กลุก ๆ...ร่างของคนคนหนึ่งกลิ้งเข้ามาด้านในกระโจมอย่างไม่ทันตั้งตัว“ท่านโหวน้อย!?” กงเจิ้นหงเบิกตาโตอย่างตกใจบทสนทนาของเขากับรัชทายาท ไม่คิดเลยว่าท่านโหวน้อยจะแอบฟังอยู่ด้านนอก แล้วก็ไม่รู้ว่าได้ยินไปเท่าไหร่...หลิงเชียนอี้กลิ้งอยู่สองตลบ โดนจับได้ก็ไม่สะทกสะท้าน เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มร่า“โอ๊ะ ท่านลุงรัชทายาท!”เขาตบหน้าขา รีบลุกขึ้นมา“ท่านลุงรัชทายาท ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่? ข้าได้ยินว่าท่านมาที่เมืองตงหนิง ข้าเป็นห่วงแทบแย่ ตอนนี้ รีบเดินทางมาที่นี่ที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ลี้ เพื่อมาดูว่าท่านปลอดภัยดี ข้าก็วางใจมากแล้ว!”เขาโบกมือด้วยใบหน้ายินดี“พวกท่านคุยกันไปเถอะ ไม่มีธุระแล้วละก็ข้าขอตัวไปก่อน ฮี่ ๆ!”หัวเราะจบ กำลังตั้งท่า จะวิ่งถอยออกไปทันใดนั้น ด้านหลัง เสียงเย็นชาดังขึ้น“หยุดก่อน!”น้ำเสียงเย็นยะเยือกราวกับมีฝ่ามือที่ไร้รู้ร่างมือหนึ่ง จับเข้าที่ต้นคอของหลิงเชียนอี้ ทำให้ขาทั้งสองข้างของเขาหยุดชะงักอยู่กับที่ราวกับมีอะไรมาถ่วงเอาไว้ ก้าวขาไม่ออกอีกชะงักไปครู่หนึ่งเขาค่อย ๆ หันหลังกลับมา จ้องมองไปยังชายหนุ่มชุดดำ นัยน์ตาดำขลับเคร่งขรึม ที่จ้องเขาเ
“ห้ามแตะต้อง!”“ข้าขอเตือนพวกเจ้า...”เสียงเย็นชาของหญิงสาว เสียงจ้อกแจ้กจอแจผสมปนเปกัน ราวกับว่ามีคนจำนวนมากกำลังก่อเรื่องขึ้นด้านนอกการเคลื่อนไหวในมือของฉู่เชียนหลีหยุดชะงักเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นจิ่งอี้กล่าว “ท่านศึกษาอย่างสบายใจเถอะ ข้าไปจัดการเอง”เขาสาวเท้าเดินออกไปฉู่เชียนหลีนวดคลึงหว่างคิ้ว เดิมทีเชื้อโรคประเภทนี้สามารถทดสอบออกมาได้แล้ว แต่เนื่องจากเวลาล่าช้า ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง จำต้องค้นคว้าสูตรยาขึ้นใหม่อีกครั้งวิจัยนานแล้ว ประกอบกับขี่ม้าเป็นเวลานาน นางเหนื่อยจนเวียนหัว จึงออกไปสูดอากาศเมื่อเปิดประตู ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังล้อมเป็นกลุ่ม ทะเลาะกัน หนึ่งในนั้น มีเด็กหญิงตัวน้อยสวมชุดทะมัดทะแมงสีแดง ถักเปียกผมสั้นคนหนึ่งถือหอกสีแดง ใบหน้าเยาว์วัยที่อุดมสมบูรณ์เต็มไปด้วยความโมโห จ้องมองชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งคนตรงหน้าด้วยสายตาอาฆาต“ท่านพ่อของข้าตายเพราะคุ้มกันเมือง ท่านแม่ของข้าจากไปด้วยโรคติดต่อ ถ้าหากพวกเจ้ากล้าแย่งสมบัติที่ท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าทิ้งไว้ให้ข้า ข้าจะส่งไปเจ้าไปเจอยมบาลเดี๋ยวนี้เลย!”น้ำเสียงของนางดุดันชัดแจ๋ว ใบหน้าองอาจห้าวหาญ สะบัดผมเปียสั้นอย่างด
