ท้องฟ้ามืดสลัว ครึ้มฟ้าครึ้มฝน เมฆดำปกคลุมไปทั่วทั้งหัวเมือง ไม่เห็นแสงแดด บรรยากาศอึมครึม ราวกับว่าทุกสรรพสิ่งล้วนตกอยู่ในกลิ่นอายของความสิ้นหวังเมืองนี้ก็คือ——เมืองตงหนิงทหารเฝ้าอารักขาอย่างเข้มงวด ประตูเมืองปิดมิดชิด ทุกคนไม่สามารถเข้าออกได้ในเมือง เต็มไปด้วยความสิ้นหวังโรคระบาดแพร่กระจายไปทั่วทั้งหัวเมือง บรรดาชาวบ้านแทบจะติดเชื้อกันหมด พวกเขาตัวร้อน ไอไม่หยุด ไม่ว่าจะกินยาอะไรก็ไม่สามารถรักษาได้ ไอไปไอมา ตอนที่ไอจนถึงระดับหนึ่ง ก็จะรุนแรงขึ้นทันทีบรรดาชาวบ้านค่อนข้างหวาดกลัว อยู่อย่างหวาดกลัวทุกวัน ถูกขังอยู่ในเมืองแห่งนี้ราวกับสัตว์ หนีไม่ได้ ออกไปไม่ได้ ทำได้แค่เพียงรอความตายเท่านั้นรู้สึกสิ้นหวังเป็นอย่างยิ่งวันนี้ ใจกลางหัวเมือง ส่องประกายความหวังอันริบหรี่รัชทายาท!ผู้ชายคนนั้นยืนอยู่บนแท่นสูง เหมือนกับว่าเป็นผู้กอบกู้โลกที่ลงมาจากสวรรค์ ประกาศข่าวดีให้แก่ชาวบ้านทั้งเมือง“พ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย หลังจากผ่านการศึกษาของคณะหมอหลวง อดหลับอดนอนมาหลายคืน ในที่สุดก็ผลิตสูตรยาที่มีประสิทธิผลออกมาได้แล้ว! เพียงแค่กินลงไป ก็จะสามารถรักษาโรคได้!”“เย่!”ทันทีที่คำพูดป
องครักษ์หกนายคุ้มกันรัชทายาทล่าถอย กงเจิ้นหงก็รีบขึ้นไปบนรถม้าเช่นกัน ฝ่าฝูงชนออกไป“เร็ว! รีบออกจากเมือง! พวกเจ้าขวางชาวบ้านเอาไป คุ้มกันรัชทายาท!”กาฬโรคคร่าชีวิตคน ชาวบ้านตายไปก็ไม่สำคัญ ล้วนเป็นชีวิตที่ต่ำต้อย ถ้าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับรัชทายาท เรื่องจะยุ่งยากมากทันทีที่ออกคำสั่ง องครักษ์ยี่สิบกว่านายก็พุ่งตัวไปข้างหน้า ตั้งรับป้องกัน กันบรรดาชาวบ้านออกไปรถม้าวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วบรรดาชาวบ้านตื่นตระหนก วุ่นวาย หวาดกลัว“ไม่ใช่กล่าวว่ามียารักษางั้นหรือ? ทำไมถึง...”“องค์รัชทายาทจะทิ้งพวกเราไป ไม่สนใจความเป็นตายของพวกเราอย่างนั้นหรือ?”“อย่าไป...”“ช่วยด้วย...”ตอนที่รัชทายาทอยู่ พวกเขามองเห็นความหวังรัชทายาทไปแล้ว พวกเขาเหมือนกับถูกดึงกระดูกสันหลัง อวัยวะภายในทั้งหก[footnoteRef:1]ไป จนทำอะไรไม่ถูก รีบวิ่งตามรถม้าของรัชทายาทไปอย่างรีบร้อน [1: อวัยวะภายในทั้งหก ได้แก่ หัวใจ ปอด ตับ ไต ม้าม และถุงน้ำดี] “องค์รัชทายาท!”“ช่วยพวกเราด้วย! ช่วยด้วย!”ฝูงชนมืดฟ้ามัวดินราวกับกระแสน้ำขึ้นน้ำลง องครักษ์ยี่สิบกว่านายขวางเอาไว้ไม่อยู่เลยแม้แต่น้อย ในไม่ช้าก็ถูกฝ่าทะลุ บรรด
