ลู่หลิงฟางเดินออกมาเพราะนางได้ยินเสียงเอะอะพร้อมกับคนที่เริ่มซุบซิบกันอยู่ด้านนอกโดยที่พวกนางไม่ทันได้สังเกต
ลู่หลิงฟางหันไปสอบถามฟางชิงชิงที่ดูเป็นห่วงน้องสาวนางแต่กลับถามเรื่องเช่นนี้ต่อหน้าผู้คนมากมายจนนางนึกแปลกใจว่าแม่นางจางผู้นี้หวังดีกับน้องสาวนางจริงหรือไม่
“พระชายา หม่อมฉันเพียงแค่ เป็นห่วง…เรื่องข่าวลือในคืนนั้นทั้งเมืองหลวงต่างร่ำลือไปมากมายแต่ไม่มีผู้ใดออกมาแก้ต่างเลย”
“งั้นหรือ พวกเขาร่ำลือ พวกเขาของเจ้าน่ะ คือผู้ใด”
“คือว่า..เรื่องนี้ คนทั้งเมืองหลวงต่างเล่าลือกันไป หม่อมฉันชี้ตัวไม่ชัด ไปหานางก็ไม่มีคำตอบ หม่อมฉันก็จนปัญญาจะแก้ต่างให้เพคะ”
“ข้าถามว่าพวกเขาร่ำลือว่าอย่างไร”
“ว่า หลิงเฟยถูกคนร้ายย่ำยีจนสาวใช้นางตายเพคะ ข้าเองก็ฟังเขามาอีกที แต่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลยว่าในคืนนั้นมีผู้ใดเป็นพยานให้นางว่านางมิได้ถูกทำร้าย”
“เช่นนั้นข้าคงเป็นพยานให้นางได้ เพราะข้าเป็นผู้ที่อยู่กับนางในคืนนั้นเอง”
พวกนางหันไปมองบุรุษรูปงามในชุดลำลองสีขาวปักด้วยดิ้นสีเงินทั้งตัวที่เดินเข้ามาในร้านพร้อมกับองครักษ์ข้างกาย เขาปราดตาไปมองจางชิงชิงทันที
เขาเห็นตั้งแต่นางลากลู่หลิงเฟยออกมาและสอบถามเสียงดังสายตาก็พลันมองไปรอบ ๆ ราวกับเรียกให้คนมาฟังเรื่องที่จะเล่า
“ทำไม ไม่พูดต่อแล้วงั้นหรือ”
“ทะ…ท่านอ๋องเพคะ คือว่า”
“ถวายบังคมท่านอ๋อง หม่อมฉันลู่หลิงฟาง บุตรคนที่สามของท่านหมอลู่เพคะ”
“ที่แท้ก็พระชายาท่านอ๋องแห่งเหลียงโจว ขออภัยที่ไม่ทันเห็นท่าน ว่าอย่างไรแม่นางจาง ข้าก็อยากรู้ว่าข่าวลือไร้สาระที่ว่านั่นมันออกมาจากปากผู้ใดเช่นกัน กล้าร่ำลือออกไปโดยมิคิดว่าผู้อื่นจะเสื่อมเสียเกียรติเช่นนี้ ช่างกล้านัก”
“ท่านอ๋องเพคะ พระองค์ตรัสว่าคืนนั้น พระองค์….”
