หลังจากงานเลี้ยงเสร็จสิ้น ลู่หลิงเฟยก็มีโอกาสได้พบกับท่านอ๋องอีกหลายครั้ง หลายวันมานี้นางพยายามทำทุกอย่างให้เป็นเรื่องบังเอิญว่าพบเขา ทั้งที่ก่อนเข้าวังเพื่อส่งของให้พระชายาองค์รัชทายาท และโรงน้ำชาในเมืองหลวง
“ท่านอ๋อง บังเอิญอีกแล้วเพคะ พระองค์ก็มาโรงน้ำชาเช่นเดียวกันหรือเพคะ”
“ดูเหมือนจะมิใช่เรื่องบังเอิญดังที่เจ้าพูดนะคุณหนูลู่ มาพูดกันตรง ๆ เถิด หลายวันมานี้เจ้าติดตามข้าและข้าเองก็มักจะพบเจ้าอยู่เสมอ เจ้าต้องการสิ่งใด”
“เป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ นะเพคะ โรงน้ำชานี้เป็นร้านประจำที่ข้าชอบมาดื่มกับสหาย จริงหรือไม่ชิงชิง”
“เอ่อ…หลิงเฟยแต่เจ้าบอกว่าเจ้าเดินตาม…อ้อ จริงเพคะ”
ชิงชิงจงใจพูดออกมาให้ท่านอ๋องทรงทราบว่าลู่หลิงเฟยเดินตามเขามา แต่ดูเหมือนว่าพระองค์จะไม่ได้ยินเพราะมัวแต่ทำสีหน้ากึ่งรำคาญกึ่งหงุดหงิดอยู่ตรงหน้าพวกนาง ชิงชิงถือโอกาสนี้เพื่อหลีกหนี
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันมีธุระเช่นนั้นขอตัวก่อนเพคะ หลิงเฟยข้าพึ่งนึกได้วันนี้เดินตาม เอ๊ย เดินเล่นเป็นเพื่อนเจ้าไม่ได้แล้ว ไปก่อนนะ”
“อ้าวชิงชิง เหตุใดทิ้งข้าเช่นนี้เล่า หากเป็นเช่นนั้นท่านอ๋องพระองค์พึ่งกลับมาที่นี่ ให้หม่อมฉันนำเที่ยวดีหรือไม่เพคะ”
“ข้า…ไม่ได้ว่างขนาดนั้น ข้ายังมีธุระ”
“นี่ท่านอ๋อง พระองค์พึ่งจะกลับมาคงยังไม่ทราบ นอกจากโรงน้ำชานี้แล้วยังมีโรงละคร แย่แล้ว ๆ ใกล้เวลาละครดังจะเริ่มแล้ว ไปกันเถอะเพคะอย่าได้พลาดเชียว”
“เอ่อ คุณหนูลู่เดี๋ยวก่อน ข้ามิได้บอกว่าจะไปกับเจ้านะ”
“คุณหนูลู่ขอรับ กรุณาสำรวมด้วยท่านอ๋องเป็นเชื้อพระวงศ์ ท่านจะเดินลากพระองค์เช่นนี้หาได้ไม่”
“ข้า…ข้าก็แค่ชวนดี ๆ แล้วเขาไม่ไปนี่ เช่นนั้นก็เดินมาด้วยกันสิเพคะ”
“ลู่หลิงเฟย ข้าบอกเจ้าแล้วว่า….”
“แย่แล้ว ๆ จะไม่ทันแล้ว รีบไปก่อนเถิดเพคะเรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง”
“เอ่อ เดี๋ยวก่อนข้าเดินเองได้ อย่าลากเช่นนี้”
นางไม่ได้ยินเสียงเขาและดึงแขนเสื้อเขาเดินตามมาสุดท้ายนางก็เอื้อมไปจับมือเขาและจูงท่านอ๋องเข้ามาในโรงละครจนได้และพาเดินขึ้นไปยังชั้นสองที่เป็นห้องส่วนตัวที่เป็นห้องประจำของนาง
“ทันเวลาพอดี แฮก แฮก พระองค์เป็นทหารกล้า แต่เหตุใดจึงวิ่งช้านักเล่า”
“ข้า…แม่นางลู่ ข้ามิได้บอกว่าอยากจะมา ข้าบอกแล้วว่า…”
“น้ำชาเพคะ อย่าพึ่งพูดมากข้าจะดูละคร”
“แต่ข้าไม่อยากดู”
“ชู่ววว เบา ๆ สิ จะเสียงดังให้ผู้อื่นด่าหรือเพคะ เบา ๆ หน่อย”
“ท่านอ๋องทำเช่นไรดีพ่ะย่ะค่ะ”
“รอก่อน ให้นางเผลอค่อยลุกออกไป”
จื่อรุ่ยเพียงคำนับรับคำของท่านอ๋อง เขานึกไม่ค่อยชอบใจกิริยาของบุตรีคนเล็กของสกุลลู่ผู้นี้เท่าใดนักที่เดินลากท่านอ๋องเข้ามาถึงในโรงละคร
ตอนนี้ท่านอ๋องเพียงจิบชาและมองไปยังด้านล่างสลับกับมองใบหน้าด้านข้างของนางอย่างเหม่อลอย แม้ว่าจะไม่เหมือน แต่ก็มีความคล้าย....
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ รู้แล้ว”
ท่านอ๋องหันไปมองลู่หลิงเฟยที่ตั้งใจดูละครด้วยความสนใจและไม่ได้สนใจเขาแล้ว เขาจึงค่อย ๆ ลุกและเดินออกไปจากตรงนั้นทันที
“จื่อรุ่ย ไปจ่ายเงินค่าน้ำชาและค่าห้องให้นางด้วย”
“แต่ว่าท่านอ๋อง....”
“ข้าบอกให้เจ้าไปก็ไปเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะ ไม่ได้อยากมาด้วยซ้ำแต่กลับต้องเสียเงิน”
จื่อรุ่ยบ่นแต่ก็ยอมเดินไปจ่ายเงินตามคำสั่ง พวกเขาออกมาจากโรงละครและกลับไปที่จวนอ๋องทันที
“เหตุใดคุณหนูลู่ผู้นั้นต้องคอยตามติดพระองค์ถึงเพียงนี้ด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ ไปที่ใดก็หลบนางไม่พ้นราวกับว่านางรู้ว่าพระองค์จะไปที่ใดบ้าง นางคงไม่คิดที่จะ….”
