“ช่วยด้วย!”สองหนุ่มสาวประคองชายวัยกลางคนที่ผิวหนังแดงก่ำ หมดสติวิ่งเข้ามา “พระชายาอ๋องเฉิน ท่านพ่อของข้าใกล้จะไม่ไหวแล้ว ขอร้องท่านช่วยเขาด้วย!”พวกเขาร้อนใจจนเบ้าตาแดงก่ำ น้ำตาเม็ดใหญ่ร่วงลงมาทันทีที่วิ่งเข้ามาถึง ยังไม่ทันทรงตัวได้ ชายวัยกลางคนก็ล้มลงไปบนพื้นอย่างอ่อนแรง มือทั้งสองข้างกางออก แขนขาทั้งสี่ชี้ฟ้า ตาเหลือกทั้งสองข้าง สิ้นสติไปแล้วฉู่เชียนหลีรีบวางสิ่งของในมือ กำลังจะก้าวเข้าไปหา“คุณหนู!” จิ่งอี้รีบห้ามเอาไว้อาการของคนผู้นี้รุนแรงมาก ถ้าหากเข้าไปใกล้ละก็ มีความเป็นไปได้ที่อาจจะติดเชื้อ“วางใจ ข้ารู้ตัวเองดี การช่วยคนสำคัญกว่า!”มือทั้งสองข้างของฉู่เชียนหลีจุ่มลงไปในน้ำ ใช้น้ำอ้ายเฉ่าพรมบนตัวเพื่อฆ่าเชื้อ แล้วค่อยใช้น้ำพรมลงบนผิวหนัง หลังจากทำมาตรการป้องกันเรียบร้อยแล้ว ถึงได้สาวเท้าเข้าไป จับที่ชีพจรของชายวัยกลางคนคนนั้นชีพจรอ่อนแอ จนสัมผัสไม่ได้แล้ว...นางตกตะลึงไปเล็กน้อยค่อย ๆ เงยหน้า มองเข้าไปในดวงตาที่ว่างเปล่าของชายวัยกลางคน...ไม่มีราศี มืดสลัวราวกับขี้เถ้าเขาตายแล้ว...ฉู่เชียนหลีวางมือที่แข็งทื่อลงเล็กน้อย สองหนุ่มสาวเหมือนกับสังเกตเห็นอะไรบ
ฉู่เชียนหลีสีหน้าอึมครึม เปิดจดหมาย ตอนที่ได้เห็นเนื้อหาด้านใน สีหน้าก็อึมครึมยิ่งกว่าเดิม“ในจดหมายเขียนว่าอะไร?” จิ่งอี้เดินเข้ามาใกล้ กล่าวถามฉู่เชียนหลีจ้องมองเนื้อหาในจดหมายครั้งแล้วครั้งเล่า หยิบกริชที่เปื้อนเลือดเล่มนั้นขึ้นมาบนกริช คราบเลือดได้แห้งกรังไปแล้วความลึกประมาณแปดเซนติเมตร...นางสีหน้าหนักใจ เม้มปากแน่น “เลือดนี้...เป็นของหลิงเชียนอี้”“อะไรนะ?!”ทันทีที่ประโยคนี้หลุดออกไป จิ่งอี้กับรองแม่ทัพเจียงก็ตกใจมาก“แต่จดหมายนี้กลับใช้นามแฝง” ฉู่เชียนหลียกจดหมายที่อยู่ในมือขึ้น “ในจดหมายเขียนว่า ห้ามให้ข้ายุ่งกับเรื่องของเมืองตงหนิง อีกทั้งจะต้องออกจากเมืองตงหนิง ก่อนฟ้าสาง ไม่อย่างนั้นก็จะเอาชีวิตของหลิงเชียนอี้”กริชที่เปื้อนเลือดเล่มนี้ ส่งมาเพื่อข่มขู่หลิงเชียนอี้ได้รับบาดเจ็บแล้วแต่เขาอยู่กับรัชทายาทไม่ใช่หรอกหรือ?รองแม่ทัพเจียงสีหน้าประหลาดใจ กล่าว “พระชายา เมื่อสองชั่วยามก่อน ข้ากับท่านอ๋องไปหารัชทายาท รัชทายาทกลับกล่าวว่าท่านโหวน้อยหนีไปแล้ว เขาเองก็กำลังส่งคนไปตามหาอยู่เช่นกัน ไม่รู้ว่าหนีไปที่ใดแล้ว”แปลกประหลาดหลิงเชียนอี้ไปหารัชทายาท ถูกรัชทายา
