“ฝ่าบาท…”ฉู่เจียวเจียวเสียงอ่อน ข่มความโกรธลงไป เดินเข้าไปแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “พระองค์เพิ่งขึ้นครองราชย์ มีเรื่องมากมายต้องทำ เรื่องของผู้หญิงในวังหลัง ให้หม่อมฉันดูแลเองเพคะ”ท่าทางของนางอ่อนโยนเอาใจใส่ วางมาดเหมือนเป็นภรรยาที่รู้หน้าที่เฟิงเจิ้งหลีมองนางอย่างเย็นชา“ให้เจ้าดูแล? แน่ใจหรือว่าไม่ใช่ช่วยจนยุ่ง ทำให้เรายิ่งต้องหนักใจ?”“...”นางก็แค่ให้ฉู่เชียนหลีอดอาหารสามวันไม่ใช่หรือ?ไม่ได้กินข้าวสามวัน ไม่ตายสักหน่อย ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้นางกลับปวดใจฉู่เชียนหลีจนมาถามนาง?ฉู่เจียวเจียวโกรธมาก มือสองข้างก็กำจนแน่นแล้ว เล็บมือจิกเข้าไปในฝ่ามือ กล่าวเสียงเย็น“ฉู่เชียนหลีคือภรรยาของผู้กระทำความผิด ไม่ฆ่านางก็ถือว่าเป็นบุญมากแล้ว หรือยังจะเลี้ยงนางไว้ในวัง ยกย่องให้เป็นแขกคนสำคัญ?”สายตาเฟิงเจิ้งหลีเย็นชา “ภรรยาผู้กระทำความผิด”“นางเป็นภรรยาผู้กระทำความผิดตั้งแต่เมื่อไร? เฟิงเย่เสวียนเขียนหนังสือปลดแล้ว นางเป็นเพียงพระชายาที่ถูกปลด เกี่ยวอะไรกับเฟิงเย่เสวียน? ฉู่เจียวเจียว ระวังคำพูดของเจ้า!”ฉู่เจียวเจียวสะอึกทันที“หม่อมฉัน…”“อีกอย่าง ฉู่เชียนหลียังมีประโยชน
“เป็นไปไม่ได้ที่เฟิงเย่เสวียนจะไม่ข้ามแม่น้ำ นอกเสียจากเขาติดปีกบินข้ามไป!”คำพูดของเฟิงเจิ้งหลีเพิ่งสิ้นเสียง ก็มองเห็นร่างกายของทหารคนนั้นสั่น สายตาของเขาเย็นลงทันที พลันกระชากคอเสื้อของเขา“เจ้ากำลังโกหก!”ทหารตกใจจนหน้าซีด“ฝ่า ฝ่าบาท…”“พูด เกิดอะไรขึ้นกันแน่!” เขาตวาดอย่างเย็นชา“กระหม่อม กระหม่อม…กระหม่อม…” ทหารอ้ำอึ้ง เห็นได้ชัดว่าเป็นอาการร้อนตัว มีบางอย่างปิดบังเมื่อเห็นฮ่องเต้พิโรธ รู้ว่าปิดไม่อยู่แล้ว เขากลัวจนยอมพูดสิ่งที่เกิดขึ้น“กระหม่อมพูด! ในคืนเมื่อสามวันก่อน อ๋องเฉินพยายามบุกข้ามสะพาน รถม้าพลั้งตกลงไปในแม่น้ำอูหลาน แม่ทัพหลี่บอกว่าเป็นต้องเห็นคน ตายต้องเห็นศพ ตอนนี้กำลังกู้ศพ เตรียมนำศพของอ๋องเฉินกลับมา ค่อยสารภาพกับพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”“อะไรนะ!” อูหนูอุทานด้วยนิสัยของอ๋องเฉิน จะทำผิดพลาดเรื่องโง่ๆ อย่างรถม้าตกแม่น้ำได้อย่างไร?นางรีบถามต่อทันที“พวกเจ้าเห็นอ๋องเฉินตกแม่น้ำกับตาตัวเองหรือไม่?”คำถามนี้ทำเอาทหารตะลึงโดยตรง“ไม่ ไม่เห็น…คืนนั้น อ๋องเฉินอยู่ในรถม้าตลอด ไม่พูด ไม่แสดงตัว…”เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เขาเข้าใจอะไรบางอย่างทันที หน้าซีดเหมือนกับคนตา
