สิ่งที่เขาต้องการนั้นง่ายมากทุกวันหลังทำงานเสร็จ เมื่อกลับถึงห้อง เห็นนางเลี้ยงลูก เล่นกับลูก นางหัวเราะ พวกเขาทั้งครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า อบอุ่นเหมือนภาพวาดนางนั่งอยู่ตรงหน้าเขานี้เอง เขาเหมือนอยู่ใกล้นางมาก แต่ก็เหมือนอยู่ไกลเกินกว่าจะเอื้อมสายตาของเขาลึกซึ้ง เข้าใกล้นางโดยไม่รู้ตัว จับคางของนางเบาๆฉู่เชียนหลีชะงักเล็กน้อย กำลังจะส่ายศีรษะ“ยังอุ้มเด็กไว้ อย่าขยับ” เขากล่าว ขณะเดียวกันก็ควักยาที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ออกมาก้อนเล็กๆ ทาลงบนแก้มของนางนิ้วมือนวดเบาๆ อ่อนโยนมากท่าทางที่ระมัดระวังนั่น เหมือนกำลังปฏิบัติต่อสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่งฉู่เชียนหลีหลุบตาลง ปล่อยให้เขาทำต่อไปเขากล่าว“ต่อไป ไม่มีใครสามารถรังแกเจ้าได้อีก”“ฉู่เจียวเจียวจะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าเจ้าอีก”“จำไว้ว่าวันข้างหน้าเจอเรื่องอะไรให้บอกข้า ข้าคือที่พึ่งของเจ้า เจ้าสามารถเชื่อใจข้าโดยไม่มีเงื่อนไข”“แค่เจ้าขมวดคิ้วทีหนึ่ง ข้าก็ไม่มีความสุขแล้ว เจ้าเข้าใจหรือไม่?”เขาถอนหายใจเบาๆ ซ่อนความรักและความอ่อนโยนทั้งหมดของตัวเองไว้ในนั้นหลังจากผ่านไปธูปครึ่งก้านทายาเสร็จก็ปล่อยนางแล้วในที่สุดฉู่เชียนหล
“ฝ่าบาท…”ฉู่เจียวเจียวเสียงอ่อน ข่มความโกรธลงไป เดินเข้าไปแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “พระองค์เพิ่งขึ้นครองราชย์ มีเรื่องมากมายต้องทำ เรื่องของผู้หญิงในวังหลัง ให้หม่อมฉันดูแลเองเพคะ”ท่าทางของนางอ่อนโยนเอาใจใส่ วางมาดเหมือนเป็นภรรยาที่รู้หน้าที่เฟิงเจิ้งหลีมองนางอย่างเย็นชา“ให้เจ้าดูแล? แน่ใจหรือว่าไม่ใช่ช่วยจนยุ่ง ทำให้เรายิ่งต้องหนักใจ?”“...”นางก็แค่ให้ฉู่เชียนหลีอดอาหารสามวันไม่ใช่หรือ?ไม่ได้กินข้าวสามวัน ไม่ตายสักหน่อย ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้นางกลับปวดใจฉู่เชียนหลีจนมาถามนาง?ฉู่เจียวเจียวโกรธมาก มือสองข้างก็กำจนแน่นแล้ว เล็บมือจิกเข้าไปในฝ่ามือ กล่าวเสียงเย็น“ฉู่เชียนหลีคือภรรยาของผู้กระทำความผิด ไม่ฆ่านางก็ถือว่าเป็นบุญมากแล้ว หรือยังจะเลี้ยงนางไว้ในวัง ยกย่องให้เป็นแขกคนสำคัญ?”สายตาเฟิงเจิ้งหลีเย็นชา “ภรรยาผู้กระทำความผิด”“นางเป็นภรรยาผู้กระทำความผิดตั้งแต่เมื่อไร? เฟิงเย่เสวียนเขียนหนังสือปลดแล้ว นางเป็นเพียงพระชายาที่ถูกปลด เกี่ยวอะไรกับเฟิงเย่เสวียน? ฉู่เจียวเจียว ระวังคำพูดของเจ้า!”ฉู่เจียวเจียวสะอึกทันที“หม่อมฉัน…”“อีกอย่าง ฉู่เชียนหลียังมีประโยชน
