ตอนที่ลืมตาขึ้น อวิ๋นอิงกลับมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคยสำนักยุทธ์ตระกูลอวิ๋น!ภายในสำนักยุทธ์ อาวุธต่างๆ ถูกจัดเรียงเป็นแถว ร่างเงาที่คุ้นเคยมากมายเดินขวักไขว่ไปมาอย่างไว‘จางเทียน เจ้าสู้ข้าไม่ได้หรอก เจ้ามันคนขี้แพ้! แบร่ๆๆ จับข้าให้ได้สิ!’‘อาจารย์นอนกลางวันแล้ว พวกเราแอบเข้าไปในห้องของเขา ขโมยแมลงปอไม้ไผ่กลับมา พวกเราเป่ายิ้งฉุบ ใครแพ้คนนั้นไปขโมย’“เจ้าเด็กเวร เจ้าแอบกินอีกแล้ว! ไสหัวออกไป…”“อ๊ะๆๆ! ข้าไม่กล้าแล้ว…”ตะโกน ดื้อรั้น ไล่ตาม หัวเราะสนุกสนาน…ภาพต่างๆ กะพริบตรงหน้าอย่างรวดเร็ว แต่ละภาพ แต่ละฉาก คนเหล่านั้น เสียงเหล่านั้น ชัดเจนราวกับเป็นเมื่อวานเพื่อนในวัยเด็ก ลูกศิษย์ของสำนักยุทธ์ อาจารย์ที่เข้มงวด ท่านป้าในห้องครัว…อวิ๋นอิงเบิกตากว้าง มองอย่างไม่กล้าเชื่อสายตานางกลับมาแล้ว!กลับมาแล้วจริงๆ!“อวิ๋นอิง” เสียงเรียกที่อ่อนโยนสายหนึ่งดังขึ้นจากข้างหลังอวิ๋นอิงรับหันกลับไป เห็นเพียงสามีภรรยาอายุสามสิบกว่าคู่หนึ่งยืนอยู่ไม่ไกล กำลังมองนางด้วยรอยยิ้ม ระหว่างคิ้วเต็มไปด้วยความรัก“ท่านพ่อ! ท่านแม่!”พลันนางแน่นหน้าอก รีบวิ่งออกไป กระโจนเข้าไปในอ้อมกอดขอ
ระหว่างความคลุมเครือ ราวกับมีคนกำลังเรียกนางเสียงนั่นเหมือนใกล้แต่ก็เหมือนไกล ราวกับอยู่ข้างหู แต่ก็เหมือนอยู่ไกลสุดขอบฟ้า นางถูกหมอกปกคลุม แยกทิศทางไม่ออก มองไม่เห็นอะไรเลย“อวิ๋นอิง…”ใครกำลังเรียกนาง?นางเริ่มออกวิ่ง วิ่งแล้ววิ่งอีก“อวิ๋นอิง…”ไม่รู้วิ่งไปนานเท่าไร ในที่สุดก็ฝ่าออกมาจากหมอก แสงที่แสบตาพวยพุ่งเข้ามาในดวงตาของนาง แสบจนทำให้นางต้องหลับตาผ่านไปหลายวินาที ค่อยๆ ลืมตา…“อวิ๋นอิง ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นแล้ว!”เสียงดีใจมากหลิงเชียนอี้มองนางด้วยความตื่นเต้น น้ำตาล้นออกมาจากหางตาสองวันแล้วนางหมดสติไปสองวัน ในที่สุดก็ฟื้นแล้ว!อวิ๋นอิงนอนเหม่ออยู่บนเตียง มองม่านสีขาวที่อยู่เหนือศีรษะ มีความเจ็บปวดอย่างที่สุดแลบแววตาอันว่างเปล่าที่แท้ เป็นฝัน…อยากจมอยู่ในความฝันนั่นเพียงใด ไม่อยากตื่นทั้งชีวิต“อวิ๋นอิง ข้าจะแต่งงานเจ้า!”คำพูดที่หนักแน่นของเขา ดึงความคิดของนางกลับมาแววตาที่ว่างเปล่าค่อยๆ มีจุดสนใจ มองไปทางเขาอย่างอ่อนแอ เผยอมุมปาก “ท่านอยู่ที่นี่ได้อย่างไร…”เสียงแหบมากเจ็บคอ ในช่องปาก ยังมีกลิ่นสมุนไพรที่เข้มข้นสายหนึ่งตกค้างวันก่อน หลิงเชียนอี้ได้ร