พริบตาเดียว ก็ผ่านไปแล้วครึ่งเดือนตำหนักเจาหยางนี่เป็นวันที่เท่าไรที่ฉู่เชียนหลีถูกขังอยู่ที่นี่ นางจำไม่ได้แล้ว ตั้งแต่เฟิงเจิ้งจื่อเยี่ยมา ทุกๆ วันของนางถูกเติมจนเต็มภายใต้การดูแลอย่างเอาใจใส่ บาดแผลบนแขนของจื่อเยี่ยหายดีแล้ว เจ้าหนูน้อยดูมีชีวิตชีวา ใบหน้าน้อยแดงระเรื่อ ดวงตาสุกใส สดชื่นคึกคัก ร้องอีอาๆ ทุกวันจับตรงนี้ ถีบตรงนั้นผ้าอ้อมที่เพิ่งเปลี่ยนเสร็จ ถูกเขาถีบจนเบี้ยวเพราะพลิกตัว“อา!”เสียงทั้งดังทั้งสดใสเมื่อฉู่เชียนหลีที่อ่านตำราแพทย์ข้างเปลโยกได้ยินเสียง เงยหน้ามองไป ก็หน้าบึ้งทันที“เหตุใดถีบอีกแล้ว?”ทำได้เพียงเก็บตำราแพทย์ สวมผ้าอ้อมให้ดี หยิกแก้มเขาเบาๆ“เพิ่งกินอิ่ม ห้ามขยับมั่ว เดี๋ยวจะอาเจียนนมนะ รู้หรือไม่?” เสียงดุเหมือนกำลังขู่จื่อเยี่ยน้อยกระพริบดวงตาที่สุกใสคู่นั้น มองนางอย่างมีชีวิตชีวา แสยะปากน้อยๆ หัวเราะคิกคักฉู่เชียนหลีเพิ่งนั่งลง หยิบตำราแพทย์ขึ้นมาก็ได้ยิน“อา!”เสียงดังขึ้นเจ้าหนูน้อยดึงผ้าอ้อมออกนาง “...”ถือว่านางเข้าใจแล้ว เจ้าเด็กน้อยคนนี้ไม่อยากให้นางอ่านตำรา จงใจแกล้งนาง อยากให้หนังเล่นด้วยตีด่าก็ทำไม่ลง ทำได้เพียงถอน
ทหารรักษาพระองค์คนนี้ถอยออกไป เพิ่งพลบค่ำ เฟิงเจิ้งหลีก็มาแล้วฝีเท้าของเขาเร่งรีบ และยังดีใจเล็กน้อย เดินปรี่เข้าไปในห้อง ประโยคแรกก็ถามอย่างสุขใจ“ทหารบอกว่าเจ้าคิดถึงข้าแล้ว?”“?”นางให้ทหารรักษาพระองค์คนนั้นหาวิธี คิดไม่ถึงว่าจะเป็นวิธีแย่ๆ เช่นนี้…นางไม่ได้ปฏิเสธ “ช่วงนี้ยุ่งมากเลยหรือ?”เฟิงเจิ้งหลีเข้าห้อง “นิดหน่อย”นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย“สีหน้าเจ้าดูไม่ดีนัก ไม่ได้พักผ่อนเลยกระมัง? มีเรื่องอะไรต้องยุ่งทั้งวันทั้งคืนเช่นนี้? ถ้าหากเหนื่อยจนล้มป่วย แผ่นดินที่กว้างใหญ่นี้ ก็ตกไปเป็นของคนอื่นแล้ว”เฟิงเจิ้งหลีหัวเราะพลางส่ายศีรษะมีแต่นางที่กล้าพูดเช่นนี้กับเขาใจกล้า ตรงไปตรงมา และยังประชดประชันเขา ล่วงเกินเขาอย่างไม่เกรงใจเขา แต่เขาดันชอบนางที่เป็นเช่นนี้ช่วงนี้ยุ่งมากจริงๆหลังจากเฟิงเย่เสวียนไปถึงที่ศักดินาในเขตเจียงหนาน วาดเขตแดน ตั้งตนเป็นกษัตริย์ เกณฑ์ทหารเข้ากองทัพ แบ่งดินแดนของแคว้นตงหลิงไปครึ่งหนึ่ง เขากำลังจัดการเรื่องนี้ ชั่วขณะยากที่จะได้ผลลัพธ์“รอผ่านช่วงนี้แล้ว ข้ามาหาเจ้าทุกวัน”ฉู่เชียนหลีเงยหน้า “ฟังที่เจ้าพูด คือตั้งใจจะขังข้าไว้ที่นี
