“ข้ามันสารเลว!”เขาชกลำต้นของต้นไม้ ต้นไม้สะเทือนจนมีใบไม้ร่วงหล่นนับไม่ถ้วน ลำต้นแตกออก หนามที่แหลมและหนาบนนั้น แทงทะลุมือของเขาเลือดไหลออกมาเขาชกติดต่อกันสิบกว่าทีราวกับไม่รู้สึกเจ็บ“พอแล้ว!” ฉู่เชียนหลีคว้าแขนของเขา มองไปทางกำปั้นที่เปื้อนเลือดของเขา “เจ้าทำเช่นนี้มีประโยชน์อะไร? เรื่องที่เกิดขึ้นไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขแล้ว ไม่สู้ลองคิดดูดีๆ ว่าจะชดเชยอย่างไร!”มัวแต่โมโหไม่มีประโยชน์“แม้ข้ามีทักษะการแพทย์ ก็ไม่สามารถรักษาลูกในท้องของนางไว้ แต่นางตัดสินใจแล้ว ถ้าหากรู้เรื่องนี้ เกรงว่า…”“คุณหนู ข้าก็อยากเอาเด็กคนนี้ แต่สภาพร่างกายของนาง…”“นี่คือเรื่องที่ข้าอยากพูดกับเจ้า ลูกกับนาง รักษาไว้ได้แค่คนเดียว ถ้าหากถึงวันที่ร่างกายของนางทนไม่ไหวจริงๆ ข้าจะเอาเด็กคนนี้ออกอย่างไม่ลังเล รับประกันความปลอดภัยของนาง”เสียงของฉู่เชียนหลีเคร่งขรึมลูกไม่มีแล้ว สามารถมีใหม่ แต่ถ้าหากไม่มีชีวิตแล้ว เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรแล้วจริงๆเด็กเพิ่งเกิดก็สูญเสียแม่ ไม่มีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ สำหรับเด็กแล้ว มันใจร้าย มันโหดร้าย“จิ่งอี้ เจ้าสามารถเข้าใจการตัดสินใจนี้ของข้าหรือไม่?”“ข้ารู้ ข้า
ปวดหัวมากฉู่เชียนหลีเดินเข้าไปแยกเด็กน้อยทั้งสองคนออกจากกัน คนหนึ่งวางฝั่งซ้าย อีกคนวางฝั่งขวา วางพวกนางให้พ้นมือของกันและกัน และใช้มือปลอบข้างละคน“ไม่ร้องนะ ไม่ร้องนะ โอ๋ๆ พวกเจ้าสองคนล้วนออกมาจากท้องแม่เดียวกัน ต้องรักกันสิ ทะเลาะกันได้อย่างไร?”เฮ้อถอนหายใจอวิ๋นอิงอุ้มเว่ยซีขึ้นอย่างอ่อนโยน ตบหลังนางเบาๆ กล่อมอยู่ครู่หนึ่ง เสียงร้องไห้ของเว่ยซีเบาลง นอนอยู่ในแขนของนางเงียบๆ ดวงตาคู่นั้นแวววาว สะอาดไร้มลทิน เหมือนน้ำพุในป่า เหมือนกระจกบานหนึ่ง สะท้อนทุกสิ่งอย่างนางหัวเราะทีหนึ่ง“คุณหนูใหญ่เป็นเด็กดีจัง”เมื่อฉู่เชียนหลีได้ยิน ก่ายหน้าผาก อายเล็กน้อย“นางเป็นเด็กดี? วันวันหนึ่งนางตีน้องสาวอย่างน้อยห้าครั้ง”“...”เดิมทีลู่ฉินก็ผอมเล็ก บนใบหน้าและบนมือที่ถูกหยิกบ่อยๆ มีแต่รอยสีแดง เดิมทีก็อ่อนแออยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า ‘คู่ต่อสู้’ เป็นเว่ยซีนางที่เป็นแม่คนนี้ เป็นห่วงมากอวิ๋นอิง “ตีคือสนิท ด่าคือรัก”“...”นางหนูคนนี้ โกหกหน้าตายได้อย่างไรกันนะ?หรือว่าตั้งครรภ์คนหนึ่ง มุมมองที่มีต่อเด็กๆ อ่อนโยนขึ้น?มันก็จริงรักใครสักคนก็ย่อมรักทุกอย่างที่เป็นเขาคนที
