“เรื่องปราบโจรเมื่อสองเดือนก่อน ท่านสมคบคิดกับโจรภูเขา สั่งให้คนวางเพลิงเผาภูเขา ข้ารอดตายมาได้หนึ่งครั้ง”เฟิงเย่เสวียนเพียงแค่จ้องมองเขาเงียบ ๆ “เพียงแค่สองเรื่องใหญ่นี้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นลอบฆ่า วางยาพิษ วางแผนลอบทำร้ายอีกนับครั้งไม่ถ้วน”ตลอดหลายปีมานี้ เขาลืมตาข้างหนึ่ง หลับตาข้างหนึ่ง ปล่อยผ่านไปเฟิงเจิ้งอวี้หันหน้า “อะไร? อะไรนะ?”เขาทำเหมือนกับว่าได้ยินไม่ชัด“แผนการทหารอะไร? โจรภูเขาอะไร? รองแม่ทัพโหวไม่ใช่คนของเจ้าหรอกหรือ? เหตุใดจึงหักหลังเจ้า? เจ้าไปปราบโจรภูเขาเป็นคำสั่งของเสด็จพ่อ เหตุใดจึงถูกลอบทำร้ายละ? ลอบฆ่าวางยาพิษอะไรกัน?”“เจ้าโดนทำร้ายงั้นหรือ?”“เจ้าโดนวางยาพิษงั้นหรือ?”เขาถามคำถามยาวเป็นพรวน ท่าทางที่งุนงงราวกับถูกใครบางคนเอาอะไรมาคลุมหัวไว้ ไม่เข้าใจอะไร ไม่เห็นอะไร ไม่รู้อะไรสักอย่าง หานเฟิงเห็นแล้ว เกิดเพลิงโทสะอัดอั้น!เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าทั้งหมดเป็นฝีมือของรัชทายาท รัชทายาทกลับเสแสร้งได้อย่างไร้เดียงสามาก ฝีมือการแสดงดีกว่านางโลมในหอเสียอีก!ตาทั้งสี่ข้างจ้องมองกัน!สายตาของเฟิงเย่เสวียนกับเฟิงเจิ้งอวี้ปะทะกันที่กลางอากาศ ค
เสียงใสของหญิงสาวดังขึ้น ราวกับค้อน ที่ทุบลงไปบนหัวใจของทุกคน ทำให้บรรดาชาวบ้านตกตะลึง แต่ละคนเบิกตากว้าง จ้องมองหญิงสาวอย่างไม่ขยับ เกรงว่าจะหูฝาดไม่ได้หูฝาด!เป็นเรื่องจริง!ตามหาเจอแล้ว!หลังจากศึกษาสูตรยามากกว่าสามร้อยชนิด ในที่สุดก็ตามหาสมุนไพรที่ถูกต้องเจอแล้วฉู่เชียนหลีพุ่งตัวมาที่ด้านหน้าโต๊ะอย่างตื่นเต้น หยิบสูตรยาแผ่นบาง ๆขึ้นมา “หาเจอแล้ว! จิ่งอี้ ตามหาเจอแล้วจริง ๆ! ทุกคนมีทางรอดแล้ว!”“แจกสมุนไพรให้แก่พวกชาวบ้านตามจำนวนบนสูตรยาแผ่นนี้ นำไปต้มแล้วดื่ม ก็จะสามารถขจัดโรคได้! คนที่อาการรุนแรง ก็ให้กินเพิ่มอีกสองวัน อีกอย่าง อ้ายเฉ่าฆ่าเชื้ออย่าหยุด จนกว่าโรคระบาดจะหายขาด!”ทันทีที่น้ำเสียงตื่นเต้นจบลง ลอยเข้าหูของทุกคนอย่างชัดเจน ทำให้พวกเขาตกใจอย่างรุนแรงมีทางรอดแล้ว...เรื่องจริง...เป็นเรื่องจริง!“พวกเราจะไม่ตาย...”“พวกเรามีชีวิตรอดต่อไปแล้วจริง ๆ หรือ...”ฉู่เชียนหลีไม่สามารถระงับความตื่นเต้นได้ เงยหน้ามองไปทางด้านนอกหน้าต่าง ฟ้าเพิ่งจะสว่าง จึงกล่าว“รองแม่ทัพเจียง เก็บของให้เรียบร้อย โรงหมอเป้าฟู่อยู่ช่วยคนที่นี่ พวกเรารีบกลับเมืองหลวง!”รองแม่ทัพเจีย