“เป็นไปไม่ได้ที่เฟิงเย่เสวียนจะไม่ข้ามแม่น้ำ นอกเสียจากเขาติดปีกบินข้ามไป!”คำพูดของเฟิงเจิ้งหลีเพิ่งสิ้นเสียง ก็มองเห็นร่างกายของทหารคนนั้นสั่น สายตาของเขาเย็นลงทันที พลันกระชากคอเสื้อของเขา“เจ้ากำลังโกหก!”ทหารตกใจจนหน้าซีด“ฝ่า ฝ่าบาท…”“พูด เกิดอะไรขึ้นกันแน่!” เขาตวาดอย่างเย็นชา“กระหม่อม กระหม่อม…กระหม่อม…” ทหารอ้ำอึ้ง เห็นได้ชัดว่าเป็นอาการร้อนตัว มีบางอย่างปิดบังเมื่อเห็นฮ่องเต้พิโรธ รู้ว่าปิดไม่อยู่แล้ว เขากลัวจนยอมพูดสิ่งที่เกิดขึ้น“กระหม่อมพูด! ในคืนเมื่อสามวันก่อน อ๋องเฉินพยายามบุกข้ามสะพาน รถม้าพลั้งตกลงไปในแม่น้ำอูหลาน แม่ทัพหลี่บอกว่าเป็นต้องเห็นคน ตายต้องเห็นศพ ตอนนี้กำลังกู้ศพ เตรียมนำศพของอ๋องเฉินกลับมา ค่อยสารภาพกับพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”“อะไรนะ!” อูหนูอุทานด้วยนิสัยของอ๋องเฉิน จะทำผิดพลาดเรื่องโง่ๆ อย่างรถม้าตกแม่น้ำได้อย่างไร?นางรีบถามต่อทันที“พวกเจ้าเห็นอ๋องเฉินตกแม่น้ำกับตาตัวเองหรือไม่?”คำถามนี้ทำเอาทหารตะลึงโดยตรง“ไม่ ไม่เห็น…คืนนั้น อ๋องเฉินอยู่ในรถม้าตลอด ไม่พูด ไม่แสดงตัว…”เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เขาเข้าใจอะไรบางอย่างทันที หน้าซีดเหมือนกับคนตา
พริบตาเดียว ก็ผ่านไปแล้วครึ่งเดือนตำหนักเจาหยางนี่เป็นวันที่เท่าไรที่ฉู่เชียนหลีถูกขังอยู่ที่นี่ นางจำไม่ได้แล้ว ตั้งแต่เฟิงเจิ้งจื่อเยี่ยมา ทุกๆ วันของนางถูกเติมจนเต็มภายใต้การดูแลอย่างเอาใจใส่ บาดแผลบนแขนของจื่อเยี่ยหายดีแล้ว เจ้าหนูน้อยดูมีชีวิตชีวา ใบหน้าน้อยแดงระเรื่อ ดวงตาสุกใส สดชื่นคึกคัก ร้องอีอาๆ ทุกวันจับตรงนี้ ถีบตรงนั้นผ้าอ้อมที่เพิ่งเปลี่ยนเสร็จ ถูกเขาถีบจนเบี้ยวเพราะพลิกตัว“อา!”เสียงทั้งดังทั้งสดใสเมื่อฉู่เชียนหลีที่อ่านตำราแพทย์ข้างเปลโยกได้ยินเสียง เงยหน้ามองไป ก็หน้าบึ้งทันที“เหตุใดถีบอีกแล้ว?”ทำได้เพียงเก็บตำราแพทย์ สวมผ้าอ้อมให้ดี หยิกแก้มเขาเบาๆ“เพิ่งกินอิ่ม ห้ามขยับมั่ว เดี๋ยวจะอาเจียนนมนะ รู้หรือไม่?” เสียงดุเหมือนกำลังขู่จื่อเยี่ยน้อยกระพริบดวงตาที่สุกใสคู่นั้น มองนางอย่างมีชีวิตชีวา แสยะปากน้อยๆ หัวเราะคิกคักฉู่เชียนหลีเพิ่งนั่งลง หยิบตำราแพทย์ขึ้นมาก็ได้ยิน“อา!”เสียงดังขึ้นเจ้าหนูน้อยดึงผ้าอ้อมออกนาง “...”ถือว่านางเข้าใจแล้ว เจ้าเด็กน้อยคนนี้ไม่อยากให้นางอ่านตำรา จงใจแกล้งนาง อยากให้หนังเล่นด้วยตีด่าก็ทำไม่ลง ทำได้เพียงถอน