หลิงเชียนอี้ฟังนางกล่าวจบ สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง มองไม่ออกว่าดีใจหรือโกรธนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเขาถาม “ทุกอย่างที่เจ้าพูดเป็นความจริงหรือ?”นางหลุบตา “อืม”“เขาดีกับเจ้าหรือไม่?”นางนิ่งไปครู่หนึ่ง พยักหน้า “อืม”หลังจากสองประโยคสั้นๆ บรรยากาศนิ่งเงียบอีกครั้งไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร…เขาจีงจะเอ่ยปาก “ในเมื่อนี่คือสิ่งที่เจ้าเลือก ข้าเคารพเจ้า ที่จริงแค่เจ้ามีความสุข อยู่กับใครมันก็ไม่สำคัญ แค่เจ้ามีความสุขก็พอ”“พวกเรายังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันใช่หรือไม่?”เขามองนางอวิ๋นอิงเม้มปาก พยักหน้าเบาๆ “อืม”“ในเมื่อพวกเราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เช่นนั้นเจ้าก็ฟังข้า ดื่มข้าวต้มชามนี้ให้หมด รีบพักฟื้นร่างกายให้หายดี ทางน้าสะใภ้ข้ายังต้องการเจ้า นางตัวคนเดียว ดูแลลูกสองคนไม่ทัน”เขากล่าวยกชามข้าวต้มที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมา ตักหนึ่งช้อน ป้อนไปที่ข้างปากนางอวิ๋นอิงชะงักเล็กน้อยคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ยังอ้าปากแล้วสี่วันเต็มๆ ไม่ได้รับน้ำแม้แต่หยดเดียว ข้าวต้มที่เข้มข้นนุ่มหนึบ กลืนลงไป อุ่นๆ ที่คอ รู้สึกดีมากเมื่อมีของลงท้อง เมื่อกำลังฟื้นฟูคืนมาบ้าง และรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้น ราวกับในเว
เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถ้าหากเจ้าคลอดลูกชาย ข้าก็คลอดลูกสาว ถ้าหากเจ้าคลอดลูกสาว ข้าก็ให้ลูกชายของข้าสู่ขอนาง ดีหรือไม่?”เมื่ออวิ๋นได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มที่มุมปากแข็งเล็กน้อยหมั้นหมายกันตั้งแต่เด็ก?ห่างไกลเสียเหลือเกินรอลูกๆ เติบโต อย่างน้อยก็ต้องรออีกสิบห้าปีกระมังร่างกายที่อ่อนแอผุพังนี้ของนาง อาจจะอยู่ไม่ถึงวันนั้น“ได้” นางพยักนางด้วยรอยยิ้ม มือที่ซ่อนไว้ในผ้าห่ม กลับค่อยๆ กำแน่น พยายามข่มความรู้สึกในเวลานี้นางรู้ นางรอไม่ถึงวันนั้นแล้วแต่นางก็ยังตอบตกลงแล้วลูกคงจะเป็นความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดที่สุดระหว่างพวกเขาแล้ว นางฝากความเสียใจของทั้งชีวิตไว้ที่ลูก ให้ลูกแบกความฝันของนาง ไปทำความปรารถนาที่ยังไม่สำเร็จให้เป็นจริงแล้วกันนางยิ้ม เขาก็ยิ้มเช่นกันระหว่างพวกเขา เหมือนมีอะไรเปลี่ยนไปแล้ว แต่ก็เหมือนไม่เคยเปลี่ยน…ผ่านไปพักใหญ่อวิ๋นอิงเหนื่อย ฝืนไม่ไหวจนนอนหลับแล้ว หลังจากหลิงเชียนอี้ห่มผ้าให้นาง ก็ลุกขึ้นยืนตอนหมุนกาย หางตาที่แดงของเขามีน้ำตาไหลออกมาหนึ่งหยด ใช้แขนเสื้อปิดหน้า เช็ดคราบน้ำตาอย่างฉับไว จากนั้นแสร้งไม่เป็นอะไร ก้าวเท้าเดินออกไปแล้วเมื่อประตูปิดลง
