หลังจากงานเลี้ยงเสร็จสิ้น ลู่หลิงเฟยก็มีโอกาสได้พบกับท่านอ๋องอีกหลายครั้ง หลายวันมานี้นางพยายามทำทุกอย่างให้เป็นเรื่องบังเอิญว่าพบเขา ทั้งที่ก่อนเข้าวังเพื่อส่งของให้พระชายาองค์รัชทายาท และโรงน้ำชาในเมืองหลวง
“ท่านอ๋อง บังเอิญอีกแล้วเพคะ พระองค์ก็มาโรงน้ำชาเช่นเดียวกันหรือเพคะ”
“ดูเหมือนจะมิใช่เรื่องบังเอิญดังที่เจ้าพูดนะคุณหนูลู่ มาพูดกันตรง ๆ เถิด หลายวันมานี้เจ้าติดตามข้าและข้าเองก็มักจะพบเจ้าอยู่เสมอ เจ้าต้องการสิ่งใด”
“เป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ นะเพคะ โรงน้ำชานี้เป็นร้านประจำที่ข้าชอบมาดื่มกับสหาย จริงหรือไม่ชิงชิง”
“เอ่อ…หลิงเฟยแต่เจ้าบอกว่าเจ้าเดินตาม…อ้อ จริงเพคะ”
ชิงชิงจงใจพูดออกมาให้ท่านอ๋องทรงทราบว่าลู่หลิงเฟยเดินตามเขามา แต่ดูเหมือนว่าพระองค์จะไม่ได้ยินเพราะมัวแต่ทำสีหน้ากึ่งรำคาญกึ่งหงุดหงิดอยู่ตรงหน้าพวกนาง ชิงชิงถือโอกาสนี้เพื่อหลีกหนี
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันมีธุระเช่นนั้นขอตัวก่อนเพคะ หลิงเฟยข้าพึ่งนึกได้วันนี้เดินตาม เอ๊ย เดินเล่นเป็นเพื่อนเจ้าไม่ได้แล้ว ไปก่อนนะ”
“อ้าวชิงชิง เหตุใดทิ้งข้าเช่นนี้เล่า หากเป็นเช่นนั้นท่านอ๋องพระองค์พึ่งกลับมาที่นี่ ให้หม่อมฉันนำเที่ยวดีหรือไม่เพคะ”
“ข้า…ไม่ได้ว่างขนาดนั้น ข้ายังมีธุระ”
“นี่ท่านอ๋อง พระองค์พึ่งจะกลับมาคงยังไม่ทราบ นอกจากโรงน้ำชานี้แล้วยังมีโรงละคร แย่แล้ว ๆ ใกล้เวลาละครดังจะเริ่มแล้ว ไปกันเถอะเพคะอย่าได้พลาดเชียว”
“เอ่อ คุณหนูลู่เดี๋ยวก่อน ข้ามิได้บอกว่าจะไปกับเจ้านะ”
“คุณหนูลู่ขอรับ กรุณาสำรวมด้วยท่านอ๋องเป็นเชื้อพระวงศ์ ท่านจะเดินลากพระองค์เช่นนี้หาได้ไม่”
“ข้า…ข้าก็แค่ชวนดี ๆ แล้วเขาไม่ไปนี่ เช่นนั้นก็เดินมาด้วยกันสิเพคะ”
“ลู่หลิงเฟย ข้าบอกเจ้าแล้วว่า….”
“แย่แล้ว ๆ จะไม่ทันแล้ว รีบไปก่อนเถิดเพคะเรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง”
“เอ่อ เดี๋ยวก่อนข้าเดินเองได้ อย่าลากเช่นนี้”
นางไม่ได้ยินเสียงเขาและดึงแขนเสื้อเขาเดินตามมาสุดท้ายนางก็เอื้อมไปจับมือเขาและจูงท่านอ๋องเข้ามาในโรงละครจนได้และพาเดินขึ้นไปยังชั้นสองที่เป็นห้องส่วนตัวที่เป็นห้องประจำของนาง
“ทันเวลาพอดี แฮก แฮก พระองค์เป็นทหารกล้า แต่เหตุใดจึงวิ่งช้านักเล่า”
“ข้า…แม่นางลู่ ข้ามิได้บอกว่าอยากจะมา ข้าบอกแล้วว่า…”
“น้ำชาเพคะ อย่าพึ่งพูดมากข้าจะดูละคร”
“แต่ข้าไม่อยากดู”
“ชู่ววว เบา ๆ สิ จะเสียงดังให้ผู้อื่นด่าหรือเพคะ เบา ๆ หน่อย”
“ท่านอ๋องทำเช่นไรดีพ่ะย่ะค่ะ”
“รอก่อน ให้นางเผลอค่อยลุกออกไป”
จื่อรุ่ยเพียงคำนับรับคำของท่านอ๋อง เขานึกไม่ค่อยชอบใจกิริยาของบุตรีคนเล็กของสกุลลู่ผู้นี้เท่าใดนักที่เดินลากท่านอ๋องเข้ามาถึงในโรงละคร
ตอนนี้ท่านอ๋องเพียงจิบชาและมองไปยังด้านล่างสลับกับมองใบหน้าด้านข้างของนางอย่างเหม่อลอย แม้ว่าจะไม่เหมือน แต่ก็มีความคล้าย....
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ รู้แล้ว”
ท่านอ๋องหันไปมองลู่หลิงเฟยที่ตั้งใจดูละครด้วยความสนใจและไม่ได้สนใจเขาแล้ว เขาจึงค่อย ๆ ลุกและเดินออกไปจากตรงนั้นทันที
“จื่อรุ่ย ไปจ่ายเงินค่าน้ำชาและค่าห้องให้นางด้วย”
“แต่ว่าท่านอ๋อง....”
“ข้าบอกให้เจ้าไปก็ไปเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะ ไม่ได้อยากมาด้วยซ้ำแต่กลับต้องเสียเงิน”
จื่อรุ่ยบ่นแต่ก็ยอมเดินไปจ่ายเงินตามคำสั่ง พวกเขาออกมาจากโรงละครและกลับไปที่จวนอ๋องทันที
“เหตุใดคุณหนูลู่ผู้นั้นต้องคอยตามติดพระองค์ถึงเพียงนี้ด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ ไปที่ใดก็หลบนางไม่พ้นราวกับว่านางรู้ว่าพระองค์จะไปที่ใดบ้าง นางคงไม่คิดที่จะ….”
