เวลาผ่านไปไวมาก พริบตาเดียว ก็เข้าใกล้วันที่พระนัดดาองค์โตอายุครบหนึ่งเดือนแล้วเนื่องจากพระนัดดาองค์โตกับฝาแฝดเกิดวันเดียวกัน เพื่อแสดงความยุติธรรม ฮ่องเต้จัดงานเลี้ยงในพระราชวัง เฉลิมฉลองให้เด็กทั้งสามคนพร้อมกันยิ่งใกล้งานเลี้ยงอายุครบหนึ่งเดือน เมืองหลวงกลับยิ่งสงบสุขเงียบติดต่อกันหลายวันแล้ว ไม่มีความขัดแย้งใดๆ เกิดขึ้น ราวกับทุกคนกำลังใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ ไม่มีข้อพิพาท ไม่มีวิวาท ไม่มีการวางแผน และทะเลาะกัน…แน่นอน ความสงบไม่ใช่สัญญาณที่ดีเสมอไปมีพายุฝนกี่ลูกที่มาเยือนโดยไม่มีลางบอกเหตุ?บ่อยครั้งที่ความสงบ เป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดจวนอ๋องเฉินกลางดึก“ยังไม่พักผ่อนหรือ?” ฉู่เชียนหลีถือชาร้อนที่เพิ่งชงเสร็จหนึ่งถ้วย วางลงข้างมือเฟิงเย่เสวียน หลังจากนั้นเดินไปที่ข้างหลัง นวดไหล่ให้เขาเบาๆเฟิงเย่เสวียนวางของในมือลง มันคือภาพกลยุทธ์ของเมืองหลวงฉบับหนึ่งเพิ่งวางลง จู่ๆ ก็หยิบขึ้นมา หลังจากพับครึ่ง ก็ส่งให้นางแล้ว“เก็บไว้”ฉู่เชียนหลีชะงักเล็กน้อย “ข้าจะเอาภาพกลยุทธ์ของเมืองหลวงไปทำอะไร?”เขาไม่ได้อธิบาย “ให้เจ้าเก็บไว้เจ้าก็เก็บไว้”ฉู่เชียนหลีหลุบตา ปลายนิ้วสัมผัส
พูดถึงงานเลี้ยงอายุครบหนึ่งเดือนนี้ ฮ่องเต้มาเตรียมการด้วยตัวเองทั้งหมด เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนไปจนถึงพิธีธรรมเนียม กฎเกณฑ์และข้อกำหนด ล้วนผ่านมือของเขา ขั้นตอนแล้วขั้นตอนเล่า กระทั่งเขาพยักหน้า คนที่อยู่ข้างล่างจึงจะกล้าไปทำห้าชั่วยามก่อนงานเลี้ยงเริ่มหลังจากฮ่องเต้สั่งให้ทหารรักษาพระองค์เตรียมความพร้อมด้านความปลอดภัย ก็ถามเต๋อฝูว่า “ช่วงนี้อ๋องหลีกำลังทำอะไร?”เต๋อฝูเดินออกมาสองก้าว โน้มกายกล่าวตอบ“ตามรายงาน หลายวันนี้อ๋องหลีอยู่แต่ในจวน ปิดประตูไม่ออกและไม่รับแขก ไม่ทำอะไรเลยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อฮ่องเต้ได้ยินก็ขมวดคิ้วเขาจะทำตัวดีเช่นนี้? เชื่อฟังเช่นนี้?ผิดปกติเล็กน้อยนิ้วมือกดตรงหว่างคิ้ว นวดเบาๆ สองสามที มองไปทางเมฆดำที่อยู่นอกหน้าต่าง ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่ จู่ๆ ก็หยิบพู่กันขึ้นมาเขียนอะไรบางอย่างประทับตรามังกรรอคราบหมึกเริ่มแห้ง เขาม้วนราชโองการฉบับนั้น ส่งให้เต๋อฝู“นำมันไปซ่อน ห้ามให้คนอื่นรู้เรื่องนี้”เต๋อฝูได้กลิ่นแปลกๆ“ฝ่าบาท นี่…” ใจสั่นแปลกๆ“เต๋อฝู เจ้าติดตามเรามาทั้งชีวิต เรารู้ว่าเจ้าเป็นคนที่ไว้ใจได้ ด้วยเหตุนี้ทำอะไรก็ไม่เคยปิดบังเจ้า เจ้าน่าจะเข้าใจค