จวนโหวติ้งกว๋อตั้งแต่แต่งงานกัน หลิงเชียนอี้ไม่เคยเดินเข้าห้องหอแม้แต่ครึ่งก้าว เรือนที่หรูหราแห่งนี้ยังคงรักษาการตกแต่งของงานแต่งไว้ โคมไฟสีแดง ม่านสีแดง ติดอักษรขนาดใหญ่คำว่ามงคล เทียนแดง…รื่นเริงเหมือนกับเพิ่งเมื่อวานทว่าบรรยากาศเงียบสงบ อ้างว้างว้าเหว่ เหมือนกับเป็นสถานที่รกร้างที่ไร้ผู้คนภายในห้องกู้ชิงชิงนั่งอยู่ตรงนั้น สีหน้ามืดมน มักจะถือชาหนึ่งถ้วย นั่งมาทั้งวันแล้ว ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่“คุณหนู ท่านต้องสู้ๆ นะ! หากท่านมักจะเป็นเช่นนี้ นายท่านก็เกิดเรื่องอีก คนนอกจะไม่หัวเราะเยาะหรือ?” สาวใช้ข้างกายเกลี้ยกล่อมอย่างห่วงใยกู้ชิงชิงมองถ้วยชา นิ้วมือลูบลวดลายบนนั้นอย่างไม่ใส่ใจเคาะนิ้วชี้เป็นระยะ กล่าวอย่างเรียบเฉย“ข้าเป็นฮูหยินท่านโหวน้อยแล้ว ใครยังกล้าหัวเราะเยาะข้าอีก?”“แย่แล้ว…”เวลานี้เอง องครักษ์คนหนึ่งวิ่งเข้ามาจากนอกประตู กระซิบข้างหูเจ้านายตัวเองอย่างรวดเร็วสีหน้ากู้ชิงชิงเปลี่ยนฉับพลันม่านตาหดเล็กน้อยก่อน ต่อด้วยค่อยๆ กำหมัด หลังจากนั้นก็ลุกพรวดขึ้นมา ขว้างถ้วยชาที่กำจนแน่นลงพื้นอย่างแรง“บัดซบ!”เพียะ!แตกละเอียด“ทุกอย่างที่เจ้าพูดเป็นความจริ
เวลาผ่านไปไวมาก พริบตาเดียว ก็เข้าใกล้วันที่พระนัดดาองค์โตอายุครบหนึ่งเดือนแล้วเนื่องจากพระนัดดาองค์โตกับฝาแฝดเกิดวันเดียวกัน เพื่อแสดงความยุติธรรม ฮ่องเต้จัดงานเลี้ยงในพระราชวัง เฉลิมฉลองให้เด็กทั้งสามคนพร้อมกันยิ่งใกล้งานเลี้ยงอายุครบหนึ่งเดือน เมืองหลวงกลับยิ่งสงบสุขเงียบติดต่อกันหลายวันแล้ว ไม่มีความขัดแย้งใดๆ เกิดขึ้น ราวกับทุกคนกำลังใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ ไม่มีข้อพิพาท ไม่มีวิวาท ไม่มีการวางแผน และทะเลาะกัน…แน่นอน ความสงบไม่ใช่สัญญาณที่ดีเสมอไปมีพายุฝนกี่ลูกที่มาเยือนโดยไม่มีลางบอกเหตุ?บ่อยครั้งที่ความสงบ เป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดจวนอ๋องเฉินกลางดึก“ยังไม่พักผ่อนหรือ?” ฉู่เชียนหลีถือชาร้อนที่เพิ่งชงเสร็จหนึ่งถ้วย วางลงข้างมือเฟิงเย่เสวียน หลังจากนั้นเดินไปที่ข้างหลัง นวดไหล่ให้เขาเบาๆเฟิงเย่เสวียนวางของในมือลง มันคือภาพกลยุทธ์ของเมืองหลวงฉบับหนึ่งเพิ่งวางลง จู่ๆ ก็หยิบขึ้นมา หลังจากพับครึ่ง ก็ส่งให้นางแล้ว“เก็บไว้”ฉู่เชียนหลีชะงักเล็กน้อย “ข้าจะเอาภาพกลยุทธ์ของเมืองหลวงไปทำอะไร?”เขาไม่ได้อธิบาย “ให้เจ้าเก็บไว้เจ้าก็เก็บไว้”ฉู่เชียนหลีหลุบตา ปลายนิ้วสัมผัส
