“เรื่องปราบโจรเมื่อสองเดือนก่อน ท่านสมคบคิดกับโจรภูเขา สั่งให้คนวางเพลิงเผาภูเขา ข้ารอดตายมาได้หนึ่งครั้ง”เฟิงเย่เสวียนเพียงแค่จ้องมองเขาเงียบ ๆ “เพียงแค่สองเรื่องใหญ่นี้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นลอบฆ่า วางยาพิษ วางแผนลอบทำร้ายอีกนับครั้งไม่ถ้วน”ตลอดหลายปีมานี้ เขาลืมตาข้างหนึ่ง หลับตาข้างหนึ่ง ปล่อยผ่านไปเฟิงเจิ้งอวี้หันหน้า “อะไร? อะไรนะ?”เขาทำเหมือนกับว่าได้ยินไม่ชัด“แผนการทหารอะไร? โจรภูเขาอะไร? รองแม่ทัพโหวไม่ใช่คนของเจ้าหรอกหรือ? เหตุใดจึงหักหลังเจ้า? เจ้าไปปราบโจรภูเขาเป็นคำสั่งของเสด็จพ่อ เหตุใดจึงถูกลอบทำร้ายละ? ลอบฆ่าวางยาพิษอะไรกัน?”“เจ้าโดนทำร้ายงั้นหรือ?”“เจ้าโดนวางยาพิษงั้นหรือ?”เขาถามคำถามยาวเป็นพรวน ท่าทางที่งุนงงราวกับถูกใครบางคนเอาอะไรมาคลุมหัวไว้ ไม่เข้าใจอะไร ไม่เห็นอะไร ไม่รู้อะไรสักอย่าง หานเฟิงเห็นแล้ว เกิดเพลิงโทสะอัดอั้น!เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าทั้งหมดเป็นฝีมือของรัชทายาท รัชทายาทกลับเสแสร้งได้อย่างไร้เดียงสามาก ฝีมือการแสดงดีกว่านางโลมในหอเสียอีก!ตาทั้งสี่ข้างจ้องมองกัน!สายตาของเฟิงเย่เสวียนกับเฟิงเจิ้งอวี้ปะทะกันที่กลางอากาศ ค
เสียงใสของหญิงสาวดังขึ้น ราวกับค้อน ที่ทุบลงไปบนหัวใจของทุกคน ทำให้บรรดาชาวบ้านตกตะลึง แต่ละคนเบิกตากว้าง จ้องมองหญิงสาวอย่างไม่ขยับ เกรงว่าจะหูฝาดไม่ได้หูฝาด!เป็นเรื่องจริง!ตามหาเจอแล้ว!หลังจากศึกษาสูตรยามากกว่าสามร้อยชนิด ในที่สุดก็ตามหาสมุนไพรที่ถูกต้องเจอแล้วฉู่เชียนหลีพุ่งตัวมาที่ด้านหน้าโต๊ะอย่างตื่นเต้น หยิบสูตรยาแผ่นบาง ๆขึ้นมา “หาเจอแล้ว! จิ่งอี้ ตามหาเจอแล้วจริง ๆ! ทุกคนมีทางรอดแล้ว!”“แจกสมุนไพรให้แก่พวกชาวบ้านตามจำนวนบนสูตรยาแผ่นนี้ นำไปต้มแล้วดื่ม ก็จะสามารถขจัดโรคได้! คนที่อาการรุนแรง ก็ให้กินเพิ่มอีกสองวัน อีกอย่าง อ้ายเฉ่าฆ่าเชื้ออย่าหยุด จนกว่าโรคระบาดจะหายขาด!”ทันทีที่น้ำเสียงตื่นเต้นจบลง ลอยเข้าหูของทุกคนอย่างชัดเจน ทำให้พวกเขาตกใจอย่างรุนแรงมีทางรอดแล้ว...เรื่องจริง...เป็นเรื่องจริง!“พวกเราจะไม่ตาย...”“พวกเรามีชีวิตรอดต่อไปแล้วจริง ๆ หรือ...”ฉู่เชียนหลีไม่สามารถระงับความตื่นเต้นได้ เงยหน้ามองไปทางด้านนอกหน้าต่าง ฟ้าเพิ่งจะสว่าง จึงกล่าว“รองแม่ทัพเจียง เก็บของให้เรียบร้อย โรงหมอเป้าฟู่อยู่ช่วยคนที่นี่ พวกเรารีบกลับเมืองหลวง!”รองแม่ทัพเจีย
