ระหว่างความคลุมเครือ ราวกับมีคนกำลังเรียกนางเสียงนั่นเหมือนใกล้แต่ก็เหมือนไกล ราวกับอยู่ข้างหู แต่ก็เหมือนอยู่ไกลสุดขอบฟ้า นางถูกหมอกปกคลุม แยกทิศทางไม่ออก มองไม่เห็นอะไรเลย“อวิ๋นอิง…”ใครกำลังเรียกนาง?นางเริ่มออกวิ่ง วิ่งแล้ววิ่งอีก“อวิ๋นอิง…”ไม่รู้วิ่งไปนานเท่าไร ในที่สุดก็ฝ่าออกมาจากหมอก แสงที่แสบตาพวยพุ่งเข้ามาในดวงตาของนาง แสบจนทำให้นางต้องหลับตาผ่านไปหลายวินาที ค่อยๆ ลืมตา…“อวิ๋นอิง ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นแล้ว!”เสียงดีใจมากหลิงเชียนอี้มองนางด้วยความตื่นเต้น น้ำตาล้นออกมาจากหางตาสองวันแล้วนางหมดสติไปสองวัน ในที่สุดก็ฟื้นแล้ว!อวิ๋นอิงนอนเหม่ออยู่บนเตียง มองม่านสีขาวที่อยู่เหนือศีรษะ มีความเจ็บปวดอย่างที่สุดแลบแววตาอันว่างเปล่าที่แท้ เป็นฝัน…อยากจมอยู่ในความฝันนั่นเพียงใด ไม่อยากตื่นทั้งชีวิต“อวิ๋นอิง ข้าจะแต่งงานเจ้า!”คำพูดที่หนักแน่นของเขา ดึงความคิดของนางกลับมาแววตาที่ว่างเปล่าค่อยๆ มีจุดสนใจ มองไปทางเขาอย่างอ่อนแอ เผยอมุมปาก “ท่านอยู่ที่นี่ได้อย่างไร…”เสียงแหบมากเจ็บคอ ในช่องปาก ยังมีกลิ่นสมุนไพรที่เข้มข้นสายหนึ่งตกค้างวันก่อน หลิงเชียนอี้ได้ร
หลิงเชียนอี้ฟังนางกล่าวจบ สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง มองไม่ออกว่าดีใจหรือโกรธนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเขาถาม “ทุกอย่างที่เจ้าพูดเป็นความจริงหรือ?”นางหลุบตา “อืม”“เขาดีกับเจ้าหรือไม่?”นางนิ่งไปครู่หนึ่ง พยักหน้า “อืม”หลังจากสองประโยคสั้นๆ บรรยากาศนิ่งเงียบอีกครั้งไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร…เขาจีงจะเอ่ยปาก “ในเมื่อนี่คือสิ่งที่เจ้าเลือก ข้าเคารพเจ้า ที่จริงแค่เจ้ามีความสุข อยู่กับใครมันก็ไม่สำคัญ แค่เจ้ามีความสุขก็พอ”“พวกเรายังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันใช่หรือไม่?”เขามองนางอวิ๋นอิงเม้มปาก พยักหน้าเบาๆ “อืม”“ในเมื่อพวกเราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เช่นนั้นเจ้าก็ฟังข้า ดื่มข้าวต้มชามนี้ให้หมด รีบพักฟื้นร่างกายให้หายดี ทางน้าสะใภ้ข้ายังต้องการเจ้า นางตัวคนเดียว ดูแลลูกสองคนไม่ทัน”เขากล่าวยกชามข้าวต้มที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมา ตักหนึ่งช้อน ป้อนไปที่ข้างปากนางอวิ๋นอิงชะงักเล็กน้อยคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ยังอ้าปากแล้วสี่วันเต็มๆ ไม่ได้รับน้ำแม้แต่หยดเดียว ข้าวต้มที่เข้มข้นนุ่มหนึบ กลืนลงไป อุ่นๆ ที่คอ รู้สึกดีมากเมื่อมีของลงท้อง เมื่อกำลังฟื้นฟูคืนมาบ้าง และรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้น ราวกับในเว
เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถ้าหากเจ้าคลอดลูกชาย ข้าก็คลอดลูกสาว ถ้าหากเจ้าคลอดลูกสาว ข้าก็ให้ลูกชายของข้าสู่ขอนาง ดีหรือไม่?”เมื่ออวิ๋นได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มที่มุมปากแข็งเล็กน้อยหมั้นหมายกันตั้งแต่เด็ก?ห่างไกลเสียเหลือเกินรอลูกๆ เติบโต อย่างน้อยก็ต้องรออีกสิบห้าปีกระมังร่างกายที่อ่อนแอผุพังนี้ของนาง อาจจะอยู่ไม่ถึงวันนั้น“ได้” นางพยักนางด้วยรอยยิ้ม มือที่ซ่อนไว้ในผ้าห่ม กลับค่อยๆ กำแน่น พยายามข่มความรู้สึกในเวลานี้นางรู้ นางรอไม่ถึงวันนั้นแล้วแต่นางก็ยังตอบตกลงแล้วลูกคงจะเป็นความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดที่สุดระหว่างพวกเขาแล้ว นางฝากความเสียใจของทั้งชีวิตไว้ที่ลูก ให้ลูกแบกความฝันของนาง ไปทำความปรารถนาที่ยังไม่สำเร็จให้เป็นจริงแล้วกันนางยิ้ม เขาก็ยิ้มเช่นกันระหว่างพวกเขา เหมือนมีอะไรเปลี่ยนไปแล้ว แต่ก็เหมือนไม่เคยเปลี่ยน…ผ่านไปพักใหญ่อวิ๋นอิงเหนื่อย ฝืนไม่ไหวจนนอนหลับแล้ว หลังจากหลิงเชียนอี้ห่มผ้าให้นาง ก็ลุกขึ้นยืนตอนหมุนกาย หางตาที่แดงของเขามีน้ำตาไหลออกมาหนึ่งหยด ใช้แขนเสื้อปิดหน้า เช็ดคราบน้ำตาอย่างฉับไว จากนั้นแสร้งไม่เป็นอะไร ก้าวเท้าเดินออกไปแล้วเมื่อประตูปิดลง
ปัง!หลิงเชียนอี้ต่อยเข้าไปที่ดั้งจมูกจิ่งอี้อย่างแรงจนเลือดไหล ไร้ความปรานีใดๆเขาโกรธโกรธมาก!เขากับอวิ๋นอิงมีใจให้กัน เข้าใจกันและกัน รู้จักกันมาเกือบหนึ่งปี เขาถึงกับตัดสินใจพานางกลับไปพบพ่อแม่ปรึกษาเรื่องวันแต่งงานแล้วอีกเพียงก้าวเดียว เขาก็สามารถแต่งอวิ๋นอิงกลับบ้านแล้วอีกเพียงก้าวเดียว เขากับอวิ๋นอิงก็สามารถเกื้อหนุนกันและกัน จับมือกันจนแก่เฒ่าอีกเพียงก้าวเดียว…ความแตกต่างของหนึ่งก้าวนี้ ก็คือทั้งชีวิต ก็คือทั้งชาติ“จิ่งอี้ ข้าเกลียดเจ้า! เหตุใดตอนแรกเจ้าไม่สืบความจริงให้กระจ่างก่อน? เหตุใดต้องเอาความโกรธของเจ้า ระบายใส่ผู้หญิงที่อ่อนแอคนหนึ่ง! เจ้ายังเป็นผู้ชายหรือไม่ เจ้าคู่ควรหรือไม่!”เขากระชากคอเสื้อจิ่งอี้อย่างเกรี้ยวกราด กระหน่ำหมัดใส่อย่างแรงอยากชกเขาให้ตายทั้งเป็นเสียเดี๋ยวนี้!“เจ้าทำลายนาง และทำลายข้าด้วย ข้าจะฆ่าเจ้า”“อ๊า!”เขาโกรธจนตาแดง เหมือนกับสัตว์ป่าที่กำลังคลั่ง คว้าจิ่งอี้ไว้ ฉีกกระชากและทุบตีอย่างรุนแรงใบหน้า ท้อง ต้นขา ไหล่ทำร้ายเขาอย่างบ้าคลั่งเขาจะนำความคับข้องใจของอวิ๋นอิง คืนให้จิ่งอี้ทั้งหมด เขาจะให้จิ่งอี้ได้ลองลิ้มรสความเจ