“จื่อรุ่ย เจ้าไปได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับนางมาสินะ”
“ไม่ขอปิดบังพ่ะย่ะค่ะ เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ในบรรดาบุตรสกุลลู่ มีเพียงนางที่ไม่ได้เรื่องที่สุดเพราะถือว่าเป็นบุตรคนสุดท้อง
พี่ใหญ่เป็นถึงรองแม่ทัพพยัคฆ์เหนือ พี่สาวคนรองเป็นพระชายาองค์รัชทายาท พี่สามของนางได้ข่าวว่าแต่งงานกับท่านอ๋องแคว้นเหลียงเพราะความสามารถโดดเด่น หากว่านางยังอยู่เมืองหลวง ตำแหน่งสตรีอันดับหนึ่งคงไม่ตกเป็นของคุณหนูสกุลหลี่ผู้นั้น”
“เจ้ารู้มากเสียจริงนะ”
“กระหม่อมได้ยินโดยมิต้องสืบเลยพ่ะย่ะค่ะ เรื่องของนางอื้อฉาวในเมืองหลวงไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งชกต่อยมีเรื่องกับนักเลง เที่ยวเล่นไปวัน ๆ อีกทั้งยัง…ชอบบุรุษหน้าตาดี หากว่าชอบผู้ใดนางก็จะ…ทำอย่างที่ทำกับพระองค์”
“งั้นหรือ เช่นนั้นหรือว่าข้าควรจะปล่อยให้เรื่องนี้ข้าควรจะไหลไปตามเหตุการณ์ดีนะ”
“ท่านอ๋อง ผู้ใดก็ได้แต่ไม่ควรจะเป็นนางนะพ่ะย่ะค่ะ ทั้งไม่มีแก่นสาร ไม่มีความรู้ความสามารถแล้วยังก่อเรื่องไม่เว้นแต่ละวัน หากพระองค์ต้องอภิเษกกับสตรีเช่นนี้จริง ๆ เฮ้อ….ท่านอ๋องกับพระชายาบนสวรรค์คงอยู่ไม่เป็นสุข”
“นางมิได้เลวร้ายถึงเพียงนั้นหรอก”
แต่ท่านอ๋องคิดผิดถนัด หลังจากวันนั้นลูกตื๊อของลู่หลิงเฟยมีมากยิ่งกว่านั้น ทั้งตามเขาไปที่จวนส่งอาหารมากมายไปให้เขาที่จวนอ๋อง อีกทั้งดักรอเขาก่อนจะเข้าวังและดักรอเวลาที่กลับและเดินตามจนเขาแทบจะหาทางเลี่ยงนางไม่ได้เลย
ข่าวลือที่แพร่กระจายอยู่แล้วยิ่งแพร่ออกไปไม่หยุด เรื่องราวระหว่างเขาและลู่หลิงเฟยว่าทั้งคู่กำลังคบหาดูใจกันเริ่มหนาหูมากขึ้น นางทำเช่นนี้อยู่ร่วมสามเดือนจนท่านอ๋องแทบจะไม่ออกจากจวนหากไม่มีกิจธุระจำเป็นอื่น
จวนสกุลหลี่
“คุณหนู ท่านจะอยู่เฉยเช่นนี้หรือเจ้าคะ”
“แล้วข้าต้องทำสิ่งใดเล่า ในยามนี้ผู้ที่ทำเรื่องอื้อฉาวก็คือนาง ผู้ที่ท่านอ๋องรำคาญที่สุดก็ยังเป็นนาง ข้าพบท่านอ๋องที่ชุมนุมหมากในราชสำนักวันก่อน เขายังคุยกับข้าด้วยท่าทีที่สุภาพมากจนข้าตกใจ….เขาไม่มีทางชอบคนไร้ความสามารถเช่นลู่หลิงเฟยได้หรอก ข้ามั่นใจ”
“คุณหนู ท่านว่าน้ำหยดลงหินทุกวันหินจะกร่อนหรือไม่เจ้าคะ”
“หึ เจ้าคิดว่าเพียงแค่หยดน้ำเล็ก ๆ ที่หล่นจากเหวนั่นจะทำให้หินผาอย่างท่านอ๋องหวั่นไหวได้งั้นหรือ”
“คุณหนู ท่านก็พูดตรงเกินไปแล้วเจ้าค่ะ ข้าแทบจะหลุดขำเลยเจ้าค่ะ”
“ครั้งนี้นางมิใช่คู่แข่งของข้า ต่อให้นางอยากกินเนื้อห่านฟ้าอย่างไรนางก็เอื้อมไม่ถึง”
โรงน้ำชาเพ่ยหรง
“วันนี้ข้ายังไม่พบท่านอ๋องเลย เขาไปที่ใดกันนะหรือจะหลบอยู่แต่ในจวนอีกแล้ว น่าเบื่อเสียจริง”
“คุณหนูเจ้าคะ ที่ท่านทำเช่นนี้แน่ใจหรือเจ้าคะว่าท่านอ๋อง…เอ่อ…จะหวั่นไหวจริง ๆ”
“นั่นสิ ตามติดมาตั้งนานขนาดนี้ยังไม่หันมาสนใจข้าเลย หรือว่าวิธีนี้จะไม่ได้ผล ไม่ได้ ข้าต้อง…”
“นึกว่าผู้ใด ที่แท้ก็ลู่หลิงเฟยนี่เอง วันนี้เจ้าว่างงั้นหรือ”
“หลี่ฟางอิ่ง นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะออกจากบ้านเป็นกับเขา นึกว่าจมอยู่กับกองกลอนหมากอักษรอยู่ในจวนจนสำลักน้ำหมึกจนป่วยเสียแล้ว”
“คุณหนูลู่ เหตุใดท่านจึงหยาบคายเช่นนี้ คุณหนูของข้าน่ะ....”