ทหารรักษาพระองค์คนนี้ถอยออกไป เพิ่งพลบค่ำ เฟิงเจิ้งหลีก็มาแล้วฝีเท้าของเขาเร่งรีบ และยังดีใจเล็กน้อย เดินปรี่เข้าไปในห้อง ประโยคแรกก็ถามอย่างสุขใจ“ทหารบอกว่าเจ้าคิดถึงข้าแล้ว?”“?”นางให้ทหารรักษาพระองค์คนนั้นหาวิธี คิดไม่ถึงว่าจะเป็นวิธีแย่ๆ เช่นนี้…นางไม่ได้ปฏิเสธ “ช่วงนี้ยุ่งมากเลยหรือ?”เฟิงเจิ้งหลีเข้าห้อง “นิดหน่อย”นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย“สีหน้าเจ้าดูไม่ดีนัก ไม่ได้พักผ่อนเลยกระมัง? มีเรื่องอะไรต้องยุ่งทั้งวันทั้งคืนเช่นนี้? ถ้าหากเหนื่อยจนล้มป่วย แผ่นดินที่กว้างใหญ่นี้ ก็ตกไปเป็นของคนอื่นแล้ว”เฟิงเจิ้งหลีหัวเราะพลางส่ายศีรษะมีแต่นางที่กล้าพูดเช่นนี้กับเขาใจกล้า ตรงไปตรงมา และยังประชดประชันเขา ล่วงเกินเขาอย่างไม่เกรงใจเขา แต่เขาดันชอบนางที่เป็นเช่นนี้ช่วงนี้ยุ่งมากจริงๆหลังจากเฟิงเย่เสวียนไปถึงที่ศักดินาในเขตเจียงหนาน วาดเขตแดน ตั้งตนเป็นกษัตริย์ เกณฑ์ทหารเข้ากองทัพ แบ่งดินแดนของแคว้นตงหลิงไปครึ่งหนึ่ง เขากำลังจัดการเรื่องนี้ ชั่วขณะยากที่จะได้ผลลัพธ์“รอผ่านช่วงนี้แล้ว ข้ามาหาเจ้าทุกวัน”ฉู่เชียนหลีเงยหน้า “ฟังที่เจ้าพูด คือตั้งใจจะขังข้าไว้ที่นี
เฟิงเจิ้งหลีมาแค่สองเค่อ ก็ไปที่ห้องทรงพระอักษรอย่างเร่งรีบแล้ว เหมือนมีเรื่องเร่งด่วนอะไรบางอย่างฉู่เชียนหลีที่ได้รับอิสรภาพในที่สุด ก้าวออกจากตำหนักเจาหยางอย่างแทบรอไม่ไหวผ่านไปครึ่งเดือน ตอนที่ออกมาเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้งอากาศที่บริสุทธิ์ยังคงสดชื่นฉู่เชียนหลีอุ้มจื่อเยี่ย เตรียมไปเยี่ยมไท่ซ่างหวง เพิ่งเดินออกจากประตูตำหนัก ก็ถูกทหารรักษาพระองค์แปดนายติดตามนางไปที่ไหน พวกเขาไปที่นั่นนางเดินเร็ว พวกเขาก็เดินเร็ว นางเดินช้า พวกเขาก็เดินช้า รักษาระยะห่างไว้ที่สามเมตรตลอดฉู่เชียนหลีนิ่งไปครู่หนึ่งตอนแรกคิดว่าเฟิงเจิ้งหลีรู้สึกผิด ในที่สุดก็ยอมปล่อยนางออกมา ที่แท้แค่เปลี่ยนวิธีจับตาดูนาง แต่ก็ดี สามารถออกมาเดินเล่น อย่างไรก็ดีกว่าถูกขังอยู่ในตำหนักเจาหยางตลอดเวลาไม่คอยท่า นางรีบไปอย่างที่พักของไท่ซ่างหวงทันทีที่นี่ก็ถูกทหารรักษาพระองค์เฝ้าอย่างแน่นหนา เหมือนกับเป็นคุกที่หรูหราแห่งหนึ่ง“พระชายาอ๋องเฉิน ท่านมาแล้ว…”ไม่ได้เจอกันหลายวัน ขมับทั้งสองข้างของเต๋อฝูกลายเป็นสีขาว สีหน้าซีดเซียว เหมือนแก่ขึ้นสิบปี แม้แต่หลังก็คร่อมแล้วเมื่อเห็นฉู่เชียนหลี เต๋อฝูน้ำตาคลอเ
ห้องทรงพระอักษรเฟิงเจิ้งหลีมาอย่างรีบร้อน เพราะมีรายงานสงครามล่าสุดถูกส่งมาจากเมืองที่อยู่ห่างออกไปหลายลี้ ครึ่งเดือนมานี้ เขากับเฟิงเย่เสวียนประกาศสงครามกัน เฟิงเย่เสวียนรวบรวมกำลังทหาร บุกพิชิตเมือง เตรียมพร้อมข้ามแม่น้ำอูหลาน โจมตีดินแดนในปกครองของเขาตลอดเวลาสถานการณ์ตึงเครียดแม่ทัพกล่าวรายงาน“ฝ่าบาท ในเวลาสั้นๆ ห้าวัน โจรกบฏเฟิงเย่เสวียนบุกตีสองเมืองติดต่อกัน ยังไม่มีท่าทีที่จะหยุด ตามแนวโน้มการเดินทัพของเขา อีกไม่กี่วันก็จะบุกถึงเมืองเทียนสู่พ่ะย่ะค่ะ!”