จวนรัชทายาทในอดีต บรรยากาศรกร้าง เปล่าเปลี่ยวทรุดโทรมด้านในห้องเฟิงเจิ้งซือในวัยเด็กนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าแดงสุกใส บนหน้าผากโปะด้วยผ้าขนหนูผืนหนึ่ง ดวงตาเลือนราง นอนหลับลึกฮ่องเต้นั่งอยู่ด้านหน้าเตียง ใบหน้าสีหน้าน่าเกรงขาม เอาแต่จ้องมองเด็กน้อยที่หลับใหลยังไม่ฟื้นถึงแม้ว่าเด็กคนนี้จะดื้อรั้นไปบ้าง ถูกตามใจจนเคยตัว แต่ก็เป็นหลานสาวคนโตของฮ่องเต้เขาชอบเด็กมาตลอด ดีกับลูกชาย ลูกสาว และหลานมาก ๆ มาโดยตลอดพระชายารัชทายาทยืนอยู่ด้านข้าง เบ้าตาแดงก่ำ สะอื้นไห้ไม่หยุด น้ำตาเม็ดโตไหลออกมา“ซือเอ๋อร์เอ๋ย เสด็จปู่มาเยี่ยมเจ้าแล้ว ใจสู้หน่อย รีบหายไว ๆ จะได้มาเล่นเป็นเพื่อนเสด็จปู่ของเจ้า...”นางร้องไห้ด้วยความเป็นห่วงเมื่อพูดประโยคนี้ออกมา ก็เผยวัตถุประสงค์ของนางฮ่องเต้ตั้งใจ จองจำรัชทายาท ทุกคนในจวนรัชทายาทต้องรับโทษ พระชายารัชทายาทอยากจะใช้เฟิงเจิ้งซือ ขอความเมตตาจากฝ่าบาทเฟิงเจิ้งอวี้เองก็วางแผนแบบนี้เช่นกัน“เสด็จพ่อ ทรงเสด็จมาเยี่ยมซือเอ๋อร์ หลังจากซือเอ๋อร์ฟื้นจะต้องดีใจมากแน่ เด็กคนนี้นึกถึงท่านทุกวัน ชอบพระองค์เป็นพิเศษเลย”เฟิงเจิ้งอวี้ยืนอยู่ด้านข้าง พลางสังเกตสีหน
โอกาสงั้นหรือ?ฝ่าบาทเอามือไพล่หลัง จ้องมองบุตรที่นั่งคุกเข่าอยู่แทบเท้าด้วยสายตาเย็นชาเขาเป็นพี่ใหญ่เป็นลูกชายคนแรก ตอนที่เกิด เขาดีใจจนนอนไม่เต็มอิ่มมาหลายวันหลายคืน ถึงขนาดทิ้งงานราชการ ทุ่มเทจิตใจไว้ที่ลูก ตลอดหลายปีมานี้ ทุ่มเทสั่งสอนอย่างสุดชีวิต มีความคาดหวังสูงแต่อีกฝ่ายกลับตอบแทนเขากลับมาเช่นนี้!หลายปีมานี้ เขาให้โอกาสอีกฝ่ายมาตลอด!“เสด็จพ่อ ขอร้องละ!” เฟิงเจิ้งอวี้จับเสื้อของฝ่าบาทเอาไว้แน่น “เสด็จพ่อ หม่อมฉันสำนึกผิดแล้ว ไม่กล้าอีกแล้ว อีกอย่างวันนั้นหม่อมฉันไม่ได้เข้าวังนะพ่ะย่ะค่ะ!”ฝ่าบาทได้ยินดังนั้น สีหน้าก็เย็นชาทันทีความหมายของประโยคนี้คือ ไม่ได้เข้าวัง ก็ไม่นับว่าบีบให้สละราชสมบัติ?ตอนนั้น ถ้าหากไม่ใช่พระชายาอ๋องเฉินขวางเอาไว้ ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะอ๋องเฉินมาถึงทันเวลา คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้มังกรในตอนนี้ก็คงเป็นเขาเฟิงเจิ้งอวี้แล้ว!“เสด็จพ่อ...”“เรายินดีเลี้ยงดูเฟิงเจิ้งซือ ถ้าหากเจ้ายังพูดมากอีก ทำให้เรารำคาญใจ เช่นนั้นก็ให้เฟิงเจิ้งซืออยู่ด้วยกับเจ้า ถูกขังอยู่ที่นี่กับเจ้าตลอดไป!” ฮ่องเต้สะบัดแขนเสื้ออย่างเย็นชาเฟิงเจิ้งซืออยู่ที่ไหนไม่สำคัญ ถึงอ