“เอาเถอะ ๆ อี้สี่เจ้าก็อย่าได้ถือสานางเลย แต่ไหนแต่ไรนางเคยเรียนรู้มารยาทเหล่านี้ด้วยงั้นหรือ หากว่านางเรียบร้อยสิข้าถึงต้องแปลกใจ”
ลู่หลิงเฟยไม่นึกอยากเจอหลี่ฟางอิ่งในตอนนี้เท่าใดนัก นางเลือกจะเดินหนีแต่อีกฝ่ายกลับไม่คิดเช่นนั้น
“จะรีบไปไหนเล่าลู่หลิงเฟย ข้ายังคุยกับเจ้าไม่จบเลย”
“เจ้ามีสิ่งใดจะคุยงั้นหรือ ไม่กลัวว่าข้าจะไร้มารยาทใส่เจ้าอีกหรืออย่างไร ข้าน่ะพูดจาโผงผางไม่สนใจมารยาทเจ้าที่แทบจะพูดออกมาเป็นบทกวีกรีดนิ้วเป็นพู่กันหายใจเป็นตัวหมากข้าคงคุยกับเจ้าไม่รู้เรื่องเท่าใดนัก”
"หลิงเฟยเดินออกไปแต่หลี่ฟางอิ่งกลับเรียกนางไว้
“ข้าอยากคุยเรื่องท่านอ๋องหยางหลินอี้”
ลู่หลิงเฟยหยุดชะงักไปนิดหน่อยพร้อมกับหันมามองผู้พูด นี่คงไม่คิดจะมาแย่งบุรุษกับนางอีกกระมัง“เจ้าหมายความว่าอย่างไร ท่านอ๋องทำไม”“ข้าก็แค่อยากรู้ว่าระหว่างเจ้ากับท่านอ๋องในตอนนี้ สถานการณ์ดูจะไม่ค่อยเป็นใจเท่าไหร่ ข่าวว่าเจ้าเอาแต่ติดตามเขาไปทั่วจนท่านอ๋องหลีกหนีแทบไม่ไหวนั่นทำให้ข้าฟังแล้ว..รู้สึกอับอายแทนยิ่งนัก”“หลี่ฟางอิ่ง ตัวข้ายังไม่อายเจ้าจะอายแทนข้าด้วยเหตุใดหรือว่าเจ้าเองก็นึกอยากทำเช่นนี้แต่มิกล้าถึงได้เอาแต่พูดต่อว่าข้าลับหลัง น่าสมเพชยิ่งนัก เมื่อใดก็เป็นเช่นนี้อยู่ร่ำไป รอให้ข้าเหนื่อยเองและยอมคายแล้วเจ้าค่อยเก็บเอาไปกินทีหลัง”“ลู่หลิงเฟยนี่เจ้า!!”“โอ้ ทนไม่ไหวแล้วงั้นหรือคุณหนูหลี่ เจ้าอย่าลืมนะว่าเจ้าเป็นถึงสตรีงดงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ส่วนข้าคือสตรีที่หยาบคายที่สุดในต้าซ่ง ข้าไม่กลัวเรื่องเสียชื่อเสียงแต่เจ้า….กลัวหรือไม่เล่า เจ้ากล้าแลกหรือไม่”“เจ้า…หยาบคายเช่นนี้ถึงได้ถูกถอนหมั้น”“หลี่ฟางอิ่งเจ้าเข้าใจเสียใหม่ ผู้ที่ถอนหมั้นคือข้าไม่ใช่สกุลหลาน เป็นถึงสตรีที่ฉลาดดูมีความรู้ก็อย่าได้รับแต่ข่าวสารผิด ๆ จนทำให้เจ้า…ดูโง่เลย…นะ ขอตัวก่อน”“ข้าไม่มีทางยอมแพ้เจ้า
“เกรงว่าคนพวกนี้คงไม่รอท่านสอบสวนหรอก พวกมันมียาพิษไว้ใต้ลิ้น ทางที่ดีให้ข้าช่วยสักหน่อย”นางสะบัดผ้าเพียงหนึ่งครั้ง ยาพิษใต้ลิ้นนั้นก็หลุดออกมาพร้อมกับนางที่ก้มลงไปสกัดจุดที่ร่างเอาไว้พร้อมกับเตะไปให้ท่านอ๋องตรงหน้าพวกเขา คนร้ายนอนนิ่งอยู่ตรงหน้าเขากับจื่อรุ่ย“เอาไปสิ”“แม่นางลู่ นี่เจ้า….”นางค่อย ๆ เรียกผ้าแพรราวกับสั่งได้เก็บเข้ามาและหันไปยังที่ที่มีอาลี่นอนอยู่ นางวิ่งไปพร้อมกับยกร่างที่ไร้ลมหายใจของสาวใช้คู่กายมา น้ำตาไหลรินราวไร้การอดกลั้นใด ๆ “อาลี่ ข้าแก้แค้นให้เจ้าแล้ว พวกมันตายแล้วพวกเรากลับบ้านกันนะ”“ลู่หลิงเฟย ให้ข้าไปส่ง…”“ไม่รบกวนท่านอ๋อง ข้าจะพานางกลับเองถือว่าเรามิได้พบกันที่นี่ อย่าเอ่ยเรื่องที่พบข้าในคืนนี้กับผู้ใดก็พอ”“เพราะเหตุใด อึก …แคก แคก”“ท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ”ลู่หลิงเฟยหันไปวางร่างของอาลี่ลงและเดินเข้าไปหาท่านอ๋อง จื่อรุ่ยมองนางอย่างไม่แน่ใจว่านางจะทำสิ่งใดอีก เพียงชั่วพริบตา เขานึกไม่ถึงว่านางจะเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้ ราวกับเขาพึ่งจะรู้จักลู่หลิงเฟยตัวจริงในวันนี้เอง“คุณหนูลู่ นั่นท่านจะทำสิ่งใด”นางหันไปมองจื่อรุ่ยนิดหน่อยแต่ท่านอ๋องในตอนนี