เมื่อคำถามนี้ออกไป ทำให้หัวใจของทุกคนหนักอึ้งเมื่อหนึ่งชั่วยามก่อน พระชายาทานยาทันที แต่กลับหมดสติไม่ฟื้น แต่ภายในหนึ่งชั่วยามนี้ ชาวบ้านมากมายกินยาไปแล้ว ก็ทยอยดีขึ้นแล้วแต่พระชายาไม่เพียงไม่ฟื้น ยังไข้สูงไม่ลดเลยอีกด้วย สติสัมปชัญญะไม่ชัดเจน เหมือนกับ...รุนแรงกว่าเดิม?แต่เป็นไปได้อย่างไร?นี่คือยาถอนพิษที่พระชายาศึกษามาเองกับมือ บรรดาชาวบ้านต่างก็ดีขึ้นแล้ว เหตุใดพระชายาจึงไม่ดีขึ้นนะ?หรือว่ามีตรงไหนไม่ถูกต้อง?รองแม่ทัพเจียงครุ่นคิดดูครู่หนึ่ง กล่าวแนะนำเสียงเบา “เถ้าแก่จิ่ง สมุนไพรขาดไปหรือไม่? ต้มให้พระชายาลองกินดูอีกสักชาม?”ตัวตนก่อนหน้าที่มาเมืองตงหนิงของจิ่งอี้คือเถ้าแก่ของโรงหมอเป้าฟู่ มาเพื่อวินิจฉัยโรค ช่วยคนโดยไม่เก็บเงินตอนนี้ไม่มีคนรู้ความเกี่ยวข้องของฉู่เชียนหลีกับโรงหมอเป้าฟู่ แล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าฉู่เชียนหลีมีสำนักอู๋จี๋อยู่ในมือจิ่งอี้ขมวดคิ้ว ส่ายหน้า“เป็นยาสามส่วนของพิษ ภายในสี่ชั่วยาม กินมากไม่ได้”ตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งชั่วยามแล้ว ต้องรอหลังจากสามชั่วยาม ถึงจะกินได้อีกครั้งรองแม่ทัพเจียงร้อนใจ “เช่นนั้นจะทำอย่างไร! ทุกคนกินยาต่างก็ดีขึ้นแล้ว ก็ม
“น้าสะใภ้ของข้าเป็นอะไรหรือ?”หลิงเชียนอี้เพิ่งหนีกลับมา ยังคงงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้ารองแม่ทัพเจียงจ้องมองท่าทางที่สลบไสลไม่ได้สติของหญิงสาว รู้สึกไม่สบายใจ จึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสองวันมานี้คร่าว ๆ หลังจากพูดจบ กล่าวถาม“ท่านโหวน้อย ท่านกลับมาได้อย่างไร?”“ข้า?” หลิงเชียนอี้กุมต้นขาที่ได้รับบาดเจ็บ กล่าว “เดิมทีเมื่อวานนี้ข้าไปหารัชทายาท แต่กลับถูกรัชทายาทรั้งตัวเอาไว้ ต่อมาตอนกลางดึก ตอนที่ข้ากำลังหลับอยู่ จู่ ๆ ก็มีกระสอบมาคลุมหัวข้า แล้วก็ถูกลักพาตัวไป”“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนลักพาตัวข้า มองไม่เห็นอะไรเลย ยังถูกแทงอีกแผล แม่เอ๊ย! เจ็บจะตายชัก!”โชคดีที่เขามีไหวพริบ อาศัยความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ อดทนมาได้หลายชั่วยามแล้ว ในที่สุดก็ฝนเชือกจนขาด แล้วหนีกลับมาได้ถ้าหากรู้ว่าใครเป็นคนลักพาตัวเขา เขาจะต้องจับตัวคนนั้น แล้วแทงที่ต้นขามันสักยี่สิบสามสิบที!พูดจบ เขารีบสอบถามสถานการณ์ของฉู่เชียนหลีอย่างเป็นห่วง“ในระหว่างทางที่ข้ากลับมา ได้ยินว่าเจอยารักษาโรคแล้ว? นางกินยาแล้วหรือไม่? เหตุใดนางจึงยังไม่ฟื้น? เหตุใดใบหน้าของนางจึงแดงขนาดนี้?”คำถามที่ยาวเป็นพรวน