พูดถึงงานเลี้ยงอายุครบหนึ่งเดือนนี้ ฮ่องเต้มาเตรียมการด้วยตัวเองทั้งหมด เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนไปจนถึงพิธีธรรมเนียม กฎเกณฑ์และข้อกำหนด ล้วนผ่านมือของเขา ขั้นตอนแล้วขั้นตอนเล่า กระทั่งเขาพยักหน้า คนที่อยู่ข้างล่างจึงจะกล้าไปทำห้าชั่วยามก่อนงานเลี้ยงเริ่มหลังจากฮ่องเต้สั่งให้ทหารรักษาพระองค์เตรียมความพร้อมด้านความปลอดภัย ก็ถามเต๋อฝูว่า “ช่วงนี้อ๋องหลีกำลังทำอะไร?”เต๋อฝูเดินออกมาสองก้าว โน้มกายกล่าวตอบ“ตามรายงาน หลายวันนี้อ๋องหลีอยู่แต่ในจวน ปิดประตูไม่ออกและไม่รับแขก ไม่ทำอะไรเลยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อฮ่องเต้ได้ยินก็ขมวดคิ้วเขาจะทำตัวดีเช่นนี้? เชื่อฟังเช่นนี้?ผิดปกติเล็กน้อยนิ้วมือกดตรงหว่างคิ้ว นวดเบาๆ สองสามที มองไปทางเมฆดำที่อยู่นอกหน้าต่าง ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่ จู่ๆ ก็หยิบพู่กันขึ้นมาเขียนอะไรบางอย่างประทับตรามังกรรอคราบหมึกเริ่มแห้ง เขาม้วนราชโองการฉบับนั้น ส่งให้เต๋อฝู“นำมันไปซ่อน ห้ามให้คนอื่นรู้เรื่องนี้”เต๋อฝูได้กลิ่นแปลกๆ“ฝ่าบาท นี่…” ใจสั่นแปลกๆ“เต๋อฝู เจ้าติดตามเรามาทั้งชีวิต เรารู้ว่าเจ้าเป็นคนที่ไว้ใจได้ ด้วยเหตุนี้ทำอะไรก็ไม่เคยปิดบังเจ้า เจ้าน่าจะเข้าใจค
พริบตาเดียว ยามราตรีมาเยือนพระนัดดาองค์โตกับฝาแฝดหนึ่งคู่ เด็กทั้งสามคนจัดงานเลี้ยงอาหารค่ำด้วยกัน นั่นเป็นภาพอันหรูหราอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในเมืองหลวง ราษฎรร่วมเฉลิมฉลองวันมงคลนี้ ในวังหลวง ยิ่งจุดเทียนสว่างไสว แขกเหรื่อทยอยกันมา ทุกที่ร้องรำทำเพลง คึกคักมากสถานที่จัดงานเลี้ยงหลักครอบคลุมพื้นที่ห้าตำหนัก นอกจากตำหนักหลัก อีกสี่ตำหนักก็นั่งจนเต็ม ของขวัญที่ได้รับกองเป็นภูเขา มีของดีที่แปลกตาต่างๆ เต็มไปหมด หรูหรานับไม่ถ้วนเฟิงเย่เสวียนกับฉู่เชียนหลีเข้าวังร่วมงานเลี้ยง เด็กทั้งสองเบิกกว้าง มองซ้ายมองขวาด้วยความอยากรู้อยากเห็นเฟิงเจิ้งหลีจับมือฉู่เจียวเจียวมาสองฝ่ายพบกัน แขกพากันเข้ามาทักทายทั้งหน้าทั้งหลัง“ขอแสดงความยินดีกับอ๋องเฉิน พระชายาอ๋องเฉิน ขอแสดงความยินดีกับอ๋องหลี พระชายาอ๋องหลี…”“ยินดีด้วย ยินดีด้วย”“ขอให้เด็กทุกคนเติบโตอย่างแข็งแรง ร่มรื่นมีความสุข…”เสียงอวยพรต่างๆ ดังขึ้นระลอกแล้วระลอกเล่า ตรงนี้พูดจบ ตรงนั้นก็ดังขึ้น เสียงดังเป็นพิเศษเฟิงเย่เสวียนกับเฟิงเจิ้งหลีสบตากันแวบหนึ่ง มุมปากทั้งสองต่างเผยให้เห็นรอยยิ้มจางๆ ที่สุภาพ แต่ในแววตาไร้ความอบอุ่นใด
ตำหนักหลักร้องรำทำเพลงเฉลิมฉลอง ร่วมดื่มอย่างสุขสันต์ มีการแสดงเสียงเพลงและการเต้นรำที่ใจกลางห้องโถง แขกเหรื่อดื่มสุรา สนทนา หัวเราะอย่างมีความสุขเฟิงเย่เสวียนถือจอกเหล้า ดื่มกับผู้ที่มาคารวะเหล้าเป็นระยะ และมองออกไปที่นอกตำหนักเป็นระยะ นั่งตัวตรงอย่างผ่าเผยฉู่เชียนหลีหยิบขนมในจานเข้าปาก หางตาเหลือบมองนอกตำหนักอย่างเงียบๆนอกตำหนัก ไร้คนลองคำนวณเวลาดู น่าจะได้เวลาแล้ว แต่ทางนั้นกลับเงียบไร้การเคลื่อนไหว หรือเกิดข้อผิดพลาดอะไร?