“จื่อรุ่ย เจ้าไปได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับนางมาสินะ”
“ไม่ขอปิดบังพ่ะย่ะค่ะ เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ในบรรดาบุตรสกุลลู่ มีเพียงนางที่ไม่ได้เรื่องที่สุดเพราะถือว่าเป็นบุตรคนสุดท้อง
พี่ใหญ่เป็นถึงรองแม่ทัพพยัคฆ์เหนือ พี่สาวคนรองเป็นพระชายาองค์รัชทายาท พี่สามของนางได้ข่าวว่าแต่งงานกับท่านอ๋องแคว้นเหลียงเพราะความสามารถโดดเด่น หากว่านางยังอยู่เมืองหลวง ตำแหน่งสตรีอันดับหนึ่งคงไม่ตกเป็นของคุณหนูสกุลหลี่ผู้นั้น”
“เจ้ารู้มากเสียจริงนะ”
“กระหม่อมได้ยินโดยมิต้องสืบเลยพ่ะย่ะค่ะ เรื่องของนางอื้อฉาวในเมืองหลวงไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งชกต่อยมีเรื่องกับนักเลง เที่ยวเล่นไปวัน ๆ อีกทั้งยัง…ชอบบุรุษหน้าตาดี หากว่าชอบผู้ใดนางก็จะ…ทำอย่างที่ทำกับพระองค์”
“งั้นหรือ เช่นนั้นหรือว่าข้าควรจะปล่อยให้เรื่องนี้ข้าควรจะไหลไปตามเหตุการณ์ดีนะ”
“ท่านอ๋อง ผู้ใดก็ได้แต่ไม่ควรจะเป็นนางนะพ่ะย่ะค่ะ ทั้งไม่มีแก่นสาร ไม่มีความรู้ความสามารถแล้วยังก่อเรื่องไม่เว้นแต่ละวัน หากพระองค์ต้องอภิเษกกับสตรีเช่นนี้จริง ๆ เฮ้อ….ท่านอ๋องกับพระชายาบนสวรรค์คงอยู่ไม่เป็นสุข”
“นางมิได้เลวร้ายถึงเพียงนั้นหรอก”
แต่ท่านอ๋องคิดผิดถนัด หลังจากวันนั้นลูกตื๊อของลู่หลิงเฟยมีมากยิ่งกว่านั้น ทั้งตามเขาไปที่จวนส่งอาหารมากมายไปให้เขาที่จวนอ๋อง อีกทั้งดักรอเขาก่อนจะเข้าวังและดักรอเวลาที่กลับและเดินตามจนเขาแทบจะหาทางเลี่ยงนางไม่ได้เลย
ข่าวลือที่แพร่กระจายอยู่แล้วยิ่งแพร่ออกไปไม่หยุด เรื่องราวระหว่างเขาและลู่หลิงเฟยว่าทั้งคู่กำลังคบหาดูใจกันเริ่มหนาหูมากขึ้น นางทำเช่นนี้อยู่ร่วมสามเดือนจนท่านอ๋องแทบจะไม่ออกจากจวนหากไม่มีกิจธุระจำเป็นอื่น
จวนสกุลหลี่
“คุณหนู ท่านจะอยู่เฉยเช่นนี้หรือเจ้าคะ”
“แล้วข้าต้องทำสิ่งใดเล่า ในยามนี้ผู้ที่ทำเรื่องอื้อฉาวก็คือนาง ผู้ที่ท่านอ๋องรำคาญที่สุดก็ยังเป็นนาง ข้าพบท่านอ๋องที่ชุมนุมหมากในราชสำนักวันก่อน เขายังคุยกับข้าด้วยท่าทีที่สุภาพมากจนข้าตกใจ….เขาไม่มีทางชอบคนไร้ความสามารถเช่นลู่หลิงเฟยได้หรอก ข้ามั่นใจ”
“คุณหนู ท่านว่าน้ำหยดลงหินทุกวันหินจะกร่อนหรือไม่เจ้าคะ”
“หึ เจ้าคิดว่าเพียงแค่หยดน้ำเล็ก ๆ ที่หล่นจากเหวนั่นจะทำให้หินผาอย่างท่านอ๋องหวั่นไหวได้งั้นหรือ”
“คุณหนู ท่านก็พูดตรงเกินไปแล้วเจ้าค่ะ ข้าแทบจะหลุดขำเลยเจ้าค่ะ”
“ครั้งนี้นางมิใช่คู่แข่งของข้า ต่อให้นางอยากกินเนื้อห่านฟ้าอย่างไรนางก็เอื้อมไม่ถึง”
โรงน้ำชาเพ่ยหรง
“วันนี้ข้ายังไม่พบท่านอ๋องเลย เขาไปที่ใดกันนะหรือจะหลบอยู่แต่ในจวนอีกแล้ว น่าเบื่อเสียจริง”
“คุณหนูเจ้าคะ ที่ท่านทำเช่นนี้แน่ใจหรือเจ้าคะว่าท่านอ๋อง…เอ่อ…จะหวั่นไหวจริง ๆ”
“นั่นสิ ตามติดมาตั้งนานขนาดนี้ยังไม่หันมาสนใจข้าเลย หรือว่าวิธีนี้จะไม่ได้ผล ไม่ได้ ข้าต้อง…”
“นึกว่าผู้ใด ที่แท้ก็ลู่หลิงเฟยนี่เอง วันนี้เจ้าว่างงั้นหรือ”
“หลี่ฟางอิ่ง นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะออกจากบ้านเป็นกับเขา นึกว่าจมอยู่กับกองกลอนหมากอักษรอยู่ในจวนจนสำลักน้ำหมึกจนป่วยเสียแล้ว”
“คุณหนูลู่ เหตุใดท่านจึงหยาบคายเช่นนี้ คุณหนูของข้าน่ะ....”