หลังจากพูดทิ้งท้ายประโยคนี้ หลิงเชียนอี้มองไปทางห้องนอนอย่างลึกซึ้ง ผ่านไปเจ็ดวินาทีเต็มๆ เดินจากไปทั้งน้ำตาในเมื่อถูกลิขิตให้อยู่ด้วยกันไม่ได้ เช่นนั้นเขาก็ปล่อยมือหลังจากวันนี้ เขาปกป้องนางในฐานะเพื่อน ถ้าหากมีใครกล้ารังแกนาง ก็คือเป็นศัตรูกับเขาหลิงเชียนอี้!“แค่ก…”จิ่งอี้ที่สูญเสียแรงยึดกระแอมสองที ร่างกายที่อ่อนแอเซถอยหลังหลายก้าว“จิ่งอี้!”เฟิ่งหรานพุ่งพรวดเข้ามาประคองเขาไว้ “เจ้า…ไม่เป็นอะไรกระมัง?”หลิงเชียนอี้ลงมือหนักมาก ทั้งร่างกายจิ่งอี้มีแต่บาดแผล ทุกที่ที่สามารถมองเห็นเต็มไปด้วยเลือด ตรงจุดที่มองไม่เห็น แม้แต่กระดูกก็ปวดร้าวไปหมดเขาพักหายใจอยู่หลายวินาที จึงจะสามารถยืนอย่างมั่นคง และฝืนส่ายศีรษะ “ไม่เป็นไร…”เทียบกับความเจ็บปวดทางกาย บาดแผลทางจิตใจต่างหากที่รักษาไม่ได้เขาจับกำแพง ก้าวขึ้นบันไดอย่างทุลักทุเล เดินไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูประตูปิดอยู่บนเตียง อวิ๋นอิงนอนอยู่บนเตียงเงียบๆข้างนอกเสียงดังเช่นนั้น เป็นไปไม่ได้ที่นางไม่ได้ยิน ความเงียบของนาง ก็เพราะผิดหวังไม่ใช่หรือ?จิ่งอี้เม้มปากที่ขมขื่นและมีกลิ่นคาวเลือด ยืนอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน จ้องนางอยู่
คำพูดเหล่านี้ นางแทบจะคำรามออกมา แสดงความเศร้าโศก ความผิดหวัง และความโกรธออกมาทั้งหมดตอนงานเลี้ยงอาหารค่ำตระกูลกู้ หานเฟิงรับคำสั่ง ทำสงครามอยู่ที่เจียงเป่ย ไม่เข้าใจรายละเอียดการระเบิดในตอนนั้นเขาถาม“เหตุผลที่เยว่เอ๋อร์ทำร้ายเขาคืออะไร?”ดวงตาจิ่งอี้แดงก่ำ จ้องเยว่เอ๋อร์ตรงๆ สายตาเย็นเยียบเหมือนปีศาจร้ายที่ตามเอาชีวิต“เหตุใดไม่ยอมรับ!”เขาก้าวเข้าไป กระบี่ในมือชี้เยว่เอ๋อร์“ตอนนั้นข้ามอบขลุ่ยไม้ไผ่ให้เจ้า ให้เจ้านำไปคืนอวิ๋นอิง แต่เจ้าไม่ได้คืนให้นาง!”เขาก้าวไปข้างหน้าด้วยความโกรธ เจตนาฆ่าในแววตาแทบระเบิดออกมาแล้ว“ต่อมา ขลุ่ยไม้ไผ่ของอวิ๋นอิงไปปรากฏในมือจางเฟย เจ้าจงใจนำไปใส่! เจ้าเป็นคนใส่ร้ายอวิ๋นอิง!”“อ๊ะ…”เยว่เอ๋อร์ตกใจจนสติหลุดเรื่องราวในตอนนั้นถูกเปิดโปง นางหาคำอธิบายไม่ได้ เริ่มร้อนตัวแล้ว จับเสื้อของหานเฟิงไว้แน่น หลบที่ข้างหลังเขา กล่าวอย่างตื่นตระหนก“ข้าเปล่านะ!”“ข้าไม่ได้ทำร้ายจางเฟย ไม่ได้ใส่ร้ายอวิ๋นอิง! ข้าไม่เคยทำเรื่องเช่นนั้น และคืนขลุ่ยไม้ไผ่ให้อวิ๋นอิงแล้วด้วย! ใต้เท้าหานเฟิง ท่านเชื่อข้านะ ข้าถูกปรักปรำ!”นางตะโกนร้องหาความเป็นธรรมจิ่งอ