เฟิงเจิ้งหลีมาแค่สองเค่อ ก็ไปที่ห้องทรงพระอักษรอย่างเร่งรีบแล้ว เหมือนมีเรื่องเร่งด่วนอะไรบางอย่างฉู่เชียนหลีที่ได้รับอิสรภาพในที่สุด ก้าวออกจากตำหนักเจาหยางอย่างแทบรอไม่ไหวผ่านไปครึ่งเดือน ตอนที่ออกมาเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้งอากาศที่บริสุทธิ์ยังคงสดชื่นฉู่เชียนหลีอุ้มจื่อเยี่ย เตรียมไปเยี่ยมไท่ซ่างหวง เพิ่งเดินออกจากประตูตำหนัก ก็ถูกทหารรักษาพระองค์แปดนายติดตามนางไปที่ไหน พวกเขาไปที่นั่นนางเดินเร็ว พวกเขาก็เดินเร็ว นางเดินช้า พวกเขาก็เดินช้า รักษาระยะห่างไว้ที่สามเมตรตลอดฉู่เชียนหลีนิ่งไปครู่หนึ่งตอนแรกคิดว่าเฟิงเจิ้งหลีรู้สึกผิด ในที่สุดก็ยอมปล่อยนางออกมา ที่แท้แค่เปลี่ยนวิธีจับตาดูนาง แต่ก็ดี สามารถออกมาเดินเล่น อย่างไรก็ดีกว่าถูกขังอยู่ในตำหนักเจาหยางตลอดเวลาไม่คอยท่า นางรีบไปอย่างที่พักของไท่ซ่างหวงทันทีที่นี่ก็ถูกทหารรักษาพระองค์เฝ้าอย่างแน่นหนา เหมือนกับเป็นคุกที่หรูหราแห่งหนึ่ง“พระชายาอ๋องเฉิน ท่านมาแล้ว…”ไม่ได้เจอกันหลายวัน ขมับทั้งสองข้างของเต๋อฝูกลายเป็นสีขาว สีหน้าซีดเซียว เหมือนแก่ขึ้นสิบปี แม้แต่หลังก็คร่อมแล้วเมื่อเห็นฉู่เชียนหลี เต๋อฝูน้ำตาคลอเ
ห้องทรงพระอักษรเฟิงเจิ้งหลีมาอย่างรีบร้อน เพราะมีรายงานสงครามล่าสุดถูกส่งมาจากเมืองที่อยู่ห่างออกไปหลายลี้ ครึ่งเดือนมานี้ เขากับเฟิงเย่เสวียนประกาศสงครามกัน เฟิงเย่เสวียนรวบรวมกำลังทหาร บุกพิชิตเมือง เตรียมพร้อมข้ามแม่น้ำอูหลาน โจมตีดินแดนในปกครองของเขาตลอดเวลาสถานการณ์ตึงเครียดแม่ทัพกล่าวรายงาน“ฝ่าบาท ในเวลาสั้นๆ ห้าวัน โจรกบฏเฟิงเย่เสวียนบุกตีสองเมืองติดต่อกัน ยังไม่มีท่าทีที่จะหยุด ตามแนวโน้มการเดินทัพของเขา อีกไม่กี่วันก็จะบุกถึงเมืองเทียนสู่พ่ะย่ะค่ะ!”เมืองเทียนสู่ เป็นเมืองที่สำคัญที่สุดของแคว้นตงหลิงมันตั้งอยู่บนเส้นทางสายหลักที่อยู่ตรงกลางสุดของแคว้นตงหลิง ซึ่งทะลุผ่านทั้งแคว้น และเชื่อมโยงเศรษฐกิจทั้งแคว้นเข้าด้วยกัน เป็นสถานที่สำคัญสำหรับการรวมตัวของเหล่าพ่อค้าและการพัฒนาเศรษฐกิจถ้าหากเสียเมืองแห่งนี้ เศรษฐกิจของแคว้นตงหลิงจะซบเซาลงครึ่งหนึ่งและเมื่อไม่มีการสนับสนุนทางเศรษฐกิจ จะมีเงินทำสงครามได้อย่างไร?จุดประสงค์ของเฟิงเย่เสวียนนั่นชัดเจนมาก ถ้าไม่ลงมือก็ไม่ทำอะไรเลย แต่เมื่อไรที่ลงมือแล้ว ก็โจมตีจุดสำคัญโดยตรงเฟิงเจิ้งหลีขมวดคิ้ว “จะเสียเมืองนี้ไม่ได้
เวลานี้ห่างออกไปพันลี้ ดินแดนเจียงหนาน สี่ฤดูดั่งวสันตฤดู สภาพอากาศอบอุ่น เป็นสถานที่อยู่อาศัยและพักผ่อนชั้นเยี่ยม เจียงหนานทำเนียบมีการเฝ้าอย่างแน่นหนา คนแปลกหน้าห้ามเข้าใกล้ เหล่าทหารสวมชุดเกราะ อาวุธครบมือ เฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลา มีคนวิ่งเข้าวิ่งออกเป็นระยะ แม้แต่ในอากาศก็เต็มไปด้วยอารมณ์ของความกดดันและเคร่งขรึม ภายในห้องหนังสือภาพแผนที่แคว้นตงหลิงติดอยู่บนกำแพง