ปัง!หลิงเชียนอี้ต่อยเข้าไปที่ดั้งจมูกจิ่งอี้อย่างแรงจนเลือดไหล ไร้ความปรานีใดๆเขาโกรธโกรธมาก!เขากับอวิ๋นอิงมีใจให้กัน เข้าใจกันและกัน รู้จักกันมาเกือบหนึ่งปี เขาถึงกับตัดสินใจพานางกลับไปพบพ่อแม่ปรึกษาเรื่องวันแต่งงานแล้วอีกเพียงก้าวเดียว เขาก็สามารถแต่งอวิ๋นอิงกลับบ้านแล้วอีกเพียงก้าวเดียว เขากับอวิ๋นอิงก็สามารถเกื้อหนุนกันและกัน จับมือกันจนแก่เฒ่าอีกเพียงก้าวเดียว…ความแตกต่างของหนึ่งก้าวนี้ ก็คือทั้งชีวิต ก็คือทั้งชาติ“จิ่งอี้ ข้าเกลียดเจ้า! เหตุใดตอนแรกเจ้าไม่สืบความจริงให้กระจ่างก่อน? เหตุใดต้องเอาความโกรธของเจ้า ระบายใส่ผู้หญิงที่อ่อนแอคนหนึ่ง! เจ้ายังเป็นผู้ชายหรือไม่ เจ้าคู่ควรหรือไม่!”เขากระชากคอเสื้อจิ่งอี้อย่างเกรี้ยวกราด กระหน่ำหมัดใส่อย่างแรงอยากชกเขาให้ตายทั้งเป็นเสียเดี๋ยวนี้!“เจ้าทำลายนาง และทำลายข้าด้วย ข้าจะฆ่าเจ้า”“อ๊า!”เขาโกรธจนตาแดง เหมือนกับสัตว์ป่าที่กำลังคลั่ง คว้าจิ่งอี้ไว้ ฉีกกระชากและทุบตีอย่างรุนแรงใบหน้า ท้อง ต้นขา ไหล่ทำร้ายเขาอย่างบ้าคลั่งเขาจะนำความคับข้องใจของอวิ๋นอิง คืนให้จิ่งอี้ทั้งหมด เขาจะให้จิ่งอี้ได้ลองลิ้มรสความเจ
หลังจากพูดทิ้งท้ายประโยคนี้ หลิงเชียนอี้มองไปทางห้องนอนอย่างลึกซึ้ง ผ่านไปเจ็ดวินาทีเต็มๆ เดินจากไปทั้งน้ำตาในเมื่อถูกลิขิตให้อยู่ด้วยกันไม่ได้ เช่นนั้นเขาก็ปล่อยมือหลังจากวันนี้ เขาปกป้องนางในฐานะเพื่อน ถ้าหากมีใครกล้ารังแกนาง ก็คือเป็นศัตรูกับเขาหลิงเชียนอี้!“แค่ก…”จิ่งอี้ที่สูญเสียแรงยึดกระแอมสองที ร่างกายที่อ่อนแอเซถอยหลังหลายก้าว“จิ่งอี้!”เฟิ่งหรานพุ่งพรวดเข้ามาประคองเขาไว้ “เจ้า…ไม่เป็นอะไรกระมัง?”หลิงเชียนอี้ลงมือหนักมาก ทั้งร่างกายจิ่งอี้มีแต่บาดแผล ทุกที่ที่สามารถมองเห็นเต็มไปด้วยเลือด ตรงจุดที่มองไม่เห็น แม้แต่กระดูกก็ปวดร้าวไปหมดเขาพักหายใจอยู่หลายวินาที จึงจะสามารถยืนอย่างมั่นคง และฝืนส่ายศีรษะ “ไม่เป็นไร…”เทียบกับความเจ็บปวดทางกาย บาดแผลทางจิตใจต่างหากที่รักษาไม่ได้เขาจับกำแพง ก้าวขึ้นบันไดอย่างทุลักทุเล เดินไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูประตูปิดอยู่บนเตียง อวิ๋นอิงนอนอยู่บนเตียงเงียบๆข้างนอกเสียงดังเช่นนั้น เป็นไปไม่ได้ที่นางไม่ได้ยิน ความเงียบของนาง ก็เพราะผิดหวังไม่ใช่หรือ?จิ่งอี้เม้มปากที่ขมขื่นและมีกลิ่นคาวเลือด ยืนอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน จ้องนางอยู่