พริบตาเดียว ยามราตรีมาเยือนพระนัดดาองค์โตกับฝาแฝดหนึ่งคู่ เด็กทั้งสามคนจัดงานเลี้ยงอาหารค่ำด้วยกัน นั่นเป็นภาพอันหรูหราอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในเมืองหลวง ราษฎรร่วมเฉลิมฉลองวันมงคลนี้ ในวังหลวง ยิ่งจุดเทียนสว่างไสว แขกเหรื่อทยอยกันมา ทุกที่ร้องรำทำเพลง คึกคักมากสถานที่จัดงานเลี้ยงหลักครอบคลุมพื้นที่ห้าตำหนัก นอกจากตำหนักหลัก อีกสี่ตำหนักก็นั่งจนเต็ม ของขวัญที่ได้รับกองเป็นภูเขา มีของดีที่แปลกตาต่างๆ เต็มไปหมด หรูหรานับไม่ถ้วนเฟิงเย่เสวียนกับฉู่เชียนหลีเข้าวังร่วมงานเลี้ยง เด็กทั้งสองเบิกกว้าง มองซ้ายมองขวาด้วยความอยากรู้อยากเห็นเฟิงเจิ้งหลีจับมือฉู่เจียวเจียวมาสองฝ่ายพบกัน แขกพากันเข้ามาทักทายทั้งหน้าทั้งหลัง“ขอแสดงความยินดีกับอ๋องเฉิน พระชายาอ๋องเฉิน ขอแสดงความยินดีกับอ๋องหลี พระชายาอ๋องหลี…”“ยินดีด้วย ยินดีด้วย”“ขอให้เด็กทุกคนเติบโตอย่างแข็งแรง ร่มรื่นมีความสุข…”เสียงอวยพรต่างๆ ดังขึ้นระลอกแล้วระลอกเล่า ตรงนี้พูดจบ ตรงนั้นก็ดังขึ้น เสียงดังเป็นพิเศษเฟิงเย่เสวียนกับเฟิงเจิ้งหลีสบตากันแวบหนึ่ง มุมปากทั้งสองต่างเผยให้เห็นรอยยิ้มจางๆ ที่สุภาพ แต่ในแววตาไร้ความอบอุ่นใด
ตำหนักหลักร้องรำทำเพลงเฉลิมฉลอง ร่วมดื่มอย่างสุขสันต์ มีการแสดงเสียงเพลงและการเต้นรำที่ใจกลางห้องโถง แขกเหรื่อดื่มสุรา สนทนา หัวเราะอย่างมีความสุขเฟิงเย่เสวียนถือจอกเหล้า ดื่มกับผู้ที่มาคารวะเหล้าเป็นระยะ และมองออกไปที่นอกตำหนักเป็นระยะ นั่งตัวตรงอย่างผ่าเผยฉู่เชียนหลีหยิบขนมในจานเข้าปาก หางตาเหลือบมองนอกตำหนักอย่างเงียบๆนอกตำหนัก ไร้คนลองคำนวณเวลาดู น่าจะได้เวลาแล้ว แต่ทางนั้นกลับเงียบไร้การเคลื่อนไหว หรือเกิดข้อผิดพลาดอะไร?“อย่าตื่นตระหนก”ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งจับมือเล็กของนาง เสียงหนาทุ้มต่ำ ทำให้นางรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูกฉู่เชียนหลียิ้มแล้วยิ้มอีก นางส่ายศีรษะ “อืม”ฝั่งตรงข้าม เฟิงเจิ้งหลีลุกขึ้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม“จื่อเยี่ยกับเว่ยซีลู่ฉินเกิดวันเดียวกัน ช่างเป็นวาสนาอะไรเช่นนี้ และทำให้มิตรภาพระหว่างพวกเราสองพี่น้องก้าวไปอีกขั้น มา ข้าดื่มให้อ๋องเฉินกับพระชายาอ๋องเฉินหนึ่งจอก”เขายกจอกเหล้าขึ้น เดินอ้อมโต๊ะไปที่หน้าโต๊ะของคนทั้งสองชูจอกเหล้าขึ้น ยิ้มอย่างอ่อนโยนอ๋องหลีมาคารวะเหล้า มีเหตุผลที่ไม่ดื่มด้วยหรือ?เฟิงเย่เสวียนยกเปลือกตา กวาดมองเขาอย่างเกียจคร้านแ