“ใช่แล้ว คืนที่เกิดเรื่องมีคนร้ายบุกเข้ามาที่นั่นจริง ข้าตามมันมาจนพบว่าพวกมันวิ่งมาทางพวกนางและ….พวกข้าช่วยเอาไว้ แต่พวกมันฆ่าสาวใช้ของพวกเจ้าไป
เรื่องก็มีเพียงเท่านั้น นึกไม่ถึงว่า มีคน “ปากพล่อย” เอาไปลือมั่ว ๆ จนทำให้นางเสื่อมเสีย คืนนั้นหากไม่ได้ยาถอนพิษของแม่นางลู่ที่ช่วยข้าไว้ ข้าเองก็คงไม่รอดชีวิตมาได้ถึงตอนนี้ ได้ยินกันชัดหรือยัง"
ขาวบ้านโดยรอบได้ยินดังนั้นจึงได้เชื่อทันที
“ข่าวนี้ท่านอ๋องเป็นผู้ตรัสออกมาเองไม่มีทางผิด”
“พวกเขาอยู่ด้วยกันจริง ๆ”
“คืนนั้นทหารก็ออกมาเก็บศพไปมากมายข้าได้เห็นกับตาแค่ไม่นึกว่าจะมีสาวใช้ตายด้วย”
“เช่นนี้ข่าวนั่นก็ทำเรื่องเสื่อมเสียให้คุณหนูสกุลลู่แล้ว”
“ขอบพระทัยท่านอ๋องที่ทรงออกหน้าช่วยเหลือเพคะ”
“ไม่เป็นไรแม่นางลู่ พระชายาข้าเองยังไม่มีโอกาสขอบคุณแม่นางลู่เลยสักครั้ง อย่างไรแล้วครั้งนี้ให้ข้าเลี้ยงอาหารเพื่อเป็นการตอบแทน”
“ไม่ต้อง…”
ลู่หนิงฟางปัดมือน้องสาวนางเอาไว้ ท่านอ๋องแสร้งทำไม่ได้ยินเสียงของหลิงเฟยและมองไปที่หลิงฟางเท่านั้น
“ด้วยความยินดีเพคะท่านอ๋อง แล้ว…”
พวกเขาหันมามองที่จางชิงชิงที่เริ่มทำตัวไม่ถูกและกลัวว่าจะถูกสอบสวนที่มาที่ไปของข่าวลือ นางจึงหาทางเลี่ยงทันที
“เอ่อ หม่อมฉันมิบังอาจเพคะ วันนี้ไม่สะดวก หลิงเฟยเอาไว้พบกันที่งานเลี้ยงในวังนะ”
“เดี๋ยวก่อน พวกท่านทั้งหลายจงฟัง หากว่าผู้ใดสามารถชี้บอกตัวผู้ที่ “ปล่อยข่าวลือเท็จ” ของคุณหนูสกุลลู่จงรีบนำข่าวมาแจ้ง ข้าจะมอบรางวัลให้อย่างงามเพื่อนำคนผิดมาลงโทษให้สาสมกับความ “ปากพล่อย” ในครั้งนี้”
คำประกาศจากท่านอ๋องทำเอาจางชิงชิงที่ก่อนหน้านี้ทำท่าราวกับสะใจเริ่มหน้าซีดปากสั่นและไม่กล้าสู้หน้าท่านอ๋องและลู่หลิงเฟยจนต้องรีบขอตัวลา
“เช่นนั้นหลิงเฟย เอาไว้ค่อยพบกันนะ ทูลลาเพคะท่านอ๋อง”
จางชิงชิงเดินออกจากร้านไปอย่างรวดเร็ว ท่านอ๋องหันมามองใบหน้าของลู่หลิงเฟย เขาไม่ได้พบนางร่วมสามเดือน นึกไม่ถึงว่านางจะผ่ายผอมลงไปมากกว่าเดิมและยังดูพูดน้อยลงมาก ไม่สิที่จริงแล้ว....นางแทบจะไม่พูดเลยมากกว่า
“เช่นนั้น เชิญ....”
“ไปเถอะน้องสี่”
“พี่สาม เหตุใด…”
ท่านอ๋องรู้ดีว่าพวกนางต้องการคุยกัน เขาจึงเดินนำหน้าพวกนางไปก่อน
“เจ้าอย่าโง่สิ หากว่าเราไม่ไปเรื่องที่ท่านอ๋องออกหน้าช่วยเจ้าจะไม่มีความน่าเชื่อถือ ดังนั้นการที่เรารับเกียรติให้เขาเลี้ยงข้าวนั่นถือเป็นการยืนยันความบริสุทธิ์ของเจ้าจากข่าวลือหลายเดือนมานี้ เจ้าต้องขอบพระทัยท่านอ๋องจึงจะถูก”
“ข้า….”
