“พระชายาอ๋องเฉินโปรดเมตตา ช่วยข้าน้อยตามหาเป่าเอ๋อร์กลับมา ข้าน้อยยินดีมอบข้าวโพดสองร้อยชั่งเป็นการตอบแทน!”ชายวัยกลางคนเบ้าตาแดงก่ำ ร้องขออย่างจริงใจครอบครัวของเขาเป็นชาวนาทุกชั่วอายุคน ทำนาเลี้ยงชีพ เมื่อไม่มีควาย ก็ไม่สามารถปลูกข้าว เท่ากับเป็นการตัดทางรอดของพวกเขา เอาชีวิตของพวกเขาฉู่เชียนหลีรู้ถึงความลำบากและต่ำต้อยของราษฎรที่ใช้แรงงานของยุคโบราณเป็นอย่างดีแม้แต่ควายก็ขโมย ยังมีความเป็นมนุษย์หรือไม่?“เจ้าอย่าเพิ่งรีบร้อน หน้าตาเป่าเอ๋อร์ของเจ้าเป็นอย่างไร พันธุ์อะไร น้ำหนักส่วนสูงประมาณเท่าไร บอกรายละเอียดบางส่วนกับข้า ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ”ชายวัยกลางคนรีบกล่าว “เป่าเอ๋อร์เป็นควายแก่อายุแปดปีกว่า ขนของมันเป็นสีขาว…”เขาพูด ฉู่เชียนหลีจดหลังจากพูดจบ ผู้ตรวจการถังพาคนไปตรวจค้นทั่วเมืองทันทีเรื่องนี้ถูกพักไว้ชั่วคราว ถึงคราวคนที่สอง เป็นหญิงชราผมหงอกอายุหกสิบกว่า นางใช้ไม้เท้าพยุง เท้าขาเดินเหินไม่สะดวก หลังค่อม ดวงตาที่ขุ่นมัวทั้งคู่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า“พระชายาโปรดคืนความยุติธรรม คืนความสงบสุขให้กับครอบครัวของเราด้วย…”ฉู่เชียนหลีเว้นพิธีรีตองของนาง สั่งคนไปยกเก้า
ตาย…สายตาของฉู่เชียนหลีขรึมลงทันที ดูเหมือนว่าเมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรที่นางไม่รู้…เหลือบมองผู้ว่าการหลี่ที่อยู่ในห้องขัง“หากเจ้าบอกข้าว่าเฟิงเย่เสวียนไปที่ไหน บางทีข้าอาจสามารถคิดวิธีลดโทษของเจ้าให้เบาลง”“ฮ่าๆ ฮ่าๆๆ!”ผู้ว่าการหลี่ราวกับได้ยินเรื่องที่ตลกที่สุดในโลกลดโทษ?เขาคิดร้ายต่อผู้ตรวจการ ยักยอกทรัพย์มหาศาล เขากำลังจะเผชิญโทษเช่นไร เขารู้อยู่แก่ใจ มันใช่สิ่งที่คำพูดประโยคเดียวของฉู่เชียนหลีก็สามารถเว้นโทษได้หรือ?ว่าไปก็ต้องโทษฉู่เชียนหลี!หากไม่ใช่ฉู่เชียนหลีกระชากเขาออกมา เขาก็ไม่ถูกเปิดโปง และยิ่งไม่มีทางตกอับถึงขั้นนี้นางแพศยาน้อยคนนี้!เขาไม่มีความสุข นางก็อย่าคิดมีความสุข!“ในเมื่อเจ้าอยากรู้ ข้าบอกเจ้าก็ได้!” ผู้ว่าการหลี่แสยะยิ้ม กล่าวอย่างชั่วร้าย “เมื่อคืนอ๋องเฉินมาถามที่อยู่ของหมอผีอวี๋เจวี๋ยจื่อกับข้า”“หมอผีอวี๋เจวี๋ยจื่อ ขึ้นชื่อว่าเป็นคนบ้าในยุทธภพ เขามีทักษะการแพทย์ที่น่าตกใจ ขณะเดียวกันก็มีอารมณ์ที่ฉุนเฉียวเหมือนดินปืน ทุกครั้งที่เขาช่วยคนหนึ่งคน ก็จะฆ่าคนหนึ่งคน มีชื่อเสียงด้านความโหดเหี้ยม!”ครั้งหนึ่ง มีพ่อค้าที่ร่ำรวยคนหนึ่งมาขอให้เขารักษา