ในห้องโถงหลักฮ่องเต้นั่งอยู่บนที่นั่ง มือวางอยู่บนที่วางแขน เฟิงเย่เสวียนและฉู่เชียนหลียืนอยู่ที่ด้านล่างฝั่งซ้ายและขวา เฟิงเจิ้งอวี้กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ตรงกลาง กำลังสารภาพผิด“เสด็จพ่อ หม่อมฉันสติเลอะเลือน หน้ามืดตามัว ถึงได้เดินทางผิด...”เขาเล่าเรื่องที่บีบบังคับให้สละราชสมบัติวันนั้นอันที่จริงเป็นเพราะเขาถูกเฟิงเย่เสวียนบีบจนถึงขีดสุดแล้ว!เฟิงเย่เสวียนส่งคนเข้ามาแทรกซึมที่จวนรัชทายาท ขโมยความลับของห้องหนังสือ นำเรื่องที่เขาทำผิดทั้งหมดมาตลอดหลายปีนี้ บอกแก่ฝ่าบาทเขากลัวจะได้รับโทษ จำต้องลงมือก่อนถึงจะได้เปรียบเขาผิดไปแล้วขิงต้องแก่ถึงจะเผ็ดเขาเอาชนะฝ่าบาทไม่ได้เฟิงเจิ้งอวี้ยอมรับผิด พูดจบ แต่ไม่ได้รับการตอบกลับ จึงเหลือบตาขึ้นอย่างระวัง เมื่อเห็นฮ่องเต้มองตรงมาที่ตนเอง ก็รีบก้มหน้าลงไปเขาเล่าทั้งหมดแล้ว หรือว่ายังมีอะไรที่ยังไม่ได้เล่าอีก?ด้านข้าง เฟิงเย่เสวียนเตือนด้วยความหวังดี“พี่ใหญ่ เรื่องที่ท่านทำผิดทั้งหมดเป็นความผิดประหารเก้าชั่วโคตร เสด็จพ่อนึกถึงความเป็นญาติถึงได้เมตตา ท่านควรจะเล่าเรื่องทั้งหมดก่อนหน้านี้ อย่างไม่ตกหล่นจึงจะถูกต้อง”เขายิ้มอย่างส
“โอ๊ย!”เฟิงเจิ้งอวี้ถูกตบจนกลิ้งไปกับพื้น ใบหน้าเจ็บจนชา แก้วหูเสียงดังวิ้ง ๆ ท่าทางงุนงงดูจากปฏิกิริยาตอบโต้ของฝ่าบาท เห็นได้ชัดว่าไม่รู้ความจริงเรื่องโรคระบาดเมืองตงหนิงหรือว่าเฟิงเย่เสวียนไม่ได้บอกฝ่าบาท?เป็นไปไม่ได้!เฟิงเย่เสวียนซื้อตัวอูหนู ขโมยความลับของห้องหนังสือของเขาไป มอบให้แก่ฝ่าบาท ตามหลักแล้ว ฝ่าบาทน่าจะรู้เรื่องโรคระบาด แต่ปฏิกิริยาตอบโต้แบบนี้...นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?!“ทำเรื่องเลวระยำแบบนี้ ยังอยากจะให้เรายกโทษให้เจ้า! เฟิงเจิ้งอวี้ เจ้ายังเป็นคนอยู่หรือไม่!” ฝ่าบาทสะบัดมือไปตบเข้าที่ใบหน้าอีกทีหนึ่งด้วยความโกรธบีบบังคับให้สละราชสมบัติ ขายแผนการทางทหาร สมคบคิดกับโจรภูเขา ทำร้ายพี่น้อง แพร่โรคระบาด...แต่ละเรื่อง แต่ละราว เป็นฝีมือของเขาทำอย่างนั้นหรือ?ช่างเป็นเดรัจฉานจริง ๆ!เรียกได้ว่าเป็นเหมือนสายลับที่แคว้นอื่นส่งตัวมา!เมื่อนึกถึงโรคระบาดขึ้นมา รวมทั้งชาวบ้านที่ตายอย่างไม่ได้รับความยุติธรรมนับพัน ฮ่องเต้ทั้งปวดใจ ทั้งโมโห ตอนนี้ ตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดแล้ว“ใครก็ได้! องค์ชายใหญ่ขาดคุณธรรมอันดีงาม ไม่คู่ควรที่จะเป็นผู้นำ ปลดตำแหน่งและยึ