“เจ้าไม่ได้ชอบเขาแล้วงั้นหรือ แต่ข้าว่าไม่ใช่นะเพราะเจ้ายังหน้าแดงอยู่เลย”
“พี่สาม ท่านหยุดพูดเถอะเจ้าค่ะ”
“น้องพี่ ชอบก็ไม่ได้ผิดอะไรนี่เหตุใดเจ้าต้องกลัวด้วยเล่า”
“แต่เขามิได้ชอบข้านี่เจ้าคะ ข้าเพียรตามเขาอยู่หลายเดือนแต่เขาไม่ได้สนใจข้าเลย ตอนนี้...ข้าตัดใจแล้วเจ้าค่ะ”
“แล้วผู้ใดที่ออกหน้าช่วยเจ้ารับข่าวลือนั่นเมื่อครู่ ไม่ใช่เขาหรืออย่างไร ของขวัญเต็มจวนที่เขาส่งไปให้เจ้านั่นอีกเล่า น้องสาม เปิดใจได้แล้ว อย่าให้อาลี่เป็นห่วงเจ้ามากกว่านี้เลย เจ้ารับปากพี่ว่าจะปล่อยให้นางจากไปอย่างเป็นสุข”
“ก็ได้เจ้าค่ะ”
หอหรงอี้
“เชิญทางนี้เถอะ”
“ขอบพระทัยท่านอ๋อง”
พวกนางเดินมานั่งในห้องส่วนตัวที่ท่านอ๋องสั่งให้คนจองเอาไว้ เมื่อท่านอ๋องนั่งลง หลิงเฟยก็หันออกมานั่งตรงข้ามแต่พี่สามของนางผลักให้นางไปนั่งข้าง ๆ เขา ท่านอ๋องสั่งอาหารมาหลายอย่างจนเต็มโต๊ะ
“แม่นางลู่ ไม่สิ ข้าขอเรียกเจ้าว่าหลิงเฟยได้หรือไม่”
“ตามพระทัยท่านอ๋องเลยเพคะ”
หลิงฟางมองดูใบหน้าที่แดงราวกับมะเขือเทศของน้องสาวและสายพระเนตรที่ท่านอ๋องมองนางก็เริ่มรู้สึกว่านางควรจะต้องหาเรื่องออกไปจากที่นี่สักหน่อย
“ตายจริง น้องสี่ข้าลืมไปว่าต้องไปรับเครื่องประดับ ท่านอ๋องเพคะ เช่นนั้นหม่อมฉันขอรบกวนพระองค์ไปส่งนางที่สกุลลู่ได้หรือไม่เพคะ”
“พี่สาม เช่นนั้นให้ข้าไปกับท่านด้วย”
“ไม่ได้ ท่านอ๋องพึ่งจะสั่งอาหารมา กลับตอนนี้น่าเกลียด เจ้าอยู่นี่แหละ ข้าจะรีบไปรับของก่อน”
“เช่นนั้น จื่อรุ่ย เจ้าตามไปส่งพระชายาด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อทั้งคู่ออกจากห้องไป ความเงียบที่น่ากดดันนั้นก็เริ่มทำให้ลู่หลิงเฟยอึดอัดอยู่พอสมควร นางไม่รู้ว่าจะมองหน้าเขาอย่างไรดีหลังจากที่เกิดเรื่องเมื่อสามเดือนก่อน จากนั้นนางก็ไม่ไปพบและตามติดเขาอีกเลย
“ดูเจ้าผอมลงมากเลยนะ กินให้มากหน่อย เห็นเจ้าเป็นเช่นนี้แล้วข้ายิ่งรู้สึกผิดมากขึ้น”
“เรื่องนั้น…ไม่เกี่ยวกับพระองค์”
“อย่างไรเสียข้าก็มีส่วน หากว่าข้าจัดการพวกมันได้ก่อน…”