ฉู่เชียนหลีพูดจบ หันหลังกลับเดินไปทางโรงหมอ“จิ่งอี้ มาช่วยข้า รองแม่ทัพเจียง ท่านเรียกชาวบ้านที่อาการป่วยรุนแรงในเมืองทั้งหมดมาทดลองยาที่โรงหมอ!!”“หา?”ตอนนี้งั้นหรือ?รองแม่ทัพเจียงเงยหน้า มองสีท้องฟ้าท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว ใกล้จะยามสอง[footnoteRef:1]แล้ว เวลานี้บรรดาชาวบ้านกำลังนอนหลับ ต้องปลุกพวกเขาให้ลุกจากเตียง? [1: ยามสอง หมายถึง ช่วงเวลาสามทุ่มถึงห้าทุ่ม] ช้าก่อน!จากสถานการณ์ตอนนี้ ไม่ใช่ว่าควรรีบไปช่วยท่านโหวน้อยออกมาหรอกหรือ?พระชายาจะทอดทิ้งไม่ไยดีท่านโหวน้อยจริงหรือ?เฮ้อ!รองแม่ทัพเจียงรู้สึกสับสน ทางไหนก็ยุ่งไปหมด จำต้องฟังการจัดการของพระชายา ไปเคาะประตูทีละบ้าน เพื่อเรียกคนยามราตรีอันมืดมิดยามสาม[footnoteRef:2] ลมหนาวเย็นยะเยือก [2: ยามสาม หมายถึง ช่วงเวลาห้าทุ่มถึงตีหนึ่ง] ชาวนับร้อยเบียดเสียดกันอยู่ในโรงหมอ พวกเขาคลุมเสื้อ ใบหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนเพลีย ทั้งไอ ทั้งหอบ ใบหน้าแต่ละคนซีดเซียวอ่อนแออย่างเห็นได้ชัดฉู่เชียนหลียืนอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงาน ชี้ไปยังสมุนไพรนับร้อยชนิดที่วางอยู่บนโต๊ะ จ้องมองบรรดาชาวบ้าน กล่าวเสียงดังจริงจัง“คืนนี้ ที่เรียกพวกเ
ด้านนอกค่ายทหารตลอดทั้งคืนนี้ คนที่ไม่ได้นอนทั้งคืนไม่ใช่ฉู่เชียนหลี?ภายในกระโจม แสงเทียนสว่างจ้า บนโต๊ะวางเต็มไปด้วยสมุนไพรนานาชนิด อูหนูแห่งเหมียวเจียงกำลังจัดวางสมุนไพรอย่างชำนาญ เริ่มศึกษายาถอนพิษเฟิงเจิ้งอวี้ยืนอยู่ที่ทางเข้ากระโจม มือทั้งสองข้างไพล่หลัง จ้องมองยามราตรีที่มืดมิด จ้องมองไปยังเมืองตงหนิงที่อยู่ไกลออกไปสองลี้เมืองที่ใหญ่ขนาดนี้ หัวเมืองที่มีประชากรนับแสน แต่กลับเงียบเหงาราวกับนรกทุกคนติดโรค ช่างน่าสิ้นหวังจริง ๆ“เร่งมือหน่อย ฟ้าใกล้สว่างแล้ว ข้าต้องได้ยาถอนพิษ” เขาออกคำสั่งโดยที่ไม่แม้แต่หันหน้า น้ำเสียงที่อึมครึมเย็นยะเยือกเหมือนกับยามราตรีอูหนูพยักหน้า “เจ้าค่ะ”ในเวลานี้ ด้านนอก มีองครักษ์นายหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว“รายงาน…เรียนองค์ชาย อ๋องเฉินมาแล้ว!”เฟิงเจิ้งอวี้เลิกคิ้ว “หือ?”ยามสาม?มาหาเขา?อูหนูเป็นผู้หญิงฉลาดที่สายตาเฉียบแหลมมาก มือเรียวลากผ้าม่าน บดบังโต๊ะทดลองของตนเองเอาไว้ นางซ่อนตัวอยู่หลังฉากบังลมเฟิงเจิ้งอวี้กลับไปนั่งประจำที่ ทันทีที่นั่งลง ก็เห็นเงาดำเดินเข้ามาในกระโจม พร้อมกับความเหน็บหนาวยามค่ำคืนสายตาแหลมคมราวกับเหยี