ใต้เท้าลู่หันไปมองพระพักตร์ท่านอ๋องอย่างนึกประหลาดใจ ท่านอ๋องคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้ประหลาด เขาจึงหยิบยาที่หลิงเฟยให้เขาออกมาหนึ่งเม็ดและส่งให้ท่านหมอลู่“นี่มัน…ใช่จริง ๆ ยาต้าหรงจริง ๆ แต่ผู้ใดกันที่ทำยานี้ออกมาได้ หรือว่า….”ท่านหมอลู่และลู่หยวนลี่หันมามองหน้ากัน พวกเขารู้ดีว่าหลิงเฟยศึกษาวิชาแพทย์อย่างแตกฉานแต่นางไม่เคยแสดงออกเรื่องนี้มาก่อน “ท่านอ๋อง พระองค์รีบกินเถิดพ่ะย่ะค่ะ พิษในพระวรกายจะได้ถูกขับออกมา”ท่านหมอลู่ส่งยาคืนให้ท่านอ๋อง เขาจึงรับและกลืนลงไปในทันที แม้ว่าจะยังไม่ได้คำตอบแต่ในตอนนี้ที่เขาเห็นว่าลู่หลิงเฟยกลับมาถึงจวนอย่างปลอดภัยนั่นก็นับว่าโล่งใจไปได้แล้ว“อาการของนาง…”“กระหม่อมรักษาได้พ่ะย่ะค่ะ นางเพียงแค่ตกใจและ…ทำใจไม่ได้ชั่วครู่เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ ขอบพระทัยที่ทรงถามไถ่”“นางช่วยชีวิตข้าไว้ มิอาจเพิกเฉยได้ ครั้งนี้หากไม่ได้นาง….(ห้ามบอกผู้ใดว่าพบข้าที่นี่)…ที่ให้ยาถอนพิษ ข้าคง…”เขารักษาคำมั่นที่นางบอกเอาไว้ว่าจะไม่เอ่ยเรื่องที่นางช่วยเขากำจัดคนร้ายด้วยวิชายุทธ์ที่แกร่งกล้านั้น เขาเองก็นึกอยากเก็บเรื่องนี้เป็นความลับเช่นกัน“เร็วเข้า ไปต้มยาตามที่ข้าบอกให้
ลู่หลิงฟางเดินออกมาเพราะนางได้ยินเสียงเอะอะพร้อมกับคนที่เริ่มซุบซิบกันอยู่ด้านนอกโดยที่พวกนางไม่ทันได้สังเกต ลู่หลิงฟางหันไปสอบถามฟางชิงชิงที่ดูเป็นห่วงน้องสาวนางแต่กลับถามเรื่องเช่นนี้ต่อหน้าผู้คนมากมายจนนางนึกแปลกใจว่าแม่นางจางผู้นี้หวังดีกับน้องสาวนางจริงหรือไม่“พระชายา หม่อมฉันเพียงแค่ เป็นห่วง…เรื่องข่าวลือในคืนนั้นทั้งเมืองหลวงต่างร่ำลือไปมากมายแต่ไม่มีผู้ใดออกมาแก้ต่างเลย”“งั้นหรือ พวกเขาร่ำลือ พวกเขาของเจ้าน่ะ คือผู้ใด”“คือว่า..เรื่องนี้ คนทั้งเมืองหลวงต่างเล่าลือกันไป หม่อมฉันชี้ตัวไม่ชัด ไปหานางก็ไม่มีคำตอบ หม่อมฉันก็จนปัญญาจะแก้ต่างให้เพคะ”“ข้าถามว่าพวกเขาร่ำลือว่าอย่างไร”“ว่า หลิงเฟยถูกคนร้ายย่ำยีจนสาวใช้นางตายเพคะ ข้าเองก็ฟังเขามาอีกที แต่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลยว่าในคืนนั้นมีผู้ใดเป็นพยานให้นางว่านางมิได้ถูกทำร้าย”“เช่นนั้นข้าคงเป็นพยานให้นางได้ เพราะข้าเป็นผู้ที่อยู่กับนางในคืนนั้นเอง”พวกนางหันไปมองบุรุษรูปงามในชุดลำลองสีขาวปักด้วยดิ้นสีเงินทั้งตัวที่เดินเข้ามาในร้านพร้อมกับองครักษ์ข้างกาย เขาปราดตาไปมองจางชิงชิงทันที เขาเห็นตั้งแต่นางลากลู่หลิงเฟยออกมาและสอบถามเสี
หลิงเฟยปล่อยน้ำตาที่เฝ้าอดกลั้นมาแสนนานออกมาในครานี้เอง เพียงคำพูดเดียวของท่านอ๋องทำให้นางราวกับถูกปลดล็อกบางอย่างออกไป นางร้องไห้ออกมาเสียงดัง เขาพยายามเช็ดน้ำตาให้นางอยู่หลายครั้ง จนนางนิ่งสงบลงในที่สุด“อยากพูด อยากระบายสิ่งใดออกมาอีกหรือไม่”“….”“พูดออกมาเถอะ ไม่ว่าสิ่งใดข้าก็จะฟัง วันนี้ข้ามีเวลาทั้งวันเพื่อปลอบเจ้า”“พระองค์ไม่ต้องสงสารหม่อมฉันก็ได้เพคะ นี่มันไม่จำเป็นเลย”“เหตุใดเจ้าจึงมองว่าเป็นความสงสาร เจ้ามองว่าข้าเป็นเช่นนั้นงั้นหรือ หากเพียงสงสารเจ้าคงไม่ตามเจ้ามาถึงที่นี่กระมัง”“พระองค์ ทรงหมายความว่าอย่างไรเพคะ”“ข้า…อยากขอบคุณเจ้า อยากทำเช่นนี้มานานแล้วแต่เจ้าก็ไม่เคยออกมาจากจวนเลยสักครั้ง ไปที่จวนเจ้าก็ไม่ออกมาพบผู้ใดจนข้าแทบจะหาทางออกไม่ได้ โชคดีที่วันนี้พระชายาเสด็จมาที่เมืองหลวงมิเช่นนั้นข้าคงไม่มีโอกาสเอ่ยคำนี้ออกมาเสียที”“พระองค์เพียงแค่อยากขอบคุณหม่อมฉันสินะเพคะ ไม่เป็นไรเพคะหม่อมฉันมิได้ทำสิ่งใด...”นางดันเขาออกเพื่อจะกลับมานั่งที่เดิมแต่เขากลับไม่ยอมปล่อยและยังดึงนางเข้าไปกอดแน่นกว่าเดิมอีกด้วยจนนางเริ่มใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ และดูเหมือนว่าหัวใจของท่านอ๋องเ