อ๋องหลี?!พลันฉู่เชียนหลีอึ้ง มองผู้ชายตรงหน้า ตะลึงงันไปชั่วขณะที่แท้เขาก็คือองค์ชายห้าผู้ถูกทอดทิ้งที่ชาวบ้านพูดถึง มารดาผู้ให้กำเนิดเป็นนางกำนัลที่มีสถานะต่ำต้อย ไม่เป็นที่ต้อนรับของฮ่องเต้ และยังมีสัญญาหมั้นหมายกับฉู่เจียวเจียว——เฟิงเจิ้งหลีที่แท้เป็นเขา!ก่อนหน้านี้ฟังชาวบ้านวิพากษ์วิจารณ์ และเยว่เอ๋อร์ก็พูดถึง นางยังคาดเดาว่าตกลงอ๋องหลีคนนี้เป็นคนอย่างไร คิดไม่ถึงว่าจะเคยเจอกันนานแล้ว“พระชายา ท่านไม่เป็นอะไรกระมัง?”เสียงถามด้วยความเป็นห่วงของหานเฟิงดึงความคิดฉู่เชียนหลีกลับมา นางรีบถอยออกจากอ้อมแขนของอ๋องหลี“ข้าไม่…ซี้ด!”เจ็บข้อเท้ามาก“อย่าขยับ!” อ๋องหลีกดไหล่ของนางให้นั่งลงบนพื้นหญ้า แล้วเลิกกระโปรงนางขึ้นข้อเท้าขวาแดงก่ำ“น่าจะโดนเชือกป่านของกับดักเมื่อครู่บาด”นางถูกเลี้ยงดูในเรือนส่วนหลังตั้งแต่เด็ก ผิวพรรณขาวละเอียดอ่อน เชือกถูกับหนังก็ถลอกแล้ว มีรอยเลือดจางๆ ผุดออกมาอ๋องหลีรีบหยิบเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกจากหน้าอก พันข้อเท้าของนางไว้ เขาพันสองรอบ แล้วเงื่อนอย่างเบามือผ้าเช็ดหน้าผืนนี้…ฉู่เชียนหลีจำได้ในปราดเดียวตอนนั้น ในคืนวันงานเลี้ยงฉลองชัย ครั้งแรก
ฉู่เชียนหลีตะลึงงันไปครู่หนึ่ง พริบตานั้นเข้าใจอะไรบางอย่าง หันไปจ้องตาเฟิงเย่เสวียนฉับพลัน“เจ้า…”หากเดาไม่ผิด ชายชราท่านนี้ก็คือหมอผีอวี๋เจวี๋ยจื่อที่มีชื่อเลื่องลือในยุทธภพเมื่ออ่อนโยน เป็นพระโพธิสัตว์เดินดินที่ช่วยชีวิตคน แม้เป็นยมบาลก็อย่าคิดแย่งคนไปจากมือเขา ทักษะการแพทย์อยู่เหนือฮัวถลอตอนยังมีชีวิตเมื่อฉุนเฉียว ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายผู้หญิง หรือคนดีคนชั่ว บอกฆ่าก็ฆ่า ไม่แม้แต่จะกะพริบตา ยิ่งไม่มีทางปรานีแม้แต่น้อยครึ่งคนครึ่งผี ผู้คนได้ยินแล้วเกิดความหวาดกลัวที่แท้เฟิงเย่เสวียนมาหาหมอผีเพื่อนาง?“เฟิงเย่เสวียน เจ้า…”เขากลับไม่ยอมบอกนาง!“เชียนหลี ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถมีชีวิตที่ดีกว่านี้” เฟิงเย่เสวียนจ้องนาง “หลายปีมานี้ เพราะปานบนใบหน้าของเจ้า เจ้าถูกต่อว่าและเยาะเย้ยไม่รู้เท่าไร”“แม้ปากของเจ้าไม่พูด แต่ผู้หญิงทั่วหล้ามีใครบ้างที่ไม่ชอบรูปโฉมอันสมบูรณ์แบบ?”เกือบสองเดือนที่ผ่านมา เขาตามหาที่อยู่ของหมอผีมาโดยตลอดสวรรค์เมตตาผู้ที่มีความมุ่งมั่นเสมอ ภายใต้การสืบหาห้าสิบกว่าวันโดยไม่หยุดพักขององครักษ์ลับ ในที่สุดก็เจอเบาะแสของหมอผีเดิมทีเขาตั้งใจเดินทางมาขอยากับห