ฉู่เชียนหลีจ้องมองเขาที่ใบหน้าซีดขาวเล็กน้อย น่าจะเป็นตอนที่เฟิงเจิ้งอวี้พุ่งตัวเข้ามาเมื่อครู่นี้ กระแทกเข้ากับบาดแผลของเขาเฟิงเย่เสวียนกุมท้องเอาไว้ ริมฝีปากบางเม้มแน่น“ข้าไม่ตาย ที่นี่ไม่มีธุระอะไรแล้ว เจ้าไปเยี่ยมอ๋องหลีเถอะ”ฉู่เชียนหลี “...”เห็นได้ชัดว่า ประโยคนี้กำลังจงใจทำให้นางโมโหนางสาวเท้าแล้วเดินจากไปเฟิงเย่เสวียน “?”เมื่อเห็นหญิงสาวก้าวออกไปได้สี่ห้าก้าว แขนยาวก็รีบดึงกลับมาให้ตายเถอะ!ฟังไม่ออกว่าเขาประชดงั้นหรือ?นางจะต้องจงใจแน่!อยากให้เขาก้มหัวให้ไม่ใช่หรือ เขายอมก้มหัวให้แล้ว “เมื่อคืนข้าไม่ได้นอนทั้งคืน แล้วก็ไม่ได้กินอะไร ข้าเวียนหัว คันแผลอีก ข้าเกาจนแผลฉีก เลือดไหล”“...”ตอนที่แผลเริ่มมีเนื้อขึ้น จะคัน เกาได้อย่างไรกัน?แม้แต่เด็กน้อยก็ยังรู้ว่าห้ามเกา!ฉู่เชียนหลีโมโหอยากจะต่อว่าเขา แต่ทันทีที่มองเห็นหน้าตาที่เศร้าสร้อย ก้มหน้าก้มตา ท่าทางที่ไร้ชีวิตชีวา ก็ใจอ่อนอีก“ข้าจะตรวจให้เจ้า” นางทำท่าจะเลิกเสื้อของเขาขึ้นเขาก็จับมือเล็กของนางเอาไว้ กวาดสายตามองที่ห้องโถงหลัก“ตรงนี้หรือ?”ที่นี่จวนรัชทายาท เขาไม่มีความเคยชินที่จะถอดเสื้อในสถา
จวนอ๋องเฉิน เรือนหานเฟิงหลังจากเข้ามาในเรือน ฉู่เชียนหลีเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของเขา เตรียมที่จะตรวจดูแผลให้เขาเขาดึงเสื้อลง กล่าวเสียงขรึม “มีผู้ใดถอดเสื้อที่ลานบ้านกัน? ไม่กลัวว่าจะมีคนนอกเห็นร่างกายอันเปลือยเปล่าของข้าหรือ”“...”ทำไมประโยคนี้ฟังดูแปลกไปหน่อย?เหมือนกับว่าเขาเป็นผู้หญิงยิงเรืออย่างนั้นฉู่เชียนหลีเม้มปาก ดึงเขาเข้าไปในห้อง พร้อมทั้งปิดประตู “ตอนนี้ถอดได้แล้ว”ในห้องไม่มีคนเขา “หนาว”นาง “?”เฟิงเย่เสวียนกวาดสายตามองห้องนอน สาวเท้าเดินไปที่ด้านหน้าเตียงนอน เลิกมุมหนึ่งของผ้าห่มออก นั่งลงไป พร้อมทั้งนำขาทั้งสองข้างยกขึ้นไปวาง จากนั้นนอนลงไป“เช่นนี้ถึงจะเหมือนผู้ป่วย”“...”เรื่องเยอะจริง ๆ!ฉู่เชียนหลีกลอกตาบนใส่เขาทีหนึ่ง เดินเข้าไปหาอย่างอารมณ์ไม่ดี คลายผ้าคาดเอวของเขาออก เปิดเสื้อออก แล้วเลิกขึ้นทั้งสองชั้นทันทีที่ก้มหน้าดูแผลล่ะ?เลือดล่ะ?เห็นแค่เพียงบาดแผลบริเวณเอวของชายหนุ่มที่สมานกันเรียบร้อยแล้ว รอยแผลเป็นเส้นยาวลักษณะเฉียงและอัปลักษณ์ ไม่มีแผลปริ ไม่มีเลือดไหล การฟื้นฟูดีมากทันใดนั้นฉู่เชียนหลีก็สังเกตว่าติดกับเข้าแล้วทำให้ลุกไม่ทัน ก
วันรุ่งขึ้นเช้าตรู่ในเมืองหลวง การวิพากษ์วิจารณ์อันร้อนแรงเกิดขึ้นไปทั่ว“ได้ยินข่าวหรือไม่ รัชทายาทกระทำความผิดใหญ่หลวง ถูกส่งตัวเข้าจวนเฟิงเหรินแล้ว! คุณหนูใหญ่ตระกูลฉู่ที่เพิ่งแต่งเข้าช่างน่าสงสารจริง ๆ นางเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงเชียวนะ!”“เพิ่งแต่งเข้าเรือนอะไรกัน? คุณหนูใหญ่ตระกูลฉู่นางไม่ใช่พระชายารองรัชทายาทแล้ว! รัชทายาทปลดนางตั้งนานแล้ว!”“หา? นี่มันเรื่องอะไรกัน?”