แคว้นต้าซ่ง รัชสมัยฮ่องเต้ จวินอวี้หลาง“คุณหนู มาแล้วเจ้าค่ะ ๆ”“เร็วเข้าอาลี่จะไม่ทันแล้ว ขบวนกองทัพแห่งแดนประจิมจะเข้ามาถึงในเมืองแล้วข้าได้ยินเสียงกลองดังแล้ว”“คุณหนูเจ้าคะ ทางนั้นเจ้าค่ะ คุณหนูจางรออยู่ชั้นสองเจ้าค่ะ”“ลู่หลิงเฟย” บุตรีคนเล็กของท่านหมอหลวงในราชสำนักเดินกึ่งวิ่งขึ้นบันไดในโรงน้ำชาชื่อดังเพื่อไปยังห้องส่วนตัวชั้นสองของโรงน้ำชาแห่งนี้ซึ่งนางสั่งให้สาวใช้มาจับจองเอาไว้ วันนี้คือวันที่กองทัพแดนประจิม ได้รับชัยชนะกลับมาจากทำศึกใหญ่นอกชายแดนตะวันตก “หลิงเฟย ทางนี้”“ชิงชิง ข้ามาแล้ว”ลู่หลิงเฟยวิ่งไปยังห้องนั้นทันที สตรีวัยเดียวกับนางอีกสองสามคนรออยู่ในนั้น ล้วนแต่เป็นสหายที่เติบโตมาพร้อมกัน “จางชิงชิง” เป็นบุตรของขุนนางขั้นสี่ในราชสำนักในกรมคลังตำแหน่งของบิดานางนับว่าไม่ได้สูงมากแต่เพราะลู่หลิงเฟยมิได้เลือกคบคนที่ฐานะ นางเป็นมิตรกับทุกคนที่เป็นมิตรกับนาง“มาแล้ว ๆ พวกเขามาแล้ว หลิงเฟยเจ้าเตรียมลูกบอลแพรนั่นมาด้วยงั้นหรือ”“เจ้าไม่รู้อะไร ปีนี้ข้าก็สิบแปดแล้วนะย่อมอยากหาบุรุษที่เหมาะสมท่านพ่อบอกเองว่าข้าโตแล้ว”“เจ้าคงไม่คิดที่จะ….โยนให้พวกเขาที่นี่ในวันนี้หรอกนะ”“ก
ท่านอ๋องรับลูกบอลแพรปักสีแดงประดับพู่มาไว้ในมือพร้อมกับมองมันด้วยความแปลกพระทัย เขาไม่เข้าใจความหมายนี้เลยสักนิดและไม่เข้าใจว่ามันมาจากที่ใดและสตรีคนใดกันแน่ที่เป็นผู้โยนมาให้เขา แม้แต่จางชิงชิงเองก็นึกแปลกใจที่เขารับมันเอาไว้ในมือ ทั้งโรงน้ำชาต่างหันมามองท่านอ๋องพร้อมกับเสียงฮือฮาที่ดังขึ้น“นี่มันคือสิ่งใดจื่อรุ่ย”“ทะ..ท่านอ๋องนั่น..ลูกบอลแพรปัก มันมีไว้สำหรับเลือกคู่ หากว่าสตรีโยนให้บุรุษผู้ใดก็หมายความว่าหมายใจให้บุรุษผู้นั้น..สะ สู่ขอนางมาเป็นคู่ครองพ่ะย่ะค่ะ”ท่านอ๋องรู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างไร้สาระยิ่งนัก เขาไม่จำเป็นต้องมีชายาในตอนนี้ หน้าที่เขามีเพียงรักษาแคว้นและแผ่นดินเท่านั้น เรื่องอื่นนอกจากนั้นล้วนไร้สาระและมิควรค่าให้เอ่ยถึง เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของลูกแพรนั้น นางกำลังร้องด้วยความดีใจให้กับสตรีข้าง ๆ“ลูกบอลนี้เป็นของผู้ใด”เสียงทรงพลังนั้นตะโกนกลับไปถามเหล่าสตรีที่ยืนยินดีอยู่ด้านบน ลู่หลิงเฟยถูกดันออกมาตรงหน้า ท่านอ๋องก็ยังมองเห็นนางไม่ชัดอยู่ดีเพราะอยู่ชั้นสองแต่ก็เห็นแล้วว่านางยกมือขึ้นมา“ของหม่อมฉันเองเพคะ”“เช่นนั้น ก็เอาคืนไป”ด้วยความแปลกใจของคนทั้งเมืองหล
“อาลี่ เจ้าไม่เข้าใจหัวอกคนมีความรักเลย เฮ้อ…ท่านอ๋อง หยางหลินอี้ แม่ทัพหนุ่มผู้เป็นหนึ่งในใต้หล้า”“อ๋องแม่ทัพผู้เป็นหนึ่งแดนประจิมเจ้าค่ะ หาใช่ใต้หล้าไม่”“นั่นแหละ ๆ ช่างเถอะ ไปอ่านตำราต่อดีกว่า”“แต่นี่ดึกแล้วนะเจ้าคะแล้วตาท่านก็…”“ข้าเคยเจอวิธีการรักษาบาดแผลเช่นนี้ในตำราแพทย์ของท่านพ่อ ต้องไปรื้อฟื้นความจำเสียหน่อยไปก่อนนะ”“คุณหนูเจ้าคะ เฮ้อ….เมื่อใดคุณหนูของข้าจะเรียบร้อยดังคนคุณหนูสกุลอื่นบ้างนะ”วันถัดมา“เจ้านะเจ้า ข่าวลือของเจ้าที่ถูกท่านอ๋องรับเอาไว้เพราะโยนลูกแพรคืนโด่งดังทั่วเมืองหลวงแล้ว”“จริงหรือเจ้าคะท่านพ่อ พูดกันทั่วเมืองหลวงเลยงั้นหรือเจ้าคะ แย่จริงทำเช่นไรดีเล่าเจ้าคะ”“จะให้ทำเช่นไร เหตุใดเจ้าจึงเล่นสนุกไม่ดูเวลาเช่นนี้ ท่านอ๋องผู้นั้นใช่คนที่เจ้าจะล้อเล่นได้งั้นหรือ เขาเป็นพระนัดดา(หลานชาย) ของฝ่าบาท เจ้านะเจ้า…”“เช่นนั้นคนก็ร่ำลือไปทั่วเมืองหลวง ท่านพ่อ เช่นนี้ข้าก็ทำตัวไม่ถูกนะสิเจ้าคะ”“เฮ้อ….ชื่อเสียงของเจ้าแม้ว่าเจ้าจะไม่สนใจแต่ช่วยไว้หน้าพ่อหน่อยได้หรือไม่ พี่เจ้าเป็นถึงพระชายาขององค์รัชทายาทเชียวนะ”“เฮ้อ พวกท่านก็เอาแต่ชื่อเสียงของพี่ใหญ่กับพี่รองมากด