ภายในห้องมีเพียงแค่สองคน เงียบสงบเป็นอย่างยิ่งชายหนุ่มไม่ออกห่างจากหน้าเตียงไปแม้แต่ก้าวเดียว สายตาจดจ้องอยู่ที่ใบหน้าของหญิงสาวไม่กะพริบนางกำลังหมดสติ อุณหภูมิร่างกายสูงเกินกว่าปกติ แก้มทั้งสองข้างแดงก่ำ หายใจไม่สม่ำเสมอ ราวกับกำลังตกอยู่ในฝันร้าย คิ้วขมวดแน่น แต่เหตุใดนางจึงไม่ฟื้นมือทั้งสองข้างประสานกันแน่นอุณหภูมิร่างกายของนางส่งผ่านไปยังมือของเขา โดยการสัมผัส ทำให้หัวใจของเขาจมดิ่งไปถึงจุดต่ำสุด รู้สึกถึงความเงียบเหงาที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเขาจ้องมองนางเงียบ ๆ แบบนี้ นั่งมาหนึ่งวันเต็ม ๆ แล้วพลบค่ำหานอิ๋งเดินทางมาถึงนางรีบจับชีพจรให้ฉู่เชียนหลี ทั้งตรวจร่างกาย สีหน้าหนักใจยิ่ง“นายท่าน โรคระบาดนี้ไม่ได้มีพิษเพียงชนิดเดียว แต่มีพิษร้ายแรงหลายชนิด พวกมันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างตอนนี้ อาการของพระชายาในตอนนี้...”คำพูดไม่สามารถแสดงถึงความร้ายแรงสายตาของชายหนุ่มอึมครึมราวกับขี้เถ้า “ยาถอนพิษ?”“ยา...” หานอิ๋งก้มหน้า “อาจจะต้องใช้เวลาสามวันถึงจะค้นคว้าหัวเชื้อออกมาได้ แต่ปัญหาสำคัญคือพระชายาจะสามารถอดทนได้หรือไม่ รวมทั้งหลังจากสามวัน พิษร้ายแรงภายในร่างกายของนางจะเปล
เป็นอย่างที่คิด!เฟิงเย่เสวียนอยากช่วยฉู่เชียนหลี!ดูไม่ออกจริงๆ น้องเจ็ดที่ไม่ฝักใฝ่เรื่องทางเพศและเงียบขรึมพูดน้อยของเขา สุดท้ายแล้วจะมาตกม้าตายเพราะฉู่เชียนหลี!ฮ่าๆๆ!“ให้เขาเข้ามา…”“อ๊า!”พูดไม่ทันจบ พลันทหารยามที่มารายงานถูกถีบอย่างแรง ลอยกระเด็นเข้าไปในกระโจม กลิ้งติดต่อกันสิบกว่ารอบ ชนโต๊ะคว่ำ จอกเหล้าและเหล้าตกกระจายเกลื่อนพื้นแววตาเฟิงเจิ้งอวี้ขรึมลง เงยหน้ามองในยามราตรีที่มืดสลัว เฟิงเย่เสวียนในชุดผาวสีหมึกถือกระบี่อ่อน เหยียบย่ำยามราตรีเดินเข้ามาทีละก้าว กลิ่นอายอันเยือกเย็นรอบกายแช่แข็งอากาศทีละชุ่นเหล่าทหารยามรู้สึกถึงความผิดปกติ ต่างก็รีบเข้ามายืนเรียงเป็นหน้ากระดานปกป้องรัชทายาทผู้ชายสองคน คนหนึ่งนั่งอยู่ในกระโจม คนหนึ่งยืนอยู่ในยามราตรี ห่างกันเพียงไม่กี่เมตร ดวงตาสี่ข้างประสานกัน สนามรบที่ไร้ควันดินปืนปะทุขึ้นในพริบตา ควันหลงที่กระจายออกไป ทำให้ทุกคนอกสั่นขวัญผวาเฟิงเจิ้งอวี้หรี่ตาลง ลุกขึ้นอย่างยิ้มแย้ม“น้องเจ็ดมาแล้ว?”เขาถามด้วยรอยยิ้ม “แล้วมีเรื่องอะไร? ได้ยินว่าเชียนอี้หนีกลับมาแล้ว? ไม่ได้รับบาดเจ็บก็ดีแล้ว เจ้าโจรชั่วนี่เจ้ากล้ายิ่งนัก ต้องต
“นายท่าน แย่แล้ว คนหนีไปแล้วขอรับ!”ทันใดนั้น นอกประตู หานเฟิงพุ่งพรวดเข้ามาเฟิงเย่เสวียนกวาดมองด้วยหางตา ผลักรัชทายาทออก ยกกระบี่ยาวขึ้น หมุนกายอย่างเยือกเย็นและเดินออกไปข้างนอก ริมฝีปากบางคายคำพูดอันเยือกเย็นออกมาหนึ่งคำ“ตาม!”เพิ่งเดินออกจากกระโจมในป่าทึบที่อยู่ไม่ไกล ร่างเงาที่เพรียวบางสายหนึ่งโผล่ออกมากะทันหัน“ใช่นางหรือไม่!”