ตอนพูดช้า แต่จังหวะนั้นเร็วมากพริบตาที่กระบี่แทงไปหาเยว่เอ๋อร์ หนามน้ำแข็งแท่งหนึ่งถูกเหวี่ยงเข้ามา ตีคมกระบี่พลาดเป้า กระบี่ที่เดิมทีเล็งไปที่หัวใจ แทงโดนมือเยว่เอ๋อร์แทนฉึก…เลือดสาดกระเซ็น“เกิดอะไรขึ้น!”“พระชายาช่วยด้วย!”เมื่อเยว่เอ๋อร์เห็นกำลังเสริม ไม่มีเวลาสนใจความเจ็บปวดที่แขน พุ่งพรวดเข้าไปราวกับบิน “พระชายา ช่วยบ่าวด้วย คุณชายจิ่งอี้จะฆ่าข้า!” ฉู่เชียนหลีมาอย่างเร่งรีบเสื้อผ้าจิ่งอี้ยุ่งเหยิง มุมปากแตก ใบหน้าฟกช้ำ แม้แต่ที่ครอบผมก็เอียง ตั้งแต่รู้จักกันมา ไม่เคยเห็นเขาสะบักสะบอมเช่นนี้หานเฟิงเก็บกระบี่ กล่าวรายงาน“พระชายา จิ่งอี้บอกว่าตอนนั้นที่บ้านตระกูลกู้ การตายของจางเฟยเกิดจากเยว่เอ๋อร์ ภายใต้ความโกรธจึงบุกมา ข้าน้อยห้ามอย่างไรก็ไม่ฟัง”ฉู่เชียนหลีขมวดคิ้ว เหตุใดจึงโยงไปถึงเรื่องที่ไกลเช่นนั้น เรื่องนั้นเป็นฝีมือของตระกูลกู้ และคลี่คลายแล้วไม่ใช่หรือ?เหตุใดโยงกลับมาที่ตัวเยว่เอ๋อร์อีก?นางเชื่อในตัวของจิ่งอี้ เขาไม่ใช่คนประเภทชอบหาเรื่องขณะเดียวกัน นางก็เชื่อเยว่เอ๋อร์ เยว่เอ๋อร์เป็นสาวใช้ที่ติดตามนางมาตอนแต่งงาน ใช้ชีวิตร่วมกับนางเกือบสิบปี นางซื่
ปกติฉู่เชียนหลีคุยกับนางอย่างอ่อนโยน ไม่มีการตั้งคำถาม ไม่มีการสงสัย และไม่เคยตรวจสอบนาง มันเป็นความเชื่อใจที่มีต่อนางมาหลายปีเหตุผลของนางง่ายมากเจ้าสามารถใช้ประโยชน์จากความเชื่อใจของข้า และทำผิดต่อข้าหนึ่งครั้ง แต่จะไม่มีครั้งที่สองเด็ดขาดโอกาส มีแค่ครั้งเดียวนางกำลังให้โอกาสเยว่เอ๋อร์เยว่เอ๋อร์ค่อยๆ กำหมัด และเม้มปากเป็นเส้นตรง…นางรู้ความหมายของพระชายานางรู้แต่มาถึงขั้นนี้ นางหันหลังกลับไม่ได้แล้ว ทำได้เพียงกัดฟันเดินหน้าต่อ นางก็ไม่อยากทำเช่นนี้ แต่เมื่อวันเวลาค่อยๆ ผ่านไป เหตุใดจึงไม่ตรงกับที่ต้องการแล้ว?นางค่อยๆ หลุบตา ยังคงกล่าว“พระชายา ที่บ่าวพูดล้วนเป็นความจริง ถ้าหากไม่เชื่อท่านไปตรวจสอบได้”“ข้าไม่ตรวจสอบเจ้า” ฉู่เชียนหลีส่ายศีรษะ “เจ้าติดตามข้าเกือบปี ข้าเชื่อเจ้า แต่เจ้าต้องรู้เอาไว้ ข้าอาจจะเชื่อผิดคนจึงทำผิดพลาด แต่เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว”นางตบไหล่ของเยว่เอ๋อร์แล้วยกเท้าเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรอีกเยว่เอ๋อร์ยืนตัวแข็งอยู่ตรงที่เดิม หน้าซีดเล็กน้อยนางสามารถสัมผัสได้ ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับพระชายา ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว…“แม่นางเยว่เอ๋อร์ มือของ
ผู้ชายที่ร่างกายสูงใหญ่งอหัวเข่า คุกเข่าอยู่ตรงหน้าอ๋องหลีอย่างตั้งตรง แม้อยู่ต่ำกว่า แต่ความสูงศักดิ์ที่แผ่ซ่านออกมาจากกระดูก ไม่ลดน้อยลงเลยสักนิดตลอดหลายปีที่ผ่านมา นอกจากคุกเข่าให้ฮ่องเต้และบรรพชน พวกเขาไม่เคยเห็นอ๋องเฉินคุกเข่าให้ใครเฟิงเจิ้งหลีเห็นดังนี้ แหงนหน้าหัวเราะ“ฮ่าๆๆ!”คิดไม่ถึงจริงๆ เขาจะมีวันนี้ด้วยลูกชายที่ฮ่องเต้โปรดปรานที่สุด แพ้ให้กับลูกชายที่ไม่โปรดปรานที่สุด ไม่สะดุดตาที่สุด และยังถูกทุกคนรังแก ความรู้สึกที่อยู่เหนือกว่าเช่นนี้ ทำให้ในใจเขาสาแก่ใจจริงๆ“ฮ่าๆๆๆ เฟิงเย่เสวียน เจ้าก็มีวันนี้ด้วย!”