คำพูดเหล่านี้ นางแทบจะคำรามออกมา แสดงความเศร้าโศก ความผิดหวัง และความโกรธออกมาทั้งหมดตอนงานเลี้ยงอาหารค่ำตระกูลกู้ หานเฟิงรับคำสั่ง ทำสงครามอยู่ที่เจียงเป่ย ไม่เข้าใจรายละเอียดการระเบิดในตอนนั้นเขาถาม“เหตุผลที่เยว่เอ๋อร์ทำร้ายเขาคืออะไร?”ดวงตาจิ่งอี้แดงก่ำ จ้องเยว่เอ๋อร์ตรงๆ สายตาเย็นเยียบเหมือนปีศาจร้ายที่ตามเอาชีวิต“เหตุใดไม่ยอมรับ!”เขาก้าวเข้าไป กระบี่ในมือชี้เยว่เอ๋อร์“ตอนนั้นข้ามอบขลุ่ยไม้ไผ่ให้เจ้า ให้เจ้านำไปคืนอวิ๋นอิง แต่เจ้าไม่ได้คืนให้นาง!”เขาก้าวไปข้างหน้าด้วยความโกรธ เจตนาฆ่าในแววตาแทบระเบิดออกมาแล้ว“ต่อมา ขลุ่ยไม้ไผ่ของอวิ๋นอิงไปปรากฏในมือจางเฟย เจ้าจงใจนำไปใส่! เจ้าเป็นคนใส่ร้ายอวิ๋นอิง!”“อ๊ะ…”เยว่เอ๋อร์ตกใจจนสติหลุดเรื่องราวในตอนนั้นถูกเปิดโปง นางหาคำอธิบายไม่ได้ เริ่มร้อนตัวแล้ว จับเสื้อของหานเฟิงไว้แน่น หลบที่ข้างหลังเขา กล่าวอย่างตื่นตระหนก“ข้าเปล่านะ!”“ข้าไม่ได้ทำร้ายจางเฟย ไม่ได้ใส่ร้ายอวิ๋นอิง! ข้าไม่เคยทำเรื่องเช่นนั้น และคืนขลุ่ยไม้ไผ่ให้อวิ๋นอิงแล้วด้วย! ใต้เท้าหานเฟิง ท่านเชื่อข้านะ ข้าถูกปรักปรำ!”นางตะโกนร้องหาความเป็นธรรมจิ่งอ
ตอนพูดช้า แต่จังหวะนั้นเร็วมากพริบตาที่กระบี่แทงไปหาเยว่เอ๋อร์ หนามน้ำแข็งแท่งหนึ่งถูกเหวี่ยงเข้ามา ตีคมกระบี่พลาดเป้า กระบี่ที่เดิมทีเล็งไปที่หัวใจ แทงโดนมือเยว่เอ๋อร์แทนฉึก…เลือดสาดกระเซ็น“เกิดอะไรขึ้น!”“พระชายาช่วยด้วย!”เมื่อเยว่เอ๋อร์เห็นกำลังเสริม ไม่มีเวลาสนใจความเจ็บปวดที่แขน พุ่งพรวดเข้าไปราวกับบิน “พระชายา ช่วยบ่าวด้วย คุณชายจิ่งอี้จะฆ่าข้า!” ฉู่เชียนหลีมาอย่างเร่งรีบเสื้อผ้าจิ่งอี้ยุ่งเหยิง มุมปากแตก ใบหน้าฟกช้ำ แม้แต่ที่ครอบผมก็เอียง ตั้งแต่รู้จักกันมา ไม่เคยเห็นเขาสะบักสะบอมเช่นนี้หานเฟิงเก็บกระบี่ กล่าวรายงาน“พระชายา จิ่งอี้บอกว่าตอนนั้นที่บ้านตระกูลกู้ การตายของจางเฟยเกิดจากเยว่เอ๋อร์ ภายใต้ความโกรธจึงบุกมา ข้าน้อยห้ามอย่างไรก็ไม่ฟัง”ฉู่เชียนหลีขมวดคิ้ว เหตุใดจึงโยงไปถึงเรื่องที่ไกลเช่นนั้น เรื่องนั้นเป็นฝีมือของตระกูลกู้ และคลี่คลายแล้วไม่ใช่หรือ?เหตุใดโยงกลับมาที่ตัวเยว่เอ๋อร์อีก?นางเชื่อในตัวของจิ่งอี้ เขาไม่ใช่คนประเภทชอบหาเรื่องขณะเดียวกัน นางก็เชื่อเยว่เอ๋อร์ เยว่เอ๋อร์เป็นสาวใช้ที่ติดตามนางมาตอนแต่งงาน ใช้ชีวิตร่วมกับนางเกือบสิบปี นางซื่
สีหน้าจวินลั่วยวนเปลี่ยนเล็กน้อยเสด็จพี่รองจะช่วยนางเอง นางไม่ได้ขอให้เสด็จพี่รองทำเช่นนี้สักหน่อยเสด็จพี่รองยินดีทำเช่นนี้เอง เหตุใดกลายเป็นความผิดของนางแล้ว?อีกอย่างนะ เขาเป็นพี่ชาย นางเป็นน้องสาว พี่ชายปกป้องน้องสาว มันก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้วไม่ใช่หรือ?