“เอาเถอะ ๆ อี้สี่เจ้าก็อย่าได้ถือสานางเลย แต่ไหนแต่ไรนางเคยเรียนรู้มารยาทเหล่านี้ด้วยงั้นหรือ หากว่านางเรียบร้อยสิข้าถึงต้องแปลกใจ”
ลู่หลิงเฟยไม่นึกอยากเจอหลี่ฟางอิ่งในตอนนี้เท่าใดนัก นางเลือกจะเดินหนีแต่อีกฝ่ายกลับไม่คิดเช่นนั้น
“จะรีบไปไหนเล่าลู่หลิงเฟย ข้ายังคุยกับเจ้าไม่จบเลย”
“เจ้ามีสิ่งใดจะคุยงั้นหรือ ไม่กลัวว่าข้าจะไร้มารยาทใส่เจ้าอีกหรืออย่างไร ข้าน่ะพูดจาโผงผางไม่สนใจมารยาทเจ้าที่แทบจะพูดออกมาเป็นบทกวีกรีดนิ้วเป็นพู่กันหายใจเป็นตัวหมากข้าคงคุยกับเจ้าไม่รู้เรื่องเท่าใดนัก”
"หลิงเฟยเดินออกไปแต่หลี่ฟางอิ่งกลับเรียกนางไว้
“ข้าอยากคุยเรื่องท่านอ๋องหยางหลินอี้”
ลู่หลิงเฟยหยุดชะงักไปนิดหน่อยพร้อมกับหันมามองผู้พูด นี่คงไม่คิดจะมาแย่งบุรุษกับนางอีกกระมัง“เจ้าหมายความว่าอย่างไร ท่านอ๋องทำไม”“ข้าก็แค่อยากรู้ว่าระหว่างเจ้ากับท่านอ๋องในตอนนี้ สถานการณ์ดูจะไม่ค่อยเป็นใจเท่าไหร่ ข่าวว่าเจ้าเอาแต่ติดตามเขาไปทั่วจนท่านอ๋องหลีกหนีแทบไม่ไหวนั่นทำให้ข้าฟังแล้ว..รู้สึกอับอายแทนยิ่งนัก”“หลี่ฟางอิ่ง ตัวข้ายังไม่อายเจ้าจะอายแทนข้าด้วยเหตุใดหรือว่าเจ้าเองก็นึกอยากทำเช่นนี้แต่มิกล้าถึงได้เอาแต่พูดต่อว่าข้าลับหลัง น่าสมเพชยิ่งนัก เมื่อใดก็เป็นเช่นนี้อยู่ร่ำไป รอให้ข้าเหนื่อยเองและยอมคายแล้วเจ้าค่อยเก็บเอาไปกินทีหลัง”“ลู่หลิงเฟยนี่เจ้า!!”“โอ้ ทนไม่ไหวแล้วงั้นหรือคุณหนูหลี่ เจ้าอย่าลืมนะว่าเจ้าเป็นถึงสตรีงดงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ส่วนข้าคือสตรีที่หยาบคายที่สุดในต้าซ่ง ข้าไม่กลัวเรื่องเสียชื่อเสียงแต่เจ้า….กลัวหรือไม่เล่า เจ้ากล้าแลกหรือไม่”“เจ้า…หยาบคายเช่นนี้ถึงได้ถูกถอนหมั้น”“หลี่ฟางอิ่งเจ้าเข้าใจเสียใหม่ ผู้ที่ถอนหมั้นคือข้าไม่ใช่สกุลหลาน เป็นถึงสตรีที่ฉลาดดูมีความรู้ก็อย่าได้รับแต่ข่าวสารผิด ๆ จนทำให้เจ้า…ดูโง่เลย…นะ ขอตัวก่อน”“ข้าไม่มีทางยอมแพ้เจ้า
“เกรงว่าคนพวกนี้คงไม่รอท่านสอบสวนหรอก พวกมันมียาพิษไว้ใต้ลิ้น ทางที่ดีให้ข้าช่วยสักหน่อย”นางสะบัดผ้าเพียงหนึ่งครั้ง ยาพิษใต้ลิ้นนั้นก็หลุดออกมาพร้อมกับนางที่ก้มลงไปสกัดจุดที่ร่างเอาไว้พร้อมกับเตะไปให้ท่านอ๋องตรงหน้าพวกเขา คนร้ายนอนนิ่งอยู่ตรงหน้าเขากับจื่อรุ่ย“เอาไปสิ”“แม่นางลู่ นี่เจ้า….”นางค่อย ๆ เรียกผ้าแพรราวกับสั่งได้เก็บเข้ามาและหันไปยังที่ที่มีอาลี่นอนอยู่ นางวิ่งไปพร้อมกับยกร่างที่ไร้ลมหายใจของสาวใช้คู่กายมา น้ำตาไหลรินราวไร้การอดกลั้นใด ๆ “อาลี่ ข้าแก้แค้นให้เจ้าแล้ว พวกมันตายแล้วพวกเรากลับบ้านกันนะ”“ลู่หลิงเฟย ให้ข้าไปส่ง…”“ไม่รบกวนท่านอ๋อง ข้าจะพานางกลับเองถือว่าเรามิได้พบกันที่นี่ อย่าเอ่ยเรื่องที่พบข้าในคืนนี้กับผู้ใดก็พอ”“เพราะเหตุใด อึก …แคก แคก”“ท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ”ลู่หลิงเฟยหันไปวางร่างของอาลี่ลงและเดินเข้าไปหาท่านอ๋อง จื่อรุ่ยมองนางอย่างไม่แน่ใจว่านางจะทำสิ่งใดอีก เพียงชั่วพริบตา เขานึกไม่ถึงว่านางจะเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้ ราวกับเขาพึ่งจะรู้จักลู่หลิงเฟยตัวจริงในวันนี้เอง“คุณหนูลู่ นั่นท่านจะทำสิ่งใด”นางหันไปมองจื่อรุ่ยนิดหน่อยแต่ท่านอ๋องในตอนนี