“อย่าตื่นตระหนก”ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งจับมือเล็กของนาง เสียงหนาทุ้มต่ำ ทำให้นางรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูกฉู่เชียนหลียิ้มแล้วยิ้มอีก นางส่ายศีรษะ “อืม”ฝั่งตรงข้าม เฟิงเจิ้งหลีลุกขึ้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม“จื่อเยี่ยกับเว่ยซีลู่ฉินเกิดวันเดียวกัน ช่างเป็นวาสนาอะไรเช่นนี้ และทำให้มิตรภาพระหว่างพวกเราสองพี่น้องก้าวไปอีกขั้น มา ข้าดื่มให้อ๋องเฉินกับพระชายาอ๋องเฉินหนึ่งจอก”เขายกจอกเหล้าขึ้น เดินอ้อมโต๊ะไปที่หน้าโต๊ะของคนทั้งสองชูจอกเหล้าขึ้น ยิ้มอย่างอ่อนโยนอ๋องหลีมาคารวะเหล้า มีเหตุผลที่ไม่ดื่มด้วยหรือ?เฟิงเย่เสวียนยกเปลือกตา กวาดมองเขาอย่างเกียจคร้านแ
ทุกคนคิดว่ามีเหตุผล“ฝ่าบาทโปรดเปิดเผยต่อสาธารณะ ขจัดการคาดเดาที่ไร้สติของทุกคน ทำให้จิตใจราษฎรสงบ ทำให้บ้านเมืองมั่นคง!” มีขุนนางไม่น้อยกล่าวเป็นเสียงเดียวกันฮ่องเต้ถือจอกเหล้า สีหน้าพูดไม่ได้ว่าดีมากนัก เขาเม้มปาก มองดูคนทั้งสองที่ประจันหน้ากันเสือสองตัวสู้กัน ย่อมมีตัวหนึ่งที่บาดเจ็บเวลานี้ สายตาของทุกคนล้วนมองไปที่เขา เขาลังเลครู่หนึ่ง ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน“เรื่องนี้…”“เราได้ทำการตรวจสอบแล้วก็จริง แต่เรื่องนี้มีความซับซ้อน มีข้อสงสัยมากมาย หลักฐานมากมายยากจะแยกแยะจริงหรือเท็จ ชั่วขณะเราก็ไม่มั่นใจนัก”คำพูดของเขาคลุมเครือคิดได้สองแง่ทุกคนไม่แน่ใจความหมายของฮ่องเต้ ตกลงเข้าข้างอ๋องหลี หรือปกป้องอ๋องเฉิน?ขุนนางคนหนึ่งกล่าวเสนอแนะ“เมื่อครึ่งเดือนก่อน นายท่านรองกู้สารภาพเองกับปาก และเขาก็ได้ให้หลักฐานที่เกี่ยวข้อง เหตุใดไม่คุมตัวเขามา ให้เขาและหลักฐานเหล่านั้นเทียบกันทีละอย่างล่ะ?”เป็นวิธีที่ดีหลังจากฮ่องเต้ออกคำสั่ง ไม่นานนายท่านรองกู้ที่ถูกคุมขังในคุกหลวงก็ถูกพาตัวมาไม่เจอกันครึ่งเดือน เขาโทรมมากสวมชุดนักโทษ ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าสกปรก ผอมจนแก้มบุ๋มเข้าไป มือและเ
ผู้ชายที่ร่างกายสูงใหญ่งอหัวเข่า คุกเข่าอยู่ตรงหน้าอ๋องหลีอย่างตั้งตรง แม้อยู่ต่ำกว่า แต่ความสูงศักดิ์ที่แผ่ซ่านออกมาจากกระดูก ไม่ลดน้อยลงเลยสักนิดตลอดหลายปีที่ผ่านมา นอกจากคุกเข่าให้ฮ่องเต้และบรรพชน พวกเขาไม่เคยเห็นอ๋องเฉินคุกเข่าให้ใครเฟิงเจิ้งหลีเห็นดังนี้ แหงนหน้าหัวเราะ“ฮ่าๆๆ!”คิดไม่ถึงจริงๆ เขาจะมีวันนี้ด้วยลูกชายที่ฮ่องเต้โปรดปรานที่สุด แพ้ให้กับลูกชายที่ไม่โปรดปรานที่สุด ไม่สะดุดตาที่สุด และยังถูกทุกคนรังแก ความรู้สึกที่อยู่เหนือกว่าเช่นนี้ ทำให้ในใจเขาสาแก่ใจจริงๆ“ฮ่าๆๆๆ เฟิงเย่เสวียน เจ้าก็มีวันนี้ด้วย!”