“เรื่องปราบโจรเมื่อสองเดือนก่อน ท่านสมคบคิดกับโจรภูเขา สั่งให้คนวางเพลิงเผาภูเขา ข้ารอดตายมาได้หนึ่งครั้ง”เฟิงเย่เสวียนเพียงแค่จ้องมองเขาเงียบ ๆ “เพียงแค่สองเรื่องใหญ่นี้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นลอบฆ่า วางยาพิษ วางแผนลอบทำร้ายอีกนับครั้งไม่ถ้วน”ตลอดหลายปีมานี้ เขาลืมตาข้างหนึ่ง หลับตาข้างหนึ่ง ปล่อยผ่านไปเฟิงเจิ้งอวี้หันหน้า “อะไร? อะไรนะ?”เขาทำเหมือนกับว่าได้ยินไม่ชัด“แผนการทหารอะไร? โจรภูเขาอะไร? รองแม่ทัพโหวไม่ใช่คนของเจ้าหรอกหรือ? เหตุใดจึงหักหลังเจ้า? เจ้าไปปราบโจรภูเขาเป็นคำสั่งของเสด็จพ่อ เหตุใดจึงถูกลอบทำร้ายละ? ลอบฆ่าวางยาพิษอะไรกัน?”“เจ้าโดนทำร้ายงั้นหรือ?”“เจ้าโดนวางยาพิษงั้นหรือ?”เขาถามคำถามยาวเป็นพรวน ท่าทางที่งุนงงราวกับถูกใครบางคนเอาอะไรมาคลุมหัวไว้ ไม่เข้าใจอะไร ไม่เห็นอะไร ไม่รู้อะไรสักอย่าง หานเฟิงเห็นแล้ว เกิดเพลิงโทสะอัดอั้น!เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าทั้งหมดเป็นฝีมือของรัชทายาท รัชทายาทกลับเสแสร้งได้อย่างไร้เดียงสามาก ฝีมือการแสดงดีกว่านางโลมในหอเสียอีก!ตาทั้งสี่ข้างจ้องมองกัน!สายตาของเฟิงเย่เสวียนกับเฟิงเจิ้งอวี้ปะทะกันที่กลางอากาศ ค
เสียงใสของหญิงสาวดังขึ้น ราวกับค้อน ที่ทุบลงไปบนหัวใจของทุกคน ทำให้บรรดาชาวบ้านตกตะลึง แต่ละคนเบิกตากว้าง จ้องมองหญิงสาวอย่างไม่ขยับ เกรงว่าจะหูฝาดไม่ได้หูฝาด!เป็นเรื่องจริง!ตามหาเจอแล้ว!หลังจากศึกษาสูตรยามากกว่าสามร้อยชนิด ในที่สุดก็ตามหาสมุนไพรที่ถูกต้องเจอแล้วฉู่เชียนหลีพุ่งตัวมาที่ด้านหน้าโต๊ะอย่างตื่นเต้น หยิบสูตรยาแผ่นบาง ๆขึ้นมา “หาเจอแล้ว! จิ่งอี้ ตามหาเจอแล้วจริง ๆ! ทุกคนมีทางรอดแล้ว!”“แจกสมุนไพรให้แก่พวกชาวบ้านตามจำนวนบนสูตรยาแผ่นนี้ นำไปต้มแล้วดื่ม ก็จะสามารถขจัดโรคได้! คนที่อาการรุนแรง ก็ให้กินเพิ่มอีกสองวัน อีกอย่าง อ้ายเฉ่าฆ่าเชื้ออย่าหยุด จนกว่าโรคระบาดจะหายขาด!”ทันทีที่น้ำเสียงตื่นเต้นจบลง ลอยเข้าหูของทุกคนอย่างชัดเจน ทำให้พวกเขาตกใจอย่างรุนแรงมีทางรอดแล้ว...เรื่องจริง...เป็นเรื่องจริง!“พวกเราจะไม่ตาย...”“พวกเรามีชีวิตรอดต่อไปแล้วจริง ๆ หรือ...”ฉู่เชียนหลีไม่สามารถระงับความตื่นเต้นได้ เงยหน้ามองไปทางด้านนอกหน้าต่าง ฟ้าเพิ่งจะสว่าง จึงกล่าว“รองแม่ทัพเจียง เก็บของให้เรียบร้อย โรงหมอเป้าฟู่อยู่ช่วยคนที่นี่ พวกเรารีบกลับเมืองหลวง!”รองแม่ทัพเจีย
เมื่อคำถามนี้ออกไป ทำให้หัวใจของทุกคนหนักอึ้งเมื่อหนึ่งชั่วยามก่อน พระชายาทานยาทันที แต่กลับหมดสติไม่ฟื้น แต่ภายในหนึ่งชั่วยามนี้ ชาวบ้านมากมายกินยาไปแล้ว ก็ทยอยดีขึ้นแล้วแต่พระชายาไม่เพียงไม่ฟื้น ยังไข้สูงไม่ลดเลยอีกด้วย สติสัมปชัญญะไม่ชัดเจน เหมือนกับ...รุนแรงกว่าเดิม?แต่เป็นไปได้อย่างไร?นี่คือยาถอนพิษที่พระชายาศึกษามาเองกับมือ บรรดาชาวบ้านต่างก็ดีขึ้นแล้ว เหตุใดพระชายาจึงไม่ดีขึ้นนะ?หรือว่ามีตรงไหนไม่ถูกต้อง?รองแม่ทัพเจียงครุ่นคิดดูครู่หนึ่ง กล่าวแนะนำเสียงเบา “เถ้าแก่จิ่ง สมุนไพรขาดไปหรือไม่? ต้มให้พระชายาลองกินดูอีกสักชาม?”