หลิงเฟยปล่อยน้ำตาที่เฝ้าอดกลั้นมาแสนนานออกมาในครานี้เอง เพียงคำพูดเดียวของท่านอ๋องทำให้นางราวกับถูกปลดล็อกบางอย่างออกไป นางร้องไห้ออกมาเสียงดัง เขาพยายามเช็ดน้ำตาให้นางอยู่หลายครั้ง จนนางนิ่งสงบลงในที่สุด“อยากพูด อยากระบายสิ่งใดออกมาอีกหรือไม่”“….”“พูดออกมาเถอะ ไม่ว่าสิ่งใดข้าก็จะฟัง วันนี้ข้ามีเวลาทั้งวันเพื่อปลอบเจ้า”“พระองค์ไม่ต้องสงสารหม่อมฉันก็ได้เพคะ นี่มันไม่จำเป็นเลย”“เหตุใดเจ้าจึงมองว่าเป็นความสงสาร เจ้ามองว่าข้าเป็นเช่นนั้นงั้นหรือ หากเพียงสงสารเจ้าคงไม่ตามเจ้ามาถึงที่นี่กระมัง”“พระองค์ ทรงหมายความว่าอย่างไรเพคะ”“ข้า…อยากขอบคุณเจ้า อยากทำเช่นนี้มานานแล้วแต่เจ้าก็ไม่เคยออกมาจากจวนเลยสักครั้ง ไปที่จวนเจ้าก็ไม่ออกมาพบผู้ใดจนข้าแทบจะหาทางออกไม่ได้ โชคดีที่วันนี้พระชายาเสด็จมาที่เมืองหลวงมิเช่นนั้นข้าคงไม่มีโอกาสเอ่ยคำนี้ออกมาเสียที”“พระองค์เพียงแค่อยากขอบคุณหม่อมฉันสินะเพคะ ไม่เป็นไรเพคะหม่อมฉันมิได้ทำสิ่งใด...”นางดันเขาออกเพื่อจะกลับมานั่งที่เดิมแต่เขากลับไม่ยอมปล่อยและยังดึงนางเข้าไปกอดแน่นกว่าเดิมอีกด้วยจนนางเริ่มใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ และดูเหมือนว่าหัวใจของท่านอ๋องเ
ลู่หลิงฟางเดินออกมาเพราะนางได้ยินเสียงเอะอะพร้อมกับคนที่เริ่มซุบซิบกันอยู่ด้านนอกโดยที่พวกนางไม่ทันได้สังเกต ลู่หลิงฟางหันไปสอบถามฟางชิงชิงที่ดูเป็นห่วงน้องสาวนางแต่กลับถามเรื่องเช่นนี้ต่อหน้าผู้คนมากมายจนนางนึกแปลกใจว่าแม่นางจางผู้นี้หวังดีกับน้องสาวนางจริงหรือไม่“พระชายา หม่อมฉันเพียงแค่ เป็นห่วง…เรื่องข่าวลือในคืนนั้นทั้งเมืองหลวงต่างร่ำลือไปมากมายแต่ไม่มีผู้ใดออกมาแก้ต่างเลย”“งั้นหรือ พวกเขาร่ำลือ พวกเขาของเจ้าน่ะ คือผู้ใด”“คือว่า..เรื่องนี้ คนทั้งเมืองหลวงต่างเล่าลือกันไป หม่อมฉันชี้ตัวไม่ชัด ไปหานางก็ไม่มีคำตอบ หม่อมฉันก็จนปัญญาจะแก้ต่างให้เพคะ”“ข้าถามว่าพวกเขาร่ำลือว่าอย่างไร”“ว่า หลิงเฟยถูกคนร้ายย่ำยีจนสาวใช้นางตายเพคะ ข้าเองก็ฟังเขามาอีกที แต่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลยว่าในคืนนั้นมีผู้ใดเป็นพยานให้นางว่านางมิได้ถูกทำร้าย”“เช่นนั้นข้าคงเป็นพยานให้นางได้ เพราะข้าเป็นผู้ที่อยู่กับนางในคืนนั้นเอง”พวกนางหันไปมองบุรุษรูปงามในชุดลำลองสีขาวปักด้วยดิ้นสีเงินทั้งตัวที่เดินเข้ามาในร้านพร้อมกับองครักษ์ข้างกาย เขาปราดตาไปมองจางชิงชิงทันที เขาเห็นตั้งแต่นางลากลู่หลิงเฟยออกมาและสอบถามเสี
ใต้เท้าลู่หันไปมองพระพักตร์ท่านอ๋องอย่างนึกประหลาดใจ ท่านอ๋องคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้ประหลาด เขาจึงหยิบยาที่หลิงเฟยให้เขาออกมาหนึ่งเม็ดและส่งให้ท่านหมอลู่“นี่มัน…ใช่จริง ๆ ยาต้าหรงจริง ๆ แต่ผู้ใดกันที่ทำยานี้ออกมาได้ หรือว่า….”ท่านหมอลู่และลู่หยวนลี่หันมามองหน้ากัน พวกเขารู้ดีว่าหลิงเฟยศึกษาวิชาแพทย์อย่างแตกฉานแต่นางไม่เคยแสดงออกเรื่องนี้มาก่อน “ท่านอ๋อง พระองค์รีบกินเถิดพ่ะย่ะค่ะ พิษในพระวรกายจะได้ถูกขับออกมา”ท่านหมอลู่ส่งยาคืนให้ท่านอ๋อง เขาจึงรับและกลืนลงไปในทันที แม้ว่าจะยังไม่ได้คำตอบแต่ในตอนนี้ที่เขาเห็นว่าลู่หลิงเฟยกลับมาถึงจวนอย่างปลอดภัยนั่นก็นับว่าโล่งใจไปได้แล้ว“อาการของนาง…”“กระหม่อมรักษาได้พ่ะย่ะค่ะ นางเพียงแค่ตกใจและ…ทำใจไม่ได้ชั่วครู่เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ ขอบพระทัยที่ทรงถามไถ่”“นางช่วยชีวิตข้าไว้ มิอาจเพิกเฉยได้ ครั้งนี้หากไม่ได้นาง….(ห้ามบอกผู้ใดว่าพบข้าที่นี่)…ที่ให้ยาถอนพิษ ข้าคง…”เขารักษาคำมั่นที่นางบอกเอาไว้ว่าจะไม่เอ่ยเรื่องที่นางช่วยเขากำจัดคนร้ายด้วยวิชายุทธ์ที่แกร่งกล้านั้น เขาเองก็นึกอยากเก็บเรื่องนี้เป็นความลับเช่นกัน“เร็วเข้า ไปต้มยาตามที่ข้าบอกให้