เสียงใสซื่อและอ่อนเยาว์ของเด็กสาวดังขึ้นเห็นเพียงเด็กสาวผมสั้นชุดสีแดง และถือหอกหงอิง[footnoteRef:1]จับผู้หญิงเหมียวเจียงต่างถิ่นคนหนึ่งไว้ สองมือของนางถูกมัด ปลายอีกด้านของเชือกอยู่ในมือตนเอง [1: ทวนหงอิง ทวนที่มีพู่สีแดงผูกตรงปลาย] เป็นนาง!ผู้หญิงคนที่หลิงเชียนอี้บอกว่าชื่ออูหนู และสงสัยว่าสามารถทำยาแก้พิษ!เวลาไม่คอยท่า กลับเมืองทันทีโรงหมอเฟิงเย่เสวียนผลักผู้หญิงคนนั้นล้มลงหน้าเตียง ชักกระบี่พาดบนคอนาง น้ำเสียงเย็นชา“ช่วยนาง หากเกิดอะไรขึ้นกับนาง ข้าจะทำให้เจ้าตายทั้งเป็น!”อูหนูกวาดมองกระบี่เย็นบนคอแวบหนึ่ง นิ้วมือที่เรียวยาวผลักมันออก มองไปทางเฟิงเย่เสวียน เอ่ยปากด้วยรอยยิ้มลึกที่มีเสน่ห์ “ข้าจะพยายาม”เสียงที่อ่อนโยนไพเราะ
คืนต้นฤดูหนาวอากาศเย็นเป็นพิเศษ ท่ามกลางยามราตรีที่มีหมอกหนาทึบ ไม่มีใครสังเกตเห็นว่ามีร่างเงาสีหมึกสายหนึ่งออกจากเมืองตงหนิงอย่างเงียบๆระหว่างภูเขาแสงจันทร์นวลสลัว สายน้ำไหลริน ระหว่างไหล่เขา มีน้ำแร่ธรรมชาติหนึ่งบ่อตั้งอยู่ที่นี่ ไอร้อนลอยวนเวียนเหนือผิวน้ำ หมอกควันพวยพุ่ง กิ่งไม้บดบังแสงจันทร์ ราวกับเมฆหมอกในดินแดนแห่งเซียนซ่า…เสียงลงน้ำอันแผ่วเบาในความคลุมเครือ ร่างเพรียวบางของผู้หญิงลงไปในบ่อน้ำพุร้อน หยดน้ำอาบแสง สุกใสเป็นประกาย สะท้อนผิวกายที่ขาวนวลราวไขมันเกาะตัวลมหายใจสองสายประสานกันสิบนิ้วเกี่ยวกันผิวน้ำกระจายคลื่นเป็นระลอก คลื่นน้ำที่กระจายกระทบฝั่ง เกิดเสียง ‘เพี๊ยะ’ ดังขึ้นอย่างชัดเจน ยิ่งกว่านั้นเป็นจังหวะที่สม่ำเสมอลมหายใจ บางทีก็ยาว บางทีก็สั้น บางทีก็หนัก บางทีก็เบาท่ามกลางละอองน้ำ ร่างเงาสองสายปรากฏและหายไปเป็นระยะ คลุมเครือมองเห็นไม่ชัดเจนแสงจันทร์สาดส่อง ทะลุกิ่งก้านไม้ใบ เงากระดํากระด่างส่องเล็ดลอดลงมาเมื่อลมพัด กิ่งก้านสาขาส่งเสียง ‘เอี๊ยดอ๊าด’ ดังทั้งคืน แสดงให้เห็นถึงความสงบของยามราตรีในป่า เสียงดังดังแล้วดังเล่าเลือนรางท่ามกลางคว
อันธพาลเจ็บจนกรีดร้องเหมือนหมูโดนเชือด “อ๊ะๆ!”ยังไม่ทันได้พักหายใจ ก็โดนถีบจนไปกลิ้งอยู่บนพื้น รองเท้าปักลายดอกไม้เหยียบลงบนหน้าอก หนักจนทำให้เขาหายใจไม่ออก กระอักเลือดออกมา“พู่!”เขากอดต้นขาของอวิ๋นอิง อยากดิ้นให้หลุด แต่หาของอวิ๋นอิงกดทับอยู่บนร่างกายของเขาเหมือนเหล็กกล้า และเขาก็เหมือนกับปลาตัวหนึ่งที่ถูกตอกตะปูอยู่บนเขียง พยายามดิ้นรนอย่างสุดชีวิต แต่ก็ดิ้นไม่หลุดเจอผีแล้ว!ทั้งที่นางผอมเช่นนี้ เหตุใดจึงมีแรงมากเช่นนี้?ผู้หญิงคนนี้ยังเป็นมนุษย์อยู่หรือ?ชาวบ้านก็ตะลึงเช่นกันอวิ๋นอิงอุ้มลูกสาวไว้ด้วยมือข้างเดียว ค่อยๆ ก้มลง ยกฝ่ามืออีกข้าง เหวี่ยงไปที่ใบหน้าของอันธพาลโดยตรง“ข้าสั่งให้เจ้าเก็บ”เพียะ!“ไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือ?”เพียะ!“หูหนวกหรือ?”เพียะ!หนึ่งประโยค หนึ่งฝ่ามือ ตบจนอันธพาลหันซ้ายหันขวา มุมปากแตกมีเลือดไหล หูอื้อ สะบักสะบอมเหมือนสุนัขจรจัดตัวหนึ่ง ไม่หลงเหลือความฮึกเหิมของก่อนหน้านี้เลย“ลูกพี่!”ลิ่วล้อสามคนคว้าโต๊ะเก้าอี้และท่อนไม้ที่อยู่ข้างๆ ฟาดไปทางอวิ๋นอิงอย่างแรงอวิ๋นอิงกระโดนหมุนตัวเตะพวกเขาสามคนจนลอยกระเด็นออกไปไกลเจ็ดแปดเมตร โดยไม่หั
ตงหลิงเจียงหนาน ทำเนียบสามเดือนที่พระชายาจากไป อ๋องเฉินเอาแต่เก็บตัว ไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลก หานเฟิงต้องรับผิดชอบงานแทนทุกอย่าง เมื่อนานวันเข้า โลกภายนอกต่างกำลังคาดเดา จิตใจของอ๋องเฉินได้รับกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ล้มแล้วลุกไม่ขึ้น เกรงว่าเหลือเวลาอีกไม่นานแล้วช่วงนี้ ในที่สุดอาการบาดเจ็บของจิ่งอี้ก็ดีขึ้นแล้วอาการบาดเจ็บทางกระดูกหรือเส้นเอ็น ต้องรักษาอย่างน้อยหนึ่งร้อยวันในที่สุดกระดูกซี่โครงที่หักสองซี่ก็หายดีแล้ว สามารถขี่ม้าได้แล้ว ตอนนั้นเขาบอกว่าจะนำทัพกลับแคว้นซีอวี้ทันทีแต่ก่อนไป เขาถามเหมือนไม่ใส่ใจ“เหตุใดไม่เจอแม่นางอวิ๋นอิงเลย?”จ้านหูจริงจังขึ้นมาทันที เขาตอบ“องค์ชายใหญ่ ข้าจะส่งคนไปสืบเดี๋ยวนี้!”“ไม่ต้อง”หลังจากปฏิเสธอย่างเฉยเมย ปีนขึ้นหลังม้า ขี่ออกไปคนเดียวแล้วจ้านหู “?”หมายความว่าอย่างไร?ตอนที่องค์ชายใหญ่หมดสติ แม้อวิ๋นอิงบอกว่าไม่สนใจ แต่แอบมาเยี่ยมองค์ชายใหญ่ตอนดึกดื่นเวลาที่ไม่มีคนองค์ชายใหญ่ก็อีกคน ทั้งที่คิดถึงอวิ๋นอิง แต่ไม่ยอมรับในใจของพวกเขาสองคนล้วนมีอีกฝ่าย ลูกสาวก็อายุเกือบครึ่งขวบแล้ว เหตุใดไม่ลองเปิดใจสักนิดแล้วอยู่ด้วยกันเลย
คืนแรกที่มาถึงต่างโลก ฉู่เชียนหลีฝันในความฝัน นางอยู่บนสนามรบ สู้จนตัวตาย เลือดไหลเป็นแม่น้ำ น่าสลดใจนัก…ในความฝัน นางได้ต่อสู้ร่วมกับชายคนหนึ่งที่มองไม่เห็นใบหน้า ร่วมเป็นร่วมตาย และยังมีเสียงที่นุ่มนิ่มของเด็ก เรียก ‘ท่านแม่’ ครั้งแล้วครั้งเล่าในความฝัน ราวกับนางได้รับความอยุติธรรมครั้งใหญ่ หัวใจเจ็บปวด และพยายามอธิบายสุดชีวิต แต่พวกคนที่เรียกตัวเองว่า ‘ครอบครัว’ ไม่เชื่อนาง และยังบีบคั้นนางสู่เส้นทางที่สิ้นหวังในความฝัน…มีคนกำลังเรียกนาง‘เชียนหลี…เชียนหลี…’ฉึก!ฉู่เชียนหลีลืมตาฉับพลัน ท้องฟ้าข้างนอกสว่างแล้ว แสงแดดอุ่นๆ ยามเช้าสาดส่องเข้ามา สามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของอากาศ สงบมากนางรู้สึกเวียนศีรษะ และแน่นหน้าอกราวกับนางอยู่ในความฝันอันยาวนานจริงๆนางได้รับความอยุติธรรมนางถูกคนในครอบครัวฆ่าตายแต่เหตุใดนางจำผู้ชายที่เรียกนาง และภาพที่เรียกนางว่า ‘ท่านแม่’ ไม่ได้เลย“องค์หญิง ท่านตื่นแล้ว”เมื่ออ้ายอ้ายได้ยินเสียง ถือกะละมังน้ำอุ่นกับเครื่องใช้เข้ามาปรนนิบัติฉู่เชียนหลีนวดขมับ อยู่ในอาการเหม่อลอย แขนขาอ่อนแรง ไม่มีแรงขยับ ดึงผ้าห่มออก ลงจากเตียง สวมรองเท้