ตัวตนก่อนหน้าที่มาเมืองตงหนิงของจิ่งอี้คือเถ้าแก่ของโรงหมอเป้าฟู่ มาเพื่อวินิจฉัยโรค ช่วยคนโดยไม่เก็บเงินตอนนี้ไม่มีคนรู้ความเกี่ยวข้องของฉู่เชียนหลีกับโรงหมอเป้าฟู่ แล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าฉู่เชียนหลีมีสำนักอู๋จี๋อยู่ในมือจิ่งอี้ขมวดคิ้ว ส่ายหน้า“เป็นยาสามส่วนของพิษ ภายในสี่ชั่วยาม กินมากไม่ได้”ตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งชั่วยามแล้ว ต้องรอหลังจากสามชั่วยาม ถึงจะกินได้อีกครั้งรองแม่ทัพเจียงร้อนใจ “เช่นนั้นจะทำอย่างไร! ทุกคนกินยาต่างก็ดีขึ้นแล้ว ก็ม
“น้าสะใภ้ของข้าเป็นอะไรหรือ?”หลิงเชียนอี้เพิ่งหนีกลับมา ยังคงงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้ารองแม่ทัพเจียงจ้องมองท่าทางที่สลบไสลไม่ได้สติของหญิงสาว รู้สึกไม่สบายใจ จึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสองวันมานี้คร่าว ๆ หลังจากพูดจบ กล่าวถาม“ท่านโหวน้อย ท่านกลับมาได้อย่างไร?”“ข้า?” หลิงเชียนอี้กุมต้นขาที่ได้รับบาดเจ็บ กล่าว “เดิมทีเมื่อวานนี้ข้าไปหารัชทายาท แต่กลับถูกรัชทายาทรั้งตัวเอาไว้ ต่อมาตอนกลางดึก ตอนที่ข้ากำลังหลับอยู่ จู่ ๆ ก็มีกระสอบมาคลุมหัวข้า แล้วก็ถูกลักพาตัวไป”“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนลักพาตัวข้า มองไม่เห็นอะไรเลย ยังถูกแทงอีกแผล แม่เอ๊ย! เจ็บจะตายชัก!”โชคดีที่เขามีไหวพริบ อาศัยความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ อดทนมาได้หลายชั่วยามแล้ว ในที่สุดก็ฝนเชือกจนขาด แล้วหนีกลับมาได้ถ้าหากรู้ว่าใครเป็นคนลักพาตัวเขา เขาจะต้องจับตัวคนนั้น แล้วแทงที่ต้นขามันสักยี่สิบสามสิบที!พูดจบ เขารีบสอบถามสถานการณ์ของฉู่เชียนหลีอย่างเป็นห่วง“ในระหว่างทางที่ข้ากลับมา ได้ยินว่าเจอยารักษาโรคแล้ว? นางกินยาแล้วหรือไม่? เหตุใดนางจึงยังไม่ฟื้น? เหตุใดใบหน้าของนางจึงแดงขนาดนี้?”คำถามที่ยาวเป็นพรวน
หลังจากกล่าวจบ ในความมืด เสียงลมหายใจของเฟิงเย่เสวียนแรงขึ้นแรงน้อย“ครึ่งปีมานี้ เขาดีกับเขา และดีกับจื่อเยี่ยมาก ไม่เคยทำร้ายพวกเราเลย ตอนข้าเลือกที่จะหักหลังเขา ไม่รู้เพราะเหตุใด ในใจรู้สึกผิดอย่างน่าประหลาด”ฉู่เชียนหลีจับหน้าอก อธิบายความรู้สึกนี้ไม่ถูก“ถ้าหากเจ้าได้รับชัยชนะของจุดจบ ไม่ฆ่าเขาได้หรือไม่? ทำให้เขาพิการก็ได้ กักบริเวณทั้งชีวิตก็ได้ ข้าไม่อยากให้เขาตายเพราะทำดีกับข้า”สายตาเฟิงเย่เสวียนเคร่งขรึม มือที่วางอยู่บนเอวของนางกระชับแน่นขึ้นเล็กน้อยเหมือนกำลังข่มอารมณ์แต่แค่สองวินาที ก็คลายมือออกอย่างเงียบๆ เปล่งเสียงออกมาจากลำคอแค่คำเดียว“อืม”ทั้งคืนไร้คำพูดวันรุ่งขึ้นฉู่เชียนหลีเพิ่งกินข้าวเช้าเสร็จ มีเสียงที่เกรี้ยวกราดดังขึ้นจากนอกประตู“ฉู่เชียนหลี!”