ทุกคนคิดว่ามีเหตุผล“ฝ่าบาทโปรดเปิดเผยต่อสาธารณะ ขจัดการคาดเดาที่ไร้สติของทุกคน ทำให้จิตใจราษฎรสงบ ทำให้บ้านเมืองมั่นคง!” มีขุนนางไม่น้อยกล่าวเป็นเสียงเดียวกันฮ่องเต้ถือจอกเหล้า สีหน้าพูดไม่ได้ว่าดีมากนัก เขาเม้มปาก มองดูคนทั้งสองที่ประจันหน้ากันเสือสองตัวสู้กัน ย่อมมีตัวหนึ่งที่บาดเจ็บเวลานี้ สายตาของทุกคนล้วนมองไปที่เขา เขาลังเลครู่หนึ่ง ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน“เรื่องนี้…”“เราได้ทำการตรวจสอบแล้วก็จริง แต่เรื่องนี้มีความซับซ้อน มีข้อสงสัยมากมาย หลักฐานมากมายยากจะแยกแยะจริงหรือเท็จ ชั่วขณะเราก็ไม่มั่นใจนัก”คำพูดของเขาคลุมเครือคิดได้สองแง่ทุกคนไม่แน่ใจความหมายของฮ่องเต้ ตกลงเข้าข้างอ๋องหลี หรือปกป้องอ๋องเฉิน?ขุนนางคนหนึ่งกล่าวเสนอแนะ“เมื่อครึ่งเดือนก่อน นายท่านรองกู้สารภาพเองกับปาก และเขาก็ได้ให้หลักฐานที่เกี่ยวข้อง เหตุใดไม่คุมตัวเขามา ให้เขาและหลักฐานเหล่านั้นเทียบกันทีละอย่างล่ะ?”เป็นวิธีที่ดีหลังจากฮ่องเต้ออกคำสั่ง ไม่นานนายท่านรองกู้ที่ถูกคุมขังในคุกหลวงก็ถูกพาตัวมาไม่เจอกันครึ่งเดือน เขาโทรมมากสวมชุดนักโทษ ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าสกปรก ผอมจนแก้มบุ๋มเข้าไป มือและเ
แทบจะครึ่งหนึ่งของขุนนางเคลื่อนไหว พวกเขาไม่สามารถอดทนต่อโทษสถานหนักเช่นนี้ มองดูอ๋องหลีที่จิตใจอำมหิต แต่กลับแสร้งเป็นคนอ่อนโยนที่ยืนอยู่ตรงนั้น รู้สึกว่าน่ากลัวเป็นพิเศษตกเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบ บนใบหน้าเฟิงเจิ้งหลีก็ไม่ได้แสดงอารมณ์ที่แตกต่างกันมากนักสายตาของเขา มากกว่านั้นคือมองไปทางฉู่เชียนหลีไม่เพียงไม่ตื่นตระหนก มุมปากยังเผยอขึ้นอย่างคลุมเครือ สงบเหมือนกำลังนั่งตกปลาฉู่เชียนหลีสังเกตเห็นรอยยิ้มที่ลึกซึ้งของเขา ไม่รู้เพราะเหตุไร มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีแลบเข้ามาในสมอง ระหว่างความคลุมเครือ เหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่นอกเหนือกันควบคุม…ทันใดนั้น คำพูดของนายท่านรองกู้เปลี่ยนทิศทาง“แต่ว่า อ๋องหลีกลับไม่ได้คิดคด!”ทุกคนที่กำลังโจมตีอย่างดุเดือด “?”“ตอนนั้น ข้าเกลี้ยกล่อมให้อ๋องหลีร่วมมือกับข้า กำจัดอ๋องเฉินด้วยกัน อ๋องหลีกลับคิดว่าเขากับอ๋องเฉินเป็นพี่น้องกัน ในร่างกายมีสายเลือดที่เหมือนกันไหลเวียนอยู่ พูดอะไรก็ไม่ยอมร่วมมือกับข้า!”“?”“เขาถึงขั้นแอบทำทีติดต่อกับซยงหนูที่เป่ยเจียงอย่างลับๆ ล้วงข้อมูลการจัดวางกองกำลังและแผนของพวกเขา เปิดเผยให้อ๋องเฉิน อ๋องเฉินจึงสามารถตีซยงหนูจ