“เกรงว่าคนพวกนี้คงไม่รอท่านสอบสวนหรอก พวกมันมียาพิษไว้ใต้ลิ้น ทางที่ดีให้ข้าช่วยสักหน่อย”นางสะบัดผ้าเพียงหนึ่งครั้ง ยาพิษใต้ลิ้นนั้นก็หลุดออกมาพร้อมกับนางที่ก้มลงไปสกัดจุดที่ร่างเอาไว้พร้อมกับเตะไปให้ท่านอ๋องตรงหน้าพวกเขา คนร้ายนอนนิ่งอยู่ตรงหน้าเขากับจื่อรุ่ย“เอาไปสิ”“แม่นางลู่ นี่เจ้า….”นางค่อย ๆ เรียกผ้าแพรราวกับสั่งได้เก็บเข้ามาและหันไปยังที่ที่มีอาลี่นอนอยู่ นางวิ่งไปพร้อมกับยกร่างที่ไร้ลมหายใจของสาวใช้คู่กายมา น้ำตาไหลรินราวไร้การอดกลั้นใด ๆ “อาลี่ ข้าแก้แค้นให้เจ้าแล้ว พวกมันตายแล้วพวกเรากลับบ้านกันนะ”“ลู่หลิงเฟย ให้ข้าไปส่ง…”“ไม่รบกวนท่านอ๋อง ข้าจะพานางกลับเองถือว่าเรามิได้พบกันที่นี่ อย่าเอ่ยเรื่องที่พบข้าในคืนนี้กับผู้ใดก็พอ”“เพราะเหตุใด อึก …แคก แคก”“ท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ”ลู่หลิงเฟยหันไปวางร่างของอาลี่ลงและเดินเข้าไปหาท่านอ๋อง จื่อรุ่ยมองนางอย่างไม่แน่ใจว่านางจะทำสิ่งใดอีก เพียงชั่วพริบตา เขานึกไม่ถึงว่านางจะเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้ ราวกับเขาพึ่งจะรู้จักลู่หลิงเฟยตัวจริงในวันนี้เอง“คุณหนูลู่ นั่นท่านจะทำสิ่งใด”นางหันไปมองจื่อรุ่ยนิดหน่อยแต่ท่านอ๋องในตอนนี
ลู่หลิงเฟยหยุดชะงักไปนิดหน่อยพร้อมกับหันมามองผู้พูด นี่คงไม่คิดจะมาแย่งบุรุษกับนางอีกกระมัง“เจ้าหมายความว่าอย่างไร ท่านอ๋องทำไม”“ข้าก็แค่อยากรู้ว่าระหว่างเจ้ากับท่านอ๋องในตอนนี้ สถานการณ์ดูจะไม่ค่อยเป็นใจเท่าไหร่ ข่าวว่าเจ้าเอาแต่ติดตามเขาไปทั่วจนท่านอ๋องหลีกหนีแทบไม่ไหวนั่นทำให้ข้าฟังแล้ว..รู้สึกอับอายแทนยิ่งนัก”“หลี่ฟางอิ่ง ตัวข้ายังไม่อายเจ้าจะอายแทนข้าด้วยเหตุใดหรือว่าเจ้าเองก็นึกอยากทำเช่นนี้แต่มิกล้าถึงได้เอาแต่พูดต่อว่าข้าลับหลัง น่าสมเพชยิ่งนัก เมื่อใดก็เป็นเช่นนี้อยู่ร่ำไป รอให้ข้าเหนื่อยเองและยอมคายแล้วเจ้าค่อยเก็บเอาไปกินทีหลัง”“ลู่หลิงเฟยนี่เจ้า!!”“โอ้ ทนไม่ไหวแล้วงั้นหรือคุณหนูหลี่ เจ้าอย่าลืมนะว่าเจ้าเป็นถึงสตรีงดงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ส่วนข้าคือสตรีที่หยาบคายที่สุดในต้าซ่ง ข้าไม่กลัวเรื่องเสียชื่อเสียงแต่เจ้า….กลัวหรือไม่เล่า เจ้ากล้าแลกหรือไม่”“เจ้า…หยาบคายเช่นนี้ถึงได้ถูกถอนหมั้น”“หลี่ฟางอิ่งเจ้าเข้าใจเสียใหม่ ผู้ที่ถอนหมั้นคือข้าไม่ใช่สกุลหลาน เป็นถึงสตรีที่ฉลาดดูมีความรู้ก็อย่าได้รับแต่ข่าวสารผิด ๆ จนทำให้เจ้า…ดูโง่เลย…นะ ขอตัวก่อน”“ข้าไม่มีทางยอมแพ้เจ้า
หลังจากงานเลี้ยงเสร็จสิ้น ลู่หลิงเฟยก็มีโอกาสได้พบกับท่านอ๋องอีกหลายครั้ง หลายวันมานี้นางพยายามทำทุกอย่างให้เป็นเรื่องบังเอิญว่าพบเขา ทั้งที่ก่อนเข้าวังเพื่อส่งของให้พระชายาองค์รัชทายาท และโรงน้ำชาในเมืองหลวง“ท่านอ๋อง บังเอิญอีกแล้วเพคะ พระองค์ก็มาโรงน้ำชาเช่นเดียวกันหรือเพคะ”“ดูเหมือนจะมิใช่เรื่องบังเอิญดังที่เจ้าพูดนะคุณหนูลู่ มาพูดกันตรง ๆ เถิด หลายวันมานี้เจ้าติดตามข้าและข้าเองก็มักจะพบเจ้าอยู่เสมอ เจ้าต้องการสิ่งใด”“เป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ นะเพคะ โรงน้ำชานี้เป็นร้านประจำที่ข้าชอบมาดื่มกับสหาย จริงหรือไม่ชิงชิง”“เอ่อ…หลิงเฟยแต่เจ้าบอกว่าเจ้าเดินตาม…อ้อ จริงเพคะ”ชิงชิงจงใจพูดออกมาให้ท่านอ๋องทรงทราบว่าลู่หลิงเฟยเดินตามเขามา แต่ดูเหมือนว่าพระองค์จะไม่ได้ยินเพราะมัวแต่ทำสีหน้ากึ่งรำคาญกึ่งหงุดหงิดอยู่ตรงหน้าพวกนาง ชิงชิงถือโอกาสนี้เพื่อหลีกหนี“ท่านอ๋อง หม่อมฉันมีธุระเช่นนั้นขอตัวก่อนเพคะ หลิงเฟยข้าพึ่งนึกได้วันนี้เดินตาม เอ๊ย เดินเล่นเป็นเพื่อนเจ้าไม่ได้แล้ว ไปก่อนนะ”“อ้าวชิงชิง เหตุใดทิ้งข้าเช่นนี้เล่า หากเป็นเช่นนั้นท่านอ๋องพระองค์พึ่งกลับมาที่นี่ ให้หม่อมฉันนำเที่ยวดีหรือไม่