จวินลั่วหยวนสีหน้านางดูโกรธมาก เดินปรี่เข้ามา ไฟโทสะทั้งหมดมุ่งเป้ามาที่ฉู่เชียนหลีสาวใช้เสียวอู่เข้าไปขวางทันที“เจ้าออกไปก่อน” ฉู่เชียนหลีเงยหน้ามองผู้มา “มีอะไร?”จวินลั่วหยวนกล่าวด้วยความโกรธ“ข้าเจ็บที่หน้า ยังไม่ทันมาหาเรื่องเจ้า แต่เจ้ากลับกล้าส่งคนออกไปปล่อยข่าวลือที่ข้างนอก ทำลายชื่อเสียงข
จะไม่ขอพบอีก…อวิ๋นอิงกล่าวอย่างเด็ดขาดเด็ดเดี่ยว เฉียบขาดไร้ความรู้สึกใดๆ ในแววตาชีวิตที่เหลือ นางและเจี๋ยวเจี๋ยวพึ่งพากันและกัน ไม่คิดไม่ต้องการสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น ถูกหรือผิดล้วนไม่ยุ่งเกี่ยวชีวิตที่เหลือ อยู่เพื่อเจี๋ยวเจี๋ยวเท่านั้นฉู่เชียนหลีอ้าปาก ยังอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่อวิ๋นอิงตัดสินใจไปแล้ว พูดมากมีแต่จะยิ่งทำให้นางรู้สึกต่อต้านถอนหายใจเบาๆช่างเถอะ!ส่วนวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ เส้นทางของวันข้างหน้ายังอีกยาวไกล ใครจะรู้ว่าพรุ่งนี้กับเรื่องไม่คาดคิด อันไหนจะมาก่อนกัน“เจ้าพักผ่อนเถอะ ข้าช่วยเจ้าอุ้มลูกออกไปก่อน แม่นมก็เตรียมไว้แล้ว เจ้าผอมเกินไป อย่าป้อนนมแม่เอง”น้ำนมหนึ่งหยด ก็คือเลือดหนึ่งหยดฉู่เชียนหลียุ่งเรื่องทางนี้เสร็จ เมื่อกลับถึงห้องก็ดึกแล้วหนึ่งวันที่แสนวุ่นวายสิ้นสุดลง ไม่ง่ายเลยที่จะมีเวลาได้นอนกับเว่ยซีและจื่อเยี่ย ยังไม่ทันนอนลงไป ก็ถูกเฟิงเย่เสวียนที่กลับมาไล่ออกไป เปลี่ยนเป็นเขามานอนกับนางแทนตั้งแต่กลับมา ยังไม่เคยได้นอนกับลูกชายและลูกสาวเพียงลำพังเลยถูกเขาไล่ออกไปทุกครั้งเขากล่าว“นี่เป็นเตียงของข้า”ค
จ้านหู่จากไปพร้อมกับคำด่าทอ เหมือนกับเม่นที่อารมณ์ไม่ดีตัวหนึ่งฉู่เชียนหลีไม่ได้มีเจตนาจะฆ่าเขา คิดเสียว่าเป็นการผูกมิตรแม้จ้านหู่เป็นคนของฮองเฮาซีอวี้ แต่ในใจยังมีความอ่อนโยนอยู่ หวังว่ากันผูกมิตรนี้ของนาง วันข้างหน้าจะสามารถช่วยจิ่งอี้กลับห้องอารมณ์ของอวิ๋นอิงสงบลงมากแล้วฉู่เชียนหลีนั่งอยู่ที่ขอบเตียง “ร่างกายของเจ้ารับปัญหาอะไรไม่ไหวแล้ว ต่อจากนี้สามเดือน เจ้าพักฟื้นเถอะ”พักฟื้นหลังคลอดหนึ่งร้อยวันอวิ๋นอิงไม่สนใจเรื่องนี้ นางกอดลูกที่ได้คืนมาหลังจากสูญเสียไว้แน่น เบ้าตาแดงก่ำ“พระชายา ขอบคุณมาก!”“ขอบคุณที่ท่านช่วยเอาลูกสาวของข้ากลับคืนมา!”ตื้นตันจนน้ำตาไหลฉู่เชียนหลีเช็ดน้ำตาให้นาง “ยายโง่ ระหว่างเจ้ากับข้าต้องใช้คำพูดเช่นนี้ด้วยหรือ? ครึ่งปีที่ข้าไม่อยู่ เจ้าช่วยค่าดูแลเว่ยซีกับลู่ฉิน คนที่ควรพูดขอบคุณคือข้า”“ระหว่างพักฟื้น ห้ามร้องไห้เด็ดขาด และห้ามนั่งนาน ระหว่างทิ้งต้นตอของโรคไว้”“อืม!”อวิ๋นอิงกอดลูกไว้แน่น พยักหน้าแรงๆฉู่เชียนหลีมองเด็กที่นอนหลับสนิทในผ้าห่อทารกตัวน้อยๆ หนังเหี่ยวย่น แก้มแดง ท่าทางคล้ายจิ่งอี้ คิ้วบางเหมือนอวิ๋นอิง และยังมีกลีบริม
