่ได้“ฝ่าบาทให้เจ้าอยู่จวน เจ้าก็อยู่ที่จวนเถอะ ค่ายลาดตระเวนทั้งลำบากทั้งเหนื่อย อย่าไปเลย เชื่อแม่ นะ”ฮูหยินเว่ยพูดเกลี้ยกล่อม หวังแค่เพียงว่าเด็กจะปลอดภัย ครอบครัวรักใคร่ปรองดอง ไม่ขออะไรมากไปกว่านี้อีกแล้วสายตาของเฟิงเจิ้งหลีค่อย ๆ หลุบลงเรื่องที่เขาอยากทำมีมากมาย แต่ก็จำต้องคิดถึงความปรารถนาของท่านแม่ด้วย...ให้เขาอยู่ที่จวน วัน ๆ ไม่มีอะไรให้ทำ ไม่ต่างอะไรกับคนไร้น้ำยา ใช้ชีวิตแบบนี้ตลอด? ความหมายในการมีชีวิตอยู่ของเขาคืออะไร? แล้วคุณค่าคืออะไร?ชีวิตของคนบนโลกใบนี้ จะต้องทำเรื่องอะไรสักอย่าง“ท่านแม่...” เขาเม้มปาก “ข้าอยู่ที่ค่ายลาดตระเวนมาสามเดือนกว่า มีเรื่องมากมายขาดข้าไปไม่ได้...”“ขาดไม่ได้อะไรกัน? ไม่มีเจ้า ค่ายลาดตระเวนจะอยู่ไม่ได้เชี่ยวหรือ?” ดวงตาที่ขุ่นมัวทั้งสองข้างของฮูหยินเว่ยจ้องมองเขา “เจ้าพูดความจริงกับแม่ เจ้าเข้าไปเป็นขุนนางผู้
จวนอ๋องเฉิน“พระชายา?”“พระชายา?”“หืม?!” เยว่เอ๋อร์ตะโกนเรียกอยู่หลายครั้ง ฉู่เชียนหลีถึงได้สติกลับมา ทันทีที่ก้มหน้ามอง อาหารที่คีบในตะเกียบก็หล่นลงบนโต๊ะแล้ว ข้าวก็เย็นแล้วเช่นกันเหนื่อยเหลือเกิน...ไม่ได้นอนทั้งคืน มักจะเหม่อลอย ทันทีที่นึกถึงคำพูดที่พูดกับเฟิงเย่เสวียนเมื่อคืน นางก็จิตใจเหม่อลอย“พระชายา เมื่อคืนนี้ท่านนอนไม่หลับหรือ? ใต้ตาคล้ำหน่อย ๆ” เยว่เอ๋อร์ถามด้วยความกังวลเมื่อคืนตอนที่อวิ๋นอิงกำลังฝึกทวน ก็เห็นท่านอ๋องเดินออกมาจากเรือนหานเฟิงตอนกลางดึก พลางเดิน พลางยิ้ม ราวกับเสียสติวันนี้ทั้งวันก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของท่านอ๋อง คิดว่าจะต้องเกิดเรื่องทะเลาะเบาะแว้งอะไรขึ้นระหว่างทั้งสองคนอย่างแน่นอนนางครุ่นคิดครู่หนึ่ง เอ่ยปากกล่าว “พระชายา เหมือนกับว่าวันนี้ท่านอ๋องไม่ได้เข้าประชุมขุนนาง เหมือนว่าจะอยู่ในห้องหนังสือทั้งวัน”ตั้งแต่เมื่อคืนนี้จนถึงเที่ยงวันนี้ เอาแต่อยู่ในห้องหนังสือ ไม่ได้ออกมาฉู่เชียนหลีเม้มปาก ภายในใจไม่ได้มีความสุขถ้าหากเฟิงเย่เสวียนพูดคำพูดแบบนั้นกับนาง ในใจของนางจะต้องเป็นทุกข์มากแน่ แต่น่าแปลกที่นางไม่ได้มีความคิดแบบนั้นอย่างเห็นได้ชัด
อีกด้านหนึ่งฉู่เชียนหลีเพิ่งกลับมาถึงเรือนหานเฟิง พ่อบ้านก็เข้ามารายงาน บอกว่าพระชายาอ๋องเฟิงมาหาทันทีที่พระชายาอ๋องเฟิงเข้ามา ก็ยิ้มพร้อมกับดึงมือของฉู่เชียนหลี พูดด้วยความสนิทสนมเป็นอย่างยิ่ง “พระชายาอ๋องเฉิน ใบสั่งยาคราวก่อนที่เจ้าให้ข้า ข้ากินหมดแล้ว ประสิทธิผลค่อนข้างดีเลย ต่อไปข้าควรกินยาอะไรดีล่ะ?”