เขาอายุมากกว่านางสิบปี แต่นางกลับเรียกเขาว่าเจ้าหนุ่มน้อย?ช่างเป็นสาวน้อยที่ไม่มีมารยาทเอาเสียเลยสาวน้อยออกแรง ดึงหอก แต่หอกสีแดงติดอยู่ในมือของชายหนุ่มแน่น ดึงอย่างไรก็ดึงไม่ออกทำให้ต้องออกแรงมาก จนใบหน้าเล็กที่สมบูรณ์แดงก่ำน่ารังเกียจ!“นี่!”“ข้าไม่ได้ชื่อนี่”“เช่นนั้นท่านชื่ออะไร!”“รองเถ้าแก่โรงหมอเป้าฟู่ จิ่ง...เรียกข้าท่านอาจิ่งก็พอ!”“...”ถุย!หนุ่มใหญ่ ไม่อาย ยังคิดจะเอาเปรียบสาวน้อยคนหนึ่งอีก!แต่ชายหนุ่มจับหอกของนางเอาไว้ นางดึงอย่างไรก็ดึงไม่ออกโมโห!สาวน้อยโมโหจนหน้าแดง ทันใดนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วกระทืบลงบนเท้าของชายหนุ่มอย่างแรง“!” จิ่งอี้ขมวดคิ้วแน่นซี้ด...เด็กคนนี้ ท่าทางผอมแห้ง แต่แรงเยอะเหลือเกิน!สาวน้อยได้รับอิสระ เมื่อดึงหอกออกมาได้ก็วิ่งหนีจิ่งอี้ขมวดคิ้ว ในฐานะที่เป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งยุทธภพ ยังไม่เคยได้รับความอัปยศอดสูแบบนี้มาก่อน เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมช่างไม่รู้ฟ้าสูงดินต่ำ กล้ายั่วยุแม้กระทั่งเขาจ้องมองแผ่นหลังของเด็กสาวที่วิ่งหนีไปออกไกลอย่างรวดเร็ว กล่าวถามเสียงดัง“เจ้าชื่ออะไร?”“อวิ๋นอิง สำนักยุทธ์ตระกูลอ
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าสถานการณ์ของเมืองตงหนิงตอนนี้อันตรายแค่ไหน? เจ้าหนีมาที่นี่คนเดียว เจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร? ถ้าหากเจ้าติดโรคระบาด เป็นอะไรไป เจ้าจะให้ข้าช่วยเจ้าอย่างไร!”เฟิงเย่เสวียนค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้ พลังอำนาจที่เย็นยะเยือกและกดดัน บีบให้ฉู่เชียนหลีต้องก้าวถอยหลังโซเซ อ่อนแออย่างเห็นได้ชัดกล่าวอย่างหัวแข็ง“ข้าเป็นหมอ โรคระบาดของเมืองตงหนิงปะทุมาหกเจ็ดวัน คนตายหลายร้อยคน ข้าจะนั่งดูอยู่เฉย ๆ ได้อย่างไร?”มีคนล้มตายทุกวันเวลาก็คือชีวิตศึกษายารักษาโรคได้เร็วขึ้นหน่อย ก็สามารถช่วยชีวิตคนได้หลายสิบชีวิต“ฟ้าจะถล่มก็ยังมีคนมีคนตัวสูงค้ำเอาไว้ เจ้าเป็นกังวลอะไร?” สายตาที่เย็นยะเยือกของเฟิงเย่เสวียนจ้องมองนางถ้าหากนางติดโรคระบาด ไร้ยารักษา เขาจะทำอย่างไร?ฉู่เชียนหลีดึงแขนเสื้อ ก้มหน้าลงไป พึมพำเสียงเบา“ข้าคิดว่าตนเองก็ค่อนข้างเก่งอยู่...”หนึ่งร้อยหกสิบห้าเซนติเมตร ไม่ถือว่าเตี้ยแล้ว“เจ้าว่าอะไร?” เสียงของชายหนุ่มเย็นชาลงไปอีก ราวกับว่าสามารถฆ่าคนได้ฉู่เชียนหลีรีบเงยหน้า“ข้าพูดว่า ข้าทำให้ท่านเป็นกังวลใจแล้ว! ไม่ได้หารือกับท่าน ก็หนีมาที่เมืองตงหนิงโดยพลการ ข้าผิด
