“ข้ามันสารเลว!”เขาชกลำต้นของต้นไม้ ต้นไม้สะเทือนจนมีใบไม้ร่วงหล่นนับไม่ถ้วน ลำต้นแตกออก หนามที่แหลมและหนาบนนั้น แทงทะลุมือของเขาเลือดไหลออกมาเขาชกติดต่อกันสิบกว่าทีราวกับไม่รู้สึกเจ็บ“พอแล้ว!” ฉู่เชียนหลีคว้าแขนของเขา มองไปทางกำปั้นที่เปื้อนเลือดของเขา “เจ้าทำเช่นนี้มีประโยชน์อะไร? เรื่องที่เกิดขึ้นไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขแล้ว ไม่สู้ลองคิดดูดีๆ ว่าจะชดเชยอย่างไร!”มัวแต่โมโหไม่มีประโยชน์“แม้ข้ามีทักษะการแพทย์ ก็ไม่สามารถรักษาลูกในท้องของนางไว้ แต่นางตัดสินใจแล้ว ถ้าหากรู้เรื่องนี้ เกรงว่า…”“คุณหนู ข้าก็อยากเอาเด็กคนนี้ แต่สภาพร่างกายของนาง…”“นี่คือเรื่องที่ข้าอยากพูดกับเจ้า ลูกกับนาง รักษาไว้ได้แค่คนเดียว ถ้าหากถึงวันที่ร่างกายของนางทนไม่ไหวจริงๆ ข้าจะเอาเด็กคนนี้ออกอย่างไม่ลังเล รับประกันความปลอดภัยของนาง”เสียงของฉู่เชียนหลีเคร่งขรึมลูกไม่มีแล้ว สามารถมีใหม่ แต่ถ้าหากไม่มีชีวิตแล้ว เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรแล้วจริงๆเด็กเพิ่งเกิดก็สูญเสียแม่ ไม่มีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ สำหรับเด็กแล้ว มันใจร้าย มันโหดร้าย“จิ่งอี้ เจ้าสามารถเข้าใจการตัดสินใจนี้ของข้าหรือไม่?”“ข้ารู้ ข้า
ปวดหัวมากฉู่เชียนหลีเดินเข้าไปแยกเด็กน้อยทั้งสองคนออกจากกัน คนหนึ่งวางฝั่งซ้าย อีกคนวางฝั่งขวา วางพวกนางให้พ้นมือของกันและกัน และใช้มือปลอบข้างละคน“ไม่ร้องนะ ไม่ร้องนะ โอ๋ๆ พวกเจ้าสองคนล้วนออกมาจากท้องแม่เดียวกัน ต้องรักกันสิ ทะเลาะกันได้อย่างไร?”เฮ้อถอนหายใจอวิ๋นอิงอุ้มเว่ยซีขึ้นอย่างอ่อนโยน ตบหลังนางเบาๆ กล่อมอยู่ครู่หนึ่ง เสียงร้องไห้ของเว่ยซีเบาลง นอนอยู่ในแขนของนางเงียบๆ ดวงตาคู่นั้นแวววาว สะอาดไร้มลทิน เหมือนน้ำพุในป่า เหมือนกระจกบานหนึ่ง สะท้อนทุกสิ่งอย่างนางหัวเราะทีหนึ่ง“คุณหนูใหญ่เป็นเด็กดีจัง”เมื่อฉู่เชียนหลีได้ยิน ก่ายหน้าผาก อายเล็กน้อย“นางเป็นเด็กดี? วันวันหนึ่งนางตีน้องสาวอย่างน้อยห้าครั้ง”“...”เดิมทีลู่ฉินก็ผอมเล็ก บนใบหน้าและบนมือที่ถูกหยิกบ่อยๆ มีแต่รอยสีแดง เดิมทีก็อ่อนแออยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า ‘คู่ต่อสู้’ เป็นเว่ยซีนางที่เป็นแม่คนนี้ เป็นห่วงมากอวิ๋นอิง “ตีคือสนิท ด่าคือรัก”“...”นางหนูคนนี้ โกหกหน้าตายได้อย่างไรกันนะ?หรือว่าตั้งครรภ์คนหนึ่ง มุมมองที่มีต่อเด็กๆ อ่อนโยนขึ้น?มันก็จริงรักใครสักคนก็ย่อมรักทุกอย่างที่เป็นเขาคนที