กู้ชิงชิงรู้สึกไม่สบายใจ แม้แต่เสียงพูดก็กำลังสั่น“จำคำพูดของพ่อไว้!”“จำไว้ให้ดีๆ!”นายท่านรองกู้เบิกตากว้าง การแสดงออกดูน่ากลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เสียงก็ไม่เคยดุดันและหนักแน่นเช่นนี้พลันพลิกมือก็คว้าคอเสื้อของหลิงเชียนอี้ข้ามโต๊ะ“ท่านโหวน้อย ชิงชิงกับเจ้าหมั้นหมายกันตั้งแต่เด็ก เจ้าต้องดีกับนาง ไม่เช่นนั้น ข้าเป็นผีก็ไม่ละเว้นเจ้า!”เขาส่ายศีรษะเหมือนบ้าไปแล้ว น้ำลายกระเด็น“นางเป็นเมียของเจ้า เป็นทั้งชีวิต! ถ้าหากเจ้ากล้าปลดนาง หรือรังแกนาง ข้าจะทำให้เจ้าไม่ได้ตายดี! ข้าจะให้เจ้าชดใช้ด้วยชีวิต! ทั้งตระกูลกู้คือที่พึ่งของนาง นางได้รับความคับข้องใจแม้แต่น้อย ทั้งตระกูลกู้ของข้าจะทุ่มกำลังทั้งหมด ต่อให้ต้องล่มจมไปพร้อมกับจวนโหวติ้งกว๋อ ก็ไม่มีทางปล่อยให้เจ้าได้อยู่อย่างมีความสุข!”หลิงเชียนอี้ถูกเขากระชากจนโอนเอน ร่างกายยืนไม่มั่นคงแล้ว“เจ้าบ้าไปแล้ว!”เขาจับมือของนายท่านรองกู้ ออกแรงแกะออก “ปล่อยข้า!”“ข้าต้องการให้เจ้าดีกับชิงชิง! ทั้งชีวิตทั้งภพทั้งชาติ!”“ปล่อยข้า!”นายท่านรองกู้คลั่งอยู่ดีๆ จู่ๆ ก็สงบลงหลายส่วน มุมปากเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ขมขื่น กล่าวอย่างแผ่ว
“ข้าไม่ได้ฆ่าเขา! ข้าเปล่านะ!” หลิงเชียนอี้ตื่นตระหนกงานเลี้ยงอาหารค่ำของคืนนี้ สำคัญสำหรับอ๋องเฉินมาก ทุกคำพูดนั้นอาจนำมาซึ่งหายนะเขาไม่ได้ช่วยอะไรอ๋องเฉิน กลับกันยังถูกนายท่านรองกู้รุกฆาตเขามองไปทางอ๋องเฉินอย่างตื่นตระหนก“ท่านน้า ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจ นายท่านรองกู้เป็นคนกระโจนเจ้ามาหาข้าเอง เขาใส่ร้ายข้า! เขาใส่ร้ายข้า…”เขาถูกปรักปรำ!“ข้าไม่ได้ฆ่าคนปิดปาก ไม่ได้ทำลายหลักฐาน ข้าเปล่านะ…”ฉู่เชียนหลีย่อมรู้ว่าเขาบริสุทธิ์ใช้นิ้วเท้าคิด ก็สามารถมองออกว่านายท่านรองกู้ใช้การตายของตัวเอง ไปใส่ความอ๋องเฉินแต่เมื่อครู่ต่อหน้าคนมากมาย ต่อให้รู้ว่าหลิงเชียนอี้คือผู้บริสุทธิ์ ก็ไม่สามารถปิดปากของทุกคนเพราะเรื่องนี้ พวกเขาตกเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบแล้ว…เฟิงเจิ้งหลีหัวเราะอย่างเย้ยหยัน กล่าวอย่างเชื่องช้า“อ๋องเฉินเอ๋ย น้องเจ็ดเอ๋ย เจ้ากับข้าเป็นพี่น้องกัน แม้ไม่ใช่แม่เดียวกัน แต่เลือดที่ไหลอยู่ในร่างกายล้วนเหมือนกัน เหตุใดเจ้าต้องทำให้มันเด็ดขาดเช่นนี้ด้วย?”เขามองเฟิงเย่เสวียนด้วยสายตาลึกล้ำ“หรือเพราะข้ามีชีวิตอยู่ มันขัดแข้งขัดขาเจ้า?”อัครมหาเสนาบดีฉู่พูดแซง “อ๋องหลี
สีหน้าจวินลั่วยวนเปลี่ยนเล็กน้อยเสด็จพี่รองจะช่วยนางเอง นางไม่ได้ขอให้เสด็จพี่รองทำเช่นนี้สักหน่อยเสด็จพี่รองยินดีทำเช่นนี้เอง เหตุใดกลายเป็นความผิดของนางแล้ว?อีกอย่างนะ เขาเป็นพี่ชาย นางเป็นน้องสาว พี่ชายปกป้องน้องสาว มันก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้วไม่ใช่หรือ?