“เจ้านั่นเอง เอ่อ ไม่ทราบจริง ๆ ว่า…”“ท่านอ๋อง นางคือบุตรคนที่สี่ของท่านพ่อข้า ใต้เท้าลู่หยวนซิ่งหมอหลวงประจำพระองค์ของฝ่าบาท”“ที่แท้ก็บุตรของใต้เท้าลู่หมอหลวงผู้มีชื่อของเมืองหลวง”“ท่านอ๋องกล่าวชมเกินไปแล้วเพคะ ท่านพ่อเก่งจริงแต่หม่อมฉันเก่งเรื่องเที่ยวเล่นมากที่สุด โรงน้ำชา สุราหรือโรงละครรอบเมืองหลวง ไม่มีที่ใดที่หม่อมฉันไม่รู้ ท่านอ๋องอยากไปที่ใดบอกหม่อมฉันได้เลย หม่อมฉัน…”“อะฮึ่ม หลิงเฟย…เจ้าช่วยพูดให้มันน้อยหน่อย”“อ่อ ข้า…มักจะเป็นเช่นนี้ เวลาเห็นคนที่รูปงามหล่อเหลาจะ…โอ๊ย เพคะเช่นนั้นหม่อมฉันขอตัวเข้าไปข้างในก่อน พี่หญิงนี่สินค้าใหม่อย่าลืมนะ ข้อตกลงเหมือนเดิม”“อืม ข้ารู้แล้ว อีกเดี๋ยวจะไปคุยกับเจ้า”หลิงเฟยเดินถอยถวายความเคารพให้ท่านอ๋องพร้อมกับยิ้มด้วยความชื่นชมเขาที่ยืนมองนางด้วยสีหน้าและแววตาแปลกใจแต่ก็มิได้ใส่ใจมากนัก เขาสนใจสิ่งที่นางพึ่งจะมอบให้พระชายามากกว่า“มิทราบว่าท่านอ๋องมีเรื่องใดอยากจะบอกกล่าวกับข้างั้นหรือเพคะ”“กระหม่อมมีเรื่องอยากมาเตือนพระองค์”หลังจากนั้นหลิงเฟยได้เพียงแค่ลอบมองท่านอ๋องจากที่ไกล ๆ เท่านั้นราวกับว่าเขาเองก็พยายามจะเลี่ยงนางเช่นกัน เพราะ
“อาลี่ เจ้าไม่เข้าใจหัวอกคนมีความรักเลย เฮ้อ…ท่านอ๋อง หยางหลินอี้ แม่ทัพหนุ่มผู้เป็นหนึ่งในใต้หล้า”“อ๋องแม่ทัพผู้เป็นหนึ่งแดนประจิมเจ้าค่ะ หาใช่ใต้หล้าไม่”“นั่นแหละ ๆ ช่างเถอะ ไปอ่านตำราต่อดีกว่า”“แต่นี่ดึกแล้วนะเจ้าคะแล้วตาท่านก็…”“ข้าเคยเจอวิธีการรักษาบาดแผลเช่นนี้ในตำราแพทย์ของท่านพ่อ ต้องไปรื้อฟื้นความจำเสียหน่อยไปก่อนนะ”“คุณหนูเจ้าคะ เฮ้อ….เมื่อใดคุณหนูของข้าจะเรียบร้อยดังคนคุณหนูสกุลอื่นบ้างนะ”วันถัดมา“เจ้านะเจ้า ข่าวลือของเจ้าที่ถูกท่านอ๋องรับเอาไว้เพราะโยนลูกแพรคืนโด่งดังทั่วเมืองหลวงแล้ว”“จริงหรือเจ้าคะท่านพ่อ พูดกันทั่วเมืองหลวงเลยงั้นหรือเจ้าคะ แย่จริงทำเช่นไรดีเล่าเจ้าคะ”“จะให้ทำเช่นไร เหตุใดเจ้าจึงเล่นสนุกไม่ดูเวลาเช่นนี้ ท่านอ๋องผู้นั้นใช่คนที่เจ้าจะล้อเล่นได้งั้นหรือ เขาเป็นพระนัดดา(หลานชาย) ของฝ่าบาท เจ้านะเจ้า…”“เช่นนั้นคนก็ร่ำลือไปทั่วเมืองหลวง ท่านพ่อ เช่นนี้ข้าก็ทำตัวไม่ถูกนะสิเจ้าคะ”“เฮ้อ….ชื่อเสียงของเจ้าแม้ว่าเจ้าจะไม่สนใจแต่ช่วยไว้หน้าพ่อหน่อยได้หรือไม่ พี่เจ้าเป็นถึงพระชายาขององค์รัชทายาทเชียวนะ”“เฮ้อ พวกท่านก็เอาแต่ชื่อเสียงของพี่ใหญ่กับพี่รองมากด
ท่านอ๋องรับลูกบอลแพรปักสีแดงประดับพู่มาไว้ในมือพร้อมกับมองมันด้วยความแปลกพระทัย เขาไม่เข้าใจความหมายนี้เลยสักนิดและไม่เข้าใจว่ามันมาจากที่ใดและสตรีคนใดกันแน่ที่เป็นผู้โยนมาให้เขา แม้แต่จางชิงชิงเองก็นึกแปลกใจที่เขารับมันเอาไว้ในมือ ทั้งโรงน้ำชาต่างหันมามองท่านอ๋องพร้อมกับเสียงฮือฮาที่ดังขึ้น“นี่มันคือสิ่งใดจื่อรุ่ย”“ทะ..ท่านอ๋องนั่น..ลูกบอลแพรปัก มันมีไว้สำหรับเลือกคู่ หากว่าสตรีโยนให้บุรุษผู้ใดก็หมายความว่าหมายใจให้บุรุษผู้นั้น..สะ สู่ขอนางมาเป็นคู่ครองพ่ะย่ะค่ะ”ท่านอ๋องรู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างไร้สาระยิ่งนัก เขาไม่จำเป็นต้องมีชายาในตอนนี้ หน้าที่เขามีเพียงรักษาแคว้นและแผ่นดินเท่านั้น เรื่องอื่นนอกจากนั้นล้วนไร้สาระและมิควรค่าให้เอ่ยถึง เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของลูกแพรนั้น นางกำลังร้องด้วยความดีใจให้กับสตรีข้าง ๆ“ลูกบอลนี้เป็นของผู้ใด”เสียงทรงพลังนั้นตะโกนกลับไปถามเหล่าสตรีที่ยืนยินดีอยู่ด้านบน ลู่หลิงเฟยถูกดันออกมาตรงหน้า ท่านอ๋องก็ยังมองเห็นนางไม่ชัดอยู่ดีเพราะอยู่ชั้นสองแต่ก็เห็นแล้วว่านางยกมือขึ้นมา“ของหม่อมฉันเองเพคะ”“เช่นนั้น ก็เอาคืนไป”ด้วยความแปลกใจของคนทั้งเมืองหล