จวนโหวติ้งกว๋อตั้งแต่แต่งงานกัน หลิงเชียนอี้ไม่เคยเดินเข้าห้องหอแม้แต่ครึ่งก้าว เรือนที่หรูหราแห่งนี้ยังคงรักษาการตกแต่งของงานแต่งไว้ โคมไฟสีแดง ม่านสีแดง ติดอักษรขนาดใหญ่คำว่ามงคล เทียนแดง…รื่นเริงเหมือนกับเพิ่งเมื่อวานทว่าบรรยากาศเงียบสงบ อ้างว้างว้าเหว่ เหมือนกับเป็นสถานที่รกร้างที่ไร้ผู้คนภายในห้องกู้ชิงชิงนั่งอยู่ตรงนั้น สีหน้ามืดมน มักจะถือชาหนึ่งถ้วย นั่งมาทั้งวันแล้ว ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่“คุณหนู ท่านต้องสู้ๆ นะ! หากท่านมักจะเป็นเช่นนี้ นายท่านก็เกิดเรื่องอีก คนนอกจะไม่หัวเราะเยาะหรือ?” สาวใช้ข้างกายเกลี้ยกล่อมอย่างห่วงใยกู้ชิงชิงมองถ้วยชา นิ้วมือลูบลวดลายบนนั้นอย่างไม่ใส่ใจเคาะนิ้วชี้เป็นระยะ กล่าวอย่างเรียบเฉย“ข้าเป็นฮูหยินท่านโหวน้อยแล้ว ใครยังกล้าหัวเราะเยาะข้าอีก?”“แย่แล้ว…”เวลานี้เอง องครักษ์คนหนึ่งวิ่งเข้ามาจากนอกประตู กระซิบข้างหูเจ้านายตัวเองอย่างรวดเร็วสีหน้ากู้ชิงชิงเปลี่ยนฉับพลันม่านตาหดเล็กน้อยก่อน ต่อด้วยค่อยๆ กำหมัด หลังจากนั้นก็ลุกพรวดขึ้นมา ขว้างถ้วยชาที่กำจนแน่นลงพื้นอย่างแรง“บัดซบ!”เพียะ!แตกละเอียด“ทุกอย่างที่เจ้าพูดเป็นความจริ
เวลาผ่านไปไวมาก พริบตาเดียว ก็เข้าใกล้วันที่พระนัดดาองค์โตอายุครบหนึ่งเดือนแล้วเนื่องจากพระนัดดาองค์โตกับฝาแฝดเกิดวันเดียวกัน เพื่อแสดงความยุติธรรม ฮ่องเต้จัดงานเลี้ยงในพระราชวัง เฉลิมฉลองให้เด็กทั้งสามคนพร้อมกันยิ่งใกล้งานเลี้ยงอายุครบหนึ่งเดือน เมืองหลวงกลับยิ่งสงบสุขเงียบติดต่อกันหลายวันแล้ว ไม่มีความขัดแย้งใดๆ เกิดขึ้น ราวกับทุกคนกำลังใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ ไม่มีข้อพิพาท ไม่มีวิวาท ไม่มีการวางแผน และทะเลาะกัน…แน่นอน ความสงบไม่ใช่สัญญาณที่ดีเสมอไปมีพายุฝนกี่ลูกที่มาเยือนโดยไม่มีลางบอกเหตุ?บ่อยครั้งที่ความสงบ เป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดจวนอ๋องเฉินกลางดึก“ยังไม่พักผ่อนหรือ?” ฉู่เชียนหลีถือชาร้อนที่เพิ่งชงเสร็จหนึ่งถ้วย วางลงข้างมือเฟิงเย่เสวียน หลังจากนั้นเดินไปที่ข้างหลัง นวดไหล่ให้เขาเบาๆเฟิงเย่เสวียนวางของในมือลง มันคือภาพกลยุทธ์ของเมืองหลวงฉบับหนึ่งเพิ่งวางลง จู่ๆ ก็หยิบขึ้นมา หลังจากพับครึ่ง ก็ส่งให้นางแล้ว“เก็บไว้”ฉู่เชียนหลีชะงักเล็กน้อย “ข้าจะเอาภาพกลยุทธ์ของเมืองหลวงไปทำอะไร?”เขาไม่ได้อธิบาย “ให้เจ้าเก็บไว้เจ้าก็เก็บไว้”ฉู่เชียนหลีหลุบตา ปลายนิ้วสัมผัส