สาวใช้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็รีบฝนหมึกอย่างเชื่อฟังมองดูองค์หญิงรีบหยิบพู่กัน เขียนอะไรบางอย่าง ท่าทางที่รีบร้อนนั่น เมื่อก่อนเวลาที่นังเป็นห่วงคุณชายเซิ่น ยังไม่รีบร้อนเช่นนี้เลยองค์หญิงกระโดดสระน้ำ หมดสติไปสามวัน หลังจากฟื้น ก็เปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อย?นิสัยเปลี่ยนไปน้ำเสียงเปลี่ยนไปแต่เมื่อลองตั้งใจมอง องค์หญิงยังคงเป็นองค์หญิง ยังคงเป็นใบหน้าที่คุ้นเคยฉู่เชียนหลีเขียนอย่างรวดเร็ว…อ๋องเฉินเป็นอย่างไรบ้าง ข้าอยู่แคว้นหนานยวน…พลางเขียน พลางกล่าวอย่างรีบร้อน “รีบไปหาคน ช่วยข้าส่งจดหมายฉบับนี้ไปให้อ๋องเฉินที่ตงหลิงเจียงหนาน”นางอยากบอกความจริงกับเฟิงเย่เสวียน ต่อให้ตนลืมแล้ว แต่เฟิงเย่เสวียนจำนางได้เขาจะต้องมาหานางแน่นอนไม่ช้าก็เร็วสักวัน พวกเขาครอบครัวสี่คนจะอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา“อ๋องเฉินแห่งตงหลิงเจียงหนาน?”สาวใช้เกาศีรษะด้วยความสงสัย “องค์หญิง ท่านส่งจดหมายให้อ๋องเฉินทำไม? ท่านรู้จักอ๋องเฉินตั้งแต่เมื่อไร?”ฉู่เชียนหลีรีบกล่าว“อธิบายกับเจ้าไม่ได้ แต่ความสัมพันธ์ของข้ากับอ๋องเฉินไม่ธรรมดา…อ๋องเฉิน? อ๋องเฉินตงหลิง?”เงยหน้าฉับพลัน“ข้ารู้จักอ๋องเฉ
ทุกคน “...”สีหน้าฮ่องเต้หนานยวนดูไม่ดีนัก เซิ่ยซือเฉินเป็นแค่บัณฑิตคนหนึ่ง เพื่อบัณฑิตคนหนึ่ง ต้องทุ่มสุดตัวเช่นนี้เลย ต้องตื่นเต้นเช่นนี้เลย?ในฐานะองค์หญิง ไม่ควรมองให้ไกลกว่านี้หน่อยหรือ?เพื่อป้องกันจวินลั่วยวนทำร้ายตัวเอง เขาออกคำสั่ง มัดมือและเท้าของนางโดยตรงจวินลั่วยวนขยับไม่ได้แล้วเห็นท่าทางที่จะยิ้มไม่ยิ้มของฉู่เชียนหลี และยังเลิกคิ้วอย่างยั่วยุ นางโมโหจนแทบกัดลิ้นฆ่าตัวตายหลังจากเหตุการณ์ที่วุ่นวาย ไปจากตำหนักองค์หญิงฉู่เชียนหลีกับหลิงอี้ซิงเดินเคียงข้างกันจากไป เมื่ออารมณ์ดี จังหวะการเดินก็ผ่อนคลายเป็นพิเศษ อดไม่ได้ที่จะฮัมเพลงเบาๆฮัมไปฮัมมา จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าหลิงอี้ซิงเป็นผู้มีจิตใจเมตตา อุทิศตนให้กับความดีและคุณธรรมหยุดฝีเท้าหันไปถาม “ท่านพี่ ท่านน่าจะเห็นกระมัง ว่าข้าจงใจรังแกจวินลั่วยวน?”หลิงอี้ซิงเดินตามปกติ สายตามองไปข้างหน้า พยักหน้าอย่างเกียจคร้าน ตอบสั้นๆ เพียงคำเดียว“อืม”“ท่านไม่รู้สึกว่าข้านิสัยไม่ดีหรือ?”เขาหยุดเดินหันมามองนาง กล่าวอย่างจริงจัง “ที่เจ้ารังแกนาง นั่นก็ต้องเป็นเพราะนางล่วงเกินเจ้าก่อนแน่นอน ล้วนเป็นความผิดของนาง”เขาไ