หัวเราะเสร็จ เขารู้สึกว่าความเย่อหยิ่งของอ๋องเฉินมันขัดตาทั้งๆ ที่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบจนต้องคุกเข่า เหตุใดยังอวดดีหยิ่งผยองเช่นนี้?เขาออกคำสั่ง “ก้มหัวเจ้าลงไป”เฟิงเย่เสวียนเม้มปาก ก้มศีรษะลงเขาออกคำสั่งอีกครั้ง “โขกศีรษะ!”“อ๋องหลี ท่านอย่ารังแกให้มันมากนัก! ท่านกับท่านอ๋องของเราเป็นคนรุ่นเดียวกัน ท่านรับการโขกหัวจากเขาไม่ได้! ไม่กลัวบรรพชนรู้แล้ว อายุสั้นหรือ!” พ่อบ้านหยางกล่าวด้วยความโกรธเพิ่งกล่าวจบ ก็ถูกผู้บัญชาการจางถีบจนล้มลงพื้นหลังจากล้มลง ก
“ปล่อยคนของเจ้าแล้ว เจ้าเป็นอิสระแล้ว คืนลูกให้ข้า” ฉู่เชียนหลีจ้องเขาเฟิงเจิ้งหลีเหลือบมองเด็กน้อยในอ้อมแขน ท่าทางที่ร้องไห้จนหน้าแดง เห็นแล้วปวดใจนักคิดว่าแค่นี้ก็จบแล้วหรือ?เขายิ้ม“ฉู่เชียนหลี เหมือนเจ้าจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์นะ?”“?”“……”“เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาต่อรองกับข้า? เด็กอยู่ในมือข้า เป็นหรือตายขึ้นอยู่กับข้า ถึงคราวที่เจ้าต้องมาสอนข้าทำงานตั้งแต่เมื่อไร?”สีหน้าฉู่เชียนหลีเคร่งขรึมทันทีเห็นได้ชัด เขาได้คืบจะเอาศอก“เจ้ายังต้องการอะไรอีก?”“ข้าหรือ” เขาเงยหน้าด้วยรอยยิ้ม กวาดมองทุกคน และตำหนักอันหรูหราหลังนี้ วังหลวงที่กว้างใหญ่แห่งนี้ แผ่นดินที่ดีเช่นนี้เขาต้องการอะไร ยังต้องให้พูดอีกหรือ?แต่ว่า มองดูท่าทางที่ร้อนใจของฉู่เชียนหลี เขาเกิดอยากสนุก ต้องการระบายความคับข้องใจที่ได้รับในสองวันนี้ออกมาให้หมดลูบแก้มของเด็กน้อยพลางกล่าว“อยากได้ลูกคืน ไม่มีปัญหา มันก็ต้องดูว่าอ๋องเฉินมีความจริงใจหรือไม่”เงียบไปครู่หนึ่ง“อืม หรือไม่อ๋องเฉินคุกเข่า โขกหัวให้ข้าสามครั้ง ข้าก็คืนลูกให้เจ้า เป็นอย่างไร?”ฉู่เชียนหลีโมโหแล้วด้วยนิสัยที่ยอมหนึ่งก้าว จะเอาสิบก้าวข
“เจ้า!”ฉู่เชียนหลีถูกความเฉยเมยของนางยั่วจนโมโหแล้ว ยิ่งคิดไม่ถึงว่าใต้ฟ้าจะมีแม่ที่ไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้มันก็จริงฉู่เจียวเจียวกับเฟิงเจิ้งหลี ถ้าไม่เหมือนกันก็คงอยู่ด้วยกันไม่ได้ ไม่มีอะไรที่พวกเขาสองสามีภรรยาทำไม่ลงรอหลังจากลู่ฉินเติบโต รู้ว่าตัวเองมีแม่เช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะเศร้าเพียงใด!