“จวินลั่วยวน เจ้ารู้หรือไม่ เจ้ามันไม่รู้จักพอ เจ้าเป็นแค่คนที่รู้จักเอาผลประโยชน์จากคนอื่น แต่ไม่เคยเสียสละ ไม่เคยตอบแทน เมื่อนานวันเข้า ก็กลายเป็นนิสัยเห็นแก่ตัว”“คิดว่าตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง”“เอาแต่ได้อย่างเดียว”“ดูผิวเผินเหมือนเจ้าอยู่ในครอบครัวที่มีความสุข แต่ในความเป็นจริง ก็ไม่รู้เลยว่าอะไรคือความรักและความอบอุ่นในครอบครัว กลับกัน ข้ายังรู้สึกว่ามันไม่คุ้มค่าแทนองค์ชายรอง”เขายอมเสี่ยงชีวิตช่วยน้องสาวออกมา แต่นางไม่สนใจความเป็นความตายของเขาเลยจวินลั่วยวนโกรธเล็กน้อยพูดถึงคำว่าครอบครัว นางก็จะนึกถึงเรื่องที่นางไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ ของฮองเฮาหนานยวนคำพูดของฉู่เชียนหลีกำลังเตือนนาง ความสุขที่นางได้รับในปัจจุบัน ล้วนขโมยมาทั้งสิ้น“ข้าควรทำอย่างไร เกี่ยวอะไรกับเจ้า!”นางเถียงกลับอย่างโกรธเคือง“ที่เสด็จพี่รองของ
สิ้นเสียงตะโกน เขาถูกทหารที่โถมเข้ามาปิดล้อมทหารโถมเข้ามาอย่างดุดันราวกับคลื่นยักษ์ กลืนกินเขาเข้าไปในนั้น เขาฟันกระบี่อย่างแน่วแน่ กัดฟันแน่น ทั่วร่างเต็มไปด้วยบาดแผลและเลือดเขายืนหยัดจนถึงแรงเฮือกสุดท้าย…ฉู่เชียนหลีตกใจมากคิดไม่ถึงว่าองค์ชายรองหนานยวนคนนี้ ต้องเสียสละชีวิตเพื่อน้องสาวแล้วหันมามองจวินลั่วยวน“อ๊ะ!”“ช่วยด้วย!”“รีบไป พวกเรารีบไปเร็ว! ถ้ายังไม่ไป ต้องตายอยู่ที่นี่แน่!”จวินลั่วยวนกลัวจนสติแตกไปแล้ว กุมศีรษะกรีดร้องไม่หยุด ริมฝีปากซีด ยกกระโปรงขึ้นก็วิ่งออกไปข้างนอก “รีบหนีเร็ว! อ๊ะ!”“...”พี่ชายของนางถูกปิดล้อม ชีวิตเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย นางจะไปทั้งเช่นนี้?ฉู่เชียนหลีขมวดคิ้ว แต่นึกถึงคำพูดของจวินอี้หลิน นางทำได้เพียงไล่ตาม“อ๊ะ!”“อ๊ะ!”จวินลั่วยวนพลางวิ่ง พลางกรีดร้อง ซึ่งดึงดูดความสนใจของทหาร มีทหารส่วนหนึ่งแยกตัวออกมาไล่ตามสายตาฉู่เชียนหลีขรึมลง ก้าวไปข้างหน้า “จวินลั่วยวน! หุบปาก!”ร้องต่อไปไม่ได้แล้ว!“เจ้าอยากล่อทุกคนมาหรือ!”“อ๊ะๆ! ข้ากลัว! เลือดเต็มไปหมด! จะตาย…อ๊ะ!”“หุบปาก!”“อ๊ะ!”เพียะ!นางไม่ฟังเลย ฉู่เชียนหลีเห็นทหารที่ม
เหล่าทหารตื่นตัวขึ้นมาทันที ทุกคนพากันหันไปมอง ก็เห็นร่างเงาสีดำวิ่งผ่าน สีหน้าเปลี่ยนฉับพลัน“แย่แล้ว!”“มีคนลอบโจมตี!”เสียงตะโกนทำให้ทุกคนตื่นตัว และคนหกเจ็ดสิบคนที่อยู่ใกล้ที่สุดก็รีบวิ่งมา พบฉู่เชียนหลีและคนอื่นแล้ว“จับพวกเขา!”ชักอาวุธออกมาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ลงมือโดยตรงฉู่เชียนหลีเห็นท่าไม่ดี ทำได้เพียงถือกระบี่ต่อสู้กับพวกเขา“เผด็จศึกโดยเร็ว อย่ายืดเยื้อ เน้นช่วยคนเป็นหลัก!”ยิ่งสู้นาน ก็จะยิ่งดึงดูดคนมามากขึ้นฉวยโอกาสตอนที่การเคลื่อนไหวของที่นี่ยังไม่กระจายออกไป รีบจัดการโดยเร็ว ช่วยอ๋องเฉินออกมา และรีบถอนกำลัง นี่จึงจะเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุด“เจ้าค่ะ!”