เมืองเทียนสู่ เป็นเมืองที่สำคัญที่สุดของแคว้นตงหลิงมันตั้งอยู่บนเส้นทางสายหลักที่อยู่ตรงกลางสุดของแคว้นตงหลิง ซึ่งทะลุผ่านทั้งแคว้น และเชื่อมโยงเศรษฐกิจทั้งแคว้นเข้าด้วยกัน เป็นสถานที่สำคัญสำหรับการรวมตัวของเหล่าพ่อค้าและการพัฒนาเศรษฐกิจถ้าหากเสียเมืองแห่งนี้ เศรษฐกิจของแคว้นตงหลิงจะซบเซาลงครึ่งหนึ่งและเมื่อไม่มีการสนับสนุนทางเศรษฐกิจ จะมีเงินทำสงครามได้อย่างไร?จุดประสงค์ของเฟิงเย่เสวียนนั่นชัดเจนมาก ถ้าไม่ลงมือก็ไม่ทำอะไรเลย แต่เมื่อไรที่ลงมือแล้ว ก็โจมตีจุดสำคัญโดยตรงเฟิงเจิ้งหลีขมวดคิ้ว “จะเสียเมืองนี้ไม่ได้
เวลานี้ห่างออกไปพันลี้ ดินแดนเจียงหนาน สี่ฤดูดั่งวสันตฤดู สภาพอากาศอบอุ่น เป็นสถานที่อยู่อาศัยและพักผ่อนชั้นเยี่ยม เจียงหนานทำเนียบมีการเฝ้าอย่างแน่นหนา คนแปลกหน้าห้ามเข้าใกล้ เหล่าทหารสวมชุดเกราะ อาวุธครบมือ เฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลา มีคนวิ่งเข้าวิ่งออกเป็นระยะ แม้แต่ในอากาศก็เต็มไปด้วยอารมณ์ของความกดดันและเคร่งขรึม ภายในห้องหนังสือภาพแผนที่แคว้นตงหลิงติดอยู่บนกำแพง บนนั้นถูกทำเครื่องหมาย วาดวงกลม ปักธงเล็กๆ และอื่นๆหลายเส้นทาง สองมือเฟิงเย่เสวียนยันอยู่บนโต๊ะ กำลังอธิบายแผนการเดินทัพครั้งต่อไปอย่างเป็นระเบียบมีคนนั่งจนเต็มทั้งสองด้านของโต๊ะยาว พวกเขาตั้งใจฟัง พยักหน้าเป็นระยะ“รวบรวมกำลังทหารพร้อมแล้ว พวกเราจะโจมตีเมืองเทียนสู่เมื่อไร?” ผู้ว่าการเจียงหนานถาม“ผู้คนในเมืองเทียนสู่ล้วนเป็นราษฎรของแคว้นเรา เพื่อลดความเสียหายให้ได้มากที่สุด ข้าขอแนะนำให้เจรจาก่อน แล้วค่อยโจมตี” จิ่งอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมคนของสำนักอู๋จี๋ก็เข้าร่วมด้วยเช่นกัน ทุกคนช่วยกันออกแรงหานอิ๋งกล่าว“ตลอดทางที่ฝ่ามา พวกเราอยากใช้วิธีที่สันติ แต่เฟิงเจิ้งหลียอมหรือ? เขาไม่เพียงไม่ยอม และยังใช
อันธพาลเจ็บจนกรีดร้องเหมือนหมูโดนเชือด “อ๊ะๆ!”ยังไม่ทันได้พักหายใจ ก็โดนถีบจนไปกลิ้งอยู่บนพื้น รองเท้าปักลายดอกไม้เหยียบลงบนหน้าอก หนักจนทำให้เขาหายใจไม่ออก กระอักเลือดออกมา“พู่!”เขากอดต้นขาของอวิ๋นอิง อยากดิ้นให้หลุด แต่หาของอวิ๋นอิงกดทับอยู่บนร่างกายของเขาเหมือนเหล็กกล้า และเขาก็เหมือนกับปลาตัวหนึ่งที่ถูกตอกตะปูอยู่บนเขียง พยายามดิ้นรนอย่างสุดชีวิต แต่ก็ดิ้นไม่หลุดเจอผีแล้ว!ทั้งที่นางผอมเช่นนี้ เหตุใดจึงมีแรงมากเช่นนี้?ผู้หญิงคนนี้ยังเป็นมนุษย์อยู่หรือ?