บนนั้นถูกทำเครื่องหมาย วาดวงกลม ปักธงเล็กๆ และอื่นๆหลายเส้นทาง สองมือเฟิงเย่เสวียนยันอยู่บนโต๊ะ กำลังอธิบายแผนการเดินทัพครั้งต่อไปอย่างเป็นระเบียบมีคนนั่งจนเต็มทั้งสองด้านของโต๊ะยาว พวกเขาตั้งใจฟัง พยักหน้าเป็นระยะ“รวบรวมกำลังทหารพร้อมแล้ว พวกเราจะโจมตีเมืองเทียนสู่เมื่อไร?” ผู้ว่าการเจียงหนานถาม“ผู้คนในเมืองเทียนสู่ล้วนเป็นราษฎรของแคว้นเรา เพื่อลดความเสียหายให้ได้มากที่สุด ข้าขอแนะนำให้เจรจาก่อน แล้วค่อยโจมตี” จิ่งอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมคนของสำนักอู๋จี๋ก็เข้าร่วมด้วยเช่นกัน ทุกคนช่วยกันออกแรงหานอิ๋งกล่าว“ตลอดทางที่ฝ่ามา พวกเราอยากใช้วิธีที่สันติ แต่เฟิงเจิ้งหลียอมหรือ? เขาไม่เพียงไม่ยอม และยังใช
ณ จวนอ๋องเฉิน แคว้นตงหลิง “สารเลว!” “โอ๊ย!”เสียงตวาดแผดขึ้น ร่างผอมบางร่างหนึ่งถูกถีบจนกระเด็นเข้าชนกับเสาที่ผนัง ก่อนกระแทกกับพื้นอย่างแรง ปิ่นเงินร่วงลง เส้นผมสีดำกระจายลงบนพื้นเจ็บ...เจ็บจัง...เธอเพิ่งเสร็จสิ้นการผ่าตัดใหญ่ที่นานถึงสามสิบแปดชั่วโมงโดยไม่หยุดพัก พอออกมาจากห้องผ่าตัดก็หมดสติล้มลงกับพื้น แต่ทำไมตัวเธอถึงได้เจ็บขนาดนี้นะ?จากนั้น ความทรงจำที่ไม่คุ้นเคยกลุ่มหนึ่งก็เบียดเข้ามาในหัวสมองและฉายให้เห็นอย่างรวดเร็ว ฉู่เชียนหลี คุณหนูสี่ผู้ไม่เป็นที่ชื่นชอบของจวนอัครมหาเสนาบดีฉู่ ใบหน้าอัปลักษณ์ไร้ซึ่งความงาม นางแต่งเข้าจวนเฉินอ๋องเมื่อสามเดือนก่อน ไม่เคยได้รับความชื่นและต้องอยู่ลำพังในห้องว่างเปล่าเรื่อยมาวันนี้อ๋องเฉินรับอนุภรรยา นางถูกเรียกให้มาปรนนิบัติอนุภรรยา แต่เพราะพลั้งเผลอปัดน้ำชาหกไปลวกถูกอีกฝ่าย จึงถูกอ๋องเฉินถีบจนตายในคราวเดียว!เป็นผู้ชายที่โหดจริงๆ!แต่ในเมื่อมาแล้ว ก็ทำใจอยู่อย่างสงบเสียฉู่เชียนหลีรับเรื่องราวต่างๆ เข้ามาในหัวอย่างรวดเร็ว ฝืนทนความเจ็บปวด เงยหน้าขึ้นมาห้องหอที่ประดับตกแต่งด้วยสีแดงแห่งงานมงคล ชายหญิงในชุดแต่งงานคู่หนึ่งอย
เวลานี้ห่างออกไปพันลี้ ดินแดนเจียงหนาน สี่ฤดูดั่งวสันตฤดู สภาพอากาศอบอุ่น เป็นสถานที่อยู่อาศัยและพักผ่อนชั้นเยี่ยม เจียงหนานทำเนียบมีการเฝ้าอย่างแน่นหนา คนแปลกหน้าห้ามเข้าใกล้ เหล่าทหารสวมชุดเกราะ อาวุธครบมือ เฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลา มีคนวิ่งเข้าวิ่งออกเป็นระยะ แม้แต่ในอากาศก็เต็มไปด้วยอารมณ์ของความกดดันและเคร่งขรึม ภายในห้องหนังสือภาพแผนที่แคว้นตงหลิงติดอยู่บนกำแพง บนนั้นถูกทำเครื่องหมาย วาดวงกลม ปักธงเล็กๆ และอื่นๆหลายเส้นทาง สองมือเฟิงเย่เสวียนยันอยู่บนโต๊ะ กำลังอธิบายแผนการเดินทัพครั้งต่อไปอย่างเป็นระเบียบมีคนนั่งจนเต็มทั้งสองด้านของโต๊ะยาว