หานอิ๋งชักกระบี่ พาเหล่าองครักษ์ลับพุ่งออกไป เริ่มสู้กับเหล่าทหาร“ลงมือ!”จวินอี้หลินตวาดเบาๆ เขาดึงน้องสาวมาไว้ในอ้อมแขน ใช้มือข้างหนึ่งถือกระบี่ ต่อสู้กับทหารเหล่านั้นจนโกลาหลไปหมดทันใดนั้น ประกายดาบ เงากระบี่ เสียงตะโกน การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือดปัง!เคร้ง!“อ่า!”“พู่!”“ฉึก!”ในการต่อสู้ที่ดุเดือด มีคนล้มลง มีคนได้รับบาดเจ็บ มีคนกระอักเลือด ชั้นวาง ท่อนไม้ กาน้ำ ของต่างๆ ล้มเกลื่อนพื้นวุ่นวายไป
หลังจากฉู่เชียนหลีรวบรวมคนในเวลาที่สั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขณะเตรียมตัวออกเดินทาง ได้พบกับองค์ชายรองแคว้นหนานยวนหลังจากรู้จุดประสงค์การมาของเขา นางขมวดคิ้วแน่นองค์ชายรองเข้าร่วม นางย่อมยินดี แต่สายตาของนางมองไปที่จวินลั่วยวนโดยตรง กล่าวอย่างตรงไปตรงมา“นาง ไปไม่ได้”นิ้วชี้ชี้ไปทางจวินลั่วยวนโดยตรง“!”จวินลั่วยวนกระทืบเท้าทันที “เพราะอะไร!”แม้แต่เสด็จพี่รองก็ตอบตกลงแล้ว นางไปได้ไม่ได้ เกี่ยวอะไรกับฉู่เชียนหลี?“อ๋องเฉินถูกจับ พวกเราเป็นพันธมิตรกัน ข้าช่วยออกแรงอีกส่วนมันจะเป็นอะไร? เจ้าคิดว่าอาศัยแค่เจ้าคนเดียว สามารถช่วยอ๋องเฉินได้หรือ?”“การมีคนเพิ่มขึ้นหนึ่งคน ก็เท่ากับมีกำลังเพิ่มขึ้นหนึ่งส่วน จิตใจเจ้าคับแคบมาก ช่วยเปิดใจหน่อยได้หรือไม่?”เมื่อหานอิ๋งได้ยินคำพูดนี้ ก็จะพุ่งเข้าไปด้วยความหงุดหงิดทันทีพระชายาของพวกเขา ถึงคราวที่คนนอกจะมาสั่งสอนตั้งแต่เมื่อไร?คนที่ท่านอ๋องยังไม่ยอมตำหนิเลย จะปล่อยให้ขยะอย่างนางมารังแกได้อย่างไร?“หานอิ๋ง”ฉู่เชียนหลีห้ามนาง มีปัญหาน้อยลงดีกว่ามีปัญหาเพิ่ม อย่าทะเลาะกัน“พระชายา…”“ช่างเถอะ”จวินอี้หลินจับมือของจวินลั่วยวนแล้วก
เนื่องจากอ๋องเฉินถูกจับ บรรยากาศในทำเนียบจึงตึงเครียดมาก ทุกคนตั้งสติ ฟังคำสั่งของพระชายา ยืนเฝ้าประจำจุดของตัวเองอย่างเข้มงวดฉู่เชียนหลีออกคำสั่งปิดข่าว ห้ามแพร่งพรายเด็ดขาด เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความตื่นตระหนกที่ไม่จำเป็นนอกทำเนียบอีกด้านของถนนจวินลั่วยวนนั่งอยู่บนบันได ระหว่างเข่าที่ชนกัน มีลูกอมที่เพิ่งซื้อมาวางอยู่หลายถุงนางกัดไม้เสียบเล็กๆ ไว้ พลางเลียลูกอม ดวงตาที่สวยงามคู่นั้น มองเห็นที่ทหารที่วิ่งไปวิ่งมาด้วยสีหน้าร้อนใจ จากประตูใหญ่ของทำเนียบที่เปิดกว้าง เหมือนกับว่าเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นนางหรี่ตาเลียมุมปาก“หวานจัง”ซวงซวงกล่าวเสียงเบา “องค์หญิง ขนมนี่หวานเกินไป ท่านกินน้อยหน่อย ระวังฟันผุนะเจ้าคะ”“ซวงซวง ขนมนี่ไม่หวาน ความหมายของข้าคือ ข้ามีความสุข”จวินลั่วยวนลุกขึ้นยืน โยนถุงลูกอมให้ซวงซวง อมไว้ในปากหนึ่งชิ้น เดินกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุขซวงซวงสงสัยมีความสุข?มีความสุขอะไร?ก็แค่กินขนม ก็มีความสุขเช่นนี้แล้ว? หรือเป็นเพราะองค์ชายรองมา องค์หญิงมีความสุขมาก?ศาลาพักม้าจวินลั่วยวนเพิ่งกลับมา เห็นผู้ชายคนหนึ่งที่ท่าทางเหมือนรองแม่ทัพ กำลังรายง