“จวินลั่วยวน เจ้ารู้หรือไม่ เจ้ามันไม่รู้จักพอ เจ้าเป็นแค่คนที่รู้จักเอาผลประโยชน์จากคนอื่น แต่ไม่เคยเสียสละ ไม่เคยตอบแทน เมื่อนานวันเข้า ก็กลายเป็นนิสัยเห็นแก่ตัว”“คิดว่าตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง”“เอาแต่ได้อย่างเดียว”“ดูผิวเผินเหมือนเจ้าอยู่ในครอบครัวที่มีความสุข แต่ในความเป็นจริง ก็ไม่รู้เลยว่าอะไรคือความรักและความอบอุ่นในครอบครัว กลับกัน ข้ายังรู้สึกว่ามันไม่คุ้มค่าแทนองค์ชายรอง”เขายอมเสี่ยงชีวิตช่วยน้องสาวออกมา แต่นางไม่สนใจความเป็นความตายของเขาเลยจวินลั่วยวนโกรธเล็กน้อยพูดถึงคำว่าครอบครัว นางก็จะนึกถึงเรื่องที่นางไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ ของฮองเฮาหนานยวนคำพูดของฉู่เชียนหลีกำลังเตือนนาง ความสุขที่นางได้รับในปัจจุบัน ล้วนขโมยมาทั้งสิ้น“ข้าควรทำอย่างไร เกี่ยวอะไรกับเจ้า!”นางเถียงกลับอย่างโกรธเคือง“ที่เสด็จพี่รองของ
สิ้นเสียงตะโกน เขาถูกทหารที่โถมเข้ามาปิดล้อมทหารโถมเข้ามาอย่างดุดันราวกับคลื่นยักษ์ กลืนกินเขาเข้าไปในนั้น เขาฟันกระบี่อย่างแน่วแน่ กัดฟันแน่น ทั่วร่างเต็มไปด้วยบาดแผลและเลือดเขายืนหยัดจนถึงแรงเฮือกสุดท้าย…ฉู่เชียนหลีตกใจมากคิดไม่ถึงว่าองค์ชายรองหนานยวนคนนี้ ต้องเสียสละชีวิตเพื่อน้องสาวแล้วหันมามองจวินลั่วยวน“อ๊ะ!”“ช่วยด้วย!”“รีบไป พวกเรารีบไปเร็ว! ถ้ายังไม่ไป ต้องตายอยู่ที่นี่แน่!”จวินลั่วยวนกลัวจนสติแตกไปแล้ว กุมศีรษะกรีดร้องไม่หยุด ริมฝีปากซีด ยกกระโปรงขึ้นก็วิ่งออกไปข้างนอก “รีบหนีเร็ว! อ๊ะ!”“...”พี่ชายของนางถูกปิดล้อม ชีวิตเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย นางจะไปทั้งเช่นนี้?ฉู่เชียนหลีขมวดคิ้ว แต่นึกถึงคำพูดของจวินอี้หลิน นางทำได้เพียงไล่ตาม“อ๊ะ!”“อ๊ะ!”จวินลั่วยวนพลางวิ่ง พลางกรีดร้อง ซึ่งดึงดูดความสนใจของทหาร มีทหารส่วนหนึ่งแยกตัวออกมาไล่ตามสายตาฉู่เชียนหลีขรึมลง ก้าวไปข้างหน้า “จวินลั่วยวน! หุบปาก!”ร้องต่อไปไม่ได้แล้ว!“เจ้าอยากล่อทุกคนมาหรือ!”“อ๊ะๆ! ข้ากลัว! เลือดเต็มไปหมด! จะตาย…อ๊ะ!”“หุบปาก!”“อ๊ะ!”เพียะ!นางไม่ฟังเลย ฉู่เชียนหลีเห็นทหารที่ม
เหล่าทหารตื่นตัวขึ้นมาทันที ทุกคนพากันหันไปมอง ก็เห็นร่างเงาสีดำวิ่งผ่าน สีหน้าเปลี่ยนฉับพลัน“แย่แล้ว!”“มีคนลอบโจมตี!”เสียงตะโกนทำให้ทุกคนตื่นตัว และคนหกเจ็ดสิบคนที่อยู่ใกล้ที่สุดก็รีบวิ่งมา พบฉู่เชียนหลีและคนอื่นแล้ว“จับพวกเขา!”ชักอาวุธออกมาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ลงมือโดยตรงฉู่เชียนหลีเห็นท่าไม่ดี ทำได้เพียงถือกระบี่ต่อสู้กับพวกเขา“เผด็จศึกโดยเร็ว อย่ายืดเยื้อ เน้นช่วยคนเป็นหลัก!”ยิ่งสู้นาน ก็จะยิ่งดึงดูดคนมามากขึ้นฉวยโอกาสตอนที่การเคลื่อนไหวของที่นี่ยังไม่กระจายออกไป รีบจัดการโดยเร็ว ช่วยอ๋องเฉินออกมา และรีบถอนกำลัง นี่จึงจะเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุด“เจ้าค่ะ!”