“ฉู่เชียนหลี เฟิงเย่เสวียน พวกเจ้าเลิกพูดไร้สาระได้แล้ว รีบปล่อยตัวอ๋องหลี ความอดทนข้ามีขีดจำกัด!” ฉู่เจียวเจียวกล่าวอย่างเย็นชา“จะเอาชีวิตของลูกชาย หรือจะปล่อยคน พวกเจ้าเลือกเอง”อย่างไรนางก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้วไม่ดิ้นรน ตายสถานเดียวดิ้นรน เดิมพัน ยังมีโอกาสสายตาเฟิงเย่เสวียนเคร่งขรึมมาก หางตาเหลือบมองหานเฟิง หานเฟิงเข้าใจทันที เขาซ่อนมือไว้ที่หลัง และทำท่าสัญญาณมือไปที่ด้านหลังมือธนูเตรียมพร้อมจู่ๆ ฉู่เจียวเจียวก็กล่าวเสริมอีกประโยคอย่างเย็นชา “พวกเจ้าสามารถลองดูได้ ดูสิว่าการเคลื่อนไหวของพวกเจ้าไว หรือมีดที่อยู่ในมือข้าเร็ว”“ต่อให้ข้าตาย การฆ่าเฟิงเจิ้งจื่อเยี่ยก็ใช้เวลาแค่พริบตาเดียว”ฉู่เชียนหลีสั่งให้มือธนูหยุดทันที “ปล่อยคน!”อย่าทำอะไรบุ่มบ่ามผู้หญิงคนนี้มันเป็นผู
พลันฉู่เชียนหลีแน่นหน้าอก“หยุดนะ…”“อย่าเข้ามา!”ฉู่เจียวเจียวถอยหลังสามก้าว มือซ้ายจับเด็ก มือขวาถือมีดสั้น มีดสั้นที่แวววาวจ่ออยู่บนผิวอันบอบบางของเด็ก กรีดจนรอยเลือดออกแล้วเลือดไหลออกมาแล้ว“จู่ๆ เจ้าก็มาเป็นห่วงข้า และยังพยายามอยากอุ้มลูกทุกวิถีทาง ข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าไม่ได้มีเจตนาดี”นางยิ้มอย่างเย็นชา“เหอะ! ดูเหมือนฮ่องเต้ที่แกไม่ตายสักทีนั่นเป็นคนบอกเรื่องนี้กับเจ้าสินะ!”ไอ้แก่ เป็นอัมพาตเฉียบพลันยังไม่ยอมอยู่อย่างสงบเสงี่ยมอีกต่อให้รู้ความจริงแล้วอย่างไร?ชีวิตของเด็กคนนี้อยู่ในมือนาง“ฉู่เชียนหลีนะฉู่เชียนหลี เจ้าคิดอย่างไรก็คงคิดไม่ถึงกระมังว่า เจ้าเลี้ยงลูกสาวข้า ข้าเลี้ยงลูกชายเจ้า และก็ต้องขอบคุณลูกชายคนดีคนนี้ของเจ้า กลายเป็นตัวช่วยที่สำคัญของอ๋องหลี” นางเผยอมุมปาก รอยยิ้มนั้นน่ากลัวมากฉู่เชียนหลียืนตัวแข็งอยู่ตรงที่เดิม ไม่กล้าขยับ“เจ้าต้องการอะไร?”ฉู่เชียนหลีจ้องมีดสั้นในมือนาง กลัวว่านางจะพลั้งเผลอกรีดโดนคอของเด็กตั้งครรภ์สิบเดือนลูกชายเป็นก้อนเนื้อชิ้นหนึ่งที่ตกลงมาจากร่างกายนางนางไม่กล้าเดิมพัน และเดิมพันไม่ไหวฉู่เจียวเจียวกล่าว “ข้าต้องก
กลางดึกกำลังถึงช่วงที่คนเงียบสงบ คนกลุ่มหนึ่งวิ่งไปที่ตำหนักเจาหยางราวกับคลื่นยักษ์ ตอนที่ใกล้จะถึง ฉู่เชียนหลีตวาดสั่งให้พวกเขาหยุด“พวกเจ้าอยู่ห่างๆ อยากเข้าใกล้!”พ่อบ้านหยางกล่าวด้วยความเป็นห่วง “พระชายา พวกเราต้องไปเอาพระนัดดาองค์โตกลับมา นั่นเป็นเลือดเนื้อของท่านกับท่านอ๋องนะ”“ข้ารู้!”ก็เพราะรู้ จึงไม่ให้พวกเขาเข้าใกล้“ไปทำอะไรคนเยอะแยะ ถ้าหากบีบจนฉู่เจียวเจียวไม่มีทางเลือก นางทำอะไรขึ้นมา…”ฉู่เชียนหลีแทบจะเป็นบ้าแล้ว ร้อนรนเหมือนมดที่อยู่บนกระทะร้อน ทั้งร้อนใจทั้งไม่สบายใจ น้ำเสียงก็ค่อนข้างฉุนเฉียวไม่อยากพูดมาก วิ่งเข้าไปในตำหนักเจาหยางเพียงลำพัง คนอื่นรออยู่ที่ข้างนอก ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามภายในตำหนักฉู่เจียวเจียวกำลังกล่อมจื่อเยี่ย ฉู่เจียวเจียวมาแล้ว นางมองเด็กน้อยที่อ้วนสมบูรณ์ กล่าวโดยไม่เงยหน้า“พระชายาอ๋องเฉิน ลูกของข้าเพิ่งนอนหลับ ”โปรดให้อภัย ข้าอุ้มเขาไว้ ร่างกายหนัก ไม่สะดวกลุกขึ้นยืน สายตาฉู่เชียนหลีมองไปที่ตัวเด็กเด็กน้อยอ้วนสมบูรณ์ ใบหน้าจ้ำม่ำ คิ้วละเอียดอ่อน หน้าตาที่น่ารักน่าเอ็นดู คล้ายเฟิงเจิ้งเว่ยซีแปดส่วนเหตุใดเมื่อก่อนนางไม่สังเกต