ฉู่เชียนหลีเป็นคนประเภทชอบลงมือทำ พูดแล้วก็ทำเลยบ่ายวันนั้น อวิ๋นอิงก็ไปซื้อเรียนสำหรับเด็กมาแล้ว ในหนังสือมีภาพว่า และตัวอักษรขนาดใหญ่ เหมาะกับเด็กอายุสามสี่ขวบที่เพิ่งหัดอ่านฉู่เชียนหลีถือหนังสือ สอนเด็กทั้งสองอย่างอดทน“แมลงปอ”“เว่ยซี จื่อเยี่ย ดู อันนี้เรียกว่าแมลงปอ มีปีกยาวๆ หนึ่งคู่ และยังมีตาที่โต”“นี่คือผีเสื้อ มา อ่านตามแม่ ฮวาหูเตี๋ย”เว่ยซีมองนมจนน้ำลายไหล ดูน่าสงสารมากจื่อเยี่ยอ้าปากส่งเสียงอีอาๆ แต่พูดไม่ชัด ไม่สามารถออกเสียงที่ถูกต้อง หัดพูดจนแก้มสีชมพูจะกลายเป็นสีแดงแล้ว“ฮวา…ฝู…ฝู…ฝูเตี๋ย…”“ไม่ถูก ฮวาหูเตี๋ย”“ฮวา…ฝู…เตีย…เตียเตี่ย!”พลันจื่อเยี่ยตาเป็นประกาย จู่ๆ ก็โบกมือน้อยเหมือนผีเสื้อกระพือปีก ปากก็ตะโกนอย่างสนุกสนาน“เตียเตี่ย!”ความหมายของเขาเหมือนกำลังบอกว่า เตียเตี่ย[1]เป็นผีเสื้อ “...”อวิ๋นอิงอุ้มเจี๋ยวเจี๋ยวยืนดูที่ข้างๆ รู้สึกเพียงภาพนี้โหดร้ายและไร้มนุษยธรรมมาก จู่ๆ ก็สงสารเว่ยซีกับจื่อเยี่ยอย่างอธิบายไม่ถูกเด็กบ้านอื่นเริ่มเรียนตอนอายุห้าขวบแต่ของพระชายา หนึ่งขวบก็เริ่มเรียนแล้วนางก้มหน้า มองใบหน้าเล็กของลูกสาว กล่าวเสียงเบา
สองวันต่อจากนั้น ค่อนข้างสงบเพียงแต่สงครามกำลังจะปะทุขึ้นแล้ว เมื่อครึ่งเดือนก่อน อ๋องเฉินยึดเมืองเจียหนานได้ในคราวเดียว เพื่อโต้ตอบ ฮ่องเต้หลีเลือกที่จะร่วมมือกับแคว้นซีอวี้ ได้รับม้าศึก อาวุธ และยอดทหารที่หนึ่งคนสามารถสู้สิบคน เตรียมพร้อมลงสนามรบทุกเมื่อ สงครามดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ“กลับมาอย่างปลอดภัยนะ”ฉู่เชียนหลีผูกสายรัดเอวของเสื้อเกราะอ่อน สวมเสื้อเพ้าชั้นนอก และจัดแจงให้เฟิงเย่เสวียน ก่อนออกเดินทาง โอบเอวของเขาไม่ยอมปล่อยเป็นเวลานานเฟิงเย่เสวียนลูบศีรษะน้อยๆ ของนาง“อยู่บ้านดูแลเว่ยซีกับจื่อเยี่ยให้ดี อย่างมากข้าไปสองวันก็กลับ”“ระวังตัวด้วย”“อืม”จูบกลางหว่างคิ้วของนาง ถือกระบี่เดินจากไปฉู่เชียนหลีไปส่งถึงประตูใหญ่ กระทั่งมองไม่เห็นแผ่นหลังของเขา จึงจะกลับจวนร่างกายของอวิ๋นอิงฟื้นตัวได้ดี สีหน้าก็ดูดีขึ้นมาก มีกู่แพทย์คอยบำรุงรักษา สุขภาพของนางค่อยๆ ดีขึ้น และไม่กระอักเลือดแล้ว“พระชายา งานเลี้ยงอายุครบหนึ่งปีของเว่ยซีกับจื่อเยี่ย จะเชิญใครบ้างเจ้าค่ะ?” อวิ๋นอิงกำลังวางแผนพริบตาเดียว ยังเหลืออีกเจ็ดวัน เจ้าเด็กน้อยทั้งสองก็จะอายุหนึ่งปีแล้วเวลาผ่านไปเร็วมาก