เป็นหญิงสาววัยเยาว์ที่สวยงามยิ่งคนหนึ่ง อีกทั้งยังมีหน้าตาที่ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์เป็นอย่างมากอายุประมาณสิบห้าหกปี เครื่องหน้าที่มีขนาดเล็กเท่าฝ่ามือมีมิติลึกล้ำ บนหัวสวมเครื่องประดับเงิน กำไลเงิน สร้อยข้อเท้าสีเงิน เสื้อผ้าปักสีเข้มที่ดูเป็นเอกลักษณ์ ถักผมเปียเล็ก ห้อยเขี้ยวหมาป่าเอาไว้ที่ลำคอ เป็นการแต่งกายของทางเหมียวเจียงบนที่นั่งตรงกลางเฟิงเจิ้งอวี้จ้องมองนางด้วยสายตาเย็นชา กระแทกจอกเหล้าลงไปบนโต๊ะอย่างรุนแรงกล่าวเสียงดัง บรรยากาศดุเดือด“ดูท่าวิชาแพทย์และยาพิษของเจ้าจะไม่ได้ดีอย่างที่คิดไว้” น้ำเสียงเย็นชา ทำให้บรรยากาศยิ่งเย็นชาขึ้นกว่าเดิมสาวน้อยที่มีนามว่าอูหนูลุกขึ้นยืนอย่างสงบ เงยใบหน้าสวยขึ้น กล่าวพร้อมรอยยิ้ม“องค์ชาย ข้าเคยบอกท่านแล้วว่า เชื้อโรคในร่างกายของหนูมีมากถึงยี่สิบกว่าชนิด กาฬโรคและยาถอนพิษชนิดนี้ที่ข้าทำขึ้น รับประกันผลแค่ภายในสามวันเท่านั้น”“ตอนนี้เลยเวลาแล้ว เชื้อโรคแปรสภาพ ยาถอนพิษย่อมสิ้นประสิทธิภาพ”เมื่อหลายวันก่อน เขาอยากจะให้กาฬโรคแพร่ขยายเป็นวงกว้าง ยิ่งคนติดเชื้อมาก ก็จะผลักดันให้โรคระบาดรุนแรงถึงขีดสุดเมื่อรุนแรงมาก ค่อยเสนอตัว ช่วยช
“ช่วยด้วย!”สองหนุ่มสาวประคองชายวัยกลางคนที่ผิวหนังแดงก่ำ หมดสติวิ่งเข้ามา “พระชายาอ๋องเฉิน ท่านพ่อของข้าใกล้จะไม่ไหวแล้ว ขอร้องท่านช่วยเขาด้วย!”พวกเขาร้อนใจจนเบ้าตาแดงก่ำ น้ำตาเม็ดใหญ่ร่วงลงมาทันทีที่วิ่งเข้ามาถึง ยังไม่ทันทรงตัวได้ ชายวัยกลางคนก็ล้มลงไปบนพื้นอย่างอ่อนแรง มือทั้งสองข้างกางออก แขนขาทั้งสี่ชี้ฟ้า ตาเหลือกทั้งสองข้าง สิ้นสติไปแล้วฉู่เชียนหลีรีบวางสิ่งของในมือ กำลังจะก้าวเข้าไปหา“คุณหนู!” จิ่งอี้รีบห้ามเอาไว้อาการของคนผู้นี้รุนแรงมาก ถ้าหากเข้าไปใกล้ละก็ มีความเป็นไปได้ที่อาจจะติดเชื้อ“วางใจ ข้ารู้ตัวเองดี การช่วยคนสำคัญกว่า!”มือทั้งสองข้างของฉู่เชียนหลีจุ่มลงไปในน้ำ ใช้น้ำอ้ายเฉ่าพรมบนตัวเพื่อฆ่าเชื้อ แล้วค่อยใช้น้ำพรมลงบนผิวหนัง หลังจากทำมาตรการป้องกันเรียบร้อยแล้ว ถึงได้สาวเท้าเข้าไป จับที่ชีพจรของชายวัยกลางคนคนนั้นชีพจรอ่อนแอ จนสัมผัสไม่ได้แล้ว...นางตกตะลึงไปเล็กน้อยค่อย ๆ เงยหน้า มองเข้าไปในดวงตาที่ว่างเปล่าของชายวัยกลางคน...ไม่มีราศี มืดสลัวราวกับขี้เถ้าเขาตายแล้ว...ฉู่เชียนหลีวางมือที่แข็งทื่อลงเล็กน้อย สองหนุ่มสาวเหมือนกับสังเกตเห็นอะไรบ