ท้ายที่สุด ฉู่เชียยนหลีก็เดินตามเข้าไปแล้วภายในกระท่อมไม้เรียบง่ายมาก เตียง โต๊ะเก้าอี้ ตู้ล้วนทำด้วยมือ มีขวดยาและขวดโหลสมุนไพรวางเต็มไปหมด กลิ่นหอมของยานั้นฉุนมากชายชราที่ผอมจนรูปร่างบิดเบี้ยวนั่งอยู่บนเก้าอี้ แผ่นหลังที่เล็กมากก็โค้งงอลงไป เหมือนคนแคระมากตั้งแต่ฉู่เชียนหลีเข้ามา สายตาที่แปลกประหลาดนั่นก็เอาแต่จ้องอยู่บนร่างกายฉู่เชียนหลีปิดประตูปิดหน้าต่างนั่งลงสายตาของเขาไม่ยอมละจากนางแม้แต่ปราดเดียว แปลกประหลาดจนทำให้รู้สึกหนังศีรษะชา อยากหนีออกไปทว่าฉู่เชียนหลีเพียงแค่ขมวดคิ้ว นางนั่งนิ่งๆ ปล่อยให้มองตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างใจกว้างจ้องไปจ้องมา…พักใหญ่ไม้เท้าของชายชรายันอยู่บนพื้น สองมือจับไม้เท้า เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง“นังหนูน้อย เจ้าไม่กลัวข้า?”เสียงนั่นฟังแล้วเหมือนนำมีดที่ขึ้นสนิมไปลับกับเสา เสียงที่แหลมมากนั่นทำให้แสบแก้วหูฉู่เชียนหลียิ้มอย่างสุขุม“คนโบราณพูดได้ดี ตัดสินคนจากรูปลักษณ์เป็นเรื่องที่ผิดมหันต์”“สวรรค์นั้นยุติธรรมเสมอ มอบความฉลาดที่เกินคนให้ ก็จะไม่มอบเงื่อนไขที่ได้เปรียบ มอบสถานะอันสูงศักดิ์ให้ ก็จะไม่มอบครอบครัวที่อบอุ่น ก็อย่าง
“อวี๋เจวี๋ยจื่อ!”เสียงกรีดร้องดังลั่นกระท่อมไม้หลังเล็ก เฟิงเย่เสวียนที่เฝ้าอยู่ข้างนอกรู้สึกถึงความผิดปกติ รีบพุ่งพรวดเข้าไปทันที“เชียนหลี!”ผลักประตูออก เห็นอวี๋เจวี๋ยจื่อนั่งอยู่บนเก้าอี้ ศีรษะห้อยตกลงข้างล่างอย่างไร้เรี่ยวแรงยกขึ้น ฉู่เชียนหลีคุกเข่าข้างหนึ่งอยู่ข้างกายเขา เสียงสั่นเครือเล็กน้อย“เขาไปแล้ว…”แต่ว่าพวกคำพูดที่เขาพูดก่อนไป เหมือนกับเป็นคำสาป ฝังลึกอยู่ในสมองของนาง ดังซ้ำๆ ไม่หยุด‘รากเหง้าของเจ้าไม่ได้อยู่ที่ตระกูลฉู่’‘อยู่ให้ห่างจากราชวงศ์ ไม่เช่นนั้น วันนี้ของข้าก็คือพรุ่งนี้ของเจ้า…’เฟิงเย่เสวียนขมวดคิ้ว ก้าวเท้ายาวเดินเข้ามา จับมือของฉู่เชียนหลีเบาๆ “ความเป็นความตายของมนุษย์มีเวลาของมัน บางที นี่ก็คือชะตาของเขา”เกิดแก่เจ็บตาย เป็นเรื่องปกติของมนุษย์แต่มีเพียงฉู่เชียนหลีที่รู้ เขาตายเพราะพิษกำเริบ และยังมีคำพูดพวกนั้นของเขา…ฉู่เชียนหลีมองดูฝ่ามือใหญ่ที่จับใบหน้าของตนเอง สายตาค่อยๆ เลื่อนขึ้นไปตามแขน มองไปที่ใบหน้าอันอบอุ่นและมีความอดทนของเฟิงเย่เสวียน สายตามีความลึกซึ้งที่คลุมเครือเพิ่มขึ้นหลายส่วนเหตุใดอวี๋เจวี๋ยจื่อต้องให้นางอยู่ห่างจากราชวงศ