เมื่อคำถามนี้ออกไป ทำให้หัวใจของทุกคนหนักอึ้งเมื่อหนึ่งชั่วยามก่อน พระชายาทานยาทันที แต่กลับหมดสติไม่ฟื้น แต่ภายในหนึ่งชั่วยามนี้ ชาวบ้านมากมายกินยาไปแล้ว ก็ทยอยดีขึ้นแล้วแต่พระชายาไม่เพียงไม่ฟื้น ยังไข้สูงไม่ลดเลยอีกด้วย สติสัมปชัญญะไม่ชัดเจน เหมือนกับ...รุนแรงกว่าเดิม?แต่เป็นไปได้อย่างไร?นี่คือยาถอนพิษที่พระชายาศึกษามาเองกับมือ บรรดาชาวบ้านต่างก็ดีขึ้นแล้ว เหตุใดพระชายาจึงไม่ดีขึ้นนะ?หรือว่ามีตรงไหนไม่ถูกต้อง?รองแม่ทัพเจียงครุ่นคิดดูครู่หนึ่ง กล่าวแนะนำเสียงเบา “เถ้าแก่จิ่ง สมุนไพรขาดไปหรือไม่? ต้มให้พระชายาลองกินดูอีกสักชาม?”ตัวตนก่อนหน้าที่มาเมืองตงหนิงของจิ่งอี้คือเถ้าแก่ของโรงหมอเป้าฟู่ มาเพื่อวินิจฉัยโรค ช่วยคนโดยไม่เก็บเงินตอนนี้ไม่มีคนรู้ความเกี่ยวข้องของฉู่เชียนหลีกับโรงหมอเป้าฟู่ แล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าฉู่เชียนหลีมีสำนักอู๋จี๋อยู่ในมือจิ่งอี้ขมวดคิ้ว ส่ายหน้า“เป็นยาสามส่วนของพิษ ภายในสี่ชั่วยาม กินมากไม่ได้”ตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งชั่วยามแล้ว ต้องรอหลังจากสามชั่วยาม ถึงจะกินได้อีกครั้งรองแม่ทัพเจียงร้อนใจ “เช่นนั้นจะทำอย่างไร! ทุกคนกินยาต่างก็ดีขึ้นแล้ว ก็ม
“น้าสะใภ้ของข้าเป็นอะไรหรือ?”หลิงเชียนอี้เพิ่งหนีกลับมา ยังคงงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้ารองแม่ทัพเจียงจ้องมองท่าทางที่สลบไสลไม่ได้สติของหญิงสาว รู้สึกไม่สบายใจ จึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสองวันมานี้คร่าว ๆ หลังจากพูดจบ กล่าวถาม“ท่านโหวน้อย ท่านกลับมาได้อย่างไร?”“ข้า?” หลิงเชียนอี้กุมต้นขาที่ได้รับบาดเจ็บ กล่าว “เดิมทีเมื่อวานนี้ข้าไปหารัชทายาท แต่กลับถูกรัชทายาทรั้งตัวเอาไว้ ต่อมาตอนกลางดึก ตอนที่ข้ากำลังหลับอยู่ จู่ ๆ ก็มีกระสอบมาคลุมหัวข้า แล้วก็ถูกลักพาตัวไป”“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนลักพาตัวข้า มองไม่เห็นอะไรเลย ยังถูกแทงอีกแผล แม่เอ๊ย! เจ็บจะตายชัก!”โชคดีที่เขามีไหวพริบ อาศัยความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ อดทนมาได้หลายชั่วยามแล้ว ในที่สุดก็ฝนเชือกจนขาด แล้วหนีกลับมาได้ถ้าหากรู้ว่าใครเป็นคนลักพาตัวเขา เขาจะต้องจับตัวคนนั้น แล้วแทงที่ต้นขามันสักยี่สิบสามสิบที!พูดจบ เขารีบสอบถามสถานการณ์ของฉู่เชียนหลีอย่างเป็นห่วง“ในระหว่างทางที่ข้ากลับมา ได้ยินว่าเจอยารักษาโรคแล้ว? นางกินยาแล้วหรือไม่? เหตุใดนางจึงยังไม่ฟื้น? เหตุใดใบหน้าของนางจึงแดงขนาดนี้?”คำถามที่ยาวเป็นพรวน