อวิ๋นอิงถูกนางทำเอาตกใจจนหน้าซีด รีบถาม“พระชายา มีอะไรหรือ? เหตุใดกะทันหันเช่นนี้?”“รีบไป!”มือทั้งสองข้างของฉู่เชียนหลีเย็นเฉียบ เสียงนั้นเกือบจะคำรามออกมา แม้แต่คอก็กำลังสั่นสะเทือนคนข้างล่างไม่กล้ารอช้า รีบไปตามหาคนทันทีเฟิงเย่เสวียนประหม่า “เชียนหลี นี่เจ้าเป็นอะไร?”“ข้าอาจจะเข้าใจผิด อาจจะทำผิดพลาด ข้าอาจจะ…ข้า ข้า…” ฉู่เชียนหลีพูดวนไม่ปะติดปะต่อ พูดอยู่ดีๆ เบ้าตาก็แดงแล้วหัวใจเหมือนถูกแมวข่วน กระสับกระส่ายนางกุมเสื้อตรงหน้าอก หายใจอย่างอึดอัดขออย่าให้มันเป็นเรื่องจริง…ขออย่า…นางทรมานจังนางไม่ใช่แม่ที่ดี กลัวรู้ความจริง แต่ก็อยากรู้ความจริงหลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ผู้คนร้อยกว่าคนเข้าวังในคืนนั้น มีคนของจวนอ๋องเฉิน หมอ หมอตำแย ผู้ช่วยหมอ และยังมีองครักษ์ลับ ทหารยาม หมอหญิงเว่ยก็อยู่เมื่อหนึ่งเดือนกว่าก่อน ตอนที่ฉู่เชียนหลีคลอดลูก คนเหล่านี้อยู่ในเหตุการณ์ทุกคนเมื่อฉู่เชียนหลีเห็นพวกเขา รีบถามทันที“วันที่ข้าคลอดลูก เคยมีคนแปลกหน้ามาหรือไม่?”ทุกคนหันมองกันและกัน ล้วนส่ายศีรษะ“พระชายา เรื่องสำคัญอย่างท่านคลอดลูก พวกเราจับตาดูอย่างเข้มงวด ในจวนมีแต่คนข
นางกำนัลรีบนำพู่กันมาฉู่เชียนหลีเอาพู่กันจุ่มน้ำหมึก แล้วใส่ในมือฮ่องเต้ร่างกายของฮ่องเต้เป็นอัมพาต ไม่ควบคุมมือไม่ได้ ไม่สามารถจับพู่กันด้วยซ้ำ ปากของเขาเบี้ยว ใช้แรงทั้งหมดหนีบด้ามพู่กันด้วยนิ้วชี้กับนิ้วกลาง อาศัยแรงกระตุกของร่างกาย ลงพู่กันบนกระดาษอย่างเบี้ยวไปเบี้ยวมาเพียงไม่กี่ขีด เขียนอย่างยากลำบาก บนหน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อแนวเฉียง…แนวตั้ง…สองคำ ทั้งหมดสี่ขีดเขียนเสร็จ พู่กันก็ร่วงตกบนพื้น เขาเหนื่อยจนหอบบนเตียง ขยับไม่ได้อีกแล้ว“ลูกชาย…” อวิ๋นอิงอุทานเบาๆ “คนที่ฝ่าบาทคิดถึงคือลูกชาย?”ฉู่เชียนหลีถือกระดาษ แม้สองคำนี้เขียนได้คดเคี้ยวมาก แต่เนื่องจากลายเส้นเรียบง่าย จึงมองออกในปราดเดียวว่ามันคือคำว่า ‘ลูกชาย’นี่เขาอยากบอกอะไรนาง?“หรือเป็นอ๋องหลี?” อวิ๋นอิงคาดเดาฉู่เชียนหลีส่ายศีรษะโดยไม่ต้องคิด“อ๋องหลีวางยาพิษเขา กบฏวังชิงราชบัลลังก์ มีความทะเยอทะยาน ฝ่าบาทไม่มีทางคิดถึงอ๋องหลี”นางกล่าววิเคราะห์“ส่วนอ๋องหลีหลังจากขึ้นบัลลังก์ ไม่ฆ่าผู้บริสุทธิ์ องค์ชายท่านอื่นอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเหมือนเมื่อก่อน ไม่มีอันตราย ฮ่องเต้ก็ไม่มีทางคิดถึงองค์ชายท่านอื่น”อวิ๋