“พระชายา!”ทันทีที่หลิงเชียนอี้ออกไป ชายวัยกลางคนที่คุ้นตาคนหนึ่งก็เดินออกมาจากที่ไหนสักแห่งเมื่อมองอย่างชัดเจน“รองแม่ทัพเจียง?”รองแม่ทัพเจียงรีบเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว โค้งตัวคำนับเขาได้รับคำสั่งของอ๋องเฉิน แอบซุ่มอยู่ในเมืองตงหนิง สืบเรื่องโรคระบาด กลับคิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกับพระชายาไม่เห็นอ๋องเฉิน มีเพียงพระชายา ใช้หัวแม่โป้งเท้าคิดก็รู้ว่า พระชายาแอบหนีมาเขารีบแสดงตัว คุ้มกันความปลอดภัยของพระชายาเขากำลังคิดว่าจะคุ้มกันพระชายาออกนอกเมือง แต่พระชายากลับเอ่ยปากกล่าว“เจ้ามาได้เวลาพอดี รองแม่ทัพเจียง ข้ากำลังขาดลูกมือ เจ้าช่วยข้าจัดลำดับชาวบ้านให้หน่อย แยกตามการติดเชื้อ อาการหนัก ธรรมดา เพิ่งติดเชื้อ แข็งแรงให้ที”“สิ่งของที่พวกเขาเคยสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า บ้าน ต้องฆ่าเชื้อทั้งหมด!”รองแม่ทัพเจียง “?”ไม่ออกนอกเมือง ยังวิ่งเข้าไปในเมือง ถ้าท่านอ๋องทราบจะต้องถลกหนังเขาเป็นแน่เขากดเสียงให้เบาลง กล่าวเสนอแนะเสียงเบา“พระชายา สถานการณ์การระบาดในเมืองรุนแรงกว่าที่คิด แม้แต่รัชทายาทยังหนี ไม่สู้ท่านออกจากเมืองไปก่อน เรื่องนี้พักไว้ก่อนค่อยคุยกัน?”ฉู่เชียนหลีขมวดคิ้
กลุก ๆ...ร่างของคนคนหนึ่งกลิ้งเข้ามาด้านในกระโจมอย่างไม่ทันตั้งตัว“ท่านโหวน้อย!?” กงเจิ้นหงเบิกตาโตอย่างตกใจบทสนทนาของเขากับรัชทายาท ไม่คิดเลยว่าท่านโหวน้อยจะแอบฟังอยู่ด้านนอก แล้วก็ไม่รู้ว่าได้ยินไปเท่าไหร่...หลิงเชียนอี้กลิ้งอยู่สองตลบ โดนจับได้ก็ไม่สะทกสะท้าน เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มร่า“โอ๊ะ ท่านลุงรัชทายาท!”เขาตบหน้าขา รีบลุกขึ้นมา“ท่านลุงรัชทายาท ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่? ข้าได้ยินว่าท่านมาที่เมืองตงหนิง ข้าเป็นห่วงแทบแย่ ตอนนี้ รีบเดินทางมาที่นี่ที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ลี้ เพื่อมาดูว่าท่านปลอดภัยดี ข้าก็วางใจมากแล้ว!”เขาโบกมือด้วยใบหน้ายินดี“พวกท่านคุยกันไปเถอะ ไม่มีธุระแล้วละก็ข้าขอตัวไปก่อน ฮี่ ๆ!”หัวเราะจบ กำลังตั้งท่า จะวิ่งถอยออกไปทันใดนั้น ด้านหลัง เสียงเย็นชาดังขึ้น“หยุดก่อน!”น้ำเสียงเย็นยะเยือกราวกับมีฝ่ามือที่ไร้รู้ร่างมือหนึ่ง จับเข้าที่ต้นคอของหลิงเชียนอี้ ทำให้ขาทั้งสองข้างของเขาหยุดชะงักอยู่กับที่ราวกับมีอะไรมาถ่วงเอาไว้ ก้าวขาไม่ออกอีกชะงักไปครู่หนึ่งเขาค่อย ๆ หันหลังกลับมา จ้องมองไปยังชายหนุ่มชุดดำ นัยน์ตาดำขลับเคร่งขรึม ที่จ้องเขาเ