พวกเขาตั้งใจฟัง พยักหน้าเป็นระยะ“รวบรวมกำลังทหารพร้อมแล้ว พวกเราจะโจมตีเมืองเทียนสู่เมื่อไร?” ผู้ว่าการเจียงหนานถาม“ผู้คนในเมืองเทียนสู่ล้วนเป็นราษฎรของแคว้นเรา เพื่อลดความเสียหายให้ได้มากที่สุด ข้าขอแนะนำให้เจรจาก่อน แล้วค่อยโจมตี” จิ่งอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมคนของสำนักอู๋จี๋ก็เข้าร่วมด้วยเช่นกัน ทุกคนช่วยกันออกแรงหานอิ๋งกล่าว“ตลอดทางที่ฝ่ามา พวกเราอยากใช้วิธีที่สันติ แต่เฟิงเจิ้งหลียอมหรือ? เขาไม่เพียงไม่ยอม และยังใช
ห้องทรงพระอักษรเฟิงเจิ้งหลีมาอย่างรีบร้อน เพราะมีรายงานสงครามล่าสุดถูกส่งมาจากเมืองที่อยู่ห่างออกไปหลายลี้ ครึ่งเดือนมานี้ เขากับเฟิงเย่เสวียนประกาศสงครามกัน เฟิงเย่เสวียนรวบรวมกำลังทหาร บุกพิชิตเมือง เตรียมพร้อมข้ามแม่น้ำอูหลาน โจมตีดินแดนในปกครองของเขาตลอดเวลาสถานการณ์ตึงเครียดแม่ทัพกล่าวรายงาน“ฝ่าบาท ในเวลาสั้นๆ ห้าวัน โจรกบฏเฟิงเย่เสวียนบุกตีสองเมืองติดต่อกัน ยังไม่มีท่าทีที่จะหยุด ตามแนวโน้มการเดินทัพของเขา อีกไม่กี่วันก็จะบุกถึงเมืองเทียนสู่พ่ะย่ะค่ะ!”เมืองเทียนสู่ เป็นเมืองที่สำคัญที่สุดของแคว้นตงหลิงมันตั้งอยู่บนเส้นทางสายหลักที่อยู่ตรงกลางสุดของแคว้นตงหลิง ซึ่งทะลุผ่านทั้งแคว้น และเชื่อมโยงเศรษฐกิจทั้งแคว้นเข้าด้วยกัน เป็นสถานที่สำคัญสำหรับการรวมตัวของเหล่าพ่อค้าและการพัฒนาเศรษฐกิจถ้าหากเสียเมืองแห่งนี้ เศรษฐกิจของแคว้นตงหลิงจะซบเซาลงครึ่งหนึ่งและเมื่อไม่มีการสนับสนุนทางเศรษฐกิจ จะมีเงินทำสงครามได้อย่างไร?จุดประสงค์ของเฟิงเย่เสวียนนั่นชัดเจนมาก ถ้าไม่ลงมือก็ไม่ทำอะไรเลย แต่เมื่อไรที่ลงมือแล้ว ก็โจมตีจุดสำคัญโดยตรงเฟิงเจิ้งหลีขมวดคิ้ว “จะเสียเมืองนี้ไม่ได้
เฟิงเจิ้งหลีมาแค่สองเค่อ ก็ไปที่ห้องทรงพระอักษรอย่างเร่งรีบแล้ว เหมือนมีเรื่องเร่งด่วนอะไรบางอย่างฉู่เชียนหลีที่ได้รับอิสรภาพในที่สุด ก้าวออกจากตำหนักเจาหยางอย่างแทบรอไม่ไหวผ่านไปครึ่งเดือน ตอนที่ออกมาเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้งอากาศที่บริสุทธิ์ยังคงสดชื่นฉู่เชียนหลีอุ้มจื่อเยี่ย เตรียมไปเยี่ยมไท่ซ่างหวง เพิ่งเดินออกจากประตูตำหนัก ก็ถูกทหารรักษาพระองค์แปดนายติดตามนางไปที่ไหน พวกเขาไปที่นั่นนางเดินเร็ว พวกเขาก็เดินเร็ว นางเดินช้า พวกเขาก็เดินช้า รักษาระยะห่างไว้ที่สามเมตรตลอดฉู่เชียนหลีนิ่งไปครู่หนึ่งตอนแรกคิดว่าเฟิงเจิ้งหลีรู้สึกผิด ในที่สุดก็ยอมปล่อยนางออกมา ที่แท้แค่เปลี่ยนวิธีจับตาดูนาง แต่ก็ดี สามารถออกมาเดินเล่น