ใต้เท้าลู่หันไปมองพระพักตร์ท่านอ๋องอย่างนึกประหลาดใจ ท่านอ๋องคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้ประหลาด เขาจึงหยิบยาที่หลิงเฟยให้เขาออกมาหนึ่งเม็ดและส่งให้ท่านหมอลู่“นี่มัน…ใช่จริง ๆ ยาต้าหรงจริง ๆ แต่ผู้ใดกันที่ทำยานี้ออกมาได้ หรือว่า….”ท่านหมอลู่และลู่หยวนลี่หันมามองหน้ากัน พวกเขารู้ดีว่าหลิงเฟยศึกษาวิชาแพทย์อย่างแตกฉานแต่นางไม่เคยแสดงออกเรื่องนี้มาก่อน “ท่านอ๋อง พระองค์รีบกินเถิดพ่ะย่ะค่ะ พิษในพระวรกายจะได้ถูกขับออกมา”ท่านหมอลู่ส่งยาคืนให้ท่านอ๋อง เขาจึงรับและกลืนลงไปในทันที แม้ว่าจะยังไม่ได้คำตอบแต่ในตอนนี้ที่เขาเห็นว่าลู่หลิงเฟยกลับมาถึงจวนอย่างปลอดภัยนั่นก็นับว่าโล่งใจไปได้แล้ว“อาการของนาง…”“กระหม่อมรักษาได้พ่ะย่ะค่ะ นางเพียงแค่ตกใจและ…ทำใจไม่ได้ชั่วครู่เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ ขอบพระทัยที่ทรงถามไถ่”“นางช่วยชีวิตข้าไว้ มิอาจเพิกเฉยได้ ครั้งนี้หากไม่ได้นาง….(ห้ามบอกผู้ใดว่าพบข้าที่นี่)…ที่ให้ยาถอนพิษ ข้าคง…”เขารักษาคำมั่นที่นางบอกเอาไว้ว่าจะไม่เอ่ยเรื่องที่นางช่วยเขากำจัดคนร้ายด้วยวิชายุทธ์ที่แกร่งกล้านั้น เขาเองก็นึกอยากเก็บเรื่องนี้เป็นความลับเช่นกัน“เร็วเข้า ไปต้มยาตามที่ข้าบอกให้
ลู่หลิงฟางเดินออกมาเพราะนางได้ยินเสียงเอะอะพร้อมกับคนที่เริ่มซุบซิบกันอยู่ด้านนอกโดยที่พวกนางไม่ทันได้สังเกต ลู่หลิงฟางหันไปสอบถามฟางชิงชิงที่ดูเป็นห่วงน้องสาวนางแต่กลับถามเรื่องเช่นนี้ต่อหน้าผู้คนมากมายจนนางนึกแปลกใจว่าแม่นางจางผู้นี้หวังดีกับน้องสาวนางจริงหรือไม่“พระชายา หม่อมฉันเพียงแค่ เป็นห่วง…เรื่องข่าวลือในคืนนั้นทั้งเมืองหลวงต่างร่ำลือไปมากมายแต่ไม่มีผู้ใดออกมาแก้ต่างเลย”“งั้นหรือ พวกเขาร่ำลือ พวกเขาของเจ้าน่ะ คือผู้ใด”“คือว่า..เรื่องนี้ คนทั้งเมืองหลวงต่างเล่าลือกันไป หม่อมฉันชี้ตัวไม่ชัด ไปหานางก็ไม่มีคำตอบ หม่อมฉันก็จนปัญญาจะแก้ต่างให้เพคะ”“ข้าถามว่าพวกเขาร่ำลือว่าอย่างไร”“ว่า หลิงเฟยถูกคนร้ายย่ำยีจนสาวใช้นางตายเพคะ ข้าเองก็ฟังเขามาอีกที แต่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลยว่าในคืนนั้นมีผู้ใดเป็นพยานให้นางว่านางมิได้ถูกทำร้าย”“เช่นนั้นข้าคงเป็นพยานให้นางได้ เพราะข้าเป็นผู้ที่อยู่กับนางในคืนนั้นเอง”พวกนางหันไปมองบุรุษรูปงามในชุดลำลองสีขาวปักด้วยดิ้นสีเงินทั้งตัวที่เดินเข้ามาในร้านพร้อมกับองครักษ์ข้างกาย เขาปราดตาไปมองจางชิงชิงทันที เขาเห็นตั้งแต่นางลากลู่หลิงเฟยออกมาและสอบถามเสี
หลิงเฟยปล่อยน้ำตาที่เฝ้าอดกลั้นมาแสนนานออกมาในครานี้เอง เพียงคำพูดเดียวของท่านอ๋องทำให้นางราวกับถูกปลดล็อกบางอย่างออกไป นางร้องไห้ออกมาเสียงดัง เขาพยายามเช็ดน้ำตาให้นางอยู่หลายครั้ง จนนางนิ่งสงบลงในที่สุด“อยากพูด อยากระบายสิ่งใดออกมาอีกหรือไม่”“….”“พูดออกมาเถอะ ไม่ว่าสิ่งใดข้าก็จะฟัง วันนี้ข้ามีเวลาทั้งวันเพื่อปลอบเจ้า”“พระองค์ไม่ต้องสงสารหม่อมฉันก็ได้เพคะ นี่มันไม่จำเป็นเลย”“เหตุใดเจ้าจึงมองว่าเป็นความสงสาร เจ้ามองว่าข้าเป็นเช่นนั้นงั้นหรือ หากเพียงสงสารเจ้าคงไม่ตามเจ้ามาถึงที่นี่กระมัง”“พระองค์ ทรงหมายความว่าอย่างไรเพคะ”“ข้า…อยากขอบคุณเจ้า อยากทำเช่นนี้มานานแล้วแต่เจ้าก็ไม่เคยออกมาจากจวนเลยสักครั้ง ไปที่จวนเจ้าก็ไม่ออกมาพบผู้ใดจนข้าแทบจะหาทางออกไม่ได้ โชคดีที่วันนี้พระชายาเสด็จมาที่เมืองหลวงมิเช่นนั้นข้าคงไม่มีโอกาสเอ่ยคำนี้ออกมาเสียที”“พระองค์เพียงแค่อยากขอบคุณหม่อมฉันสินะเพคะ ไม่เป็นไรเพคะหม่อมฉันมิได้ทำสิ่งใด...”นางดันเขาออกเพื่อจะกลับมานั่งที่เดิมแต่เขากลับไม่ยอมปล่อยและยังดึงนางเข้าไปกอดแน่นกว่าเดิมอีกด้วยจนนางเริ่มใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ และดูเหมือนว่าหัวใจของท่านอ๋องเ