ภายในห้องมีเพียงแค่สองคน เงียบสงบเป็นอย่างยิ่งชายหนุ่มไม่ออกห่างจากหน้าเตียงไปแม้แต่ก้าวเดียว สายตาจดจ้องอยู่ที่ใบหน้าของหญิงสาวไม่กะพริบนางกำลังหมดสติ อุณหภูมิร่างกายสูงเกินกว่าปกติ แก้มทั้งสองข้างแดงก่ำ หายใจไม่สม่ำเสมอ ราวกับกำลังตกอยู่ในฝันร้าย คิ้วขมวดแน่น แต่เหตุใดนางจึงไม่ฟื้นมือทั้งสองข้างประสานกันแน่นอุณหภูมิร่างกายของนางส่งผ่านไปยังมือของเขา โดยการสัมผัส ทำให้หัวใจของเขาจมดิ่งไปถึงจุดต่ำสุด รู้สึกถึงความเงียบเหงาที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเขาจ้องมองนางเงียบ ๆ แบบนี้ นั่งมาหนึ่งวันเต็ม ๆ แล้วพลบค่ำหานอิ๋งเดินทางมาถึงนางรีบจับชีพจรให้ฉู่เชียนหลี ทั้งตรวจร่างกาย สีหน้าหนักใจยิ่ง“นายท่าน โรคระบาดนี้ไม่ได้มีพิษเพียงชนิดเดียว แต่มีพิษร้ายแรงหลายชนิด พวกมันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างตอนนี้ อาการของพระชายาในตอนนี้...”คำพูดไม่สามารถแสดงถึงความร้ายแรงสายตาของชายหนุ่มอึมครึมราวกับขี้เถ้า “ยาถอนพิษ?”“ยา...” หานอิ๋งก้มหน้า “อาจจะต้องใช้เวลาสามวันถึงจะค้นคว้าหัวเชื้อออกมาได้ แต่ปัญหาสำคัญคือพระชายาจะสามารถอดทนได้หรือไม่ รวมทั้งหลังจากสามวัน พิษร้ายแรงภายในร่างกายของนางจะเปล
เป็นอย่างที่คิด!เฟิงเย่เสวียนอยากช่วยฉู่เชียนหลี!ดูไม่ออกจริงๆ น้องเจ็ดที่ไม่ฝักใฝ่เรื่องทางเพศและเงียบขรึมพูดน้อยของเขา สุดท้ายแล้วจะมาตกม้าตายเพราะฉู่เชียนหลี!ฮ่าๆๆ!“ให้เขาเข้ามา…”“อ๊า!”พูดไม่ทันจบ พลันทหารยามที่มารายงานถูกถีบอย่างแรง ลอยกระเด็นเข้าไปในกระโจม กลิ้งติดต่อกันสิบกว่ารอบ ชนโต๊ะคว่ำ จอกเหล้าและเหล้าตกกระจายเกลื่อนพื้นแววตาเฟิงเจิ้งอวี้ขรึมลง เงยหน้ามองในยามราตรีที่มืดสลัว เฟิงเย่เสวียนในชุดผาวสีหมึกถือกระบี่อ่อน เหยียบย่ำยามราตรีเดินเข้ามาทีละก้าว กลิ่นอายอันเยือกเย็นรอบกายแช่แข็งอากาศทีละชุ่นเหล่าทหารยามรู้สึกถึงความผิดปกติ ต่างก็รีบเข้ามายืนเรียงเป็นหน้ากระดานปกป้องรัชทายาทผู้ชายสองคน คนหนึ่งนั่งอยู่ในกระโจม คนหนึ่งยืนอยู่ในยามราตรี ห่างกันเพียงไม่กี่เมตร ดวงตาสี่ข้างประสานกัน สนามรบที่ไร้ควันดินปืนปะทุขึ้นในพริบตา ควันหลงที่กระจายออกไป ทำให้ทุกคนอกสั่นขวัญผวาเฟิงเจิ้งอวี้หรี่ตาลง ลุกขึ้นอย่างยิ้มแย้ม“น้องเจ็ดมาแล้ว?”เขาถามด้วยรอยยิ้ม “แล้วมีเรื่องอะไร? ได้ยินว่าเชียนอี้หนีกลับมาแล้ว? ไม่ได้รับบาดเจ็บก็ดีแล้ว เจ้าโจรชั่วนี่เจ้ากล้ายิ่งนัก ต้องต