อย่างไรก็ดีกว่าถูกขังอยู่ในตำหนักเจาหยางตลอดเวลาไม่คอยท่า นางรีบไปอย่างที่พักของไท่ซ่างหวงทันทีที่นี่ก็ถูกทหารรักษาพระองค์เฝ้าอย่างแน่นหนา เหมือนกับเป็นคุกที่หรูหราแห่งหนึ่ง“พระชายาอ๋องเฉิน ท่านมาแล้ว…”ไม่ได้เจอกันหลายวัน ขมับทั้งสองข้างของเต๋อฝูกลายเป็นสีขาว สีหน้าซีดเซียว เหมือนแก่ขึ้นสิบปี แม้แต่หลังก็คร่อมแล้วเมื่อเห็นฉู่เชียนหลี เต๋อฝูน้ำตาคลอเ
ทหารรักษาพระองค์คนนี้ถอยออกไป เพิ่งพลบค่ำ เฟิงเจิ้งหลีก็มาแล้วฝีเท้าของเขาเร่งรีบ และยังดีใจเล็กน้อย เดินปรี่เข้าไปในห้อง ประโยคแรกก็ถามอย่างสุขใจ“ทหารบอกว่าเจ้าคิดถึงข้าแล้ว?”“?”นางให้ทหารรักษาพระองค์คนนั้นหาวิธี คิดไม่ถึงว่าจะเป็นวิธีแย่ๆ เช่นนี้…นางไม่ได้ปฏิเสธ “ช่วงนี้ยุ่งมากเลยหรือ?”เฟิงเจิ้งหลีเข้าห้อง “นิดหน่อย”นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย“สีหน้าเจ้าดูไม่ดีนัก ไม่ได้พักผ่อนเลยกระมัง? มีเรื่องอะไรต้องยุ่งทั้งวันทั้งคืนเช่นนี้? ถ้าหากเหนื่อยจนล้มป่วย แผ่นดินที่กว้างใหญ่นี้ ก็ตกไปเป็นของคนอื่นแล้ว”เฟิงเจิ้งหลีหัวเราะพลางส่ายศีรษะมีแต่นางที่กล้าพูดเช่นนี้กับเขาใจกล้า ตรงไปตรงมา และยังประชดประชันเขา ล่วงเกินเขาอย่างไม่เกรงใจเขา แต่เขาดันชอบนางที่เป็นเช่นนี้ช่วงนี้ยุ่งมากจริงๆหลังจากเฟิงเย่เสวียนไปถึงที่ศักดินาในเขตเจียงหนาน วาดเขตแดน ตั้งตนเป็นกษัตริย์ เกณฑ์ทหารเข้ากองทัพ แบ่งดินแดนของแคว้นตงหลิงไปครึ่งหนึ่ง เขากำลังจัดการเรื่องนี้ ชั่วขณะยากที่จะได้ผลลัพธ์“รอผ่านช่วงนี้แล้ว ข้ามาหาเจ้าทุกวัน”ฉู่เชียนหลีเงยหน้า “ฟังที่เจ้าพูด คือตั้งใจจะขังข้าไว้ที่นี
พริบตาเดียว ก็ผ่านไปแล้วครึ่งเดือนตำหนักเจาหยางนี่เป็นวันที่เท่าไรที่ฉู่เชียนหลีถูกขังอยู่ที่นี่ นางจำไม่ได้แล้ว ตั้งแต่เฟิงเจิ้งจื่อเยี่ยมา ทุกๆ วันของนางถูกเติมจนเต็มภายใต้การดูแลอย่างเอาใจใส่ บาดแผลบนแขนของจื่อเยี่ยหายดีแล้ว เจ้าหนูน้อยดูมีชีวิตชีวา ใบหน้าน้อยแดงระเรื่อ ดวงตาสุกใส สดชื่นคึกคัก ร้องอีอาๆ ทุกวันจับตรงนี้ ถีบตรงนั้นผ้าอ้อมที่เพิ่งเปลี่ยนเสร็จ ถูกเขาถีบจนเบี้ยวเพราะพลิกตัว“อา!”เสียงทั้งดังทั้งสดใสเมื่อฉู่เชียนหลีที่อ่านตำราแพทย์ข้างเปลโยกได้ยินเสียง เงยหน้ามองไป ก็หน้าบึ้งทันที“เหตุใดถีบอีกแล้ว?”ทำได้เพียงเก็บตำราแพทย์ สวมผ้าอ้อมให้ดี หยิกแก้มเขาเบาๆ“เพิ่งกินอิ่ม ห้ามขยับมั่ว เดี๋ยวจะอาเจียนนมนะ รู้หรือไม่?” เสียงดุเหมือนกำลังขู่จื่อเยี่ยน้อยกระพริบดวงตาที่สุกใสคู่นั้น มองนางอย่างมีชีวิตชีวา แสยะปากน้อยๆ หัวเราะคิกคักฉู่เชียนหลีเพิ่งนั่งลง หยิบตำราแพทย์ขึ้นมาก็ได้ยิน“อา!”เสียงดังขึ้นเจ้าหนูน้อยดึงผ้าอ้อมออกนาง “...”ถือว่านางเข้าใจแล้ว เจ้าเด็กน้อยคนนี้ไม่อยากให้นางอ่านตำรา จงใจแกล้งนาง อยากให้หนังเล่นด้วยตีด่าก็ทำไม่ลง ทำได้เพียงถอน