“ห้ามแตะต้อง!”“ข้าขอเตือนพวกเจ้า...”เสียงเย็นชาของหญิงสาว เสียงจ้อกแจ้กจอแจผสมปนเปกัน ราวกับว่ามีคนจำนวนมากกำลังก่อเรื่องขึ้นด้านนอกการเคลื่อนไหวในมือของฉู่เชียนหลีหยุดชะงักเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นจิ่งอี้กล่าว “ท่านศึกษาอย่างสบายใจเถอะ ข้าไปจัดการเอง”เขาสาวเท้าเดินออกไปฉู่เชียนหลีนวดคลึงหว่างคิ้ว เดิมทีเชื้อโรคประเภทนี้สามารถทดสอบออกมาได้แล้ว แต่เนื่องจากเวลาล่าช้า ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง จำต้องค้นคว้าสูตรยาขึ้นใหม่อีกครั้งวิจัยนานแล้ว ประกอบกับขี่ม้าเป็นเวลานาน นางเหนื่อยจนเวียนหัว จึงออกไปสูดอากาศเมื่อเปิดประตู ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังล้อมเป็นกลุ่ม ทะเลาะกัน หนึ่งในนั้น มีเด็กหญิงตัวน้อยสวมชุดทะมัดทะแมงสีแดง ถักเปียกผมสั้นคนหนึ่งถือหอกสีแดง ใบหน้าเยาว์วัยที่อุดมสมบูรณ์เต็มไปด้วยความโมโห จ้องมองชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งคนตรงหน้าด้วยสายตาอาฆาต“ท่านพ่อของข้าตายเพราะคุ้มกันเมือง ท่านแม่ของข้าจากไปด้วยโรคติดต่อ ถ้าหากพวกเจ้ากล้าแย่งสมบัติที่ท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าทิ้งไว้ให้ข้า ข้าจะส่งไปเจ้าไปเจอยมบาลเดี๋ยวนี้เลย!”น้ำเสียงของนางดุดันชัดแจ๋ว ใบหน้าองอาจห้าวหาญ สะบัดผมเปียสั้นอย่างด
เขาอายุมากกว่านางสิบปี แต่นางกลับเรียกเขาว่าเจ้าหนุ่มน้อย?ช่างเป็นสาวน้อยที่ไม่มีมารยาทเอาเสียเลยสาวน้อยออกแรง ดึงหอก แต่หอกสีแดงติดอยู่ในมือของชายหนุ่มแน่น ดึงอย่างไรก็ดึงไม่ออกทำให้ต้องออกแรงมาก จนใบหน้าเล็กที่สมบูรณ์แดงก่ำน่ารังเกียจ!“นี่!”“ข้าไม่ได้ชื่อนี่”“เช่นนั้นท่านชื่ออะไร!”“รองเถ้าแก่โรงหมอเป้าฟู่ จิ่ง...เรียกข้าท่านอาจิ่งก็พอ!”“...”ถุย!หนุ่มใหญ่ ไม่อาย ยังคิดจะเอาเปรียบสาวน้อยคนหนึ่งอีก!แต่ชายหนุ่มจับหอกของนางเอาไว้ นางดึงอย่างไรก็ดึงไม่ออกโมโห!สาวน้อยโมโหจนหน้าแดง ทันใดนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วกระทืบลงบนเท้าของชายหนุ่มอย่างแรง“!” จิ่งอี้ขมวดคิ้วแน่นซี้ด...เด็กคนนี้ ท่าทางผอมแห้ง แต่แรงเยอะเหลือเกิน!สาวน้อยได้รับอิสระ เมื่อดึงหอกออกมาได้ก็วิ่งหนีจิ่งอี้ขมวดคิ้ว ในฐานะที่เป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งยุทธภพ ยังไม่เคยได้รับความอัปยศอดสูแบบนี้มาก่อน เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมช่างไม่รู้ฟ้าสูงดินต่ำ กล้ายั่วยุแม้กระทั่งเขาจ้องมองแผ่นหลังของเด็กสาวที่วิ่งหนีไปออกไกลอย่างรวดเร็ว กล่าวถามเสียงดัง“เจ้าชื่ออะไร?”“อวิ๋นอิง สำนักยุทธ์ตระกูลอ