ความเจ็บปวดจากการสูญเสีย ความสุขจากการได้คืนมา ความรู้สึกสองแบบที่ต่างกันสุดขั้วนี้ นางไม่อยากรู้สึกอีกถ้าหากต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้อีกครั้ง นางตายแน่!“พระชายา เด็กคนนี้คือชีวิตของข้า ข้าไม่ยอมให้ใครมาแย่งนางไป! ข้าจะปกป้องนางด้วยชีวิต!”ฉู่เชียนหลีนั่งอยู่ตรงขอบเตียง กล่าวปลอบใจ“ข้ารู้”เด็กทุกคนล้วนเป็นจุดอ่อนของมารดา“ไม่มีใครสามารถแย่งลูกของเจ้าไปได้”“แต่ว่า อวิ๋นอิง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับจิ่งอี้ เจ้าเข้าใจเขาผิดแล้ว” นางเงยหน้า ส่งสัญญาณให้ข้างนอกทหารสองคนคุมตัวจ้านหู่เข้ามาจ้านหู่กล่าว“ช่วงเช้าของวันนี้ ข้าเป็นคนแย่งเด็กในโรงหมอเอง”“ข้าคิดว่าเจ้าคลอดลูกชาย กลัวมีปัญหามากมายตามมา ก็เลยเข้าไปแย่งเด็ก ใครจะรู้ว่าเป็นเด็กผู้หญิง ในเมื่อเป็นเด็กผู้หญิง เช่นนั้นก็จะไม่เป็นภัยคุกคามต่อฮองเฮา”ดังนั้นเขาก็เลยคืนเด็กแล้วอวิ๋นอิงรู้จักจ้านหู่ เขาคือคนที่บีบบังคับให้จิ่งอี้ดื่มยาพิษ แต่หลายวันนี้นางต้องผ่านเหตุการณ์มากมาย เดิมทีสภาพจิตใจก็อ่อนแออยู่แล้ว จึงได้สร้างแนวป้องกันขึ้นในใจนางต้องการแค่ลูกสาว!ใครพูดนางก็ไม่อยากฟัง!และไม่เชื่อใครด้วย!กอดลูกสาวแน่น ปก
ปัง!ประตูถูกกระแทกจนเปิดออก ร่างกายจวินลั่วยวนหมุนกลางอากาศหนึ่งรอบ รอยกระเด็นออกไป ล้มหน้าคว่ำลงพื้น รู้สึกมึนงงไปหมดผ่านไปห้าวินาทีเต็มๆ จึงจะตั้งสติได้นาง…โดนตบ?“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”“เหตุใดองค์หญิงหนานยวนลอยออกมาจากห้องท่านอ๋อง…”“ดูเหมือนใครบางคนไม่รู้จักเจียมตัว…”นอกเรือน เมื่อทหารที่เฝ้ายามและคนรับใช้เห็นภาพนี้ เริ่มพากันวิพากษ์วิจารณ์เบาๆ คำพูดบางประโยคลอยเข้าหูของจวินลั่วยวน ทำให้สีหน้าของนางเดี๋ยวซีด เดี๋ยวดำ เดี๋ยวม่วง ดูน่าเกลียดมากเงยหน้าแก้มแสบร้อนใช้มือลูบเบาๆมีเลือด…“หน้าของข้า!”ใบหน้าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับนาง!จวินลั่วยวนโกรธแล้ว “อ๋องเฉิน! ท่านกล้าทำร้ายข้า หรือท่านไม่อยากให้แคว้นหนานยวนสนับสนุนท่าน? ฮ่องเต้หลีเริ่มใกล้ชิดกับแคว้นซีอวี้แล้ว ถ้าหากท่านไม่ได้รับการสนับสนุนจากแคว้นหนานยวนของเรา ท่านไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฮ่องเต้หลี!”มาถึงขั้นนี้แล้ว เขายังไม่รู้ตัวอีกหรือ?เขาไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ถึงกล้าทำร้ายนาง?เฟิงเย่เสวียนยืนอยู่บนบันไดขั้นที่สาม ก้มมองนางที่แยกเขี้ยวยิงฟัน หัวเราะอย่างเย็นชา“วันนี้ได้เห็น แคว้นหนานยวนไม่ได้มีค่า