หานอิ๋งชักกระบี่ พาเหล่าองครักษ์ลับพุ่งออกไป เริ่มสู้กับเหล่าทหาร“ลงมือ!”จวินอี้หลินตวาดเบาๆ เขาดึงน้องสาวมาไว้ในอ้อมแขน ใช้มือข้างหนึ่งถือกระบี่ ต่อสู้กับทหารเหล่านั้นจนโกลาหลไปหมดทันใดนั้น ประกายดาบ เงากระบี่ เสียงตะโกน การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือดปัง!เคร้ง!“อ่า!”“พู่!”“ฉึก!”ในการต่อสู้ที่ดุเดือด มีคนล้มลง มีคนได้รับบาดเจ็บ มีคนกระอักเลือด ชั้นวาง ท่อนไม้ กาน้ำ ของต่างๆ ล้มเกลื่อนพื้นวุ่นวายไป
หลังจากฉู่เชียนหลีรวบรวมคนในเวลาที่สั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขณะเตรียมตัวออกเดินทาง ได้พบกับองค์ชายรองแคว้นหนานยวนหลังจากรู้จุดประสงค์การมาของเขา นางขมวดคิ้วแน่นองค์ชายรองเข้าร่วม นางย่อมยินดี แต่สายตาของนางมองไปที่จวินลั่วยวนโดยตรง กล่าวอย่างตรงไปตรงมา“นาง ไปไม่ได้”นิ้วชี้ชี้ไปทางจวินลั่วยวนโดยตรง“!”จวินลั่วยวนกระทืบเท้าทันที “เพราะอะไร!”แม้แต่เสด็จพี่รองก็ตอบตกลงแล้ว นางไปได้ไม่ได้ เกี่ยวอะไรกับฉู่เชียนหลี?“อ๋องเฉินถูกจับ พวกเราเป็นพันธมิตรกัน ข้าช่วยออกแรงอีกส่วนมันจะเป็นอะไร? เจ้าคิดว่าอาศัยแค่เจ้าคนเดียว สามารถช่วยอ๋องเฉินได้หรือ?”“การมีคนเพิ่มขึ้นหนึ่งคน ก็เท่ากับมีกำลังเพิ่มขึ้นหนึ่งส่วน จิตใจเจ้าคับแคบมาก ช่วยเปิดใจหน่อยได้หรือไม่?”เมื่อหานอิ๋งได้ยินคำพูดนี้ ก็จะพุ่งเข้าไปด้วยความหงุดหงิดทันทีพระชายาของพวกเขา ถึงคราวที่คนนอกจะมาสั่งสอนตั้งแต่เมื่อไร?คนที่ท่านอ๋องยังไม่ยอมตำหนิเลย จะปล่อยให้ขยะอย่างนางมารังแกได้อย่างไร?“หานอิ๋ง”ฉู่เชียนหลีห้ามนาง มีปัญหาน้อยลงดีกว่ามีปัญหาเพิ่ม อย่าทะเลาะกัน“พระชายา…”“ช่างเถอะ”จวินอี้หลินจับมือของจวินลั่วยวนแล้วก
เนื่องจากอ๋องเฉินถูกจับ บรรยากาศในทำเนียบจึงตึงเครียดมาก ทุกคนตั้งสติ ฟังคำสั่งของพระชายา ยืนเฝ้าประจำจุดของตัวเองอย่างเข้มงวดฉู่เชียนหลีออกคำสั่งปิดข่าว ห้ามแพร่งพรายเด็ดขาด เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความตื่นตระหนกที่ไม่จำเป็นนอกทำเนียบอีกด้านของถนนจวินลั่วยวนนั่งอยู่บนบันได ระหว่างเข่าที่ชนกัน มีลูกอมที่เพิ่งซื้อมาวางอยู่หลายถุงนางกัดไม้เสียบเล็กๆ ไว้ พลางเลียลูกอม ดวงตาที่สวยงามคู่นั้น มองเห็นที่ทหารที่วิ่งไปวิ่งมาด้วยสีหน้าร้อนใจ จากประตูใหญ่ของทำเนียบที่เปิดกว้าง เหมือนกับว่าเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นนางหรี่ตาเลียมุมปาก“หวานจัง”ซวงซวงกล่าวเสียงเบา “องค์หญิง ขนมนี่หวานเกินไป ท่านกินน้อยหน่อย ระวังฟันผุนะเจ้าคะ”“ซวงซวง ขนมนี่ไม่หวาน ความหมายของข้าคือ ข้ามีความสุข”จวินลั่วยวนลุกขึ้นยืน โยนถุงลูกอมให้ซวงซวง อมไว้ในปากหนึ่งชิ้น เดินกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุขซวงซวงสงสัยมีความสุข?มีความสุขอะไร?ก็แค่กินขนม ก็มีความสุขเช่นนี้แล้ว? หรือเป็นเพราะองค์ชายรองมา องค์หญิงมีความสุขมาก?ศาลาพักม้าจวินลั่วยวนเพิ่งกลับมา เห็นผู้ชายคนหนึ่งที่ท่าทางเหมือนรองแม่ทัพ กำลังรายง