ลู่หลิงเฟยแทบไม่อยากจะเชื่อว่านางพึ่งได้ยินสิ่งที่ท่านอ๋องหน้าตายผู้นั้นตรัสออกมา เขาจะให้นาง….นอนหนุนตักเขางั้นหรือ แต่ไม่ทันที่นางจะได้พูดแย้งอะไรออกไปเขาก็ดึงตัวนางเข้ามาพร้อมกับใช้ตัวให้นางพิง“นอนพักสักหน่อย ถึงแล้วข้าจะปลุก”“นอนท่านี้หม่อมฉันจะหลับได้งั้นหรือเพคะ”“เช่นนั้นข้าจะช่วยเจ้าเอง หลับตาสิ”หลิงเฟยเชื่อฟังเขาแต่เขากอดนางแน่นเช่นนี้นางจะหลับได้จริง ๆ นะหรือ ไหนจะเสียงหัวใจของเขาและนางที่เต้นรัวแข่งกันอยู่ในเวลานี้อีกนางจะหลับลงได้เช่นไร ไม่นานก็ได้คำตอบเมื่อเขาเอาฝ่ามือเย็น ๆ มาปิดที่ดวงตานางเอาไว้“สบายหรือไม่”“อืม..แต่มืดไปหน่อยเพคะ”“มิเช่นนั้นจะนอนได้เช่นไร พักผ่อนเถอะข้าไม่ชวนคุยแล้ว”นึกไม่ถึงว่าท่านอ๋องที่หน้าตายเช่นเขาที่นางพบในวันแรก แม้ว่าจะรูปงามดุจหยกประดับดังที่เลื่องลือแต่กลับปากร้ายและเย็นชาผู้นั้นในยามนี้จะเป็นบุรุษที่อบอุ่นถึงเพียงนี้ลู่หลิงเฟยหลับไปในเวลาไม่นานเพราะมือที่เย็นของเขาทำให้ตานางเริ่มหายปวดและผ่อนคลายลงจนหลับไปโดยไม่รู้ตัวจวนสกุลลู่“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”“เงียบก่อน ให้นางพักสักครู่ข้าค่อยปลุกนาง”เกือบหนึ่งชั่วยามที่ท่านอ๋องนั่งเฝ้านางที่ห
หลิงเฟยเปิดตามคำที่หลิงฟางบอก เมื่อเปิดออกมาก็พบว่าเป็นชุดใหม่ แต่นี่มิใช่ชุดที่นางและพี่สามเลือกในร้านก่อนจะพบชิงชิง แต่เป็นชุดที่งดงามมีลายปักดิ้นสีทองประดับด้วยมุกและใช้ผ้าไหมแก้วชั้นดีของเมืองหลวง ด้านในปักเลื่อมลายดอกไม้ทั้งตัว สายคาดเอวสีม่วงอ่อนเข้ากันกับชุดยิ่งทำให้ชุดนี้ดูหรูหรางดงามอย่างที่ร้านที่พวกนางพึ่งไปมาวันนี้ไม่มีขาย“พี่สาม นี่คือ….”“ท่านอ๋องสั่งตัดมาเพื่อเจ้า พร้อมกับสิ่งนี้”หลิงเฟยรับกล่องไม้แกะสลักมุกมาจากพี่สามของนางและเปิดออกมา ด้านในเป็นชุดเครื่องประดับไข่มุกราตรีทั้งชุด เครื่องประดับนี้ราวกับถูกสั่งทำขึ้นเพื่อให้เข้ากับชุดที่ท่านอ๋องส่งมาพร้อมกัน“นี่ ทั้งหมดนี้คือ….”“ท่านอ๋องคงอยากให้เจ้าสวมชุดนี้ไปงานเลี้ยงในวังหลวง”“แต่ว่า…เขาไม่พูดอะไรกับข้าสักคำ”“เด็กโง่ เรื่องเช่นนี้ต้องป่าวประกาศงั้นหรือ ท่านอ๋องให้คนนำมาส่งให้ข้าก่อนที่จะกลับพร้อมกำชับให้ข้าบอกเจ้าว่าวันชมดอกท้อให้เจ้าสวมชุดนี้เข้าวังพร้อมเขาที่มารับที่จวน”“บ้าจริง ทำเช่นนี้เพื่ออะไรกัน ข้าตั้งรับไม่ทันแล้ว”“ดูหน้าเจ้าสิ แดงดุจมะเขือเทศแล้ว เอาละข้าไม่กวนเจ้าแล้ว เก็บให้ดีแล้วพักผ่อนเสียหน่อย”
“ท่านอ๋องแวะไปรับข้าที่จวนน่ะเจ้าค่ะ”“เอ่อ ได้ข่าวว่าท่านล้มป่วยอยู่นาน ข้า…แวะไปเยี่ยมหลายครั้งแต่ไม่พบ”“ท่านรองแม่ทัพ ข้าหายดีแล้วเจ้าค่ะขอบคุณมากสำหรับของขวัญเจ้าค่ะข้าชอบมาก”“ท่านหายดีก็ดีแล้ว”“น้องสี่ เจ้ามาถึงเร็วดีนี่ อ้าวใต้เท้าเฉินพบท่านแล้ว”“คุณชายลู่ ท่านหมอลู่ ท่านนี้คือ….ถวายบังคมพระชายา”“ท่านแม่ทัพอย่าได้มากพิธีกับข้าเลย มาที่นี่ข้าเป็นคุณหนูสามสกุลลู่เท่านั้นเจ้าค่ะ”“พวกท่านมากันแล้ว เราเข้าไปกันเลยดีหรือไม่ ใต้เท้าเฉิน ท่านก็มาถึงแล้วงั้นหรือ”“ถวายบังคมท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”“เช่นนั้นก็เข้าไปพร้อมกันเถอะ หลิงเฟยไปเถอะ”“เพคะ”พวกเขาพากันเดินเข้าไปในงาน มือท่านอ๋องที่จับมือหลิงเฟยเดินเข้างานไปนั้นราวกับตอกย้ำเฉินเป่าหลิงว่าเขาคงช้าไปเสียแล้วกับบุปผางามผู้นั้นเมื่อเข้ามาในงาน พวกเขาก็พบกับองค์รัชทายาทและพระชายาก่อน พระชายาสวมกอดกับพี่สามในทันทีเพราะไม่ได้พบกันนานพร้อมกับดึงแขนหลิงเฟยเข้าไปด้วย“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง หายดีแล้วใช่หรือไม่ข้าอยากออกวังไปพบเจ้าที่จวนใจจะขาดแต่ในวังสั่งห้ามเพราะเกรงว่าข่าวลือนั่น แต่ที่จริงข้าทราบเรื่องทั้งหมดแล้ว องค์รัชทายาทเล่าให้ฟังเจ้า
