หลังจากที่เฟิงเจิ้งหลีเดินจากไป ฉู่เชียนหลีย้อนกลับไปในห้อง ยืมเตาของค่ายลาดตระเวนต้มยา เพื่อป้อนให้อวิ๋นอิงกิน รอให้สีหน้าของนางดีขึ้น เตรียมที่จะพานางกลับจวนอ๋องเฉินแต่ในเวลานี้เอง กลับได้ยินความวุ่นวายที่ด้านนอก“แย่แล้ว...ได้รับบาดเจ็บ...ต้องกราบทูลฝ่าบาทหรือไม่? ถ้าหากเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น...”ฉู่เชียนหลีได้ยินดังนั้น รีบวิ่งเข้าไปหา เรียกพลทหารนายหนึ่งเอาไว้“ผู้ใดได้รับบาดเจ็บ?”พลทหารสีหน้าร้อนใจ “ท่านอ๋องหลีได้รับบาดเจ็บแล้ว! เมื่อครู่นี้ ที่พ่อค้าหลายคนกำลังทะเลาะวิวาทกัน อ๋องหลีไปไกล่เกลี่ย แต่กลับได้รับบาดเจ็บที่เอวโดยไม่ทันระวัง ล้มลงไปบนพื้นตอนนั้นเลย ลุกไม่ขึ้น ยังต้องหามกลับจวนอ๋องหลี!”ถ้าหากอ๋องหลีเป็นอะไร ฝ่าบาทกล่าวโทษขึ้นมา เกรงว่าพวกเขาจะต้องได้รับโทษแน่ฉู่เชียนหลีสายตาอึมครึมเอวของเขาแผลเก่ายังไม่หายดี ก็มีแผลใหม่เพิ่มเข้ามาอีก ร่างกายจะทนไหวได้อย่างไร? ทั้งยังบาดเจ็บเพราะอวิ๋นอิงอีกด้วยนางจะนั่งดูอยู่เฉย ๆ ไม่สนใจอย่างนั้นหรือ?แต่ถ้าหากไปดู เฟิงเย่เสวียนก็จะหาเรื่องอีก“พระชายา เกี้ยวเตรียมพร้อมแล้ว พวกเรากลับไปเดี๋ยวนี้หรือไม่?” เยว่เอ๋อร์วิ่งเข้าม
“ท่านอ๋องหลี ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”ฉู่เชียนหลีสาวเท้ายาวเดินเข้าห้องอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นชายหนุ่มนอนคว่ำหน้าอยู่ตรงนั้น เจ็บจนใบหน้าซีดเซียว ดูท่าทางอาการสาหัสมาก รีบตรวจชีพจรให้เขาเอวบาดเจ็บแล้วอาการบาดเจ็บของเก่าบวกกับของใหม่ น่าจะโดนกระดูกกับเส้นเอ็น เกรงว่าจะทำกิจกรรมโลดโผนไม่ได้ภายในระยะเวลาอันสั้นเฟิงเจิ้งหลีอวดดี “แผลเล็กน้อย...อีกไม่นานก็หายดีแล้ว...ข้ายังสะสางงานราชการไม่เสร็จดี...”ในขณะที่พูด เขาก็พยุงขอบเตียง อยากจะลุกขึ้นแต่เขาถูกคนหามกลับมา บาดเจ็บจนสภาพแบบนี้แล้ว ยังคิดจะทำงาน ไม่คำนึกถึงร่างกายของตนเองเลย?ฉู่เชียนหลีกดเขากลับลงไป หยิบเหล้ายาออกมา“ข้า...ข้าจัดการเองเถอะ...” เขาจับเสื้อผ้าเอาไว้ รู้สึกเขินอายราวกับสาวพรหมจารีแต่ใบหน้าซีดขาว หายใจหอบถี่ ท่าทางอ่อนแอ ทั้งยังทำให้คนรู้สึกสงสารฉู่เชียนหลีรู้ดี สิ่งที่เขาเป็นพะวงก็คือเรื่องของสถานะเขาพะวงได้ถูกต้องจวนอ๋องหลีมีคนเยอะมากมายขนาดนี้ ไม่ว่าจะวนอย่างไร ก็วนมาไม่ถึงฉู่เชียนหลีที่ต้องเป็นคนทาเหล้ายาให้เขา“ได้” นางลุกขึ้น เตรียมจะออกไปเพื่อเรียกคนเฟิงเจิ้งหลี “?”จ้องมองแผ่นหลังของนางด