นางอยากตั้งท้อง อยากมาเจ็ดแปดปีแล้วแต่ก็ไม่ท้องเสียที ทำได้แค่ตั้งความหวังไว้ที่ฉู่เชียนหลีเท่านั้นฉู่เชียนหลีชักมือกลับ จับชีพจรของนางดู แล้วค่อยให้ใบสั่งยาอีกใบ ค่อย ๆ รักษาไปพระชายาอ๋องเฟิงรับเอาใบสั่งยามา ถึงขนาดพับเป็นอย่างดีอย่างระมัดระวัง จากนั้นนำเก็บเข้าไปในแขนเสื้อ แล้วก็จับมือของฉู่เชียนหลี กล่าวอย่างสนิทสนม“ลำบากพระชายาอ๋องเฉินแล้ว ถ้าหากวันข้างหน้ามีลูก บุญคุณครั้งนี้ จะไม่มีทางลืม”ฉู่เชียนหลีขมวดคิ้วเล็กน้อยพระชายาอ๋องเฟิงที่นิสัยเย่อหยิ่งเป็นอย่างมากมาตลอดจู่ ๆ ก็สนิทสนมกับนางขนาดนี้ นางกลับรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ จึงชักมือของตนเองออกมาอีกรอบ“ไม่ต้องตอบแทนบุญคุณ ให้ค่าตรวจวินิจฉัยสักหน่อยก็พอแล้ว”“...”เฮอะ ๆพระชายาอ๋องเฟิงยิ้มแข็งทื่อ หลังจากห
เกี่ยวข้องกับชีวิตของคน ฉู่เชียนหลีไม่กล้าสะเพร่า รีบออกเดินทางทันที เยว่เอ๋อร์เองก็รีบร้อนมุ่งหน้าตรงไปที่ห้องหนังสือทันทีที่เดินเข้าใกล้ ก็มีเสียงเรียกให้หยุด“มีธุระอะไร?”ทันทีที่เยว่เอ๋อร์จ้องมอง “ท่านหานอิ๋ง เป็นเรื่องของจวนโหวติ้งกว๋อ เหมือนว่าองค์หญิงใหญ่จะคลอดยาก สถานการณ์อันตรายและเร่งด่วน พระชายาได้ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว สั่งให้ข้ามาแจ้งท่านอ๋องโดยเฉพาะ!”น้ำเสียงของนางร้อนใจเล็กน้อย กำลังจะเข้าไปในห้องหนังสือหานอิ๋งยื่นมือขวางเอาไว้ “ข้ารู้แล้ว เจ้าออกไปก่อน ข้าจะเข้าไปบอกนายท่าน”เยว่เอ๋อร์ลังเลเล็กน้อย “แต่พระชายากล่าวว่า...”“ทำไม? หรือว่าสาวใช้ที่มาจากจวนอัครมหาเสนาบดีฉู่คนหนึ่ง จะเข้าใจนายท่านดีไปกว่าข้า?” ย้อนถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา ใบหน้าที่เย็นชาแต่มีเสน่ห์ไม่ได้โมโหแต่เต็มไปด้วยความน่าเกรงขามเยว่เอ๋อร์เม้มปาก ไม่กล้าทำให้โกรธเคือง หลังจากพูดสองสามประโยคก็เดินจากไปเมื่อนางเดินออกไปไกล หานอิ๋งถึงเข้าไปในห้องหนังสือบนเตียงเล็ก ชายหนุ่มยกขาขึ้นอย่างเกียจคร้าน หนังสือที่ถืออยู่ในมือ หลุบตาจ้องมองอย่างเงียบ ๆ ใบหน้าซีดเซียวไร้สีเลือด ไร้ชีวิตชีวา ไม่ค่อยมีเรี่ยว
“ในที่สุดพระชายาอ๋องเฉินก็มาแล้ว!”ชายวัยกลางคนในชุดสีฉูดฉาดคนหนึ่งก้าวออกมาอย่างรวดเร็ว ผมของเขาเกล้าสูง สง่ามีราศี แม้มีอายุระดับหนึ่งแล้ว แต่ใบหน้านั่นกลับมีเสน่ห์ หล่อเหลามีความเป็นผู้ใหญ่ และมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวเพียงแค่ปราดเดียว ฉู่เชียนหลีก็เดาได้ว่าเขาน่าจะเป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งของแคว้นตงหลิง โหวติ้งกว๋อฉู่เชียนหลีกวาดมองโดยรอบอย่างรวดเร็วแวบหนึ่งมีคนเฝ้าอยู่ข้างนอกเยอะมาก มีเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังมาจากข้างใน และมีสาวใช้ถือน้ำอุ่นเดินเข้าเดินออกอย่างเร่งรีบเป็นระยะ“เกิดอะไรขึ้น?” นางถาม“คลอดไม่ออก” สีหน้าโหวติ้งกว๋อเคร่งขรึมมาก “หมอตำแยกับหมอก็อยู่ เป็นเช่นนี้มาสองชั่วยามแล้ว…”“น้าสะใภ้ ท่านต้องรับรองความปลอดภัยของแม่ข้านะ เด็กที่อยู่ในท้องนั่นเป็นตายไม่สำคัญ แต่ต้องรักษาแม่ข้าไว้นะ!” หลิงเชียนอี้จับมือฉู่เชียนหลีแน่น อ้อนวอนอย่างน้ำตาคลอเบ้าโหวติ้งกว๋อได้ยินคำพูดนี้ “...”หายใจเข้าลึกๆลูกแท้ๆ ตีไม่ได้ อดกลั้นหลิงเชียนอี้อายุสิบแปดปีแล้ว มารดามีลูกคนที่สองในวัยนี้ อายุแตกต่างกันมากเกินไป เขาไม่มีความรู้สึกใดๆ ต่อลูกคนที่สองนี้เขาถึงขั้นคิดว่าลูกคน