“เจ้ายังไม่รู้หรือ? หลังจากพระชายารองฉู่แต่งเข้าจวนรัชทายาท เป็นเพราะพระชายารัชทายาทริษยา รังแกนางมาตลอด ถึงขนาดทำให้นิ้วมือของนางพิการ! แม่นางผู้บริสุทธิ์ถูกเหยียดหยามจนสภาพดูไม่ได้ ฝ่าบาทถึงได้ทรงทวงความยุติธรรมคือให้คุณหนูใหญ่ตระกูลฉู่...”ไม่รู้ว่าข่าวลือเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ยามเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น ก็รู้กันทั่วเมืองแล้วจวนอัครมหาเสนาบดีที่โถงหลักอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายฉู่ที่เพิ่งกลับมาจากการประชุมขุนนาง นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเกียจคร้าน ใกล้ ๆ มือมีราชโองการม้วนหนึ่งวางอยู่ นั่นก็คือราชโองการตัวจริงของฉู่หงหลวนฮ่องเต้มีราชโองการชดเชย แก่ฉู่หงหลวนที่ได้รับความไม่ยุติธรรมที่จวนรัชทายาทในเวลา
“อวิ๋นอิง!”“อวิ๋นอิง!”เสียงตะโกนสายหนึ่งทำลายความสงบของจวนอ๋องเฉิน เห็นเพียงร่างเงาสีน้ำเงินสายหนึ่งพุ่งพรวดเข้ามาด้วยความเร็วที่ราวกับจะรีบไปเกิดใหม่“แค่ก!”อวิ๋นอิงที่กำลังดื่มยาสะดุ้งตกใจจนสำลักยาในลำคอ ไออย่างโขลกสองสามครั้ง เงยหน้าขึ้นมองหลิงเชียนอี้ที่สีหน้าร้อนใจแวบหนึ่ง“ยัยหูตึง เจ้าทำอะไรของเจ้า? เจ้าไม่เป็นอะไรกระมัง!”ตอนรู้รับข่าวอวิ๋นอิงได้รับบาดเจ็บ หลิงเชียนอี้ติดปีกบินตรงมายังจวนอ๋องเฉินโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นพุ่งพรวดเข้าไปเบียดฉู่เชียนหลีออก แล้วจับมือทั้งสองข้างของอวิ๋นอิง ท่าทางที่ร้อนใจนั่น เหมือนกับ ‘พ่อเฒ่า’ คนหนึ่งฉู่เชียนหลีที่ถูกเบียดออกไป “...”เยว่เอ๋อร์เห็นสถานการณ์ ปิดปากแอบหัวเราะอวิ๋นอิงรีบเช็ดยาที่มุมปากออก วางถ้วยลง “ท่านโหวน้อย ท่านมาได้อย่างไร? ข้าไม่เป็นอะไรนี่ ก็แค่ตอนฝึกยุทธ์ไม่ระวังบิดโดนเอว นอนสักสองวันก็หายดีแล้ว”หลิงเชียนอี้กวาดมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า เมื่อเห็นว่าสีหน้าของนางยังใช้ได้ สภาพจิตใจก็ยังดี จึงจะโล่งอกเล็กน้อยจากนั้นก็ทำหน้านิ่ง จ้องนาง ถามอย่างจริงจัง“เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่โกหกข้าจะมีจุดจบอย่างไร?”อวิ๋นอิงชะง
เมื่อไรที่แต่งตั้งแล้ว ก็ไม่สามารถเปลี่ยนหรือปลดได้ง่ายๆ“อ๋องเฉินสร้างผลงานด้านการทหาร ปกป้องบ้านเมือง สามารถพิทักษ์สันติสุขของราษฎรเจียงเป่ยนานห้าสิบปี จะมีสักกี่คนที่สามารถทำได้เช่นนี้? กระหม่อมคิดว่า อ๋องเฉินมีคุณสมบัตินั่งตำแหน่งรัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ”“กระหม่อมเห็นด้วย!”