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าสถานการณ์ของเมืองตงหนิงตอนนี้อันตรายแค่ไหน? เจ้าหนีมาที่นี่คนเดียว เจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร? ถ้าหากเจ้าติดโรคระบาด เป็นอะไรไป เจ้าจะให้ข้าช่วยเจ้าอย่างไร!”เฟิงเย่เสวียนค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้ พลังอำนาจที่เย็นยะเยือกและกดดัน บีบให้ฉู่เชียนหลีต้องก้าวถอยหลังโซเซ อ่อนแออย่างเห็นได้ชัดกล่าวอย่างหัวแข็ง“ข้าเป็นหมอ โรคระบาดของเมืองตงหนิงปะทุมาหกเจ็ดวัน คนตายหลายร้อยคน ข้าจะนั่งดูอยู่เฉย ๆ ได้อย่างไร?”มีคนล้มตายทุกวันเวลาก็คือชีวิตศึกษายารักษาโรคได้เร็วขึ้นหน่อย ก็สามารถช่วยชีวิตคนได้หลายสิบชีวิต“ฟ้าจะถล่มก็ยังมีคนมีคนตัวสูงค้ำเอาไว้ เจ้าเป็นกังวลอะไร?” สายตาที่เย็นยะเยือกของเฟิงเย่เสวียนจ้องมองนางถ้าหากนางติดโรคระบาด ไร้ยารักษา เขาจะทำอย่างไร?ฉู่เชียนหลีดึงแขนเสื้อ ก้มหน้าลงไป พึมพำเสียงเบา“ข้าคิดว่าตนเองก็ค่อนข้างเก่งอยู่...”หนึ่งร้อยหกสิบห้าเซนติเมตร ไม่ถือว่าเตี้ยแล้ว“เจ้าว่าอะไร?” เสียงของชายหนุ่มเย็นชาลงไปอีก ราวกับว่าสามารถฆ่าคนได้ฉู่เชียนหลีรีบเงยหน้า“ข้าพูดว่า ข้าทำให้ท่านเป็นกังวลใจแล้ว! ไม่ได้หารือกับท่าน ก็หนีมาที่เมืองตงหนิงโดยพลการ ข้าผิด
เป็นหญิงสาววัยเยาว์ที่สวยงามยิ่งคนหนึ่ง อีกทั้งยังมีหน้าตาที่ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์เป็นอย่างมากอายุประมาณสิบห้าหกปี เครื่องหน้าที่มีขนาดเล็กเท่าฝ่ามือมีมิติลึกล้ำ บนหัวสวมเครื่องประดับเงิน กำไลเงิน สร้อยข้อเท้าสีเงิน เสื้อผ้าปักสีเข้มที่ดูเป็นเอกลักษณ์ ถักผมเปียเล็ก ห้อยเขี้ยวหมาป่าเอาไว้ที่ลำคอ เป็นการแต่งกายของทางเหมียวเจียงบนที่นั่งตรงกลางเฟิงเจิ้งอวี้จ้องมองนางด้วยสายตาเย็นชา กระแทกจอกเหล้าลงไปบนโต๊ะอย่างรุนแรงกล่าวเสียงดัง บรรยากาศดุเดือด“ดูท่าวิชาแพทย์และยาพิษของเจ้าจะไม่ได้ดีอย่างที่คิดไว้” น้ำเสียงเย็นชา ทำให้บรรยากาศยิ่งเย็นชาขึ้นกว่าเดิมสาวน้อยที่มีนามว่าอูหนูลุกขึ้นยืนอย่างสงบ เงยใบหน้าสวยขึ้น กล่าวพร้อมรอยยิ้ม“องค์ชาย ข้าเคยบอกท่านแล้วว่า เชื้อโรคในร่างกายของหนูมีมากถึงยี่สิบกว่าชนิด กาฬโรคและยาถอนพิษชนิดนี้ที่ข้าทำขึ้น รับประกันผลแค่ภายในสามวันเท่านั้น”“ตอนนี้เลยเวลาแล้ว เชื้อโรคแปรสภาพ ยาถอนพิษย่อมสิ้นประสิทธิภาพ”เมื่อหลายวันก่อน เขาอยากจะให้กาฬโรคแพร่ขยายเป็นวงกว้าง ยิ่งคนติดเชื้อมาก ก็จะผลักดันให้โรคระบาดรุนแรงถึงขีดสุดเมื่อรุนแรงมาก ค่อยเสนอตัว ช่วยช