แม่นางน้อย?ชาติที่แล้วตอนนางอุทิศตนเพื่อวงการแพทย์ในห้องทดลอง หมอหญิงคนนี้มุดอยู่ในรูใดก็ยังไม่รู้เลยการแพทย์ที่ล้ำหน้าและประสบการณ์ที่ล้นหลามของยุคปัจจุบัน หาใช่ยุคโบราณที่ล้าหลังหลายพันปีจะสามารถเทียบได้?นางขี้เกียจสนใจหมอหญิงคนนี้ เลิกแขนเสื้อขึ้น เดินไปที่หน้าเตียง“องค์หญิงใหญ่โปรดเก็บแรงไว้บ้าง นอนราบ พยายามผ่อนคลาย”“เจ้าจะทำอะไร?” หมอหญิงรีบเดินเข้ามา ตักเตือนด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ถ้าหากยังไม่รีบคลอด เด็กจะขาดอากาศตายทั้งเป็น!”ฉู่เชียนหลีได้ตรวจดูแล้ว ปริมาณของน้ำคร่ำที่ไหลออกมาไม่เยอะ สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือหมุนเด็กกลับหัวแต่คนคนนี้มักจะเซ้าซี้ข้างหูนาง ทำให้นางรำคาญมากตั้งแต่ตั้งครรภ์ นิสัยก็ฉุนเฉียวขึ้นไม่น้อย เงยหน้าขึ้นก็กล่าวตรงๆ“อย่ามาขวางข้าตรงนี้! ปัญหาที่เจ้าแก้ไขไม่ได้ ก็ยอมรับว่าตัวเองด้อยความสามารถเถอะ ไม่มีอะไรน่าอาย”“เจ้า!”หมอหญิงถลนตา เหมือนถูกเปิดโปงความคิด สีหน้านางประเดี๋ยวแดง ประเดี๋ยวม่วง แลดูน่าเกลียดมากปีนี้นางอายุห้าสิบกว่าแล้ว จะยอมให้เด็กผู้หญิงอายุสิบกว่าปีคนหนึ่งเก่งกว่าได้อย่างไร?คำพูดนี้เผยแพร่ออกไป นางจะไม่อับอายหรอกหรื
“เหตุใดจึงไม่มีเสียงแล้ว?”ภายในลานเรือนข้างนอก กลุ่มคนที่ชะโงกหน้ารออย่างใจจดใจจ่อสังเกตเห็นว่าภายในห้องเงียบลง เสียงร้องของความเจ็บปวดหายไป ไม่มีเสียงร้องของทารก และไม่เห็นสาวใช้ออกมา แต่ละคนจับต้นชนปลายไม่ถูกแล้ว“หรือคลอดแล้ว?”“ก็ไม่ได้ยินเสียงร้องไห้นี่นา? และไม่เห็นหมอตำแยออกมาแจ้งข่าวดี เกิดอะไรขึ้น?”โหวติ้งกว๋อยืนอยู่ตรงที่เดิมราวกับเสาต้นหนึ่ง ฝ่ามือที่อยู่ในแขนเสื้อกำแน่น กำจนมีเหงื่อออก จ้องตรงไปที่ห้องอย่างไม่ละสายตา แววตาเคร่งขรึมแต่ประหม่าหลิงเชียนอี้ร้อนใจจนตาแดงแล้ว เขาวิ่งเข้าไปตะคอกใส่โหวติ้งกว๋อ “อายุปูนนี้แล้ว ยังจะมีลูกอีก! มีอะไรมี! หรือข้าไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของท่าน? หากท่านแม่เป็นอะไรขึ้นมา ข้าจะไปกับท่านแม่แล้ว!”โหวติ้งกว๋อกำมือแน่นขึ้นสามส่วน ริมฝีปากปิดสนิทตลอด ไม่พูดอะไรสักคำ เอาแต่จ้องมองไม่รู้ว่าใครเป็นคนพูดออกมาประโยคหนึ่ง“ไม่มีเสียงนานเช่นนี้ คงจะไม่เกิดเรื่องอะไรกระมัง?”ทันใดนั้น โหวติ้งกว๋อพุ่งพรวดเข้าไปในห้อง“ท่านโหว ท่านเข้ามาไม่ได้นะ! เวลาผู้หญิงคลอดลูกออกเลือดเยอะ ผู้ชายเห็นแล้วจะโชคร้าย ไม่เป็นผลดีต่อท่าน!” หมอตำแยห้ามปรามเพิ่งขวาง