พูดถึงงานเลี้ยงอายุครบหนึ่งเดือนนี้ ฮ่องเต้มาเตรียมการด้วยตัวเองทั้งหมด เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนไปจนถึงพิธีธรรมเนียม กฎเกณฑ์และข้อกำหนด ล้วนผ่านมือของเขา ขั้นตอนแล้วขั้นตอนเล่า กระทั่งเขาพยักหน้า คนที่อยู่ข้างล่างจึงจะกล้าไปทำห้าชั่วยามก่อนงานเลี้ยงเริ่มหลังจากฮ่องเต้สั่งให้ทหารรักษาพระองค์เตรียมความพร้อมด้านความปลอดภัย ก็ถามเต๋อฝูว่า “ช่วงนี้อ๋องหลีกำลังทำอะไร?”เต๋อฝูเดินออกมาสองก้าว โน้มกายกล่าวตอบ“ตามรายงาน หลายวันนี้อ๋องหลีอยู่แต่ในจวน ปิดประตูไม่ออกและไม่รับแขก ไม่ทำอะไรเลยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อฮ่องเต้ได้ยินก็ขมวดคิ้วเขาจะทำตัวดีเช่นนี้? เชื่อฟังเช่นนี้?ผิดปกติเล็กน้อยนิ้วมือกดตรงหว่างคิ้ว นวดเบาๆ สองสามที มองไปทางเมฆดำที่อยู่นอกหน้าต่าง ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่ จู่ๆ ก็หยิบพู่กันขึ้นมาเขียนอะไรบางอย่างประทับตรามังกรรอคราบหมึกเริ่มแห้ง เขาม้วนราชโองการฉบับนั้น ส่งให้เต๋อฝู“นำมันไปซ่อน ห้ามให้คนอื่นรู้เรื่องนี้”เต๋อฝูได้กลิ่นแปลกๆ“ฝ่าบาท นี่…” ใจสั่นแปลกๆ“เต๋อฝู เจ้าติดตามเรามาทั้งชีวิต เรารู้ว่าเจ้าเป็นคนที่ไว้ใจได้ ด้วยเหตุนี้ทำอะไรก็ไม่เคยปิดบังเจ้า เจ้าน่าจะเข้าใจค
พริบตาเดียว ยามราตรีมาเยือนพระนัดดาองค์โตกับฝาแฝดหนึ่งคู่ เด็กทั้งสามคนจัดงานเลี้ยงอาหารค่ำด้วยกัน นั่นเป็นภาพอันหรูหราอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในเมืองหลวง ราษฎรร่วมเฉลิมฉลองวันมงคลนี้ ในวังหลวง ยิ่งจุดเทียนสว่างไสว แขกเหรื่อทยอยกันมา ทุกที่ร้องรำทำเพลง คึกคักมากสถานที่จัดงานเลี้ยงหลักครอบคลุมพื้นที่ห้าตำหนัก นอกจากตำหนักหลัก อีกสี่ตำหนักก็นั่งจนเต็ม ของขวัญที่ได้รับกองเป็นภูเขา มีของดีที่แปลกตาต่างๆ เต็มไปหมด หรูหรานับไม่ถ้วนเฟิงเย่เสวียนกับฉู่เชียนหลีเข้าวังร่วมงานเลี้ยง เด็กทั้งสองเบิกกว้าง มองซ้ายมองขวาด้วยความอยากรู้อยากเห็นเฟิงเจิ้งหลีจับมือฉู่เจียวเจียวมาสองฝ่ายพบกัน แขกพากันเข้ามาทักทายทั้งหน้าทั้งหลัง“ขอแสดงความยินดีกับอ๋องเฉิน พระชายาอ๋องเฉิน ขอแสดงความยินดีกับอ๋องหลี พระชายาอ๋องหลี…”“ยินดีด้วย ยินดีด้วย”“ขอให้เด็กทุกคนเติบโตอย่างแข็งแรง ร่มรื่นมีความสุข…”เสียงอวยพรต่างๆ ดังขึ้นระลอกแล้วระลอกเล่า ตรงนี้พูดจบ ตรงนั้นก็ดังขึ้น เสียงดังเป็นพิเศษเฟิงเย่เสวียนกับเฟิงเจิ้งหลีสบตากันแวบหนึ่ง มุมปากทั้งสองต่างเผยให้เห็นรอยยิ้มจางๆ ที่สุภาพ แต่ในแววตาไร้ความอบอุ่นใด
ตำหนักหลักร้องรำทำเพลงเฉลิมฉลอง ร่วมดื่มอย่างสุขสันต์ มีการแสดงเสียงเพลงและการเต้นรำที่ใจกลางห้องโถง แขกเหรื่อดื่มสุรา สนทนา หัวเราะอย่างมีความสุขเฟิงเย่เสวียนถือจอกเหล้า ดื่มกับผู้ที่มาคารวะเหล้าเป็นระยะ และมองออกไปที่นอกตำหนักเป็นระยะ นั่งตัวตรงอย่างผ่าเผยฉู่เชียนหลีหยิบขนมในจานเข้าปาก หางตาเหลือบมองนอกตำหนักอย่างเงียบๆนอกตำหนัก ไร้คนลองคำนวณเวลาดู น่าจะได้เวลาแล้ว แต่ทางนั้นกลับเงียบไร้การเคลื่อนไหว หรือเกิดข้อผิดพลาดอะไร?