ฉู่เชียนหลีเป็นคนประเภทชอบลงมือทำ พูดแล้วก็ทำเลยบ่ายวันนั้น อวิ๋นอิงก็ไปซื้อเรียนสำหรับเด็กมาแล้ว ในหนังสือมีภาพว่า และตัวอักษรขนาดใหญ่ เหมาะกับเด็กอายุสามสี่ขวบที่เพิ่งหัดอ่านฉู่เชียนหลีถือหนังสือ สอนเด็กทั้งสองอย่างอดทน“แมลงปอ”“เว่ยซี จื่อเยี่ย ดู อันนี้เรียกว่าแมลงปอ มีปีกยาวๆ หนึ่งคู่ และยังมีตาที่โต”“นี่คือผีเสื้อ มา อ่านตามแม่ ฮวาหูเตี๋ย”เว่ยซีมองนมจนน้ำลายไหล ดูน่าสงสารมากจื่อเยี่ยอ้าปากส่งเสียงอีอาๆ แต่พูดไม่ชัด ไม่สามารถออกเสียงที่ถูกต้อง หัดพูดจนแก้มสีชมพูจะกลายเป็นสีแดงแล้ว“ฮวา…ฝู…ฝู…ฝูเตี๋ย…”“ไม่ถูก ฮวาหูเตี๋ย”“ฮวา…ฝู…เตีย…เตียเตี่ย!”พลันจื่อเยี่ยตาเป็นประกาย จู่ๆ ก็โบกมือน้อยเหมือนผีเสื้อกระพือปีก ปากก็ตะโกนอย่างสนุกสนาน“เตียเตี่ย!”ความหมายของเขาเหมือนกำลังบอกว่า เตียเตี่ย[1]เป็นผีเสื้อ “...”อวิ๋นอิงอุ้มเจี๋ยวเจี๋ยวยืนดูที่ข้างๆ รู้สึกเพียงภาพนี้โหดร้ายและไร้มนุษยธรรมมาก จู่ๆ ก็สงสารเว่ยซีกับจื่อเยี่ยอย่างอธิบายไม่ถูกเด็กบ้านอื่นเริ่มเรียนตอนอายุห้าขวบแต่ของพระชายา หนึ่งขวบก็เริ่มเรียนแล้วนางก้มหน้า มองใบหน้าเล็กของลูกสาว กล่าวเสียงเบา
สองวันต่อจากนั้น ค่อนข้างสงบเพียงแต่สงครามกำลังจะปะทุขึ้นแล้ว เมื่อครึ่งเดือนก่อน อ๋องเฉินยึดเมืองเจียหนานได้ในคราวเดียว เพื่อโต้ตอบ ฮ่องเต้หลีเลือกที่จะร่วมมือกับแคว้นซีอวี้ ได้รับม้าศึก อาวุธ และยอดทหารที่หนึ่งคนสามารถสู้สิบคน เตรียมพร้อมลงสนามรบทุกเมื่อ สงครามดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ“กลับมาอย่างปลอดภัยนะ”ฉู่เชียนหลีผูกสายรัดเอวของเสื้อเกราะอ่อน สวมเสื้อเพ้าชั้นนอก และจัดแจงให้เฟิงเย่เสวียน ก่อนออกเดินทาง โอบเอวของเขาไม่ยอมปล่อยเป็นเวลานานเฟิงเย่เสวียนลูบศีรษะน้อยๆ ของนาง“อยู่บ้านดูแลเว่ยซีกับจื่อเยี่ยให้ดี อย่างมากข้าไปสองวันก็กลับ”“ระวังตัวด้วย”“อืม”จูบกลางหว่างคิ้วของนาง ถือกระบี่เดินจากไปฉู่เชียนหลีไปส่งถึงประตูใหญ่ กระทั่งมองไม่เห็นแผ่นหลังของเขา จึงจะกลับจวนร่างกายของอวิ๋นอิงฟื้นตัวได้ดี สีหน้าก็ดูดีขึ้นมาก มีกู่แพทย์คอยบำรุงรักษา สุขภาพของนางค่อยๆ ดีขึ้น และไม่กระอักเลือดแล้ว“พระชายา งานเลี้ยงอายุครบหนึ่งปีของเว่ยซีกับจื่อเยี่ย จะเชิญใครบ้างเจ้าค่ะ?” อวิ๋นอิงกำลังวางแผนพริบตาเดียว ยังเหลืออีกเจ็ดวัน เจ้าเด็กน้อยทั้งสองก็จะอายุหนึ่งปีแล้วเวลาผ่านไปเร็วมาก