น้ำตาของหลิงเฟยเริ่มรื้นขึ้นอีกแล้วเมื่อเขาเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา หยางหลินอี้หันไปมองคนข้าง ๆ เขาไม่ได้ตั้งใจพูดเพื่อให้นางหวนกลับไปคิดเรื่องในคืนนั้นอีกครั้ง
“หลิงเฟยข้าขอโทษนะ ข้าเพียงแค่อยากขอบคุณเจ้าจริง ๆจึงได้…”
“ไม่เป็นไรเพคะ เรื่องในคืนนั้นหม่อมฉันผิดเอง ที่จริงคืนนั้น…หากว่าหม่อมฉันเชื่อนาง ไม่ออกมาดูงิ้วนั่น…นางคง…”
“อย่าร้องไห้เลย ไม่มีผู้ใดอยากให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นหรอก เจ้าเองก็อย่าเอาแต่โทษตัวเอง”
“มีแต่คนพูดกับหม่อมฉันเช่นนี้ ทุกคนล้วนปลอบว่าอย่าคิดมาก ไม่ใช่ความผิดของหม่อมฉันแต่พระองค์ทราบหรือไม่ ทุกคืนเมื่อหลับตานอนหม่อมฉันก็มักจะได้ยินเสียงนาง ที่บ่นว่าเราไม่น่าออกมาเลยซ้ำไปซ้ำมาทุกคืน”
หลิงเฟยใช้มือโบกพัดเพื่อไม่ให้น้ำตานางไหลออกมาพร้อมกับหันหน้าหนีเขา นางไม่อยากอ่อนแอให้ผู้ใดเห็น โดยเฉพาะกับเขา ที่เคยเห็นทั้งตอนที่น่าอับอายของนางมากที่สุดและในตอนที่นางอ่อนแอที่สุด แต่เขากลับเอื้อมมือมาจับมือนางเอาไว้และดึงนางเข้ามากอดอย่างรวดเร็วจนนางตั้งรับไม่ทัน
“เจ้าร้องออกมาเถอะ ร้องให้พอแล้วปล่อยนางไปได้แล้ว ข้า…จะดูแลเจ้าแทนนางเอง”
หลิงเฟยปล่อยน้ำตาที่เฝ้าอดกลั้นมาแสนนานออกมาในครานี้เอง เพียงคำพูดเดียวของท่านอ๋องทำให้นางราวกับถูกปลดล็อกบางอย่างออกไป นางร้องไห้ออกมาเสียงดัง เขาพยายามเช็ดน้ำตาให้นางอยู่หลายครั้ง จนนางนิ่งสงบลงในที่สุด“อยากพูด อยากระบายสิ่งใดออกมาอีกหรือไม่”“….”“พูดออกมาเถอะ ไม่ว่าสิ่งใดข้าก็จะฟัง วันนี้ข้ามีเวลาทั้งวันเพื่อปลอบเจ้า”“พระองค์ไม่ต้องสงสารหม่อมฉันก็ได้เพคะ นี่มันไม่จำเป็นเลย”“เหตุใดเจ้าจึงมองว่าเป็นความสงสาร เจ้ามองว่าข้าเป็นเช่นนั้นงั้นหรือ หากเพียงสงสารเจ้าคงไม่ตามเจ้ามาถึงที่นี่กระมัง”“พระองค์ ทรงหมายความว่าอย่างไรเพคะ”“ข้า…อยากขอบคุณเจ้า อยากทำเช่นนี้มานานแล้วแต่เจ้าก็ไม่เคยออกมาจากจวนเลยสักครั้ง ไปที่จวนเจ้าก็ไม่ออกมาพบผู้ใดจนข้าแทบจะหาทางออกไม่ได้ โชคดีที่วันนี้พระชายาเสด็จมาที่เมืองหลวงมิเช่นนั้นข้าคงไม่มีโอกาสเอ่ยคำนี้ออกมาเสียที”“พระองค์เพียงแค่อยากขอบคุณหม่อมฉันสินะเพคะ ไม่เป็นไรเพคะหม่อมฉันมิได้ทำสิ่งใด...”