หัวเราะเสร็จ เขารู้สึกว่าความเย่อหยิ่งของอ๋องเฉินมันขัดตาทั้งๆ ที่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบจนต้องคุกเข่า เหตุใดยังอวดดีหยิ่งผยองเช่นนี้?เขาออกคำสั่ง “ก้มหัวเจ้าลงไป”เฟิงเย่เสวียนเม้มปาก ก้มศีรษะลงเขาออกคำสั่งอีกครั้ง “โขกศีรษะ!”“อ๋องหลี ท่านอย่ารังแกให้มันมากนัก! ท่านกับท่านอ๋องของเราเป็นคนรุ่นเดียวกัน ท่านรับการโขกหัวจากเขาไม่ได้! ไม่กลัวบรรพชนรู้แล้ว อายุสั้นหรือ!” พ่อบ้านหยางกล่าวด้วยความโกรธเพิ่งกล่าวจบ ก็ถูกผู้บัญชาการจางถีบจนล้มลงพื้นหลังจากล้มลง ก
“ปล่อยคนของเจ้าแล้ว เจ้าเป็นอิสระแล้ว คืนลูกให้ข้า” ฉู่เชียนหลีจ้องเขาเฟิงเจิ้งหลีเหลือบมองเด็กน้อยในอ้อมแขน ท่าทางที่ร้องไห้จนหน้าแดง เห็นแล้วปวดใจนักคิดว่าแค่นี้ก็จบแล้วหรือ?เขายิ้ม“ฉู่เชียนหลี เหมือนเจ้าจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์นะ?”“?”“……”“เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาต่อรองกับข้า? เด็กอยู่ในมือข้า เป็นหรือตายขึ้นอยู่กับข้า ถึงคราวที่เจ้าต้องมาสอนข้าทำงานตั้งแต่เมื่อไร?”สีหน้าฉู่เชียนหลีเคร่งขรึมทันทีเห็นได้ชัด เขาได้คืบจะเอาศอก“เจ้ายังต้องการอะไรอีก?”“ข้าหรือ” เขาเงยหน้าด้วยรอยยิ้ม กวาดมองทุกคน และตำหนักอันหรูหราหลังนี้ วังหลวงที่กว้างใหญ่แห่งนี้ แผ่นดินที่ดีเช่นนี้เขาต้องการอะไร ยังต้องให้พูดอีกหรือ?แต่ว่า มองดูท่าทางที่ร้อนใจของฉู่เชียนหลี เขาเกิดอยากสนุก ต้องการระบายความคับข้องใจที่ได้รับในสองวันนี้ออกมาให้หมดลูบแก้มของเด็กน้อยพลางกล่าว“อยากได้ลูกคืน ไม่มีปัญหา มันก็ต้องดูว่าอ๋องเฉินมีความจริงใจหรือไม่”เงียบไปครู่หนึ่ง“อืม หรือไม่อ๋องเฉินคุกเข่า โขกหัวให้ข้าสามครั้ง ข้าก็คืนลูกให้เจ้า เป็นอย่างไร?”ฉู่เชียนหลีโมโหแล้วด้วยนิสัยที่ยอมหนึ่งก้าว จะเอาสิบก้าวข
“เจ้า!”ฉู่เชียนหลีถูกความเฉยเมยของนางยั่วจนโมโหแล้ว ยิ่งคิดไม่ถึงว่าใต้ฟ้าจะมีแม่ที่ไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้มันก็จริงฉู่เจียวเจียวกับเฟิงเจิ้งหลี ถ้าไม่เหมือนกันก็คงอยู่ด้วยกันไม่ได้ ไม่มีอะไรที่พวกเขาสองสามีภรรยาทำไม่ลงรอหลังจากลู่ฉินเติบโต รู้ว่าตัวเองมีแม่เช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะเศร้าเพียงใด!