ตอนที่ตื่น ก็เป็นเที่ยงของวันใหม่แล้ว เฟิงเย่เสวียนรู้จักเตียงนานแล้ว หลังจากฉู่เชียนหลีกินอะไรง่ายๆ ก็ไปที่สำนักหมอหลวง หมกมุ่นอยู่กับตำราแพทย์พริบตาเดียวก็กลางคืนแล้วนางกำนัลมารายงาน ฮ่องเต้ฟื้นแล้ว ฉู่เชียนหลีไปตำหนักผานหลง ฮ่องเต้นอนตัวเกร็งอยู่บนเตียง นิ้วมือหยิกงอ ร่างกายครึ่งหนึ่งแข็งเหมือนท่อนไม้ ปากก็เบี้ยวจนมีน้ำลายไหลยืดเขาเบิกตากว้างจนลูกตาแทบทะลักออกมาแล้ว นางกำนัลที่ปรนนิบัติกลัวเล็กน้อย ไม่กล้าเข้าไปปรนนิบัติฉู่เชียนหลีเดินเข้ามา“ฝ่าบาททรงฟื้นเมื่อไร”“เมื่อหนึ่งเค่อก่อนเจ้าค่ะ” นางกำนัลตอบ“ดื่มโอสถหรือยัง?”“หนึ่งวันสามมื้อ ป้อนตรงเวลาเจ้าค่ะ”“อืม”นางเดินไปที่หน้าเตียง จับชีพจรของฮ่องเต้ ลักษณะชีพจรคงที่ ไม่มีปัญหาใหญ่อะไร เพียงแต่ร่างกายได้รับหญ้าหมาเฟ้ยมากเกินไป ส่งผลให้ร่างกายชาจนไม่ตอบสนอง อย่างน้อยต้องใช้เวลาอีกครึ่งปี จึงจะสามารถสลายหญ้าหมาเฟ้ยเหล่านี้หมดถึงเวลา ก็สามารถกลับมาเป็นปกติ“ดูแลดีๆ ต้องมีคนเฝ้าอยู่ข้างพระวรกายตลอดอย่างน้อยสองคน” นางกำชับนางกำนัลเวลานี้เอง ที่นอกประตู อวิ๋นอิงอุ้มน้องสาวมาแล้ว“พระชายา ท่านเอาแต่ยุ่งทั้งวัน ลู่ฉิ
ฉู่เชียนหลีมองนาง กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถ้าหากไม่ใช่เพราะเจ้า อ๋องหลีก็ไม่สามารถก่อเรื่องมากมายเช่นนี้ เจ้าจะให้ข้าจัดการเจ้าอย่างไรจึงจะดี?”ถ้าไม่มียาอายุวัฒนะ อ๋องหลีจบสิ้นไปนานแล้วและยาชนิดนี้ก็มาจากมือของอูหนูอูหนูยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเย็นชา ยืดอกหลังตรง การแสดงออกบนใบหน้าไม่เย่อหยิ่งแต่ก็ไม่ถ่อมตน นางเป็นคนที่เคยตายมาแล้วหนึ่งครั้ง ย่อมไม่กลัว“จะฆ่าจะแกง เชิญตามสะดวก”นางเงยหน้า หลับตา“เจ้าเป็นผู้ช่วยที่ดีของอ๋องหลี ข้าฆ่าเจ้าทั้งเช่นนี้ จะไม่เสียดายแย่หรือ?” ฉู่เชียนหลีเดินไปที่ตรงหน้านาง “ข้าขอถามเจ้า เจ้าทำอะไรกับฝ่าบาท? เหตุใดจู่ๆ เขาก็เป็นอัมพาตเฉียบพลัน”อูหนูย่อมไม่อยากพูดไม่รอนางเอ่ยปาก ฉู่เชียนหลีเสริมอีกประโยค“ตายเป็นแค่ผลลัพธ์อย่างหนึ่ง แต่ขั้นตอนการตาย ควรตายอย่างไร ขึ้นอยู่กับข้า”“เจ้าสามารถปากแข็ง แต่ปากแข็งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ และยังจะเพิ่มความเจ็บปวด เจ้าเป็นคนฉลาด รู้ว่าควรเลือกอย่างไร”อูหนู “...”ข่มขู่อย่างโจ่งแจ้งถ้าหากนางยอมพูด มอบความตายที่ไม่เจ็บปวดให้นางถ้าหากนางไม่ยอมพูด คิดวิธีทรมานสารพัด เพื่อทำให้นางยอมพูด สุดท้ายก็ตายอยู่