ขุนนางสิบกว่าคนทยอยกันคุกเข่าขอพระบัญชา พวกเขาล้วนเป็นพรรคของอ๋องเฉินพรรคของอ๋องหลีเห็นสถานการณ์ไม่ดี เริ่มร้อนใจแล้ว ต่างพากันพูดแทนอ๋องหลี“ฝ่าบาท หลายเดือนนี้ แรงกายแรงใจที่อ๋องหลีเสียสละ พระองค์ทรงเห็นกับตา ราษฎรก็คิดเช่นนี้ เขามีคุณธรรม มีเมตตา ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความกรุณา มีมิตรไมตรีที่ดี อุปนิสัยของเขาไม่ต้องสงสัยเลย”กษัตริย์ที่มีความเมตตา จึงจะสามารถรักราษฎรดุจลูก จึงจะสามารถปกครองแผ่นดินที่กว้างใหญ่เช่นนี้ ความเห็นของสองฝ่ายไม่ตรงกัน“แม้อ๋องหลีมีอุปนิสัยที่ดี แต่พระชายาของเขาไร้เหตุผล เพื่อเล่นงานพระชายาอ๋องเฉิน ถึงขั้นเอาชีวิตของพระนัดดาองค์โตมาล้อเล่น ผู้หญิงที่เหมือนคนบ้าคนนี้ ถ้าหากเป็นพระชายารัชทายาท มีแต่จะเป็นภัยของราษฎร”“ฝ่าบาท โปรดพิจารณา!”พรรคของอ๋องหลีเริ่มชะงักมองจากมุมของอ๋องห
“ไม่รู้ว่าอ๋องหลีได้รับความเชื่อใจจากฝ่าบาทอย่างไร ฝ่าบาทมักจะเข้าข้างเขาอย่างไร้เงื่อนไข ข้ากังวลว่าพวกเจ้าสู้กัน…จะไม่เป็นผลดีต่อเจ้า”“อย่าไปคิดมาก”นิ้วมือของเขาลูบคิ้วของนางเบาๆ เป็นการปลอบใจช่วงที่เขาไม่อยู่ นางได้แบกสิ่งต่างๆ มากมายตอนนี้เขากลับมาแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มีเขาอยู่ นางไม่จำเป็นต้องกังวล ทุกอย่างปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเขา“ทหารมาใช้ขุนพลต้าน น้ำมาใช้ดินต้าน คนเราเกิดมาก็ต้องเจอกับปัญหา และไปแก้ไขปัญหา ในเมื่อฝ่าบาทเข้าข้างเขา อย่างไรก็ต้องมีวิธีอื่น ที่สามารถเลือกเดินได้”ขอเพียงครอบครัวของพวกเขาอยู่ด้วยกัน นี่จึงจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเขาแล้ว ราชบัลลังก์นับอะไรไม่ได้เลย ล้วนเป็นสิ่งที่มีก็ได้ ไม่มีก็ได้ สิ่งเดียวที่เขาต้องการ นั่นก็คือนางกับลูก ฉู่เชียนหลีถอนหายใจเบาๆ พลางขยับร่างกาย มุดเข้าไปในอ้อมแขนของเขาอย่างออดอ้อนนางสูดดมกลิ่นปอเหอบนร่างกายของเขา จิตใจสงบเป็นพิเศษกลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากกันนาน ไม่อยากพูดถึงเรื่องไม่ดี“ใช่แล้ว” จู่ๆ นางก็กล่าว “ยังไม่ได้ตั้งชื่อลูกเลย”ตอนนั้นเขาบอกว่าถ้าเป็นผู้ชายชื่อจิ่งสิง ถ้าเป็นผู้หญิงชื่ออวิ๋นก
นางเม้มมุมปาก อิจฉาเล็กน้อย นั่งเงียบๆ อยู่ที่ข้างๆ ละสายตาไปทางอื่นเขากล่อมน้องสาวครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความเงียบของนาง จึงเงยหน้ามอง“ทำไม ไม่พอใจแล้ว?”“หึงแล้ว?”“...”เขาจี้จุดในประโยคเดียว“โตเป็นผู้ใหญ่เช่นนี้แล้ว ยังจะหึงกับลูกสาวของตัวเองอีก หรือข้าจะถูกปีศาจน้อยสองคนนี้แย่งไปได้?”“...”นี่ทำเหมือนนางดูปัญญาอ่อนมาก และจริงจังมาก?ฉู่เชียนหลีเบะปาก“เจ้าเห็นข้าเป็นใคร โลกทัศน์ของข้าแคบเช่นนั้นเลยหรือ?”“ใช่”“?”“ใครก็ได้!”