ฉู่เชียนหลีหลุดหัวเราะ เขาได้ทำเพื่อนางเยอะมากแล้ว และทำได้ดีมากนางก้าวเท้าเข้าไป “ทั้งที่เจ้ารู้ชื่อเสียงของอวี๋เจวี๋ยจื่อ ก็ยังเดินทางไปหาเขาเพียงลำพัง ไม่เคยคิดเลยหรือว่าหากเกิดเรื่องไม่คาดคิดอะไรขึ้น…”เฟิงเย่เสวียนกล่าว “เดิมทีข้าก็มาเพราะเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นการลาดตระเวนทางใต้ครั้งนี้ก็ไร้ความหมาย”ลาดตระเวนทางใต้ สามารถตรวจตราได้ทุกเมื่อแต่ปานบนใบหน้านาง เขาหวังให้นางอยู่ในรูปลักษณ์ที่งดงามที่สุดฉู่เชียนหลีหัวเราะเบาๆ ยกมือขึ้นลูบรอยบนใบหน้าอย่างเบามือเลือดของเจ้าดำน้อยได้แก้พิษของนางแล้ว นางแค่ไม่ต้องการดึงดูดความสนใจของผู้อื่น จึงปลอมตัวเป็นรูปลักษณ์ที่อัปลักษณ์ต่อไป“ข้าคิดว่าข้าอยู่ต่างโลกใบนี้ โดดเดี่ยวเพียงลำพัง ไม่เป็นที่ต้อนรับของท่านพ่อ ท่านแม่ลำเอียง พี่สาวแท้ๆ เฉยชา ไม่มีเพื่อน ไม่เข้าใจตัวเอง…คิดไม่ถึงว่า เจ้ากลับเป็นคนแรกที่สนใจข้า…”พึมพำเสียงเบา ราวกับกำลังคุยกับตนเองเฟิงเย่เสวียนได้ยินไม่ชัด “หืม?”ฉู่เชียนหลีเงยหน้า กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีอะไร นี่ก็ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ยังต้องพิจารณาคดีให้ชาวบ้านอีก รีบพักผ่อนเถอะ”พูดจบก็หมุนกายไปแล้ว“เจ้าไม่นอ
ด้วยเหตุนี้ ฉู่เชียนหลีปล่อยมือ “ในเมื่อเจ้าเองก็บอกว่าไม่เป็นอะไร เช่นนั้นก็รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ”“?”เมื่อเห็นว่าฉู่เชียนหลีจะกลับห้องแล้ว เฟิงเย่เสวียนไม่กล้าเล่นตัวอีก รีบจับข้อมือของนางไว้ ร่างกายอันสูงใหญ่ขยับเข้าใกล้“ข้ามีงานมากมายติดตัว ใต้มือยังมีคนมากมายเช่นนั้นต้องเลี้ยงดู และยังมีเรื่องสำคัญอีกมากมายต้องทำ จะเกิดข้อผิดพลาดใดๆ ไม่ได้เด็ดขาด เพื่อความปลอดภัย รบกวนเชียนหลีลองตรวจให้ข้าจะดีกว่า”พูดจบ ก็เป็นฝ่ายจูงมือฉู่เชียนหลี ก้าวเท้ายาวเดินเข้าห้องก่อนเข้าห้อง ยังจะเล่นตัว ขับร้องทำเพลง วางมาดอุตส่าห์ไว้หน้าแล้วยังไม่ยอมหยุด?ตกลงผู้ชายคนนี้ไปเรียนนิสัยขี้งอนมาจากใครกันแน่?เซียวจือฮว่า?ภายในห้อง แสงเทียนสั่นไหวเบาๆ ข้างโต๊ะหนังสือ ร่างเงาสองสายถูกแสงเทียนปกคลุม ทำให้เค้าโครงของทั้งสองมีแสงที่นุ่มนวลเคลือบหนึ่งชั้น ภาพนี้ดูอบอุ่นมีความสุขเฟิงเย่เสวียนกำลังนั่ง ฉู่เชียนหลีตรวจชีพจรให้เขาจับข้างซ้ายเสร็จก็จับข้างขวา จับข้างขวาเสร็จก็หันมาจับข้างซ้าย ลองมือทั้งสองข้างอยู่สามสี่รอบ คิ้วบางของฉู่เชียนหลีขมวดจนกลายเป็นภูเขาลูกเล็กชีพจรของเขามั่นคงมีกำลัง ร่างกา