“ยวนเอ๋อร์! ยวนเอ๋อร์!” ฮ่องเต้หนานยวนร้อนใจจนหน้าถอดสี “ใครก็ได้ ใครก็ได้รีบมาเร็ว ยวนเอ๋อร์เสียเลือดมากเกินไป หมดสติไปแล้ว!”จวินลั่วยวนที่ ‘เสียเลือดมากเกินไปจนหมดสติ’ “...”เจ้าน่ะสิที่เสียเลือดมากเกินไปเจ้าเสียเลือดมากเกินไปทั้งครอบครัว!หมอหลวงมาอย่างรวดเร็ว หลังจากทำแผลให้จวินลั่วยวนเสร็จ ถอนหายใจด้วยความกังวล “สามเดือนแล้ว ในที่สุดเอ็นขององค์หญิงก็เชื่อมต่อกัน คิดไม่ถึงว่าขาดอีกแล้ว ความพยายามในช่วงสามเดือนที่ผ่านมาล้วนสูญเปล่า” ต่อจากนี้ก็ต้องใช้เวลาอีกสามเดือน เปิดบาดแผล บำรุงเอ็นทุกวันเมื่อฉู่เชียนหลีได้ยินคำนี้ เบ้าตาแดงฉับพลัน“ล้วนเป็นความผิดของข้า…”นางดึงชายเสื้อของหลิงอี้ซิง กล่าวเสียงสะอึก“ท่านพี่ ข้ามันไม่ดี ต้องเป็นเพราะเรื่องของคุณชายเซิ่นแน่ องค์โกรธข้า ไม่ชอบข้า จึงฟาดมือของตัวเองใส่เสา เพื่อเป็นการแสดงความรังเกียจต่อข้า”“ข้าทำร้ายนาง ฮือๆ…”หลิงอี้ซิงรักน้องสาว ทุกคนในแคว้นหนานยวนรู้เรื่องนี้แล้วฮ่องเต้หนานยวนกล่าวโทษนางได้อย่างไร?กลับกัน เขายังต้องขอร้องหลิงอี้ซิงทักษะการทำนายของหลิงอี้ซิงมีเพียงหนึ่งเดียวในใต้ฟ้า ตลอดหลายปีที่เขานั่งตำแหน
ระหว่างที่ทั้งสองคุยกัน นางค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้เตียง จวินลั่วยวนนอนหลับแล้ว ไม่ได้เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน หน้าซีดซูบผอม เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกฉู่เชียนหลีเหลือบมองแวบหนึ่ง“เหตุใดข้อมือของนางยังมีเลือด?”สามเดือนแล้ว แผลยังไม่หาย?นางกำนัลที่อยู่ข้างๆ ตอบ“หมอหลวงบอกว่า จะใช้ยาพิเศษรักษาเอ็นมือและเท้าที่ขาดขององค์หญิง จำเป็นต้องเปิดแผล ขยับเอ็นที่ขาดไปรวมกันทุกวัน จนกระทั่งเชื่อมต่อกัน”“ฮืม?”ฉู่เชียนหลีเลิกคิ้วด้วยความสนใจเช่นนี้ก็เท่ากับว่า จวินลั่วยวนต้องทนกับความเจ็บปวดที่ใช้มีดเปิดปากแผลทุกวันติดต่อกันสามเดือนเต็มๆ น่าสังเวชน่าจะเจ็บมากกระมัง?นางค่อยๆ นั่งลง จับข้อมือของจวินลั่วยวนเบาๆ มองผ้าพันแผลที่ถูกพันห้าหกรอบอย่างครุ่นคิดทันใดนั้นออกแรงกดที่นิ้ว“ซี้ด…!”จวินลั่วยวนเจ็บจนตื่น ลืมตาทันทีฉู่เชียนหลีรีบปล่อยมือ “โอ๊ย…ขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจแตะตัวท่าน ดูท่านเจ็บมากเลยนะ ขอโทษจริงๆ”“!”หลินเหยี่ยมาอยู่ในตำหนักของนางได้อย่างไร?นางรังเกียจผู้หญิงคนนี้ที่สุด!อาศัยที่พี่ชายของตัวเองเป็นราชครู แสร้งทำเป็นช่วยเหลือชาวบ้าน ทำแต่ความดีทุกวัน มีแต่คนบอกว่าองค์หญ