เขาลุกขึ้นทันที ส่งน้องสาวที่เพิ่งกล่อมจนสงบให้แม่นม หมุนกายก็ไปอุ้มฉู่เชียนหลี อีกทั้งยังอุ้มในท่าแนวราบ เหมือนอุ้มเด็กคนหนึ่ง แต่คนที่เขาอุ้มคือทารกที่มีอายุมากแล้ว“ไม่หึงนะ ข้ารักเจ้าคนเดียว”“?”ฉู่เชียนหลีตั้งสติได้ก็เขินอายจนหน้าแดง จะขอลงทันที แม่นมยังดูอยู่ข้างๆ นะ คำพูดที่เขาพูดมัน…ก็ไม่อายเลย!“ปล่อยข้าลงไป”“ไม่ ทั้งๆ ที่เจ้าชอบให้ข้าทำเช่นนี้กับเจ้า ไม่ใช่ข้าวใหม่ปลามันอะไรเสียหน่อย ยังจะเขินอะไรอีก?”“!”ฉู่เชียนหลีหน้าแดง จ้องเขาอย่างอายจนโกรธ“รีบปล่อยข้าลงได้แล้ว ข้าจะหึงน้องสาวได้อย่างไร ข้าเปล่านะ! ข้าเห็นน้องสาวติดเ
ดังคำกล่าวที่ว่า จากกันนานชนะคู่ใหม่ปลามัน ไม่เจอกันสามเดือน คนสองคนที่คุ้นเคยแต่ก็ไม่คุ้นเคยกอดกันแน่น เปลวไฟนิรนามถูกจุดขึ้นในใจ เมื่อลุกท่วม ก็ร้อนแรงจนสะเทือนฟ้าสะเทือนบกอย่างไม่สามารถควบคุมหนึ่งจูบที่ลึกซึ้งแน่นแฟ้นลึกล้ำคิดถึงความรักเขากระหายจนอยากกลืนนางลงท้อง อยากแทะกระดูก กัดนาง กินนาง แม้แต่ลมหายใจของนางก็กลืนลงท้องนางเริ่มต้านทานไม่ไหว สมองที่ขาดอากาศว่างเปล่า สองมือยันอยู่บนหน้าอกเขา พยายามผลักออกเขาไม่ถอย กลับกันยิ่งทับแน่นขึ้นผ่านไปเนิ่นนานกลีบริมฝีปากแยกจากกันนางหอบหายใจอย่างหนัก แทบเป็นลมแล้ว แก้มทั้งสองข้างแดงฉาน แดงจนสะดุดตา แดงจนแสบตา แดงจนทำให้เขากระวนกระวายใจ ต้องการมากกว่านี้แต่เขากลับต้องอดกลั้นนางยังอยู่ในช่วงเพิ่งคลอด ภายในหนึ่งเดือนห้ามแตะต้องมีความต้องการแต่ไม่มีที่ลง ภายใต้สถานการณ์ที่หมดหนทาง เขากัดคอนาง สูดดมแรงๆ เหมือนดับความกระหาย“อาเฉิน เจ้าทำข้าเจ็บแล้ว…”เสียงตะโกนเบาๆ ดังเข้าไปในหูเฟิงเย่เสวียน มันคือการเสแสร้งเสียงที่อ่อนโยน มันคือการอ้อนก็เหมือนกับประกายไฟถูกลมพัด พริบตานั้นลุกท่วมร่างกายเฟิงเย่เสวียน เลือดในร่าง
อ๋องเฉินกลับมาแล้ว!เมื่อข่าวนี้แพร่กระจายออกไป ทั้งจวนอ๋องเฉินครึกครื้น ผ่านไปสามเดือนเต็มๆ ในที่สุดท่านอ๋องก็กลับมาแล้ว คนทั้งจวนวิ่งไปต้อนรับที่หน้าประตู“ท่านอ๋อง!”กลับมาแล้ว!ในที่สุด!ท่านอ๋องกลับมาแล้ว ทุกคนก็เหมือนได้เสาหลักกลับคืนมา มีที่พึ่งพิง มีความมั่นใจ แม้แต่เสียงพูดก็เปี่ยมไปด้วยพลังแล้ว“เฉินเอ๋อร์ เจ้ากลับมาแล้ว ปล่อยให้แม่คิดถึงตั้งนาน!” ถงเฟยดีใจจนร้องไห้คนอื่นก็เช่นกันเฟิงเย่เสวียนโอบเอวเล็กของฉู่เชียนหลีไว้ มองดูจวนที่คุ้นเคย ใบหน้าที่คุ้นเคย สิ่งเดียวที่คิดถึงในเวลานี้คือลูก!เมื่อเดินเข้าจวน ก็ตรงไปที่เรือนหานเฟิง เข้าไปในห้อง ก็มองเห็นเด็กสองคนที่นอนอยู่ในเปลโยกสองคน!พวกนางนอนด้วยกัน เพิ่งดื่มนมอิ่ม กำลังนอนหลับสนิทกำปั้นเล็กๆ ของพี่สาวตัวอ้วนวางอยู่ที่ข้างศีรษะทั้งสองข้าง ปากน้อยๆ ที่อวบอิ่มห่อยื่นออกมาเล็กน้อย และดูดปากเป็นระยะ เหมือนกำลังนึกถึงรสชาติของนม น่ารักมากน้องสาวตัวผอมเหมือนรู้สึกไม่ปลอดภัย มือน้อยกำผ้าห่อทารกแน่น ร่างกายเล็กๆ นอนขดตัว ราวกับต้องการซ่อนตัวเองไว้ใบหน้าของเด็กที่อ่อนเยาว์สะกิดหัวใจเฟิงเย่เสวียนในพริบตา ทำให้เขา