“อย่าตื่นตระหนก”ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งจับมือเล็กของนาง เสียงหนาทุ้มต่ำ ทำให้นางรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูกฉู่เชียนหลียิ้มแล้วยิ้มอีก นางส่ายศีรษะ “อืม”ฝั่งตรงข้าม เฟิงเจิ้งหลีลุกขึ้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม“จื่อเยี่ยกับเว่ยซีลู่ฉินเกิดวันเดียวกัน ช่างเป็นวาสนาอะไรเช่นนี้ และทำให้มิตรภาพระหว่างพวกเราสองพี่น้องก้าวไปอีกขั้น มา ข้าดื่มให้อ๋องเฉินกับพระชายาอ๋องเฉินหนึ่งจอก”เขายกจอกเหล้าขึ้น เดินอ้อมโต๊ะไปที่หน้าโต๊ะของคนทั้งสองชูจอกเหล้าขึ้น ยิ้มอย่างอ่อนโยนอ๋องหลีมาคารวะเหล้า มีเหตุผลที่ไม่ดื่มด้วยหรือ?เฟิงเย่เสวียนยกเปลือกตา กวาดมองเขาอย่างเกียจคร้านแ
ทุกคนคิดว่ามีเหตุผล“ฝ่าบาทโปรดเปิดเผยต่อสาธารณะ ขจัดการคาดเดาที่ไร้สติของทุกคน ทำให้จิตใจราษฎรสงบ ทำให้บ้านเมืองมั่นคง!” มีขุนนางไม่น้อยกล่าวเป็นเสียงเดียวกันฮ่องเต้ถือจอกเหล้า สีหน้าพูดไม่ได้ว่าดีมากนัก เขาเม้มปาก มองดูคนทั้งสองที่ประจันหน้ากันเสือสองตัวสู้กัน ย่อมมีตัวหนึ่งที่บาดเจ็บเวลานี้ สายตาของทุกคนล้วนมองไปที่เขา เขาลังเลครู่หนึ่ง ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน“เรื่องนี้…”“เราได้ทำการตรวจสอบแล้วก็จริง แต่เรื่องนี้มีความซับซ้อน มีข้อสงสัยมากมาย หลักฐานมากมายยากจะแยกแยะจริงหรือเท็จ ชั่วขณะเราก็ไม่มั่นใจนัก”คำพูดของเขาคลุมเครือคิดได้สองแง่ทุกคนไม่แน่ใจความหมายของฮ่องเต้ ตกลงเข้าข้างอ๋องหลี หรือปกป้องอ๋องเฉิน?ขุนนางคนหนึ่งกล่าวเสนอแนะ“เมื่อครึ่งเดือนก่อน นายท่านรองกู้สารภาพเองกับปาก และเขาก็ได้ให้หลักฐานที่เกี่ยวข้อง เหตุใดไม่คุมตัวเขามา ให้เขาและหลักฐานเหล่านั้นเทียบกันทีละอย่างล่ะ?”เป็นวิธีที่ดีหลังจากฮ่องเต้ออกคำสั่ง ไม่นานนายท่านรองกู้ที่ถูกคุมขังในคุกหลวงก็ถูกพาตัวมาไม่เจอกันครึ่งเดือน เขาโทรมมากสวมชุดนักโทษ ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าสกปรก ผอมจนแก้มบุ๋มเข้าไป มือและเ
อันธพาลเจ็บจนกรีดร้องเหมือนหมูโดนเชือด “อ๊ะๆ!”ยังไม่ทันได้พักหายใจ ก็โดนถีบจนไปกลิ้งอยู่บนพื้น รองเท้าปักลายดอกไม้เหยียบลงบนหน้าอก หนักจนทำให้เขาหายใจไม่ออก กระอักเลือดออกมา“พู่!”เขากอดต้นขาของอวิ๋นอิง อยากดิ้นให้หลุด แต่หาของอวิ๋นอิงกดทับอยู่บนร่างกายของเขาเหมือนเหล็กกล้า และเขาก็เหมือนกับปลาตัวหนึ่งที่ถูกตอกตะปูอยู่บนเขียง พยายามดิ้นรนอย่างสุดชีวิต แต่ก็ดิ้นไม่หลุดเจอผีแล้ว!ทั้งที่นางผอมเช่นนี้ เหตุใดจึงมีแรงมากเช่นนี้?