ไม่นาน น้ำอุ่นก็มา ตอนเฟิงเย่เสวียนอาบน้ำ ไม่ชอบให้คนมาปรนนิบัติ หลังจากคนรับใช้เตรียมเสื้อผ้าและยาเสร็จ ก็ถอยออกไปหมดแล้วภายในห้องหลังฉากบังลมไอน้ำร้อนพวยพุ่ง อบอวลกลางอากาศ หลังจากเสียงน้ำดังขึ้น เงาจางๆ ของเฟิงเย่เสวียนสะท้อนลงบนฉากบังลมคลุมเครือ มองเห็นไม่ชัดแต่เงาด้านข้างนั่น เค้าโครงนั่น แม้แต่ตรงตำแหน่งลูกกระเดือกที่นูนขึ้น ก็สะท้อนออกมา ทำให้เห็นแล้วต้องกลืนน้ำลาย จินตนาการไม่รู้จบ เลือดในกายพลุ่งพล่านจวินลั่วยวนมองเห็นอย่างชัดเจนจากช่องว่างของประตูคอแห้ง กลืนน้ำลาย…จริงนะนางชอบผู้ชายคนนี้มาก ชอบอย่างที่ไม่เคยชอบมาก่อนหลายปีมานี้ คนที่ไปสู่ขอถึงวังหลวง ธรณีประตูแทบถูกเหยียบจนพัง นางเคยเห็นผู้ชายมามากมาย ชนชั้นสูง เชื้อพระวงศ์ เศรษฐีรู้จักคนมากมาย กลับมีเพียงตอนที่เจออ๋องเฉิน หัวใจปั่นป่วนนางจำได้ตลอด ตอนที่เจอกันครั้งแรก อ๋องเฉินจับมือของนาง มองฐานะของนางออกในปราดเดียว เขาพูดว่า‘การปรากฏตัวขององค์หญิงช่างพิเศษจริงๆ’หวั่นไหวตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาซ่า…เสียงน้ำหลังฉากบังลม เหมือนเฟิงเย่เสวียนอาบน้ำเสร็จแล้ว แขนข้างหนึ่งที่มีหยดน้ำติดยื่นออกมาหยิบเสื้
“ไม่รู้ว่าเจ้ากำลังหาใคร? ข้าเดินทางมาเจียงหนาน พาคนมาด้วยไม่น้อย ไม่แน่อาจสามารถช่วยอะไรเจ้าได้บ้าง”ฉู่เชียนหลีลังเลเล็กน้อยผู้มาเยือนคือแขก ยังไปรบกวนคนอื่นอีก รู้สึกเกรงใจจริงๆฮองเฮาหนานยวนเหมือนมองความคิดนางออก พลันยิ้มอย่างอ่อนโยน“พระชายาอ๋องเฉิน แคว้นหนานยวนกับอ๋องเฉินมีความสัมพันธ์ทางการร่วมมือ เจ้าไม่ต้องเกรงใจ”“เห็นเจ้าใช้คนมากมายเช่นนี้ แถมยังปิดเมือง คนผู้นี้น่าจะสำคัญมากกระมัง ไม่ต้องลังเลแล้ว ทุกเวลามีค่า อย่าปล่อยให้อีกฝ่ายมีโอกาสหนี”มันก็จริงตามหาคนสำคัญกว่าฉู่เชียนหลีก็ไม่ลังเลอีก กล่าวตรงๆ “เป็นเด็กทารกที่เพิ่งคลอด เป็นลูกสาวของสาวใช้ข้า…”หลังจากฮองเฮาหนานยวนเข้าใจสถานการณ์คร่าวๆ ก็สั่งให้คนของตัวเองไปช่วยอีกแรงทันทีขณะเดียวกัน ก็เหลือบมองพระชายาอ๋องเฉินท่านนี้อีกหลายครั้งนางดีกับคนรับใช้เช่นนี้มาโดยตลอด?เป็นเพียงสาวใช้คนหนึ่ง นางสามารถทำถึงขั้นปิดเมืองเลยมองออกได้ไม่ยากว่านางเป็นคนให้ความสำคัญกับมิตรภาพ ใครก็ตามที่อยู่ในสายตาของนาง ไม่มีการแบ่งแยกชนชั้น คนเช่นนี้ทำให้คนไว้ใจได้ง่าย ทำให้คนอยากเข้าหา อยากทำความรู้จักสมัยนี้ คนที่มีตำแหน่งมีอ