“สวรรค์!”มีชาวบ้านเห็น ตกใจจนกรีดร้องรอตอนที่ฉู่เชียนหลีไปดู เห็นเพียงผ้าห่อทารกตกลงไปในทะเลสาบอย่างรวดเร็ว นางอยู่ห่างออกมาสิบกว่าเมตร อย่างไรก็ช่วยไม่ทันพริบตานั้น หัวใจนางเหมือนถูกมีดกรีดขณะที่ทุกคนกำลังประหม่า ในช่วงเหตุการณ์คับขัน มีร่างเงาสีหมึกสายหนึ่งพุ่งพรวดเข้ามาราวกับวิญญาณผี พลันกระโดดข้ามทะเลสาบอย่างฉับไว รับเด็กไว้แล้วร่อนลงพื้นอย่างมั่นคงปลอดภัยหายห่วง!สมองของฉู่เชียนหลีว่างเปล่าไปชั่วพริบตาหนึ่ง ขาอ่อนจนเกือบล้มลงพื้น โชคดีที่เยว่เอ๋อร์รีบประคองไว้ เมื่อยืนมั่นคงและเงยหน้ามอง ก็ต้องตะลึงอีกครั้งเขา!เขากลับมาแล้ว!เฟิงเย่เสวียน!เขายังคงสวมชุดเพ้าหมึกสีเข้ม เกล้าผมตั้งสูง ไม่เจอกันสามเดือน ผิวของเขาเข้มขึ้นเล็กน้อย มีแผลเป็นตรงแก้มหนึ่งสาย ช่วยเพิ่มความเฉียบคมให้เขาสามส่วน ระหว่างคิ้วเต็มไปด้วยแววของความเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกล ทำให้แลดูหนักแน่นและเป็นผู้ใหญ่กว่าเมื่อก่อนฉู่เจียวเจียวตกใจมาก“อ๋องเฉิน…”เขากลับมาได้อย่างไร?เหตุใดจู่ๆ ก็โผล่ออกมาโดยไม่ให้ซุ่มไม่ให้เสียงเหมือนกับผี?เฟิงเย่เสวียนอุ้มเด็กไว้ในข้อพับแขน มืออีกข้างยกขึ้น มองนางด้วยร
รอนางกลายเป็นพระชายารัชทายาท เวลาที่ฉู่เชียนหลีพบนาง จำเป็นต้องคุกเข่าคำนับฉู่เจียวเจียวเชิดคางขึ้นเล็กน้อย เหลือบมองนางแวบหนึ่ง กล่าวราวกับประทานความเมตตา“ถ้าหากเจ้ารู้จักประมาณตน ทางที่ดีตอนนี้ออกไปจากนอกสายตาของข้า ถ้าหากข้าอารมณ์ดีแล้ว วันข้างหน้า ข้าก็จะละเว้นพิธีของการคำนับเมื่อเจ้าพบข้า”ราชโองการยังประกาศไม่ถึงจวนอ๋องหลี นางก็วางมาดของพระชายารัชทายาทแล้วกิริยานั่น น้ำเสียงนั่น ท่าทางนั่น เหมือนนกยูงรำแพนหางตัวหนึ่ง เหลือบมองฉู่เชียนหลีจากเบื้องสูงฉู่เชียนหลีหัวเราะ“พระชายารัชทายาทแล้วอย่างไร? พระชายาอ๋องหลีแล้วอย่างไร? หรือทำผิดแล้ว ไม่ต้องยอมรับผิดก็ได้?”“หรือในความเข้าใจของเจ้า เมื่อเจ้าเป็นพระชายารัชทายาท ก็สามารถใช้อำนาจบาตรใหญ่ อยากทำอะไรก็ได้?”เมื่อชาวบ้านได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าเปลี่ยนทันทีถ้าหากแม้แต่พระชายารัชทายาทก็ไร้เหตุผลเช่นนี้ เมื่อรัชทายาทขึ้นครองบัลลังก์ จะปฏิบัติต่อราษฎรอย่างดีหรือ?พระชายารัชทายาทใช้อำนาจรังแกคน อวดอ้างบารมีเช่นนี้ มีนางอยู่ ราษฎรสามารถมีชีวิตที่ดีหรือ?ฉู่เจียวเจียวรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของชาวบ้าน นางรีบกล่าว“ฉู่เ