ผู้หญิงคนนี้ยังเป็นมนุษย์อยู่หรือ?ชาวบ้านก็ตะลึงเช่นกันอวิ๋นอิงอุ้มลูกสาวไว้ด้วยมือข้างเดียว ค่อยๆ ก้มลง ยกฝ่ามืออีกข้าง เหวี่ยงไปที่ใบหน้าของอันธพาลโดยตรง“ข้าสั่งให้เจ้าเก็บ”เพียะ!“ไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือ?”เพียะ!“หูหนวกหรือ?”เพียะ!หนึ่งประโยค หนึ่งฝ่ามือ ตบจนอันธพาลหันซ้ายหันขวา มุมปากแตกมีเลือดไหล หูอื้อ สะบักสะบอมเหมือนสุนัขจรจัดตัวหนึ่ง ไม่หลงเหลือความฮึกเหิมของก่อนหน้านี้เลย“ลูกพี่!”ลิ่วล้อสามคนคว้าโต๊ะเก้าอี้และท่อนไม้ที่อยู่ข้างๆ ฟาดไปทางอวิ๋นอิงอย่างแรงอวิ๋นอิงกระโดนหมุนตัวเตะพวกเขาสามคนจนลอยกระเด็นออกไปไกลเจ็ดแปดเมตร โดยไม่หั
ตงหลิงเจียงหนาน ทำเนียบสามเดือนที่พระชายาจากไป อ๋องเฉินเอาแต่เก็บตัว ไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลก หานเฟิงต้องรับผิดชอบงานแทนทุกอย่าง เมื่อนานวันเข้า โลกภายนอกต่างกำลังคาดเดา จิตใจของอ๋องเฉินได้รับกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ล้มแล้วลุกไม่ขึ้น เกรงว่าเหลือเวลาอีกไม่นานแล้วช่วงนี้ ในที่สุดอาการบาดเจ็บของจิ่งอี้ก็ดีขึ้นแล้วอาการบาดเจ็บทางกระดูกหรือเส้นเอ็น ต้องรักษาอย่างน้อยหนึ่งร้อยวันในที่สุดกระดูกซี่โครงที่หักสองซี่ก็หายดีแล้ว สามารถขี่ม้าได้แล้ว ตอนนั้นเขาบอกว่าจะนำทัพกลับแคว้นซีอวี้ทันทีแต่ก่อนไป เขาถามเหมือนไม่ใส่ใจ“เหตุใดไม่เจอแม่นางอวิ๋นอิงเลย?”จ้านหูจริงจังขึ้นมาทันที เขาตอบ“องค์ชายใหญ่ ข้าจะส่งคนไปสืบเดี๋ยวนี้!”“ไม่ต้อง”หลังจากปฏิเสธอย่างเฉยเมย ปีนขึ้นหลังม้า ขี่ออกไปคนเดียวแล้วจ้านหู “?”หมายความว่าอย่างไร?ตอนที่องค์ชายใหญ่หมดสติ แม้อวิ๋นอิงบอกว่าไม่สนใจ แต่แอบมาเยี่ยมองค์ชายใหญ่ตอนดึกดื่นเวลาที่ไม่มีคนองค์ชายใหญ่ก็อีกคน ทั้งที่คิดถึงอวิ๋นอิง แต่ไม่ยอมรับในใจของพวกเขาสองคนล้วนมีอีกฝ่าย ลูกสาวก็อายุเกือบครึ่งขวบแล้ว เหตุใดไม่ลองเปิดใจสักนิดแล้วอยู่ด้วยกันเลย
คืนแรกที่มาถึงต่างโลก ฉู่เชียนหลีฝันในความฝัน นางอยู่บนสนามรบ สู้จนตัวตาย เลือดไหลเป็นแม่น้ำ น่าสลดใจนัก…ในความฝัน นางได้ต่อสู้ร่วมกับชายคนหนึ่งที่มองไม่เห็นใบหน้า ร่วมเป็นร่วมตาย และยังมีเสียงที่นุ่มนิ่มของเด็ก เรียก ‘ท่านแม่’ ครั้งแล้วครั้งเล่าในความฝัน ราวกับนางได้รับความอยุติธรรมครั้งใหญ่ หัวใจเจ็บปวด และพยายามอธิบายสุดชีวิต แต่พวกคนที่เรียกตัวเองว่า ‘ครอบครัว’ ไม่เชื่อนาง และยังบีบคั้นนางสู่เส้นทางที่สิ้นหวังในความฝัน…มีคนกำลังเรียกนาง‘เชียนหลี…เชียนหลี…’ฉึก!