ชาวบ้านก็ตะลึงเช่นกันอวิ๋นอิงอุ้มลูกสาวไว้ด้วยมือข้างเดียว ค่อยๆ ก้มลง ยกฝ่ามืออีกข้าง เหวี่ยงไปที่ใบหน้าของอันธพาลโดยตรง“ข้าสั่งให้เจ้าเก็บ”เพียะ!“ไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือ?”เพียะ!“หูหนวกหรือ?”เพียะ!หนึ่งประโยค หนึ่งฝ่ามือ ตบจนอันธพาลหันซ้ายหันขวา มุมปากแตกมีเลือดไหล หูอื้อ สะบักสะบอมเหมือนสุนัขจรจัดตัวหนึ่ง ไม่หลงเหลือความฮึกเหิมของก่อนหน้านี้เลย“ลูกพี่!”ลิ่วล้อสามคนคว้าโต๊ะเก้าอี้และท่อนไม้ที่อยู่ข้างๆ ฟาดไปทางอวิ๋นอิงอย่างแรงอวิ๋นอิงกระโดนหมุนตัวเตะพวกเขาสามคนจนลอยกระเด็นออกไปไกลเจ็ดแปดเมตร โดยไม่หั
ตงหลิงเจียงหนาน ทำเนียบสามเดือนที่พระชายาจากไป อ๋องเฉินเอาแต่เก็บตัว ไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลก หานเฟิงต้องรับผิดชอบงานแทนทุกอย่าง เมื่อนานวันเข้า โลกภายนอกต่างกำลังคาดเดา จิตใจของอ๋องเฉินได้รับกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ล้มแล้วลุกไม่ขึ้น เกรงว่าเหลือเวลาอีกไม่นานแล้วช่วงนี้ ในที่สุดอาการบาดเจ็บของจิ่งอี้ก็ดีขึ้นแล้วอาการบาดเจ็บทางกระดูกหรือเส้นเอ็น ต้องรักษาอย่างน้อยหนึ่งร้อยวันในที่สุดกระดูกซี่โครงที่หักสองซี่ก็หายดีแล้ว สามารถขี่ม้าได้แล้ว ตอนนั้นเขาบอกว่าจะนำทัพกลับแคว้นซีอวี้ทันทีแต่ก่อนไป เขาถามเหมือนไม่ใส่ใจ“เหตุใดไม่เจอแม่นางอวิ๋นอิงเลย?”จ้านหูจริงจังขึ้นมาทันที เขาตอบ“องค์ชายใหญ่ ข้าจะส่งคนไปสืบเดี๋ยวนี้!”“ไม่ต้อง”หลังจากปฏิเสธอย่างเฉยเมย ปีนขึ้นหลังม้า ขี่ออกไปคนเดียวแล้วจ้านหู “?”หมายความว่าอย่างไร?ตอนที่องค์ชายใหญ่หมดสติ แม้อวิ๋นอิงบอกว่าไม่สนใจ แต่แอบมาเยี่ยมองค์ชายใหญ่ตอนดึกดื่นเวลาที่ไม่มีคนองค์ชายใหญ่ก็อีกคน ทั้งที่คิดถึงอวิ๋นอิง แต่ไม่ยอมรับในใจของพวกเขาสองคนล้วนมีอีกฝ่าย ลูกสาวก็อายุเกือบครึ่งขวบแล้ว เหตุใดไม่ลองเปิดใจสักนิดแล้วอยู่ด้วยกันเลย
คืนแรกที่มาถึงต่างโลก ฉู่เชียนหลีฝันในความฝัน นางอยู่บนสนามรบ สู้จนตัวตาย เลือดไหลเป็นแม่น้ำ น่าสลดใจนัก…ในความฝัน นางได้ต่อสู้ร่วมกับชายคนหนึ่งที่มองไม่เห็นใบหน้า ร่วมเป็นร่วมตาย และยังมีเสียงที่นุ่มนิ่มของเด็ก เรียก ‘ท่านแม่’ ครั้งแล้วครั้งเล่าในความฝัน ราวกับนางได้รับความอยุติธรรมครั้งใหญ่ หัวใจเจ็บปวด และพยายามอธิบายสุดชีวิต แต่พวกคนที่เรียกตัวเองว่า ‘ครอบครัว’ ไม่เชื่อนาง และยังบีบคั้นนางสู่เส้นทางที่สิ้นหวังในความฝัน…มีคนกำลังเรียกนาง‘เชียนหลี…เชียนหลี…’ฉึก!