สองเดือนถัดมา “เบ่งเพคะพระชายา อื้อ....”“กรี๊ด!!!..”“อุแว๊!!……”“เป็นองค์ชายน้อยเพคะ”สิ้นเสียงของหมอตำแยทำคลอดในวังที่แจ้งว่าพระชายาขององค์รัชทายาทคลอดบุตรชายออกมา ทำให้ จวินอวี้หยวนองค์รัชทายาทรีบลุกขึ้นและพุ่งกายเข้าไปยังห้องที่พระชายาอยู่ในทันที หลิงเฟยหันมามองพระพักตร์พระสวามีที่นั่งอยู่ข้าง“ท่านพี่ เป็นอะไรไปเพคะ”“คือว่า…ตอนเจ้าคลอด ก็จะต้อง…ร้องทรมานเหมือนกับที่….อิ๋งเซียน…”“ใช่เพคะ สตรีเวลาคลอดก็เป็นเช่นนี้ หากบุตรคลอดง่ายก็ไม่เจ็บนานเหมือนกับที่พี่หญิงเบ่งเพียงสี่ห้าครั้งบุตรก็คลอด แต่บางคนเบ่งอยู่ร่วมครึ่งวันก็ยังไม่ออกก็มี”“อะไรนะ!! เบ่งครึ่งวันงั้นหรือ เฟยเอ๋อร์ เช่นนั้นเจ้า…มิต้องทรมานแย่หรือ”“พระองค์อย่ากังวลพระทัยเกินไปเพคะ หม่อมฉันกับพี่หญิงก็ต่างเป็นสตรี เรามีบิดาเป็นหมอนะเพคะ คลอดไม่ยากหรอกเพคะ”“แต่เสียงร้องนั่นทำเอาองค์รัชทายาทแทบจะเป็นบ้าตายเจ้าก็เห็น”“นั่นเพราะพี่เขยไม่เคยได้ยินพี่หญิงกรีดร้องทรมานเช่นนี้มาก่อนก็เลยตกพระทัยน่ะเพคะ”“เช่นนั้นข้า…ไม่เป็นลมไปเลยงั้นหรือหากได้ยินเสียงเจ้าเจ็บปวดถึงเพียงนั้น ข้าจะทนไม่ได้เอาน่ะสิ”“เช่นนั้นพระองค์ก็ไม่ควรม
“เปล่าเพคะ แค่เวียนหัวเพราะคนเดินตามเกือบแปดคน ไปไหนก็เดินล้อมขนาดนี้ไม่เวียนหัวบ้างก็แปลกสิเพคะ”“เช่นนั้นให้ข้าเดินตามเจ้า อารักขาเจ้าคนเดียว จะได้ไม่เวียนหัวดีหรือไม่”พระชายาหันมามองพระพักตร์ที่จริงจังเมื่อเอ่ยประโยคนี้ขึ้นมา“ท่านอ๋องเพคะ พระองค์ไม่มีงานราชกิจอื่นแล้วหรือเพคะ หม่อมฉันตั้งครรภ์มิได้ป่วยนะเพคะ”“ข้าเป็นห่วงเจ้า ข้าผิดงั้นหรือ”หลิงเฟยถอนหายใจพร้อมกับดึงคอเขาเข้ามาซบที่อกนาง ลมหายใจของเขาร้อนผ่าว หัวใจยังเต้นแรงเพราะวิ่งมาอย่างรวดเร็วเพราะเป็นห่วงนาง“ท่านพี่ ข้าสัญญากับท่านว่าจะดูแลตัวเอง ท่านพี่เป็นห่วงหม่อมฉันเข้าใจเพคะ แต่ว่าหม่อมฉันเองก็ไม่อยากให้พระองค์เป็นห่วงมากเกินไป ทำเช่นนี้ราวกับว่าไม่ไว้ใจหม่อมฉันนะเพคะ”“ข้าต้องพยายามปรับตัวอีกแล้วใช่หรือไม่”“เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ หากว่าพระองค์เป็นห่วงหม่อมฉัน พระองค์ก็ทำเท่าที่อยากทำเถิดเพคะ แต่ว่าอย่าให้เสียงานจนผู้อื่นครหาท่านเอาได้ หม่อมฉันมิอยากเป็นต้นเหตุว่าทำให้พระองค์ไม่มีความรับผิดชอบในงานอย่างอื่น”“ได้ ข้ารับปากเจ้า แล้วเจ้ากินอะไรหรือยัง พระชายาฝากยาบำรุงมาให้เจ้าด้วย นางบอกว่าได้มาเยอะช่วงที่ตั้งครรภ์เลยแบ่
สี่เดือนถัดมา“พวกเจ้ารีบย้ายของพวกนี้ออกไปอย่าให้มีของที่มีคมอยู่ในสถานที่ที่พระชายาจะเดินผ่านได้ เร็วเข้า จื่อรุ่ย!! เจ้าไปเอายาบำรุงครรภ์ที่พ่อตาข้ามาหรือยัง”“อยู่นี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ กำลังจะรีบนำไปต้มพ่ะย่ะค่ะ”“รีบไปเลยเร็ว ๆ พระชายาจะตื่นแล้ว ข้าวละ เสร็จหรือยัง”“หลินอี้!!”เสียงของหยางหลิงเฟย พระชายาดังขึ้นเพื่อเรียกพระสวามี นางตื่นขึ้นมาและมองไม่เห็นเขาอยู่บนเตียง ท่านอ๋องรีบสั่งการเก็บกวาดจวนจนทั่วเพื่อมิให้หลิงเฟยเกิดปัญหาเวลาเดินในจวน“ข้ามาแล้ว ๆ”“ท่านไปที่ใดมา"“ข้า….ไปสั่งให้ทุบทำขั้นบันไดใหม่ให้เจ้า จะได้เดินง่ายขึ้น”“นี่ท่านสั่งรื้อจวนอีกแล้วงั้นหรือ!!”รอยยิ้มสำนึกผิดของท่านอ๋องหลบสายตาพระชายาไม่ได้เลย “ไม่ต้องมายิ้มเลย วันก่อนก็สั่งรื้อสวน”“ก็กลัวเจ้าเดินสะดุดหญ้าล้มนี่ มันอันตรายมากนะ”“แล้วยังสั่งไม่ให้ข้าจับเครื่องมือบดยา”“ก็มันมีทั้งมีดและครกหิน มันอันตรายทั้งนั้น เสี่ยงมากนะหลิงเฟยไม่ได้หรอก ช่วงนี้เจ้าห้ามเข้าไป”“นี่ท่านสั่งรื้อบันไดอีกแล้ว”“ซี่มันถี่และชันมากเกินไป เจ้าคิดดูสิ ช่วงครรภ์แรกท่านพ่อบอกว่าห้ามเจ้าเดินเร็ว ห้ามยกของหนัก ห้ามสะดุดล้ม มันเสี่ยงน