ไม่ได้รับความชื่นชอบ ทั้งยังถูกรังแก ใช้ชีวิตอย่างต่ำต้อยเพราะต้องพึ่งพาคนอื่น ห้ามโมโห ห้ามมีปากมีเสียง เหมือนกับสุนัขที่เหน็บหางเอาไว้แน่นตลอดเวลาอึดอัดใจ เก็บกด อีกทั้งยังทุกข์ทรมานมีเพียงสิ่งเดียวที่ไม่เหมือนกันก็คือ อ๋องหลีมีแม่เลี้ยงคนหนึ่งที่เอ็นดูเขา รักเขาจากใจจริง แต่นางอันแม่เลี้ยงของนาง...ไม่เอ่ยดีกว่า!ฉู่เชียนหลีเม้มปาก กล้ำกลืนชีวิตที่ประคองพอให้อยู่รอดไปวัน ๆ ที่ผ่านมาสิบกว่าปีลงไป ระบายยิ้มออกมาจาง ๆ “ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ต้องกังวล อ๋องหลีเขาโดดเด่นมาก เขารู้จักประมาณตน เขาจะเป็นความภาคภูมิใจของท่าน”ไม่มีใครอยู่ในสถานะหนึ่งตลอดไปมีขึ้นมีลง มีการเปลี่ยนแปลง ถึงจะเป็นความปกติของชีวิตมนุษย์ฮูหยินผู้เฒ่าเช็ดน้ำตา ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “พระชายาอ๋องเฉิน ท่านช่างเป็นเด็กดีที่รู้ความจริง ๆ”นางกล่าว “เรื่องที่ครั้งก่อนท่านช่วยข้าเอาไว้ ข้ายังไม่ทันได้กล่าวขอบคุณ ข้าทำอาหารกลางวันแล้ว อีกเดี๋ยวมากินด้วยกันนะ”นางเข้าครัวลงมือทำกับข้าวเองนางสวมเสื้อผ้าเรียบง่าย บนร่างกายไม่มีเครื่องประดับหรูหรา บนใบหน้าไม่มีเครื่องสำอางที่หนาเตอะ เนื้อตัวดูสะอาดสะอ้าน ผมเผ้าพิถีพิถัน ด
“ค่าตรวจห้าร้อยตำลึง จ่ายสด งดเชื่อ” เฟิงเย่เสวียนเอ่ยปากพูดเสียงเย็นชา“!”ลูกตาของฉู่เจียวเจียวเบิกกว้างทันทีหะ ห้าร้อยตำลึง?!เหล้ายาเพียงแค่ขวดเดียว อย่างมากก็แค่ไม่กี่สิบเหรียญ หมอทั่วไป ให้ตายอย่างไรก็แค่สองตำลึงเงิน คิดไม่ถึงว่าทันทีที่อ๋องเฉินอ้าปากก็จะเอาห้าร้อยตำลึง!รีดไถ!เบี้ยหวัดเดือนหนึ่งของนางแค่ยี่สิบตำลึง นางจะไปเอาเงินห้าร้อยตำลึงมาจากไหน?ฉู่เชียนหลีเห็นดังนั้นก็เลิกคิ้ว กล่าวพร้อมรอยยิ้ม“พี่สาม รบกวนท่านจ่ายเงิน ข้ายุ่งมาก มีคนมากมายอยากจะมาตรวจกับข้าทุกวัน ข้าไม่มีเวลาว่าง”ฉู่เจียวเจียว “...”สองผัวเมียขูดรีดด้วยกัน!ใจดำเหลือเกิน!เหล้ายาหนึ่งพันขวด ก็ไม่คุ้มค่ากับเงินห้าร้อยตำลึง!โมโหมาก แต่ว่าเมื่อเผชิญหน้ากับใบหน้าเย็นชาอันน่าเกรงขามของอ๋องเฉิน นางก็หัวหดอย่างหวาดกลัว ไม่กล้าแย้งกลับ จำใจต้องพยายามสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้ กลืนความเสียใจลงท้อง ไปที่ห้องเก็บสินค้าเพื่อเอาเงินก้อนใหญ่ห้าร้อยตำลึงนำเงินก้อนใหญ่ให้ฉู่เชียนหลีทั้งน้ำตาฉู่เชียนหลีรับมาพร้อมรอยยิ้ม พับครึ่ง แล้วใส่ในกระเป๋า “ขอบคุณพี่สามมาก ต่อไปถ้าหากต่อไปได้รับบาดเจ็บฟกช้ำดำเขียว