ฉู่เชียนหลีลืมตาฉับพลัน ท้องฟ้าข้างนอกสว่างแล้ว แสงแดดอุ่นๆ ยามเช้าสาดส่องเข้ามา สามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของอากาศ สงบมากนางรู้สึกเวียนศีรษะ และแน่นหน้าอกราวกับนางอยู่ในความฝันอันยาวนานจริงๆนางได้รับความอยุติธรรมนางถูกคนในครอบครัวฆ่าตายแต่เหตุใดนางจำผู้ชายที่เรียกนาง และภาพที่เรียกนางว่า ‘ท่านแม่’ ไม่ได้เลย“องค์หญิง ท่านตื่นแล้ว”เมื่ออ้ายอ้ายได้ยินเสียง ถือกะละมังน้ำอุ่นกับเครื่องใช้เข้ามาปรนนิบัติฉู่เชียนหลีนวดขมับ อยู่ในอาการเหม่อลอย แขนขาอ่อนแรง ไม่มีแรงขยับ ดึงผ้าห่มออก ลงจากเตียง สวมรองเท้
สาวใช้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็รีบฝนหมึกอย่างเชื่อฟังมองดูองค์หญิงรีบหยิบพู่กัน เขียนอะไรบางอย่าง ท่าทางที่รีบร้อนนั่น เมื่อก่อนเวลาที่นังเป็นห่วงคุณชายเซิ่น ยังไม่รีบร้อนเช่นนี้เลยองค์หญิงกระโดดสระน้ำ หมดสติไปสามวัน หลังจากฟื้น ก็เปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อย?นิสัยเปลี่ยนไปน้ำเสียงเปลี่ยนไปแต่เมื่อลองตั้งใจมอง องค์หญิงยังคงเป็นองค์หญิง ยังคงเป็นใบหน้าที่คุ้นเคยฉู่เชียนหลีเขียนอย่างรวดเร็ว…อ๋องเฉินเป็นอย่างไรบ้าง ข้าอยู่แคว้นหนานยวน…พลางเขียน พลางกล่าวอย่างรีบร้อน “รีบไปหาคน ช่วยข้าส่งจดหมายฉบับนี้ไปให้อ๋องเฉินที่ตงหลิงเจียงหนาน”นางอยากบอกความจริงกับเฟิงเย่เสวียน ต่อให้ตนลืมแล้ว แต่เฟิงเย่เสวียนจำนางได้เขาจะต้องมาหานางแน่นอนไม่ช้าก็เร็วสักวัน พวกเขาครอบครัวสี่คนจะอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา“อ๋องเฉินแห่งตงหลิงเจียงหนาน?”สาวใช้เกาศีรษะด้วยความสงสัย “องค์หญิง ท่านส่งจดหมายให้อ๋องเฉินทำไม? ท่านรู้จักอ๋องเฉินตั้งแต่เมื่อไร?”ฉู่เชียนหลีรีบกล่าว“อธิบายกับเจ้าไม่ได้ แต่ความสัมพันธ์ของข้ากับอ๋องเฉินไม่ธรรมดา…อ๋องเฉิน? อ๋องเฉินตงหลิง?”เงยหน้าฉับพลัน“ข้ารู้จักอ๋องเฉ
ทุกคน “...”สีหน้าฮ่องเต้หนานยวนดูไม่ดีนัก เซิ่ยซือเฉินเป็นแค่บัณฑิตคนหนึ่ง เพื่อบัณฑิตคนหนึ่ง ต้องทุ่มสุดตัวเช่นนี้เลย ต้องตื่นเต้นเช่นนี้เลย?ในฐานะองค์หญิง ไม่ควรมองให้ไกลกว่านี้หน่อยหรือ?เพื่อป้องกันจวินลั่วยวนทำร้ายตัวเอง เขาออกคำสั่ง มัดมือและเท้าของนางโดยตรงจวินลั่วยวนขยับไม่ได้แล้วเห็นท่าทางที่จะยิ้มไม่ยิ้มของฉู่เชียนหลี และยังเลิกคิ้วอย่างยั่วยุ นางโมโหจนแทบกัดลิ้นฆ่าตัวตายหลังจากเหตุการณ์ที่วุ่นวาย ไปจากตำหนักองค์หญิงฉู่เชียนหลีกับหลิงอี้ซิงเดินเคียงข้างกันจากไป เมื่ออารมณ์ดี จังหวะการเดินก็ผ่อนคลายเป็นพิเศษ อดไม่ได้ที่จะฮัมเพลงเบาๆฮัมไปฮัมมา จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าหลิงอี้ซิงเป็นผู้มีจิตใจเมตตา อุทิศตนให้กับความดีและคุณธรรมหยุดฝีเท้าหันไปถาม “ท่านพี่ ท่านน่าจะเห็นกระมัง ว่าข้าจงใจรังแกจวินลั่วยวน?”หลิงอี้ซิงเดินตามปกติ สายตามองไปข้างหน้า พยักหน้าอย่างเกียจคร้าน ตอบสั้นๆ เพียงคำเดียว“อืม”“ท่านไม่รู้สึกว่าข้านิสัยไม่ดีหรือ?”เขาหยุดเดินหันมามองนาง กล่าวอย่างจริงจัง “ที่เจ้ารังแกนาง นั่นก็ต้องเป็นเพราะนางล่วงเกินเจ้าก่อนแน่นอน ล้วนเป็นความผิดของนาง”เขาไ