ห้องส่งตัวเจ้าสาว“เหนื่อยหรือไม่”“ไม่เพคะ”“เจ้าตั้งใจจะโยนลูกบอลแพรและเปลี่ยนเจ้าบ่าวจริง ๆ นะหรือเมื่อเช้านี้”ลู่หลิงเฟยหันมามองพระพักตร์ของพระสวามีอย่างนึกเคืองใจที่เขาบังอาจเล่นนอกบทที่ตกลงกับนางเอาไว้ก่อนหน้านี้จนเกือบแก้ไขไม่ทัน ยังดีที่ท่านอ๋องเป็นคนฉลาดและรู้ใจนางดีเขาจึงแก้ไขสถานการณ์นั้นได้“เป็นพระองค์ต่างหากที่เปลี่ยนบทก่อน”“นั่น ข้าก็แค่อยากจะขึ้นไปรับเจ้าเท่านั้น หากว่าเจ้าตกลงมาอีกจะทำเช่นไรเล่า ข้าน่ะตั้งใจเปลี่ยนเองเพราะอยากให้เจ้าเข้าใจหัวใจของข้ามากขึ้น”“หึ ยังดีที่พระองค์แก้ไขได้ทัน มิเช่นนั้นเจ้าบ่าวของหม่อมฉันในวันนี้คงมิใช่พระองค์แล้ว”“มีหรือว่าข้าจะยอม ต่อให้เจ้าจะเปลี่ยนเงื่อนไขอีกกี่ร้อยครั้ง เจ้าบ่าวก็ยังต้องเป็นข้าอยู่ดี เจ้าหนีไม่พ้นหรอก เหมือนในคืนนี้ที่เจ้าหนีไม่พ้นแน่ ๆ”“พระองค์ดื่มจนเมาแล้วใช่หรือไม่”“ไม่เมาเท่าสุรามงคลที่ดื่มกับเจ้าหรอก”“เช่นนั้นข้าต้องพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่”หลิงเฟยจูบเขาทันทีพร้อมกับดึงชุดเจ้าบ่าวออกอย่างรวดเร็ว แต่ชุดเหล่านี้ตอนใส่พวกเขาแทบจะไม่ได้ใส่เอง ดังนั้นตอนถอด…..“นี่มันถอดแบบไหนละ หลินอี้ ดึงสายนั้นออกก่อนสิ ไม่ใ
ตำหนักบูรพา“พี่หญิง”“น้องสี่ เจ้ามาได้สักทีนะ เป็นอย่างไรบ้างบาดแผลของเจ้าหายดีหมดแล้วหรือไม่ แล้วนี่ตาเจ้ายังมีปัญหาอะไรอยู่หรือไม่ เจ้ามองข้าชัดใช่หรือไม่”ลู่อิ๋งเซียนเอ่ยถามลู่หลิงเฟยไม่หยุดเมื่อพบหน้ากันจนท่านอ๋องและองค์รัชทายาทแทบจะไม่มีช่วงที่ขัดจังหวะนางได้เลย จนองค์รัชทายาทต้องดึงไหล่ของพระชายาเอาไว้และให้ใจเย็น ๆ“เจ้าใจเย็นก่อนให้หลิงเฟยได้พักสักหน่อย นางพึ่งเข้าเฝ้าเสด็จพ่อมาให้นางได้หายใจก่อนสิ”“ข้า…เป็นห่วงนี่ได้ข่าวว่าทั้งถูกลักพาตัว ถูก….ขัง แล้วไหนจะโดนตบตีอีก”“พี่หญิง ท่านฟังข่าวลือมากไปแล้ว นางร้ายเช่นข้าผู้ใดจะกล้ารังแก”“แล้วข่าวที่ว่าเจ้า….ใช้ดาบฟันดวงตาองค์หญิงหลีน่าจนบอดนั่น…”“เรื่องนั้นเป็นเรื่องจริงเจ้าค่ะ”“ตายจริง เหตุใดเจ้า…”“เรื่องนั้นเป็นเพียงแค่การป้องกันตัว องค์ชายคุณหมิงเองก็เข้าพระทัยดี เห็นว่ามาเข้าเฝ้าฝ่าบาทและตกลงทำการค้ากับเราหลายอย่างเลยนี่”“ใช่ ๆ หลินอี้ ครั้งนี้เราได้ประโยชน์มากกว่าที่คิด อย่างน้อยก็ต้องขอบคุณพวกเจ้าละนะ องค์ชายคุณหมิงรู้สึกสำนึกผิดมากจริง ๆ ถึงกลับยอมละเว้นภาษีสินค้าที่จะนำเข้าไปขายยังแคว้นฉู่และยินยอมให้เราเก็บภาษีเต็
ท่านอ๋องหันไปมองใบหน้าที่แดงจัดนั่นและอดนึกขำไม่ได้ นางกับเขาเคยทำเรื่องเช่นนี้ก็จริงแต่การที่จะเห็นผู้อื่นทำเรื่องเช่นนี้ต่อหน้าคงมีเพียงนางที่แกล้งตาบอดเท่านั้นที่จะได้เห็น“เจ้าบอกว่า พวกเขานอนด้วยกัน…ทั้ง ๆ ที่มีเจ้า..”หลิงเฟยพยักหน้าและหันไปซุกที่อกท่านอ๋องทันทีเพราะความอายที่จะเล่าต่อ ท่านอ๋องจะโกรธนางลงได้เช่นไรในเมื่อนางน่ารักถึงเพียงนี้ แม้ว่าจะทำผิดไปบ้างแต่ก็พอให้อภัยได้ แต่เรื่องก่อนหน้านี้เขารวมบัญชีเอาไว้แล้ว กลับจวนค่อยสะสางกับนางอีกครั้งก็ยังไม่สาย“แย่จริง เช่นนั้นองค์หญิงผู้นั้นก็…..”“หลินอี้ นาง….”“นางทำไมงั้นหรือ”“นาง…นอนอยู่กับผู้ชาย…สะ….สามคน”""สามคน""ซางเย่ถึงกับหันหน้าหนีไปอีกทางเช่นกัน นางรับไม่ได้เอาเสียเลย ก่อนหน้านี้นางเองก็ฟังเฉย ๆ แต่เมื่อหลิงเฟยเล่ามาถึงตอนนี้ นางเองก็รู้สึกอายแทนผู้เล่าเสียจริง ๆฮ่วนเซียวต้องลูบหลังภรรยาพร้อมกับแต่ละคนที่หน้าแดงไม่ต่างกับผู้เล่าอย่างลู่หลิงเฟย“เจ้า พูดผ่านไปเถอะนะเรื่องนี้ จากนั้นนางจึงพาเจ้าไปที่อารามงั้นหรือ”“อืม นางพาข้าไปที่นั่นในตอนดึก บอกว่าต้องให้พ้นยามห้ายไปก่อน (22.59 น.)”“เป็นช่วงที่ข้าไปพบรองแม่ทัพ”