จวนรัชทายาทในอดีต บรรยากาศรกร้าง เปล่าเปลี่ยวทรุดโทรมด้านในห้องเฟิงเจิ้งซือในวัยเด็กนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าแดงสุกใส บนหน้าผากโปะด้วยผ้าขนหนูผืนหนึ่ง ดวงตาเลือนราง นอนหลับลึกฮ่องเต้นั่งอยู่ด้านหน้าเตียง ใบหน้าสีหน้าน่าเกรงขาม เอาแต่จ้องมองเด็กน้อยที่หลับใหลยังไม่ฟื้นถึงแม้ว่าเด็กคนนี้จะดื้อรั้นไปบ้าง ถูกตามใจจนเคยตัว แต่ก็เป็นหลานสาวคนโตของฮ่องเต้เขาชอบเด็กมาตลอด ดีกับลูกชาย ลูกสาว และหลานมาก ๆ มาโดยตลอดพระชายารัชทายาทยืนอยู่ด้านข้าง เบ้าตาแดงก่ำ สะอื้นไห้ไม่หยุด น้ำตาเม็ดโตไหลออกมา“ซือเอ๋อร์เอ๋ย เสด็จปู่มาเยี่ยมเจ้าแล้ว ใจสู้หน่อย รีบหายไว ๆ จะได้มาเล่นเป็นเพื่อนเสด็จปู่ของเจ้า...”นางร้องไห้ด้วยความเป็นห่วงเมื่อพูดประโยคนี้ออกมา ก็เผยวัตถุประสงค์ของนางฮ่องเต้ตั้งใจ จองจำรัชทายาท ทุกคนในจวนรัชทายาทต้องรับโทษ พระชายารัชทายาทอยากจะใช้เฟิงเจิ้งซือ ขอความเมตตาจากฝ่าบาทเฟิงเจิ้งอวี้เองก็วางแผนแบบนี้เช่นกัน“เสด็จพ่อ ทรงเสด็จมาเยี่ยมซือเอ๋อร์ หลังจากซือเอ๋อร์ฟื้นจะต้องดีใจมากแน่ เด็กคนนี้นึกถึงท่านทุกวัน ชอบพระองค์เป็นพิเศษเลย”เฟิงเจิ้งอวี้ยืนอยู่ด้านข้าง พลางสังเกตสีหน
โอกาสงั้นหรือ?ฝ่าบาทเอามือไพล่หลัง จ้องมองบุตรที่นั่งคุกเข่าอยู่แทบเท้าด้วยสายตาเย็นชาเขาเป็นพี่ใหญ่เป็นลูกชายคนแรก ตอนที่เกิด เขาดีใจจนนอนไม่เต็มอิ่มมาหลายวันหลายคืน ถึงขนาดทิ้งงานราชการ ทุ่มเทจิตใจไว้ที่ลูก ตลอดหลายปีมานี้ ทุ่มเทสั่งสอนอย่างสุดชีวิต มีความคาดหวังสูงแต่อีกฝ่ายกลับตอบแทนเขากลับมาเช่นนี้!หลายปีมานี้ เขาให้โอกาสอีกฝ่ายมาตลอด!“เสด็จพ่อ ขอร้องละ!” เฟิงเจิ้งอวี้จับเสื้อของฝ่าบาทเอาไว้แน่น “เสด็จพ่อ หม่อมฉันสำนึกผิดแล้ว ไม่กล้าอีกแล้ว อีกอย่างวันนั้นหม่อมฉันไม่ได้เข้าวังนะพ่ะย่ะค่ะ!”ฝ่าบาทได้ยินดังนั้น สีหน้าก็เย็นชาทันทีความหมายของประโยคนี้คือ ไม่ได้เข้าวัง ก็ไม่นับว่าบีบให้สละราชสมบัติ?ตอนนั้น ถ้าหากไม่ใช่พระชายาอ๋องเฉินขวางเอาไว้ ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะอ๋องเฉินมาถึงทันเวลา คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้มังกรในตอนนี้ก็คงเป็นเขาเฟิงเจิ้งอวี้แล้ว!“เสด็จพ่อ...”“เรายินดีเลี้ยงดูเฟิงเจิ้งซือ ถ้าหากเจ้ายังพูดมากอีก ทำให้เรารำคาญใจ เช่นนั้นก็ให้เฟิงเจิ้งซืออยู่ด้วยกับเจ้า ถูกขังอยู่ที่นี่กับเจ้าตลอดไป!” ฮ่องเต้สะบัดแขนเสื้ออย่างเย็นชาเฟิงเจิ้งซืออยู่ที่ไหนไม่สำคัญ ถึงอ