“ยวนเอ๋อร์! ยวนเอ๋อร์!” ฮ่องเต้หนานยวนร้อนใจจนหน้าถอดสี “ใครก็ได้ ใครก็ได้รีบมาเร็ว ยวนเอ๋อร์เสียเลือดมากเกินไป หมดสติไปแล้ว!”จวินลั่วยวนที่ ‘เสียเลือดมากเกินไปจนหมดสติ’ “...”เจ้าน่ะสิที่เสียเลือดมากเกินไปเจ้าเสียเลือดมากเกินไปทั้งครอบครัว!หมอหลวงมาอย่างรวดเร็ว หลังจากทำแผลให้จวินลั่วยวนเสร็จ ถอนหายใจด้วยความกังวล “สามเดือนแล้ว ในที่สุดเอ็นขององค์หญิงก็เชื่อมต่อกัน คิดไม่ถึงว่าขาดอีกแล้ว ความพยายามในช่วงสามเดือนที่ผ่านมาล้วนสูญเปล่า” ต่อจากนี้ก็ต้องใช้เวลาอีกสามเดือน เปิดบาดแผล บำรุงเอ็นทุกวันเมื่อฉู่เชียนหลีได้ยินคำนี้ เบ้าตาแดงฉับพลัน“ล้วนเป็นความผิดของข้า…”นางดึงชายเสื้อของหลิงอี้ซิง กล่าวเสียงสะอึก“ท่านพี่ ข้ามันไม่ดี ต้องเป็นเพราะเรื่องของคุณชายเซิ่นแน่ องค์โกรธข้า ไม่ชอบข้า จึงฟาดมือของตัวเองใส่เสา เพื่อเป็นการแสดงความรังเกียจต่อข้า”“ข้าทำร้ายนาง ฮือๆ…”หลิงอี้ซิงรักน้องสาว ทุกคนในแคว้นหนานยวนรู้เรื่องนี้แล้วฮ่องเต้หนานยวนกล่าวโทษนางได้อย่างไร?กลับกัน เขายังต้องขอร้องหลิงอี้ซิงทักษะการทำนายของหลิงอี้ซิงมีเพียงหนึ่งเดียวในใต้ฟ้า ตลอดหลายปีที่เขานั่งตำแหน
ระหว่างที่ทั้งสองคุยกัน นางค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้เตียง จวินลั่วยวนนอนหลับแล้ว ไม่ได้เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน หน้าซีดซูบผอม เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกฉู่เชียนหลีเหลือบมองแวบหนึ่ง“เหตุใดข้อมือของนางยังมีเลือด?”สามเดือนแล้ว แผลยังไม่หาย?นางกำนัลที่อยู่ข้างๆ ตอบ“หมอหลวงบอกว่า จะใช้ยาพิเศษรักษาเอ็นมือและเท้าที่ขาดขององค์หญิง จำเป็นต้องเปิดแผล ขยับเอ็นที่ขาดไปรวมกันทุกวัน จนกระทั่งเชื่อมต่อกัน”“ฮืม?”ฉู่เชียนหลีเลิกคิ้วด้วยความสนใจเช่นนี้ก็เท่ากับว่า จวินลั่วยวนต้องทนกับความเจ็บปวดที่ใช้มีดเปิดปากแผลทุกวันติดต่อกันสามเดือนเต็มๆ น่าสังเวชน่าจะเจ็บมากกระมัง?นางค่อยๆ นั่งลง จับข้อมือของจวินลั่วยวนเบาๆ มองผ้าพันแผลที่ถูกพันห้าหกรอบอย่างครุ่นคิดทันใดนั้นออกแรงกดที่นิ้ว“ซี้ด…!”จวินลั่วยวนเจ็บจนตื่น ลืมตาทันทีฉู่เชียนหลีรีบปล่อยมือ “โอ๊ย…ขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจแตะตัวท่าน ดูท่านเจ็บมากเลยนะ ขอโทษจริงๆ”“!”หลินเหยี่ยมาอยู่ในตำหนักของนางได้อย่างไร?นางรังเกียจผู้หญิงคนนี้ที่สุด!อาศัยที่พี่ชายของตัวเองเป็นราชครู แสร้งทำเป็นช่วยเหลือชาวบ้าน ทำแต่ความดีทุกวัน มีแต่คนบอกว่าองค์หญ