เซิ่นสือเฉิน “?”เหตุใดวันนี้รู้สึกว่าหลิงเหยี่ยแปลกๆ?เมื่อก่อนนางชอบเขามากเลยไม่ใช่หรือ? เวลาที่เขาอ่านหนังสือ นางชอบมาอยู่ข้างๆ ฝนหมึกพัดลมให้เขา เวลาที่เขาเขียนหนังสือ นางชอบแอบที่นอกหน้าต่าง จับจิ้งหรีดเล่น เวลาที่เขางีบหลับ นางมักจะชงชาหิมะชั้นดีมาให้เขานางยังบอกว่าจะแต่งงานกับเขาคนเดียวเหตุใดแค่วันเดียว ก็ปล่อยวางได้แล้ว?“องค์หญิงหลิง ข้าขอโทษ” เขากล่าวอย่างรู้สึกผิดที่จริงเขาก็ชอบหลิงเหยี่ยเช่นกัน แต่องค์หญิงยวนบอกเขาว่าหลิงเหยี่ยนิสัยไม่ดี ชอบรังแกคนรับใช้ หาเรื่องชาวบ้าน ใส่ร้ายโยนความผิดให้ผู้อื่นด้วยวิธีที่น่ารังเกียจ และทำทุกอย่างเพื่อบรรลุเป้าหมายเขาเป็นคนเรียนหนังสือ นิสัยซื่อตรง ไม่สามารถยอมรับคนที่จิตใจอำมหิตอย่างหลิงเหยี่ยเมื่อเปรียบเทียบกัน เขาชอบจวินลั่วยวนที่ไร้เดียงสา จิตใจดี และร่าเริงมากกว่า“เมื่อก่อนท่านส่งข้าเรียนหนังสือ ช่วยข้าหาอาจารย์ ใช้เส้นสาย ทำให้ข้าสอบติดขุนนาง…บุญคุณส่วนนี้ ข้า ข้าทำได้เพียงตอบแทนท่านชาติหน้าแล้ว…”ฉู่เชียนหลียิ้มอย่างอ่อนโยน“ไม่เป็นไร แค่เรื่องเล็กน้อย”“ได้ยินมาว่าองค์หญิงยวนได้รับบาดเจ็บ พวกเราเข้าวังไปดูนางกันเ
องค์หญิง?คุณชายเซิ่น?ฉู่เชียนหลีไม่ได้รับความทรงจำใดๆ เพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก สับสนและงงงวยเล็กน้อยยังไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มีเสียงฝีเท้าที่ยุ่งเหยิงและเสียงต่อต้านดังมาจากนอกประตู “ใต้เท้าหลิง! ใต้เท้าหลิง ต่อให้ท่านบีบคั้นข้าจนตาย ข้าก็ไม่แต่งงานกับนาง!”“ตั้งแต่ต้นจนจบ ในใจข้ามีเพียงองค์หญิงยวนเอ๋อร์เท่านั้น!”ยวนเอ๋อร์?องค์หญิง?ฉู่เชียนหลีเงยหน้ามองไป เห็นชายหนุ่มสวมชุดเพ้าสีขาวและที่ครอบผมหยก กำลังลากผู้ชายที่ท่าทางสุภาพเหมือนคนเรียนหนังสือเข้ามานางตระหนักถึงบางอย่าง รีบดึงสาวใช้ที่อยู่ข้างกายมาถามเบาๆ“ที่นี่คือแคว้นหนานยวน?”สาวใช้ “?”องค์หญิงเป็นอะไรไป?เหตุใดถามคำถามเช่นนี้?“องค์หญิง ท่าน…”“อย่าพูดไร้สาระ ตอบข้า!”สาวใช้ตกใจ รีบกล่าว “ท่านคือหลิงเหยี่ย องค์หญิงต่างแซ่ของแคว้นหนานยวน ใต้เท้าคือมหาราชครูของแคว้นหนวนยวน เป็นพี่ชายแท้ๆ ของท่าน เพราะใต้เท้าชำนาญการทำนาย เคยช่วยแคว้นสามครั้ง สร้างคุณประโยชน์มากมาย ท่านจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์หญิงต่างแซ่…”คำพูดที่เหลือ ฉู่เชียนหลีมองข้ามโดยตรงสิ่งเดียวที่นางคิดคือ นางถูกส่งมาเป็นองค์หญิงต่างแซ่ อีกท