“นายท่าน แย่แล้ว คนหนีไปแล้วขอรับ!”ทันใดนั้น นอกประตู หานเฟิงพุ่งพรวดเข้ามาเฟิงเย่เสวียนกวาดมองด้วยหางตา ผลักรัชทายาทออก ยกกระบี่ยาวขึ้น หมุนกายอย่างเยือกเย็นและเดินออกไปข้างนอก ริมฝีปากบางคายคำพูดอันเยือกเย็นออกมาหนึ่งคำ“ตาม!”เพิ่งเดินออกจากกระโจมในป่าทึบที่อยู่ไม่ไกล ร่างเงาที่เพรียวบางสายหนึ่งโผล่ออกมากะทันหัน“ใช่นางหรือไม่!”เสียงใสซื่อและอ่อนเยาว์ของเด็กสาวดังขึ้นเห็นเพียงเด็กสาวผมสั้นชุดสีแดง และถือหอกหงอิง[footnoteRef:1]จับผู้หญิงเหมียวเจียงต่างถิ่นคนหนึ่งไว้ สองมือของนางถูกมัด ปลายอีกด้านของเชือกอยู่ในมือตนเอง [1: ทวนหงอิง ทวนที่มีพู่สีแดงผูกตรงปลาย] เป็นนาง!ผู้หญิงคนที่หลิงเชียนอี้บอกว่าชื่ออูหนู และสงสัยว่าสามารถทำยาแก้พิษ!เวลาไม่คอยท่า กลับเมืองทันทีโรงหมอเฟิงเย่เสวียนผลักผู้หญิงคนนั้นล้มลงหน้าเตียง ชักกระบี่พาดบนคอนาง น้ำเสียงเย็นชา“ช่วยนาง หากเกิดอะไรขึ้นกับนาง ข้าจะทำให้เจ้าตายทั้งเป็น!”อูหนูกวาดมองกระบี่เย็นบนคอแวบหนึ่ง นิ้วมือที่เรียวยาวผลักมันออก มองไปทางเฟิงเย่เสวียน เอ่ยปากด้วยรอยยิ้มลึกที่มีเสน่ห์ “ข้าจะพยายาม”เสียงที่อ่อนโยนไพเราะ
คืนต้นฤดูหนาวอากาศเย็นเป็นพิเศษ ท่ามกลางยามราตรีที่มีหมอกหนาทึบ ไม่มีใครสังเกตเห็นว่ามีร่างเงาสีหมึกสายหนึ่งออกจากเมืองตงหนิงอย่างเงียบๆระหว่างภูเขาแสงจันทร์นวลสลัว สายน้ำไหลริน ระหว่างไหล่เขา มีน้ำแร่ธรรมชาติหนึ่งบ่อตั้งอยู่ที่นี่ ไอร้อนลอยวนเวียนเหนือผิวน้ำ หมอกควันพวยพุ่ง กิ่งไม้บดบังแสงจันทร์ ราวกับเมฆหมอกในดินแดนแห่งเซียนซ่า…เสียงลงน้ำอันแผ่วเบาในความคลุมเครือ ร่างเพรียวบางของผู้หญิงลงไปในบ่อน้ำพุร้อน หยดน้ำอาบแสง สุกใสเป็นประกาย สะท้อนผิวกายที่ขาวนวลราวไขมันเกาะตัวลมหายใจสองสายประสานกันสิบนิ้วเกี่ยวกันผิวน้ำกระจายคลื่นเป็นระลอก คลื่นน้ำที่กระจายกระทบฝั่ง เกิดเสียง ‘เพี๊ยะ’ ดังขึ้นอย่างชัดเจน ยิ่งกว่านั้นเป็นจังหวะที่สม่ำเสมอลมหายใจ บางทีก็ยาว บางทีก็สั้น บางทีก็หนัก บางทีก็เบาท่ามกลางละอองน้ำ ร่างเงาสองสายปรากฏและหายไปเป็นระยะ คลุมเครือมองเห็นไม่ชัดเจนแสงจันทร์สาดส่อง ทะลุกิ่งก้านไม้ใบ เงากระดํากระด่างส่องเล็ดลอดลงมาเมื่อลมพัด กิ่งก้านสาขาส่งเสียง ‘เอี๊ยดอ๊าด’ ดังทั้งคืน แสดงให้เห็นถึงความสงบของยามราตรีในป่า เสียงดังดังแล้วดังเล่าเลือนรางท่ามกลางคว