เซิ่นสือเฉิน “?”เหตุใดวันนี้รู้สึกว่าหลิงเหยี่ยแปลกๆ?เมื่อก่อนนางชอบเขามากเลยไม่ใช่หรือ? เวลาที่เขาอ่านหนังสือ นางชอบมาอยู่ข้างๆ ฝนหมึกพัดลมให้เขา เวลาที่เขาเขียนหนังสือ นางชอบแอบที่นอกหน้าต่าง จับจิ้งหรีดเล่น เวลาที่เขางีบหลับ นางมักจะชงชาหิมะชั้นดีมาให้เขานางยังบอกว่าจะแต่งงานกับเขาคนเดียวเหตุใดแค่วันเดียว ก็ปล่อยวางได้แล้ว?“องค์หญิงหลิง ข้าขอโทษ” เขากล่าวอย่างรู้สึกผิดที่จริงเขาก็ชอบหลิงเหยี่ยเช่นกัน แต่องค์หญิงยวนบอกเขาว่าหลิงเหยี่ยนิสัยไม่ดี ชอบรังแกคนรับใช้ หาเรื่องชาวบ้าน ใส่ร้ายโยนความผิดให้ผู้อื่นด้วยวิธีที่น่ารังเกียจ และทำทุกอย่างเพื่อบรรลุเป้าหมายเขาเป็นคนเรียนหนังสือ นิสัยซื่อตรง ไม่สามารถยอมรับคนที่จิตใจอำมหิตอย่างหลิงเหยี่ยเมื่อเปรียบเทียบกัน เขาชอบจวินลั่วยวนที่ไร้เดียงสา จิตใจดี และร่าเริงมากกว่า“เมื่อก่อนท่านส่งข้าเรียนหนังสือ ช่วยข้าหาอาจารย์ ใช้เส้นสาย ทำให้ข้าสอบติดขุนนาง…บุญคุณส่วนนี้ ข้า ข้าทำได้เพียงตอบแทนท่านชาติหน้าแล้ว…”ฉู่เชียนหลียิ้มอย่างอ่อนโยน“ไม่เป็นไร แค่เรื่องเล็กน้อย”“ได้ยินมาว่าองค์หญิงยวนได้รับบาดเจ็บ พวกเราเข้าวังไปดูนางกันเ
องค์หญิง?คุณชายเซิ่น?ฉู่เชียนหลีไม่ได้รับความทรงจำใดๆ เพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก สับสนและงงงวยเล็กน้อยยังไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มีเสียงฝีเท้าที่ยุ่งเหยิงและเสียงต่อต้านดังมาจากนอกประตู “ใต้เท้าหลิง! ใต้เท้าหลิง ต่อให้ท่านบีบคั้นข้าจนตาย ข้าก็ไม่แต่งงานกับนาง!”“ตั้งแต่ต้นจนจบ ในใจข้ามีเพียงองค์หญิงยวนเอ๋อร์เท่านั้น!”ยวนเอ๋อร์?องค์หญิง?ฉู่เชียนหลีเงยหน้ามองไป เห็นชายหนุ่มสวมชุดเพ้าสีขาวและที่ครอบผมหยก กำลังลากผู้ชายที่ท่าทางสุภาพเหมือนคนเรียนหนังสือเข้ามานางตระหนักถึงบางอย่าง รีบดึงสาวใช้ที่อยู่ข้างกายมาถามเบาๆ“ที่นี่คือแคว้นหนานยวน?”สาวใช้ “?”องค์หญิงเป็นอะไรไป?เหตุใดถามคำถามเช่นนี้?“องค์หญิง ท่าน…”“อย่าพูดไร้สาระ ตอบข้า!”สาวใช้ตกใจ รีบกล่าว “ท่านคือหลิงเหยี่ย องค์หญิงต่างแซ่ของแคว้นหนานยวน ใต้เท้าคือมหาราชครูของแคว้นหนวนยวน เป็นพี่ชายแท้ๆ ของท่าน เพราะใต้เท้าชำนาญการทำนาย เคยช่วยแคว้นสามครั้ง สร้างคุณประโยชน์มากมาย ท่านจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์หญิงต่างแซ่…”คำพูดที่เหลือ ฉู่เชียนหลีมองข้ามโดยตรงสิ่งเดียวที่นางคิดคือ นางถูกส่งมาเป็นองค์หญิงต่างแซ่ อีกท