ในห้องโถงหลักฮ่องเต้นั่งอยู่บนที่นั่ง มือวางอยู่บนที่วางแขน เฟิงเย่เสวียนและฉู่เชียนหลียืนอยู่ที่ด้านล่างฝั่งซ้ายและขวา เฟิงเจิ้งอวี้กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ตรงกลาง กำลังสารภาพผิด“เสด็จพ่อ หม่อมฉันสติเลอะเลือน หน้ามืดตามัว ถึงได้เดินทางผิด...”เขาเล่าเรื่องที่บีบบังคับให้สละราชสมบัติวันนั้นอันที่จริงเป็นเพราะเขาถูกเฟิงเย่เสวียนบีบจนถึงขีดสุดแล้ว!เฟิงเย่เสวียนส่งคนเข้ามาแทรกซึมที่จวนรัชทายาท ขโมยความลับของห้องหนังสือ นำเรื่องที่เขาทำผิดทั้งหมดมาตลอดหลายปีนี้ บอกแก่ฝ่าบาทเขากลัวจะได้รับโทษ จำต้องลงมือก่อนถึงจะได้เปรียบเขาผิดไปแล้วขิงต้องแก่ถึงจะเผ็ดเขาเอาชนะฝ่าบาทไม่ได้เฟิงเจิ้งอวี้ยอมรับผิด พูดจบ แต่ไม่ได้รับการตอบกลับ จึงเหลือบตาขึ้นอย่างระวัง เมื่อเห็นฮ่องเต้มองตรงมาที่ตนเอง ก็รีบก้มหน้าลงไปเขาเล่าทั้งหมดแล้ว หรือว่ายังมีอะไรที่ยังไม่ได้เล่าอีก?ด้านข้าง เฟิงเย่เสวียนเตือนด้วยความหวังดี“พี่ใหญ่ เรื่องที่ท่านทำผิดทั้งหมดเป็นความผิดประหารเก้าชั่วโคตร เสด็จพ่อนึกถึงความเป็นญาติถึงได้เมตตา ท่านควรจะเล่าเรื่องทั้งหมดก่อนหน้านี้ อย่างไม่ตกหล่นจึงจะถูกต้อง”เขายิ้มอย่างส
“โอ๊ย!”เฟิงเจิ้งอวี้ถูกตบจนกลิ้งไปกับพื้น ใบหน้าเจ็บจนชา แก้วหูเสียงดังวิ้ง ๆ ท่าทางงุนงงดูจากปฏิกิริยาตอบโต้ของฝ่าบาท เห็นได้ชัดว่าไม่รู้ความจริงเรื่องโรคระบาดเมืองตงหนิงหรือว่าเฟิงเย่เสวียนไม่ได้บอกฝ่าบาท?เป็นไปไม่ได้!เฟิงเย่เสวียนซื้อตัวอูหนู ขโมยความลับของห้องหนังสือของเขาไป มอบให้แก่ฝ่าบาท ตามหลักแล้ว ฝ่าบาทน่าจะรู้เรื่องโรคระบาด แต่ปฏิกิริยาตอบโต้แบบนี้...นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?!“ทำเรื่องเลวระยำแบบนี้ ยังอยากจะให้เรายกโทษให้เจ้า! เฟิงเจิ้งอวี้ เจ้ายังเป็นคนอยู่หรือไม่!” ฝ่าบาทสะบัดมือไปตบเข้าที่ใบหน้าอีกทีหนึ่งด้วยความโกรธบีบบังคับให้สละราชสมบัติ ขายแผนการทางทหาร สมคบคิดกับโจรภูเขา ทำร้ายพี่น้อง แพร่โรคระบาด...แต่ละเรื่อง แต่ละราว เป็นฝีมือของเขาทำอย่างนั้นหรือ?ช่างเป็นเดรัจฉานจริง ๆ!เรียกได้ว่าเป็นเหมือนสายลับที่แคว้นอื่นส่งตัวมา!เมื่อนึกถึงโรคระบาดขึ้นมา รวมทั้งชาวบ้านที่ตายอย่างไม่ได้รับความยุติธรรมนับพัน ฮ่องเต้ทั้งปวดใจ ทั้งโมโห ตอนนี้ ตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดแล้ว“ใครก็ได้! องค์ชายใหญ่ขาดคุณธรรมอันดีงาม ไม่คู่ควรที่จะเป็นผู้นำ ปลดตำแหน่งและยึ