ฉู่เชียนหลีลืมตาฉับพลัน ท้องฟ้าข้างนอกสว่างแล้ว แสงแดดอุ่นๆ ยามเช้าสาดส่องเข้ามา สามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของอากาศ สงบมากนางรู้สึกเวียนศีรษะ และแน่นหน้าอกราวกับนางอยู่ในความฝันอันยาวนานจริงๆนางได้รับความอยุติธรรมนางถูกคนในครอบครัวฆ่าตายแต่เหตุใดนางจำผู้ชายที่เรียกนาง และภาพที่เรียกนางว่า ‘ท่านแม่’ ไม่ได้เลย“องค์หญิง ท่านตื่นแล้ว”เมื่ออ้ายอ้ายได้ยินเสียง ถือกะละมังน้ำอุ่นกับเครื่องใช้เข้ามาปรนนิบัติฉู่เชียนหลีนวดขมับ อยู่ในอาการเหม่อลอย แขนขาอ่อนแรง ไม่มีแรงขยับ ดึงผ้าห่มออก ลงจากเตียง สวมรองเท้
สาวใช้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็รีบฝนหมึกอย่างเชื่อฟังมองดูองค์หญิงรีบหยิบพู่กัน เขียนอะไรบางอย่าง ท่าทางที่รีบร้อนนั่น เมื่อก่อนเวลาที่นังเป็นห่วงคุณชายเซิ่น ยังไม่รีบร้อนเช่นนี้เลยองค์หญิงกระโดดสระน้ำ หมดสติไปสามวัน หลังจากฟื้น ก็เปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อย?นิสัยเปลี่ยนไปน้ำเสียงเปลี่ยนไปแต่เมื่อลองตั้งใจมอง องค์หญิงยังคงเป็นองค์หญิง ยังคงเป็นใบหน้าที่คุ้นเคยฉู่เชียนหลีเขียนอย่างรวดเร็ว…อ๋องเฉินเป็นอย่างไรบ้าง ข้าอยู่แคว้นหนานยวน…พลางเขียน พลางกล่าวอย่างรีบร้อน “รีบไปหาคน ช่วยข้าส่งจดหมายฉบับนี้ไปให้อ๋องเฉินที่ตงหลิงเจียงหนาน”นางอยากบอกความจริงกับเฟิงเย่เสวียน ต่อให้ตนลืมแล้ว แต่เฟิงเย่เสวียนจำนางได้เขาจะต้องมาหานางแน่นอนไม่ช้าก็เร็วสักวัน พวกเขาครอบครัวสี่คนจะอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา“อ๋องเฉินแห่งตงหลิงเจียงหนาน?”สาวใช้เกาศีรษะด้วยความสงสัย “องค์หญิง ท่านส่งจดหมายให้อ๋องเฉินทำไม? ท่านรู้จักอ๋องเฉินตั้งแต่เมื่อไร?”ฉู่เชียนหลีรีบกล่าว“อธิบายกับเจ้าไม่ได้ แต่ความสัมพันธ์ของข้ากับอ๋องเฉินไม่ธรรมดา…อ๋องเฉิน? อ๋องเฉินตงหลิง?”เงยหน้าฉับพลัน“ข้ารู้จักอ๋องเฉ
ทุกคน “...”สีหน้าฮ่องเต้หนานยวนดูไม่ดีนัก เซิ่ยซือเฉินเป็นแค่บัณฑิตคนหนึ่ง เพื่อบัณฑิตคนหนึ่ง ต้องทุ่มสุดตัวเช่นนี้เลย ต้องตื่นเต้นเช่นนี้เลย?ในฐานะองค์หญิง ไม่ควรมองให้ไกลกว่านี้หน่อยหรือ?เพื่อป้องกันจวินลั่วยวนทำร้ายตัวเอง เขาออกคำสั่ง มัดมือและเท้าของนางโดยตรงจวินลั่วยวนขยับไม่ได้แล้วเห็นท่าทางที่จะยิ้มไม่ยิ้มของฉู่เชียนหลี และยังเลิกคิ้วอย่างยั่วยุ นางโมโหจนแทบกัดลิ้นฆ่าตัวตายหลังจากเหตุการณ์ที่วุ่นวาย ไปจากตำหนักองค์หญิงฉู่เชียนหลีกับหลิงอี้ซิงเดินเคียงข้างกันจากไป เมื่ออารมณ์ดี จังหวะการเดินก็ผ่อนคลายเป็นพิเศษ อดไม่ได้ที่จะฮัมเพลงเบาๆฮัมไปฮัมมา จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าหลิงอี้ซิงเป็นผู้มีจิตใจเมตตา อุทิศตนให้กับความดีและคุณธรรมหยุดฝีเท้าหันไปถาม “ท่านพี่ ท่านน่าจะเห็นกระมัง ว่าข้าจงใจรังแกจวินลั่วยวน?”หลิงอี้ซิงเดินตามปกติ สายตามองไปข้างหน้า พยักหน้าอย่างเกียจคร้าน ตอบสั้นๆ เพียงคำเดียว“อืม”“ท่านไม่รู้สึกว่าข้านิสัยไม่ดีหรือ?”เขาหยุดเดินหันมามองนาง กล่าวอย่างจริงจัง “ที่เจ้ารังแกนาง นั่นก็ต้องเป็นเพราะนางล่วงเกินเจ้าก่อนแน่นอน ล้วนเป็นความผิดของนาง”เขาไ