ฉู่เชียนหลีสีหน้าอึมครึม เปิดจดหมาย ตอนที่ได้เห็นเนื้อหาด้านใน สีหน้าก็อึมครึมยิ่งกว่าเดิม“ในจดหมายเขียนว่าอะไร?” จิ่งอี้เดินเข้ามาใกล้ กล่าวถามฉู่เชียนหลีจ้องมองเนื้อหาในจดหมายครั้งแล้วครั้งเล่า หยิบกริชที่เปื้อนเลือดเล่มนั้นขึ้นมาบนกริช คราบเลือดได้แห้งกรังไปแล้วความลึกประมาณแปดเซนติเมตร...นางสีหน้าหนักใจ เม้มปากแน่น “เลือดนี้...เป็นของหลิงเชียนอี้”“อะไรนะ?!”ทันทีที่ประโยคนี้หลุดออกไป จิ่งอี้กับรองแม่ทัพเจียงก็ตกใจมาก“แต่จดหมายนี้กลับใช้นามแฝง” ฉู่เชียนหลียกจดหมายที่อยู่ในมือขึ้น “ในจดหมายเขียนว่า ห้ามให้ข้ายุ่งกับเรื่องของเมืองตงหนิง อีกทั้งจะต้องออกจากเมืองตงหนิง ก่อนฟ้าสาง ไม่อย่างนั้นก็จะเอาชีวิตของหลิงเชียนอี้”กริชที่เปื้อนเลือดเล่มนี้ ส่งมาเพื่อข่มขู่หลิงเชียนอี้ได้รับบาดเจ็บแล้วแต่เขาอยู่กับรัชทายาทไม่ใช่หรอกหรือ?รองแม่ทัพเจียงสีหน้าประหลาดใจ กล่าว “พระชายา เมื่อสองชั่วยามก่อน ข้ากับท่านอ๋องไปหารัชทายาท รัชทายาทกลับกล่าวว่าท่านโหวน้อยหนีไปแล้ว เขาเองก็กำลังส่งคนไปตามหาอยู่เช่นกัน ไม่รู้ว่าหนีไปที่ใดแล้ว”แปลกประหลาดหลิงเชียนอี้ไปหารัชทายาท ถูกรัชทายา
ฉู่เชียนหลีพูดจบ หันหลังกลับเดินไปทางโรงหมอ“จิ่งอี้ มาช่วยข้า รองแม่ทัพเจียง ท่านเรียกชาวบ้านที่อาการป่วยรุนแรงในเมืองทั้งหมดมาทดลองยาที่โรงหมอ!!”“หา?”ตอนนี้งั้นหรือ?รองแม่ทัพเจียงเงยหน้า มองสีท้องฟ้าท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว ใกล้จะยามสอง[footnoteRef:1]แล้ว เวลานี้บรรดาชาวบ้านกำลังนอนหลับ ต้องปลุกพวกเขาให้ลุกจากเตียง? [1: ยามสอง หมายถึง ช่วงเวลาสามทุ่มถึงห้าทุ่ม] ช้าก่อน!จากสถานการณ์ตอนนี้ ไม่ใช่ว่าควรรีบไปช่วยท่านโหวน้อยออกมาหรอกหรือ?พระชายาจะทอดทิ้งไม่ไยดีท่านโหวน้อยจริงหรือ?เฮ้อ!รองแม่ทัพเจียงรู้สึกสับสน ทางไหนก็ยุ่งไปหมด จำต้องฟังการจัดการของพระชายา ไปเคาะประตูทีละบ้าน เพื่อเรียกคนยามราตรีอันมืดมิดยามสาม[footnoteRef:2] ลมหนาวเย็นยะเยือก [2: ยามสาม หมายถึง ช่วงเวลาห้าทุ่มถึงตีหนึ่ง] ชาวนับร้อยเบียดเสียดกันอยู่ในโรงหมอ พวกเขาคลุมเสื้อ ใบหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนเพลีย ทั้งไอ ทั้งหอบ ใบหน้าแต่ละคนซีดเซียวอ่อนแออย่างเห็นได้ชัดฉู่เชียนหลียืนอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงาน ชี้ไปยังสมุนไพรนับร้อยชนิดที่วางอยู่บนโต๊ะ จ้องมองบรรดาชาวบ้าน กล่าวเสียงดังจริงจัง“คืนนี้ ที่เรียกพวกเ