“ฉู่เชียนหลี เฟิงเย่เสวียน พวกเจ้าเลิกพูดไร้สาระได้แล้ว รีบปล่อยตัวอ๋องหลี ความอดทนข้ามีขีดจำกัด!” ฉู่เจียวเจียวกล่าวอย่างเย็นชา“จะเอาชีวิตของลูกชาย หรือจะปล่อยคน พวกเจ้าเลือกเอง”อย่างไรนางก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้วไม่ดิ้นรน ตายสถานเดียวดิ้นรน เดิมพัน ยังมีโอกาสสายตาเฟิงเย่เสวียนเคร่งขรึมมาก หางตาเหลือบมองหานเฟิง หานเฟิงเข้าใจทันที เขาซ่อนมือไว้ที่หลัง และทำท่าสัญญาณมือไปที่ด้านหลังมือธนูเตรียมพร้อมจู่ๆ ฉู่เจียวเจียวก็กล่าวเสริมอีกประโยคอย่างเย็นชา “พวกเจ้าสามารถลองดูได้ ดูสิว่าการเคลื่อนไหวของพวกเจ้าไว หรือมีดที่อยู่ในมือข้าเร็ว”“ต่อให้ข้าตาย การฆ่าเฟิงเจิ้งจื่อเยี่ยก็ใช้เวลาแค่พริบตาเดียว”ฉู่เชียนหลีสั่งให้มือธนูหยุดทันที “ปล่อยคน!”อย่าทำอะไรบุ่มบ่ามผู้หญิงคนนี้มันเป็นผู
พลันฉู่เชียนหลีแน่นหน้าอก“หยุดนะ…”“อย่าเข้ามา!”ฉู่เจียวเจียวถอยหลังสามก้าว มือซ้ายจับเด็ก มือขวาถือมีดสั้น มีดสั้นที่แวววาวจ่ออยู่บนผิวอันบอบบางของเด็ก กรีดจนรอยเลือดออกแล้วเลือดไหลออกมาแล้ว“จู่ๆ เจ้าก็มาเป็นห่วงข้า และยังพยายามอยากอุ้มลูกทุกวิถีทาง ข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าไม่ได้มีเจตนาดี”นางยิ้มอย่างเย็นชา“เหอะ! ดูเหมือนฮ่องเต้ที่แกไม่ตายสักทีนั่นเป็นคนบอกเรื่องนี้กับเจ้าสินะ!”ไอ้แก่ เป็นอัมพาตเฉียบพลันยังไม่ยอมอยู่อย่างสงบเสงี่ยมอีกต่อให้รู้ความจริงแล้วอย่างไร?ชีวิตของเด็กคนนี้อยู่ในมือนาง“ฉู่เชียนหลีนะฉู่เชียนหลี เจ้าคิดอย่างไรก็คงคิดไม่ถึงกระมังว่า เจ้าเลี้ยงลูกสาวข้า ข้าเลี้ยงลูกชายเจ้า และก็ต้องขอบคุณลูกชายคนดีคนนี้ของเจ้า กลายเป็นตัวช่วยที่สำคัญของอ๋องหลี” นางเผยอมุมปาก รอยยิ้มนั้นน่ากลัวมากฉู่เชียนหลียืนตัวแข็งอยู่ตรงที่เดิม ไม่กล้าขยับ“เจ้าต้องการอะไร?”ฉู่เชียนหลีจ้องมีดสั้นในมือนาง กลัวว่านางจะพลั้งเผลอกรีดโดนคอของเด็กตั้งครรภ์สิบเดือนลูกชายเป็นก้อนเนื้อชิ้นหนึ่งที่ตกลงมาจากร่างกายนางนางไม่กล้าเดิมพัน และเดิมพันไม่ไหวฉู่เจียวเจียวกล่าว “ข้าต้องก
กลางดึกกำลังถึงช่วงที่คนเงียบสงบ คนกลุ่มหนึ่งวิ่งไปที่ตำหนักเจาหยางราวกับคลื่นยักษ์ ตอนที่ใกล้จะถึง ฉู่เชียนหลีตวาดสั่งให้พวกเขาหยุด“พวกเจ้าอยู่ห่างๆ อยากเข้าใกล้!”พ่อบ้านหยางกล่าวด้วยความเป็นห่วง “พระชายา พวกเราต้องไปเอาพระนัดดาองค์โตกลับมา นั่นเป็นเลือดเนื้อของท่านกับท่านอ๋องนะ”“ข้ารู้!”ก็เพราะรู้ จึงไม่ให้พวกเขาเข้าใกล้“ไปทำอะไรคนเยอะแยะ ถ้าหากบีบจนฉู่เจียวเจียวไม่มีทางเลือก นางทำอะไรขึ้นมา…”ฉู่เชียนหลีแทบจะเป็นบ้าแล้ว ร้อนรนเหมือนมดที่อยู่บนกระทะร้อน ทั้งร้อนใจทั้งไม่สบายใจ น้ำเสียงก็ค่อนข้างฉุนเฉียวไม่อยากพูดมาก วิ่งเข้าไปในตำหนักเจาหยางเพียงลำพัง คนอื่นรออยู่ที่ข้างนอก ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามภายในตำหนักฉู่เจียวเจียวกำลังกล่อมจื่อเยี่ย ฉู่เจียวเจียวมาแล้ว นางมองเด็กน้อยที่อ้วนสมบูรณ์ กล่าวโดยไม่เงยหน้า“พระชายาอ๋องเฉิน ลูกของข้าเพิ่งนอนหลับ ”โปรดให้อภัย ข้าอุ้มเขาไว้ ร่างกายหนัก ไม่สะดวกลุกขึ้นยืน สายตาฉู่เชียนหลีมองไปที่ตัวเด็กเด็กน้อยอ้วนสมบูรณ์ ใบหน้าจ้ำม่ำ คิ้วละเอียดอ่อน หน้าตาที่น่ารักน่าเอ็นดู คล้ายเฟิงเจิ้งเว่ยซีแปดส่วนเหตุใดเมื่อก่อนนางไม่สังเกต