“ยวนเอ๋อร์! ยวนเอ๋อร์!” ฮ่องเต้หนานยวนร้อนใจจนหน้าถอดสี “ใครก็ได้ ใครก็ได้รีบมาเร็ว ยวนเอ๋อร์เสียเลือดมากเกินไป หมดสติไปแล้ว!”จวินลั่วยวนที่ ‘เสียเลือดมากเกินไปจนหมดสติ’ “...”เจ้าน่ะสิที่เสียเลือดมากเกินไปเจ้าเสียเลือดมากเกินไปทั้งครอบครัว!หมอหลวงมาอย่างรวดเร็ว หลังจากทำแผลให้จวินลั่วยวนเสร็จ ถอนหายใจด้วยความกังวล “สามเดือนแล้ว ในที่สุดเอ็นขององค์หญิงก็เชื่อมต่อกัน คิดไม่ถึงว่าขาดอีกแล้ว ความพยายามในช่วงสามเดือนที่ผ่านมาล้วนสูญเปล่า” ต่อจากนี้ก็ต้องใช้เวลาอีกสามเดือน เปิดบาดแผล บำรุงเอ็นทุกวันเมื่อฉู่เชียนหลีได้ยินคำนี้ เบ้าตาแดงฉับพลัน“ล้วนเป็นความผิดของข้า…”นางดึงชายเสื้อของหลิงอี้ซิง กล่าวเสียงสะอึก“ท่านพี่ ข้ามันไม่ดี ต้องเป็นเพราะเรื่องของคุณชายเซิ่นแน่ องค์โกรธข้า ไม่ชอบข้า จึงฟาดมือของตัวเองใส่เสา เพื่อเป็นการแสดงความรังเกียจต่อข้า”“ข้าทำร้ายนาง ฮือๆ…”หลิงอี้ซิงรักน้องสาว ทุกคนในแคว้นหนานยวนรู้เรื่องนี้แล้วฮ่องเต้หนานยวนกล่าวโทษนางได้อย่างไร?กลับกัน เขายังต้องขอร้องหลิงอี้ซิงทักษะการทำนายของหลิงอี้ซิงมีเพียงหนึ่งเดียวในใต้ฟ้า ตลอดหลายปีที่เขานั่งตำแหน
ระหว่างที่ทั้งสองคุยกัน นางค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้เตียง จวินลั่วยวนนอนหลับแล้ว ไม่ได้เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน หน้าซีดซูบผอม เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกฉู่เชียนหลีเหลือบมองแวบหนึ่ง“เหตุใดข้อมือของนางยังมีเลือด?”สามเดือนแล้ว แผลยังไม่หาย?นางกำนัลที่อยู่ข้างๆ ตอบ“หมอหลวงบอกว่า จะใช้ยาพิเศษรักษาเอ็นมือและเท้าที่ขาดขององค์หญิง จำเป็นต้องเปิดแผล ขยับเอ็นที่ขาดไปรวมกันทุกวัน จนกระทั่งเชื่อมต่อกัน”“ฮืม?”ฉู่เชียนหลีเลิกคิ้วด้วยความสนใจเช่นนี้ก็เท่ากับว่า จวินลั่วยวนต้องทนกับความเจ็บปวดที่ใช้มีดเปิดปากแผลทุกวันติดต่อกันสามเดือนเต็มๆ น่าสังเวชน่าจะเจ็บมากกระมัง?นางค่อยๆ นั่งลง จับข้อมือของจวินลั่วยวนเบาๆ มองผ้าพันแผลที่ถูกพันห้าหกรอบอย่างครุ่นคิดทันใดนั้นออกแรงกดที่นิ้ว“ซี้ด…!”จวินลั่วยวนเจ็บจนตื่น ลืมตาทันทีฉู่เชียนหลีรีบปล่อยมือ “โอ๊ย…ขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจแตะตัวท่าน ดูท่านเจ็บมากเลยนะ ขอโทษจริงๆ”“!”หลินเหยี่ยมาอยู่ในตำหนักของนางได้อย่างไร?นางรังเกียจผู้หญิงคนนี้ที่สุด!อาศัยที่พี่ชายของตัวเองเป็นราชครู แสร้งทำเป็นช่วยเหลือชาวบ้าน ทำแต่ความดีทุกวัน มีแต่คนบอกว่าองค์หญ