“เป็นไปไม่ได้ที่เฟิงเย่เสวียนจะไม่ข้ามแม่น้ำ นอกเสียจากเขาติดปีกบินข้ามไป!”คำพูดของเฟิงเจิ้งหลีเพิ่งสิ้นเสียง ก็มองเห็นร่างกายของทหารคนนั้นสั่น สายตาของเขาเย็นลงทันที พลันกระชากคอเสื้อของเขา“เจ้ากำลังโกหก!”ทหารตกใจจนหน้าซีด“ฝ่า ฝ่าบาท…”“พูด เกิดอะไรขึ้นกันแน่!” เขาตวาดอย่างเย็นชา“กระหม่อม กระหม่อม…กระหม่อม…” ทหารอ้ำอึ้ง เห็นได้ชัดว่าเป็นอาการร้อนตัว มีบางอย่างปิดบังเมื่อเห็นฮ่องเต้พิโรธ รู้ว่าปิดไม่อยู่แล้ว เขากลัวจนยอมพูดสิ่งที่เกิดขึ้น“กระหม่อมพูด! ในคืนเมื่อสามวันก่อน อ๋องเฉินพยายามบุกข้ามสะพาน รถม้าพลั้งตกลงไปในแม่น้ำอูหลาน แม่ทัพหลี่บอกว่าเป็นต้องเห็นคน ตายต้องเห็นศพ ตอนนี้กำลังกู้ศพ เตรียมนำศพของอ๋องเฉินกลับมา ค่อยสารภาพกับพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”“อะไรนะ!” อูหนูอุทานด้วยนิสัยของอ๋องเฉิน จะทำผิดพลาดเรื่องโง่ๆ อย่างรถม้าตกแม่น้ำได้อย่างไร?นางรีบถามต่อทันที“พวกเจ้าเห็นอ๋องเฉินตกแม่น้ำกับตาตัวเองหรือไม่?”คำถามนี้ทำเอาทหารตะลึงโดยตรง“ไม่ ไม่เห็น…คืนนั้น อ๋องเฉินอยู่ในรถม้าตลอด ไม่พูด ไม่แสดงตัว…”เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เขาเข้าใจอะไรบางอย่างทันที หน้าซีดเหมือนกับคนตา
“ฝ่าบาท…”ฉู่เจียวเจียวเสียงอ่อน ข่มความโกรธลงไป เดินเข้าไปแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “พระองค์เพิ่งขึ้นครองราชย์ มีเรื่องมากมายต้องทำ เรื่องของผู้หญิงในวังหลัง ให้หม่อมฉันดูแลเองเพคะ”ท่าทางของนางอ่อนโยนเอาใจใส่ วางมาดเหมือนเป็นภรรยาที่รู้หน้าที่เฟิงเจิ้งหลีมองนางอย่างเย็นชา“ให้เจ้าดูแล? แน่ใจหรือว่าไม่ใช่ช่วยจนยุ่ง ทำให้เรายิ่งต้องหนักใจ?”“...”นางก็แค่ให้ฉู่เชียนหลีอดอาหารสามวันไม่ใช่หรือ?ไม่ได้กินข้าวสามวัน ไม่ตายสักหน่อย ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้นางกลับปวดใจฉู่เชียนหลีจนมาถามนาง?ฉู่เจียวเจียวโกรธมาก มือสองข้างก็กำจนแน่นแล้ว เล็บมือจิกเข้าไปในฝ่ามือ กล่าวเสียงเย็น“ฉู่เชียนหลีคือภรรยาของผู้กระทำความผิด ไม่ฆ่านางก็ถือว่าเป็นบุญมากแล้ว หรือยังจะเลี้ยงนางไว้ในวัง ยกย่องให้เป็นแขกคนสำคัญ?”สายตาเฟิงเจิ้งหลีเย็นชา “ภรรยาผู้กระทำความผิด”“นางเป็นภรรยาผู้กระทำความผิดตั้งแต่เมื่อไร? เฟิงเย่เสวียนเขียนหนังสือปลดแล้ว นางเป็นเพียงพระชายาที่ถูกปลด เกี่ยวอะไรกับเฟิงเย่เสวียน? ฉู่เจียวเจียว ระวังคำพูดของเจ้า!”ฉู่เจียวเจียวสะอึกทันที“หม่อมฉัน…”“อีกอย่าง ฉู่เชียนหลียังมีประโยชน