อวิ๋นอิงถูกนางทำเอาตกใจจนหน้าซีด รีบถาม“พระชายา มีอะไรหรือ? เหตุใดกะทันหันเช่นนี้?”“รีบไป!”มือทั้งสองข้างของฉู่เชียนหลีเย็นเฉียบ เสียงนั้นเกือบจะคำรามออกมา แม้แต่คอก็กำลังสั่นสะเทือนคนข้างล่างไม่กล้ารอช้า รีบไปตามหาคนทันทีเฟิงเย่เสวียนประหม่า “เชียนหลี นี่เจ้าเป็นอะไร?”“ข้าอาจจะเข้าใจผิด อาจจะทำผิดพลาด ข้าอาจจะ…ข้า ข้า…” ฉู่เชียนหลีพูดวนไม่ปะติดปะต่อ พูดอยู่ดีๆ เบ้าตาก็แดงแล้วหัวใจเหมือนถูกแมวข่วน กระสับกระส่ายนางกุมเสื้อตรงหน้าอก หายใจอย่างอึดอัดขออย่าให้มันเป็นเรื่องจริง…ขออย่า…นางทรมานจังนางไม่ใช่แม่ที่ดี กลัวรู้ความจริง แต่ก็อยากรู้ความจริงหลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ผู้คนร้อยกว่าคนเข้าวังในคืนนั้น มีคนของจวนอ๋องเฉิน หมอ หมอตำแย ผู้ช่วยหมอ และยังมีองครักษ์ลับ ทหารยาม หมอหญิงเว่ยก็อยู่เมื่อหนึ่งเดือนกว่าก่อน ตอนที่ฉู่เชียนหลีคลอดลูก คนเหล่านี้อยู่ในเหตุการณ์ทุกคนเมื่อฉู่เชียนหลีเห็นพวกเขา รีบถามทันที“วันที่ข้าคลอดลูก เคยมีคนแปลกหน้ามาหรือไม่?”ทุกคนหันมองกันและกัน ล้วนส่ายศีรษะ“พระชายา เรื่องสำคัญอย่างท่านคลอดลูก พวกเราจับตาดูอย่างเข้มงวด ในจวนมีแต่คนข
นางกำนัลรีบนำพู่กันมาฉู่เชียนหลีเอาพู่กันจุ่มน้ำหมึก แล้วใส่ในมือฮ่องเต้ร่างกายของฮ่องเต้เป็นอัมพาต ไม่ควบคุมมือไม่ได้ ไม่สามารถจับพู่กันด้วยซ้ำ ปากของเขาเบี้ยว ใช้แรงทั้งหมดหนีบด้ามพู่กันด้วยนิ้วชี้กับนิ้วกลาง อาศัยแรงกระตุกของร่างกาย ลงพู่กันบนกระดาษอย่างเบี้ยวไปเบี้ยวมาเพียงไม่กี่ขีด เขียนอย่างยากลำบาก บนหน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อแนวเฉียง…แนวตั้ง…สองคำ ทั้งหมดสี่ขีดเขียนเสร็จ พู่กันก็ร่วงตกบนพื้น เขาเหนื่อยจนหอบบนเตียง ขยับไม่ได้อีกแล้ว“ลูกชาย…” อวิ๋นอิงอุทานเบาๆ “คนที่ฝ่าบาทคิดถึงคือลูกชาย?”ฉู่เชียนหลีถือกระดาษ แม้สองคำนี้เขียนได้คดเคี้ยวมาก แต่เนื่องจากลายเส้นเรียบง่าย จึงมองออกในปราดเดียวว่ามันคือคำว่า ‘ลูกชาย’นี่เขาอยากบอกอะไรนาง?“หรือเป็นอ๋องหลี?” อวิ๋นอิงคาดเดาฉู่เชียนหลีส่ายศีรษะโดยไม่ต้องคิด“อ๋องหลีวางยาพิษเขา กบฏวังชิงราชบัลลังก์ มีความทะเยอทะยาน ฝ่าบาทไม่มีทางคิดถึงอ๋องหลี”นางกล่าววิเคราะห์“ส่วนอ๋องหลีหลังจากขึ้นบัลลังก์ ไม่ฆ่าผู้บริสุทธิ์ องค์ชายท่านอื่นอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเหมือนเมื่อก่อน ไม่มีอันตราย ฮ่องเต้ก็ไม่มีทางคิดถึงองค์ชายท่านอื่น”อวิ๋