“หลินอี้!!”“กินข้าวก่อนเถอะ มา ลองชิมขาหมูนี่สักหน่อย”อาหารบนโต๊ะพร่องลงไปมากเพราะลู่หลิงเฟยหลังจากป่วยพึ่งจะมีมื้อนี้ที่นางมองเห็นอาหารที่กินเข้าไปและยังได้นั่งกินกับหยางหลินอี้ทำให้นางเจริญอาหารมากกว่าเดิม“โอ๊ย อิ่มมากเลย”“ดื่มชาร้อนนี่หน่อย ช่วยย่อยอาหารได้ดี”“พระองค์ช่างใส่พระทัยจริง ๆ นี่ชาผสมดอกบ๊วย หอมกลิ่นบ๊วยด้วย หรือว่า....”“ชอบหรือไม่”“สดชื่นมากเลยเพคะ”“ข้าขโมยมาจากห้องของเจ้า”“หม่อมฉันย่อมรู้ดีเพคะ เพราะชาสูตรนี้ข้างนอกไม่มีขาย ว่าแต่พระองค์ไปขโมยมาเมื่อใดเพคะ”“วันที่ไปพักที่จวนของเจ้า พี่ใหญ่เจ้าเริ่มก่อน เมื่อข้าถามเขาก็เลยบอกว่าเจ้าทำเองและเก็บซ่อนเอาไว้ที่ห้องยา วันที่ข้าเข้าไปเอายาในห้องนั้นก็เลยหยิบติดมือมา”“หยิบติดมือมามิได้ขโมย ท่านอ๋องช่างเลี่ยงใช้คำเก่งเหลือเกิน”“ไปเถอะข้าจะทายาให้”“เพคะ”ห้องบรรทมเมื่อเข้ามาถึงห้อง พวกเขาก็ลืมเสียสนิทว่าต้องทายาเมื่อท่านอ๋องดึงนางเข้ามากอดจนร่างของทั้งคู่เอนลงบนเตียงและเริ่มดึงชุดของอีกฝ่ายออกอย่างบ้าคลั่ง“หลิงเฟย อา เจ้าบาดเจ็บอยู่ อย่าพึ่งหักโหม”“หลินอี้ อ๊า”หลิงเฟยที่นอนทับร่างหนาของท่านอ๋องเอาไว้ครางสุดเสียง
จวนท่านอ๋อง“อ๊ะ พอแล้ว หลินอี้ หม่อมฉันไม่ไหวแล้ว อ๊าา โอ๊วว…หลินอี้!!”“ก็อยู่นิ่ง ๆ สิ เจ้านี่นะ แผลเต็มตัวขนาดนี้ยังกล้าไปตีกับหลีน่าอีก ช่างอวดดีจริง ๆ”“สงสารนักก็ไปตามนางกลับมาสิ ปล่อย ข้าอาบเองได้”หลิงเฟยเดินหนีเขาแต่สระนั้นไม่ได้กว้างพอที่จะให้ทำเช่นนั้นได้ ท่านอ๋องดึงนางมานั่งที่ตัก เขาพานางมาที่จวนและดึงมาอาบน้ำเพื่อชำระล้างร่างกาย ที่จริงเขาต้องการสำรวจบาดแผลของนางที่ฟกช้ำไปทั่วเพราะถูกลักพาตัวและถูกเหลียงหลีน่าตีตอนที่นางอยู่อารามอิ้งเซียง“หากว่าข้าจะตามหลีน่าไป ก็ตามไปเอาชีวิตนางเท่านั้นที่กล้าตีเจ้าบาดเจ็บขนาดนี้”หลิงเฟยหันมาจับพระหัตถ์ที่สั่นของท่านอ๋องที่ถือผ้าเพื่อเช็ดตัวให้นาง “อย่าสานต่อความแค้นเลยเพคะ หม่อมฉันสะสางแค้นให้อาลี่และตัวเองแล้ว จากนี้เราควรจะมีความสุขแล้วนะเพคะ”“เจ้า…เหตุใดยอมให้นางตบตีเจ้าจนมีแผลเต็มตัวเช่นนี้”“หม่อมฉันมิได้ถูกนางตบตีอย่างเดียว แต่เพราะถูกย้ายที่บ่อย ๆ และคนที่แบกหม่อมฉันครั้งแรกก็เกือบตกกำแพงในจวน อีกทีก็ตกบันไดที่บ่อนระหว่างย้ายตัวหม่อมฉันมาที่อารามนั่น ส่วนแผลที่มากขนาดนี้เพราะก่อนหน้านี้ที่มองไม่เห็นหม่อมฉันเดินชนไปทั่วก็เ
“ดูท่าแล้ว เจ้าคงจะเกินเยียวยาจริง ๆ รองแม่ทัพเลี่ยง”“พ่ะย่ะค่ะ”“คุมตัวองค์หญิงกลับไปแคว้นฉู่ คุมความประพฤติและให้นางอยู่ที่ศาลบรรพชน ไม่มีคำสั่งข้าห้ามนางออกมา”“พี่ใหญ่ ท่านไม่มีสิทธิ์ลงโทษข้า เสด็จพ่อ…”“เสด็จพ่อ!! พอทราบเรื่องที่เจ้าทำความเดือดร้อนที่นี่ จึงมอบหมายให้ข้าเป็นผู้ลงโทษเจ้าตามสมควร เอาตัวไป”“ไม่นะพี่ใหญ่ ข้าไม่ยอม”หลีน่าดิ้นจนหลุดก่อนที่จะคว้าดาบของรองแม่ทัพและวิ่งเข้าใส่องค์รัชทายาท หลิงเฟยเห็นจึงรีบดึงองค์รัชทายาทหลบออกมาในทันที“หลบไปเพคะองค์ชาย”“หลิงเฟย!!”หลิงเฟยใช้ผ้าแพรตบเสยที่ใบหน้าของหลีน่าจนนางหงายหลังล้มลงไป ท่านอ๋องเอื้อมตัวไปรับตัวองค์ชายคุณหมิงเอาไว้ได้“ขอบคุณท่านอ๋อง”“ท่านไม่เป็นไรนะ นาง…แรงเยอะเกินสตรีไปนิด ไว้ข้าจะสั่งสอนนาง….”“ไม่เป็นไร เราปลอดภัยแต่ว่านั่นนาง…จะทำสิ่งใด”“เรื่องของสตรี ก็ต้องปล่อยให้สตรีเช่นข้าสะสางสิ ใช่หรือไม่หลีน่า”“นังสารเลว เจ้าจะทำอะไร”“ข้าหรือ หลินอี้!! ท่านมานี่สิ!!”หลิงเฟยตะโกนเรียกท่านอ๋อง ที่หันมามองหน้าลู่หยวนลี่ เฉินเป่าหลิงและองค์ชายต่างแคว้นที่แอบขำเขาเล็กน้อย แต่ก็ยอมเดินเข้าไปหาลู่หลิงเฟยที่ยืนอยู่ตรงหน้า