ต้องเป็นฝีมือเขาแน่!อวิ๋นอิงฝืนยันร่างกายที่อ่อนแรงขึ้น เดินไปข้างหน้าอย่างโซซัดโซเซสองสามก้าว เกือบหมดสติล้มลง“ฮูหยินน้อย!” หมอตำแยรีบเข้าไปประคองนาง “เลือดของเจ้ายังไม่หยุดไหลเลย ลงจากเตียงไม่ได้…”พูดไม่ทันจบ อวิ๋นอิงปัดมือหมอตำแยทิ้ง วิ่งออกไปข้างนอกอย่างสุดชีวิตไม่มีใครสามารถแย่งลูกสาวที่นางต้องแลกมาด้วยชีวิต!นางไม่มีพ่อแม่แล้ว สูญเสียคนที่รักที่สุด นางไม่เหลืออะไรแล้ว ลูกสาวเป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวที่นางจะมีชีวิตอยู่รอดต่อไปใครกล้าแย่งความหวังของนาง นางก็สู้ตายกับคนคนนั้น!หมอตำแยงไล่ตามไปถึงหน้าประตู มองดูนางวิ่งออกไปอย่างโซซัดโซเซ รู้สึกงงงวยไปหมด“เด็ก เด็ก…เด็กคนนี้มันอะไรกันแน่…แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น? รอก่อน! ยังไม่ได้จ่ายค่ารักษาเลยนะ!”“...”บนถนนชาวบ้านเห็นผู้หญิงที่มีเลือดเปื้อนตามร่างกายวิ่งล้มลุกคลุกคลาน คิดว่าเป็นคนบ้าที่มาจากไหนก็ไม่รู้ แต่ละคนตกใจจนพากันหลบ กลัวตัวเองจะติดความโชคร้ายอวิ๋นอิงเหนื่อยมาก ร่างกายถึงขีดจำกัดแล้ว ศีรษะหนักราวกับพันชั่ง ขาทั้งสองข้างล้าจนอ่อนไปหมดแล้ว อาศัยแค่ความแน่วแน่ ต่อให้คลานอย่างสุดชีวิตก็ต้องคลานไปให้ถึงทำเนีย
อวิ๋นอิงรีบปิดปากวิ่งหนี ไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่น้อย ทุกวินาทีที่อยู่ในทำเนียบ รู้สึกเหมือนมีคนจ้องมองตัวเองอยู่ตลอดเวลาโดยเฉพาะท้องเด็กคนนี้ยังไม่ทันเกิด ก็ตกไปอยู่ในแผนของผู้อื่นแล้วนางนอนไม่หลับทั้งคืนรอจนรุ่งสาง นางรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก ถ้าหากฝืนยื้อ นางยื้อจิ่งอี้ไม่ไหว หลังจากคิดซ้ำๆ ทิ้งจดหมายไว้หนึ่งฉบับ จากไปเงียบๆ แล้วนางอยากไปจากเจียงหนานหาสถานที่ที่เงียบสงบและไม่มีใครรู้จักนาง คลอดเด็กคนนี้ออกมา และเลี้ยงดูเขาไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งทางโลก ไม่อยากสนใจอะไรทั้งสิ้น ไปอยู่สถานที่ใหม่ เริ่มต้นใหม่จากไปอย่างเร่งด่วน พกเพียงเงินมือข้างหนึ่งจับท้อง ฝีเท้าเร่งรีบ เตรียมไปเช่ารถม้าหนึ่งคัน แต่ตอนเดินไปถึงตรงหัวมุม ไม่ระวังถูกเด็กที่เล่นอยู่ตรงนั้นชนท้อง“ซี้ด!”ความเจ็บแล่นไปทั่วร่างมีกระแสอุ่นๆ สายหนึ่งไหลออกจากร่างกายช่วงล่างสีหน้าอวิ๋นอิงเปลี่ยนฉับพลัน มือจับเสื้อผ้าตรงท้องตามสัญชาตญาณ สัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ตกวูบ เจ็บจนจับกำแพง ทรุดนั่งลงบนพื้นอย่างเข่าอ่อนชาวบ้านที่เดินผ่านมาเห็น กล่าวด้วยความตกใจ“แม่นาง เจ้าไม่เป็นอะไรกระมัง?”“ข้างล