สิ่งที่เขาต้องการนั้นง่ายมากทุกวันหลังทำงานเสร็จ เมื่อกลับถึงห้อง เห็นนางเลี้ยงลูก เล่นกับลูก นางหัวเราะ พวกเขาทั้งครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า อบอุ่นเหมือนภาพวาดนางนั่งอยู่ตรงหน้าเขานี้เอง เขาเหมือนอยู่ใกล้นางมาก แต่ก็เหมือนอยู่ไกลเกินกว่าจะเอื้อมสายตาของเขาลึกซึ้ง เข้าใกล้นางโดยไม่รู้ตัว จับคางของนางเบาๆฉู่เชียนหลีชะงักเล็กน้อย กำลังจะส่ายศีรษะ“ยังอุ้มเด็กไว้ อย่าขยับ” เขากล่าว ขณะเดียวกันก็ควักยาที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ออกมาก้อนเล็กๆ ทาลงบนแก้มของนางนิ้วมือนวดเบาๆ อ่อนโยนมากท่าทางที่ระมัดระวังนั่น เหมือนกำลังปฏิบัติต่อสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่งฉู่เชียนหลีหลุบตาลง ปล่อยให้เขาทำต่อไปเขากล่าว“ต่อไป ไม่มีใครสามารถรังแกเจ้าได้อีก”“ฉู่เจียวเจียวจะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าเจ้าอีก”“จำไว้ว่าวันข้างหน้าเจอเรื่องอะไรให้บอกข้า ข้าคือที่พึ่งของเจ้า เจ้าสามารถเชื่อใจข้าโดยไม่มีเงื่อนไข”“แค่เจ้าขมวดคิ้วทีหนึ่ง ข้าก็ไม่มีความสุขแล้ว เจ้าเข้าใจหรือไม่?”เขาถอนหายใจเบาๆ ซ่อนความรักและความอ่อนโยนทั้งหมดของตัวเองไว้ในนั้นหลังจากผ่านไปธูปครึ่งก้านทายาเสร็จก็ปล่อยนางแล้วในที่สุดฉู่เชียนหล
“...”ฉู่เชียนหลีถือว่าเข้าใจความหมายของเขาแล้ว อุ้มเด็กมาขู่นาง“ส่งเด็กมาให้ข้า”เฟิงเจิ้งหลีเดินเข้ามา สะบัดชายเสื้อ แล้วนั่งลงที่ข้างโต๊ะสง่างาม “ข้าบอกแล้ว กินข้าวก่อน”“เจ้า…”“อย่าท้าทายความอดทนของข้า นิสัยของข้าไม่ได้ดีตลอด ครู่ต่อมาอาจเปลี่ยนใจก็ได้”“...”สายตาฉู่เชียนหลีเย็นลง กัดฟันแน่น เหลือบมองเขาอย่างเย็นชาแวบหนึ่งนางมองเฟิงเจิ้งจื่อเยี่ย แล้วหันไปมองเฟิงเจิ้งหลี ทำได้เพียงเดินไปที่ข้างโต๊ะ ยกข้าวขึ้นมาหนึ่งชาม ก็เริ่มกินอย่างเต็มปากเต็มคำเมื่อเฟิงเจิ้งหลีเห็นแล้ว คิ้วจึงจะคลายออก“ดีมาก”ผู้หญิงที่เชื่อฟัง จึงจะคู่ควรกับความรักของผู้ชาย“ดื่มน้ำแกงหน่อย”ฉู่เชียนหลีไม่อยากคุยกับเขา เอาแต่เขี่ยข้าวใส่ปาก แล้วกลืนลงไปโดยไม่เคี้ยว พลันไม่ระวังสำลักแล้วเขาไม่สบอารมณ์ทันที“รีบอะไร?”เขาพลางตบหลังของนาง พลางรินน้ำให้นางหนึ่งแก้ว “เฟิงเจิ้งจื่อเยี่ยอยู่ตรงนี้แล้ว ไม่มีใครสามารถแย่งเขาไปได้ เจ้ารีบร้อนอะไร?”นางสำลักจนแก้มแดง ผ่านไปหนึ่งนาทีจึงจะดีขึ้น กล่าว“เจ้าสามารถแย่งไปได้”เขา “...”“เทียบกับใช้คำว่าแย่ง ข้าชอบคำว่าเลี้ยงมากกว่า พวกเราเลี้ยงเขาด้ว