ฉู่เจียวเจียว “?”เมื่อหันไปมอง เห็นเพียงเต๋อฝูพาหมอหลวงสูงวัยท่านหนึ่งมารออยู่ที่ด้านข้าง และไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อไรฉู่เชียนหลีประหลาดใจเล็กน้อย“กงกงเต๋อฝู ท่านอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”เต๋อฝูสะบัดแส้มาไว้ในข้อพับ โน้มตัวเล็กน้อย คำนับทีหนึ่ง กล่าวตอบอย่างนอบน้อม“ข้าน้อยรับบัญชาจากฝ่าบาท เดิมทีควรไปประกาศราชโองการที่จวนอ๋องหลี ตอนที่เดินผ่านตรงนี้ เห็นพระชายาทั้งสองท่านโต้เถียงไม่ลงตัว จึงสั่งให้คนเข้าวังเชิญหมอหลวงมา สุขภาพของพระนัดดาองค์โตเกี่ยวข้องกับอนาคตของราชวงศ์ ข้าน้อยไม่กล้ารอช้า”ประกาศราชโองการ?ฉู่เชียนหลีเข้าใจอะไรบางอย่างในพริบตาดูเหมือนฉู่เจียวเจียวให้กำเนิดพระนัดดาองค์โต ฝ่าบาทจึงมีราชโองการแต่งตั้งอ๋องหลีเป็นรัชทายาท…แต่ตอนนี้นางไม่มีเวลาให้คิดมาก ความสนใจทั้งหมดล้วนจดจ่ออยู่บนตัวของเด็กที่ร้องไห้ไม่หยุด“รบกวนหมอหลวงลองตรวจสุขภาพของพระนัดดาองค์โตหน่อย ว่าปลอดภัยหรือไม่?”หมอหลวงพยักหน้า เดินเข้าไปฉู่เจียวเจียวตื่นตระหนกทันที…มือที่อุ้มลูกกระชับเล็กน้อย พลางจับผ้าห่อทารกไว้แน่น แววตาสั่นไหว ลนลานเล็กน้อยแต่มาถึงขั้นนี้ นางไม่มีข้ออ้างที่จะปฏิเสธแล
เยว่เอ๋อร์สะดุ้งตกใจชาวบ้านเบิกตากว้างขณะที่เด็กกำลังจะร่วงลงบนพื้น ฉู่เชียนหลีกระโจนเข้าไป ก่อนหนึ่งวินาทีที่เขาจะตกลงบนพื้น นางรับเขาเอาไว้ได้อย่างหวุดหวิดพูดถึงก็แปลก เมื่อครู่ตอนอยู่ในอ้อมแขนพระชายา เอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด พอมาอยู่ในอ้อมแขนของฉู่เชียนหลี เสียงร้องไห้ก็ค่อยๆ เบาลง และสงบไปในที่สุดทันใดนั้น มีเสียงตะคอกดังขึ้น“ฉู่เชียนหลี!”“เจ้าทำอะไร!”ฉู่เจียวเจียวรีบเดินเข้าไป แย่งลูกกลับคืนมาทันที“ต่อให้เจ้าไม่พอใจข้า ก็ไม่ควรโยนลูกของข้า! เจ้ารู้หรือไม่ว่าด้วยความสูงเมื่อครู่ หัวของจื่อเยี่ยชี้ลงข้างล่าง มีโอกาสที่จะคอหักตายทันที!”“เจ้าก็เป็นแม่คนเช่นกัน จิตใจอำมหิตเช่นนี้ได้อย่างไร!”นางชี้หน้าฉู่เชียนหลี ตำหนิด้วยความโกรธและเสียงดัง พูดบลาๆ ราวกับปืนกล ไม่ปล่อยให้ฉู่เชียนหลีได้พูดแทรกคนชั่วชิงร้องเรียนก่อน ก็คงประมาณนี้“อุแว้…”เด็กที่เพิ่งเงียบไปสองวินาที เริ่มร้องไห้อีกครั้งฉู่เจียวเจียวรีบกล่อม “จื่อเยี่ยเป็นเด็กดี จื่อเยี่ยไม่ร้องนะ แม่ไม่ดีเอง ล้วนเป็นเพราะแม่ไม่ดีเอง ล้วนเป็นความผิดของแม่ แม่ไม่ควรให้กำเนิดเจ้า ถ้าหากเจ้าเป็นเด็กผู้หญิง เกรงว่าคงไม่