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าจวินลั่วยวนเปลี่ยนฉับพลัน กลิ่นอายรอบกายขรึมลง มีความตื่นตระหนกสายหนึ่งแลบผ่านแววตาอย่างรวดเร็วพริบตาเดียวไม่นานก็สงบลง บนใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ“ท่านหมายความว่าอย่างไร?”“นี่ท่านพูดอะไรของท่าน!”นางสะบัดมือของจวินชิงอวี่หลุด ลุกขึ้นยืน ทั่วร่างเต็มไปด้วยความโกรธที่ถูกปรักปรำ“ข้าเป็นน้องสาวแท้ๆ ของท่าน ท่านกลับคิดว่าข้าทำเรื่องที่ไร้มโนธรรมเช่นนี้? เสด็จพี่สาม ก่อนที่ท่านจะพูด เคยถามใจตัวเองดูหรือไม่!”นางคำรามออกมาอย่างแค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรม ดวงตาก็กลายเป็นสีแดงไปแล้วจวินชิงอวี่รักนางมาก ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยตำหนินางแม้แต่คำเดียวแต่…“ยวนเอ๋อร์ เดิมทีคนที่วางยา เป็นคนตัดฟืนของทำเนียบเจียงหนาน รับคำสั่งจากฮองเฮาตงหลิง วางยาพิษทำร้ายพี่น้องฝาแฝด ถูกพระชายาอ๋องเฉินจับได้”“แต่เมื่อวานเจ้าส่งคนไปทำเนียบ คนตัดฟืนคนนี้ก็มาอยู่ที่ศาลาพักม้าแล้ว”“กลางคืน เสด็จแม่ก็ถูกพิษแล้ว”นำทั้งหมดนี้มาเชื่อมโยงกัน จะไม่ให้เขาสงสัยได้อย่างไร?จวินลั่วยวนเบิกตากว้าง“ข้าเป็นห่วงความร่วมมือของแคว้นหนานยวนกับอ๋องเฉิน ส่งคนไปลองถามดู ท่านกลับคิดว่าข้าติดสิ
ความจริงเป็นไปตามที่ฉู่เชียนหลีคาดการณ์หลังจากจวินชิงอวี่ตามจวินลั่วยวนทัน ปลอบใจนางอยู่นาน เขารับประกันและใช้คำพูดดีๆ สารพัด จึงจะสามารถทำให้น้องสาวหายโกรธกลับถึงศาลาพักมา ก็พลบค่ำแล้วฮองเฮาหนานยวนฟื้นแล้ว“เสด็จแม่ ท่านฟื้นแล้ว!”“เสด็จแม่ ท่านรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่? เจ็บคอหรือไม่?”จวินชิงอวี่ถามอย่างประหม่า จวินลั่วยวนรินน้ำอุ่นมาหนึ่งแก้ว ทั้งสองเฝ้าอยู่ที่หน้าเตียง มองมารดาด้วยความห่วงใยฮองเฮาหนานยวนรู้สึกเจ็บแบบแสบร้อนในลำคอ แค่ขยับเล็กน้อยก็เจ็บแสบมาก แม้กลืนน้ำก็เจ็บจนหน้าซีดนางเม้มปาก ไม่พูดสักคำจวินชิงอวี่จับมือของนาง กล่าวอย่างปวดใจ“เสด็จแม่ ท่านไม่ต้องกังวล พวกเราใช้ยาที่ดีที่สุดแล้ว ต้องดีขึ้นแน่นอน ทักษะการแพทย์ของพระชายาอ๋องเฉินเลิศล้ำ มีนางอยู่ ท่านจะต้องหายดีแน่นอน”จวินลั่วยวนพยักหน้า“ใช่แล้ว เสด็จแม่ ท่านก็อย่าเสียใจไปเลย อีกสามถึงห้าปีก็หายแล้ว”“...”คำพูดนี้ ฟังดูก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรแต่หากตั้งใจฟัง สำหรับฮองเฮาหนานยวนที่ชอบร้องเพลง ไม่ใช่จงใจพูดเสียดสีหรอกหรือ?ฮองเฮาหนานยวนถือแก้วน้ำ พิงอยู่ตรงหัวเตียง ค่อยๆ หลุบตา พูดไม่ออก และไม่อยา