เซิ่นสือเฉิน “?”เหตุใดวันนี้รู้สึกว่าหลิงเหยี่ยแปลกๆ?เมื่อก่อนนางชอบเขามากเลยไม่ใช่หรือ? เวลาที่เขาอ่านหนังสือ นางชอบมาอยู่ข้างๆ ฝนหมึกพัดลมให้เขา เวลาที่เขาเขียนหนังสือ นางชอบแอบที่นอกหน้าต่าง จับจิ้งหรีดเล่น เวลาที่เขางีบหลับ นางมักจะชงชาหิมะชั้นดีมาให้เขานางยังบอกว่าจะแต่งงานกับเขาคนเดียวเหตุใดแค่วันเดียว ก็ปล่อยวางได้แล้ว?“องค์หญิงหลิง ข้าขอโทษ” เขากล่าวอย่างรู้สึกผิดที่จริงเขาก็ชอบหลิงเหยี่ยเช่นกัน แต่องค์หญิงยวนบอกเขาว่าหลิงเหยี่ยนิสัยไม่ดี ชอบรังแกคนรับใช้ หาเรื่องชาวบ้าน ใส่ร้ายโยนความผิดให้ผู้อื่นด้วยวิธีที่น่ารังเกียจ และทำทุกอย่างเพื่อบรรลุเป้าหมายเขาเป็นคนเรียนหนังสือ นิสัยซื่อตรง ไม่สามารถยอมรับคนที่จิตใจอำมหิตอย่างหลิงเหยี่ยเมื่อเปรียบเทียบกัน เขาชอบจวินลั่วยวนที่ไร้เดียงสา จิตใจดี และร่าเริงมากกว่า“เมื่อก่อนท่านส่งข้าเรียนหนังสือ ช่วยข้าหาอาจารย์ ใช้เส้นสาย ทำให้ข้าสอบติดขุนนาง…บุญคุณส่วนนี้ ข้า ข้าทำได้เพียงตอบแทนท่านชาติหน้าแล้ว…”ฉู่เชียนหลียิ้มอย่างอ่อนโยน“ไม่เป็นไร แค่เรื่องเล็กน้อย”“ได้ยินมาว่าองค์หญิงยวนได้รับบาดเจ็บ พวกเราเข้าวังไปดูนางกันเ
องค์หญิง?คุณชายเซิ่น?ฉู่เชียนหลีไม่ได้รับความทรงจำใดๆ เพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก สับสนและงงงวยเล็กน้อยยังไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มีเสียงฝีเท้าที่ยุ่งเหยิงและเสียงต่อต้านดังมาจากนอกประตู “ใต้เท้าหลิง! ใต้เท้าหลิง ต่อให้ท่านบีบคั้นข้าจนตาย ข้าก็ไม่แต่งงานกับนาง!”“ตั้งแต่ต้นจนจบ ในใจข้ามีเพียงองค์หญิงยวนเอ๋อร์เท่านั้น!”ยวนเอ๋อร์?องค์หญิง?ฉู่เชียนหลีเงยหน้ามองไป เห็นชายหนุ่มสวมชุดเพ้าสีขาวและที่ครอบผมหยก กำลังลากผู้ชายที่ท่าทางสุภาพเหมือนคนเรียนหนังสือเข้ามานางตระหนักถึงบางอย่าง รีบดึงสาวใช้ที่อยู่ข้างกายมาถามเบาๆ“ที่นี่คือแคว้นหนานยวน?”สาวใช้ “?”องค์หญิงเป็นอะไรไป?เหตุใดถามคำถามเช่นนี้?“องค์หญิง ท่าน…”“อย่าพูดไร้สาระ ตอบข้า!”สาวใช้ตกใจ รีบกล่าว “ท่านคือหลิงเหยี่ย องค์หญิงต่างแซ่ของแคว้นหนานยวน ใต้เท้าคือมหาราชครูของแคว้นหนวนยวน เป็นพี่ชายแท้ๆ ของท่าน เพราะใต้เท้าชำนาญการทำนาย เคยช่วยแคว้นสามครั้ง สร้างคุณประโยชน์มากมาย ท่านจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์หญิงต่างแซ่…”คำพูดที่เหลือ ฉู่เชียนหลีมองข้ามโดยตรงสิ่งเดียวที่นางคิดคือ นางถูกส่งมาเป็นองค์หญิงต่างแซ่ อีกท