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าจวินลั่วยวนเปลี่ยนฉับพลัน กลิ่นอายรอบกายขรึมลง มีความตื่นตระหนกสายหนึ่งแลบผ่านแววตาอย่างรวดเร็วพริบตาเดียวไม่นานก็สงบลง บนใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ“ท่านหมายความว่าอย่างไร?”“นี่ท่านพูดอะไรของท่าน!”นางสะบัดมือของจวินชิงอวี่หลุด ลุกขึ้นยืน ทั่วร่างเต็มไปด้วยความโกรธที่ถูกปรักปรำ“ข้าเป็นน้องสาวแท้ๆ ของท่าน ท่านกลับคิดว่าข้าทำเรื่องที่ไร้มโนธรรมเช่นนี้? เสด็จพี่สาม ก่อนที่ท่านจะพูด เคยถามใจตัวเองดูหรือไม่!”นางคำรามออกมาอย่างแค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรม ดวงตาก็กลายเป็นสีแดงไปแล้วจวินชิงอวี่รักนางมาก ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยตำหนินางแม้แต่คำเดียวแต่…“ยวนเอ๋อร์ เดิมทีคนที่วางยา เป็นคนตัดฟืนของทำเนียบเจียงหนาน รับคำสั่งจากฮองเฮาตงหลิง วางยาพิษทำร้ายพี่น้องฝาแฝด ถูกพระชายาอ๋องเฉินจับได้”“แต่เมื่อวานเจ้าส่งคนไปทำเนียบ คนตัดฟืนคนนี้ก็มาอยู่ที่ศาลาพักม้าแล้ว”“กลางคืน เสด็จแม่ก็ถูกพิษแล้ว”นำทั้งหมดนี้มาเชื่อมโยงกัน จะไม่ให้เขาสงสัยได้อย่างไร?จวินลั่วยวนเบิกตากว้าง“ข้าเป็นห่วงความร่วมมือของแคว้นหนานยวนกับอ๋องเฉิน ส่งคนไปลองถามดู ท่านกลับคิดว่าข้าติดสิ
ความจริงเป็นไปตามที่ฉู่เชียนหลีคาดการณ์หลังจากจวินชิงอวี่ตามจวินลั่วยวนทัน ปลอบใจนางอยู่นาน เขารับประกันและใช้คำพูดดีๆ สารพัด จึงจะสามารถทำให้น้องสาวหายโกรธกลับถึงศาลาพักมา ก็พลบค่ำแล้วฮองเฮาหนานยวนฟื้นแล้ว“เสด็จแม่ ท่านฟื้นแล้ว!”“เสด็จแม่ ท่านรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่? เจ็บคอหรือไม่?”จวินชิงอวี่ถามอย่างประหม่า จวินลั่วยวนรินน้ำอุ่นมาหนึ่งแก้ว ทั้งสองเฝ้าอยู่ที่หน้าเตียง มองมารดาด้วยความห่วงใยฮองเฮาหนานยวนรู้สึกเจ็บแบบแสบร้อนในลำคอ แค่ขยับเล็กน้อยก็เจ็บแสบมาก แม้กลืนน้ำก็เจ็บจนหน้าซีดนางเม้มปาก ไม่พูดสักคำจวินชิงอวี่จับมือของนาง กล่าวอย่างปวดใจ“เสด็จแม่ ท่านไม่ต้องกังวล พวกเราใช้ยาที่ดีที่สุดแล้ว ต้องดีขึ้นแน่นอน ทักษะการแพทย์ของพระชายาอ๋องเฉินเลิศล้ำ มีนางอยู่ ท่านจะต้องหายดีแน่นอน”จวินลั่วยวนพยักหน้า“ใช่แล้ว เสด็จแม่ ท่านก็อย่าเสียใจไปเลย อีกสามถึงห้าปีก็หายแล้ว”“...”คำพูดนี้ ฟังดูก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรแต่หากตั้งใจฟัง สำหรับฮองเฮาหนานยวนที่ชอบร้องเพลง ไม่ใช่จงใจพูดเสียดสีหรอกหรือ?ฮองเฮาหนานยวนถือแก้วน้ำ พิงอยู่ตรงหัวเตียง ค่อยๆ หลุบตา พูดไม่ออก และไม่อยา