ตอนที่ตื่น ก็เป็นเที่ยงของวันใหม่แล้ว เฟิงเย่เสวียนรู้จักเตียงนานแล้ว หลังจากฉู่เชียนหลีกินอะไรง่ายๆ ก็ไปที่สำนักหมอหลวง หมกมุ่นอยู่กับตำราแพทย์พริบตาเดียวก็กลางคืนแล้วนางกำนัลมารายงาน ฮ่องเต้ฟื้นแล้ว ฉู่เชียนหลีไปตำหนักผานหลง ฮ่องเต้นอนตัวเกร็งอยู่บนเตียง นิ้วมือหยิกงอ ร่างกายครึ่งหนึ่งแข็งเหมือนท่อนไม้ ปากก็เบี้ยวจนมีน้ำลายไหลยืดเขาเบิกตากว้างจนลูกตาแทบทะลักออกมาแล้ว นางกำนัลที่ปรนนิบัติกลัวเล็กน้อย ไม่กล้าเข้าไปปรนนิบัติฉู่เชียนหลีเดินเข้ามา“ฝ่าบาททรงฟื้นเมื่อไร”“เมื่อหนึ่งเค่อก่อนเจ้าค่ะ” นางกำนัลตอบ“ดื่มโอสถหรือยัง?”“หนึ่งวันสามมื้อ ป้อนตรงเวลาเจ้าค่ะ”“อืม”นางเดินไปที่หน้าเตียง จับชีพจรของฮ่องเต้ ลักษณะชีพจรคงที่ ไม่มีปัญหาใหญ่อะไร เพียงแต่ร่างกายได้รับหญ้าหมาเฟ้ยมากเกินไป ส่งผลให้ร่างกายชาจนไม่ตอบสนอง อย่างน้อยต้องใช้เวลาอีกครึ่งปี จึงจะสามารถสลายหญ้าหมาเฟ้ยเหล่านี้หมดถึงเวลา ก็สามารถกลับมาเป็นปกติ“ดูแลดีๆ ต้องมีคนเฝ้าอยู่ข้างพระวรกายตลอดอย่างน้อยสองคน” นางกำชับนางกำนัลเวลานี้เอง ที่นอกประตู อวิ๋นอิงอุ้มน้องสาวมาแล้ว“พระชายา ท่านเอาแต่ยุ่งทั้งวัน ลู่ฉิ
ฉู่เชียนหลีมองนาง กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถ้าหากไม่ใช่เพราะเจ้า อ๋องหลีก็ไม่สามารถก่อเรื่องมากมายเช่นนี้ เจ้าจะให้ข้าจัดการเจ้าอย่างไรจึงจะดี?”ถ้าไม่มียาอายุวัฒนะ อ๋องหลีจบสิ้นไปนานแล้วและยาชนิดนี้ก็มาจากมือของอูหนูอูหนูยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเย็นชา ยืดอกหลังตรง การแสดงออกบนใบหน้าไม่เย่อหยิ่งแต่ก็ไม่ถ่อมตน นางเป็นคนที่เคยตายมาแล้วหนึ่งครั้ง ย่อมไม่กลัว“จะฆ่าจะแกง เชิญตามสะดวก”นางเงยหน้า หลับตา“เจ้าเป็นผู้ช่วยที่ดีของอ๋องหลี ข้าฆ่าเจ้าทั้งเช่นนี้ จะไม่เสียดายแย่หรือ?” ฉู่เชียนหลีเดินไปที่ตรงหน้านาง “ข้าขอถามเจ้า เจ้าทำอะไรกับฝ่าบาท? เหตุใดจู่ๆ เขาก็เป็นอัมพาตเฉียบพลัน”อูหนูย่อมไม่อยากพูดไม่รอนางเอ่ยปาก ฉู่เชียนหลีเสริมอีกประโยค“ตายเป็นแค่ผลลัพธ์อย่างหนึ่ง แต่ขั้นตอนการตาย ควรตายอย่างไร ขึ้นอยู่กับข้า”“เจ้าสามารถปากแข็ง แต่ปากแข็งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ และยังจะเพิ่มความเจ็บปวด เจ้าเป็นคนฉลาด รู้ว่าควรเลือกอย่างไร”อูหนู “...”ข่มขู่อย่างโจ่งแจ้งถ้าหากนางยอมพูด มอบความตายที่ไม่เจ็บปวดให้นางถ้าหากนางไม่ยอมพูด คิดวิธีทรมานสารพัด เพื่อทำให้นางยอมพูด สุดท้ายก็ตายอยู่