นางดันเขาออกเพื่อจะกลับมานั่งที่เดิมแต่เขากลับไม่ยอมปล่อยและยังดึงนางเข้าไปกอดแน่นกว่าเดิมอีกด้วยจนนางเริ่มใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ และดูเหมือนว่าหัวใจของท่านอ๋องเ
ลู่หลิงเฟยแทบไม่อยากจะเชื่อว่านางพึ่งได้ยินสิ่งที่ท่านอ๋องหน้าตายผู้นั้นตรัสออกมา เขาจะให้นาง….นอนหนุนตักเขางั้นหรือ แต่ไม่ทันที่นางจะได้พูดแย้งอะไรออกไปเขาก็ดึงตัวนางเข้ามาพร้อมกับใช้ตัวให้นางพิง“นอนพักสักหน่อย ถึงแล้วข้าจะปลุก”“นอนท่านี้หม่อมฉันจะหลับได้งั้นหรือเพคะ”“เช่นนั้นข้าจะช่วยเจ้าเอง หลับตาสิ”หลิงเฟยเชื่อฟังเขาแต่เขากอดนางแน่นเช่นนี้นางจะหลับได้จริง ๆ นะหรือ ไหนจะเสียงหัวใจของเขาและนางที่เต้นรัวแข่งกันอยู่ในเวลานี้อีกนางจะหลับลงได้เช่นไร ไม่นานก็ได้คำตอบเมื่อเขาเอาฝ่ามือเย็น ๆ มาปิดที่ดวงตานางเอาไว้“สบายหรือไม่”“อืม..แต่มืดไปหน่อยเพคะ”“มิเช่นนั้นจะนอนได้เช่นไร พักผ่อนเถอะข้าไม่ชวนคุยแล้ว”นึกไม่ถึงว่าท่านอ๋องที่หน้าตายเช่นเขาที่นางพบในวันแรก แม้ว่าจะรูปงามดุจหยกประดับดังที่เลื่องลือแต่กลับปากร้ายและเย็นชาผู้นั้นในยามนี้จะเป็นบุรุษที่อบอุ่นถึงเพียงนี้ลู่หลิงเฟยหลับไปในเวลาไม่นานเพราะมือที่เย็นของเขาทำให้ตานางเริ่มหายปวดและผ่อนคลายลงจนหลับไปโดยไม่รู้ตัวจวนสกุลลู่“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”“เงียบก่อน ให้นางพักสักครู่ข้าค่อยปลุกนาง”เกือบหนึ่งชั่วยามที่ท่านอ๋องนั่งเฝ้านางที่ห
หลิงเฟยเปิดตามคำที่หลิงฟางบอก เมื่อเปิดออกมาก็พบว่าเป็นชุดใหม่ แต่นี่มิใช่ชุดที่นางและพี่สามเลือกในร้านก่อนจะพบชิงชิง แต่เป็นชุดที่งดงามมีลายปักดิ้นสีทองประดับด้วยมุกและใช้ผ้าไหมแก้วชั้นดีของเมืองหลวง ด้านในปักเลื่อมลายดอกไม้ทั้งตัว สายคาดเอวสีม่วงอ่อนเข้ากันกับชุดยิ่งทำให้ชุดนี้ดูหรูหรางดงามอย่างที่ร้านที่พวกนางพึ่งไปมาวันนี้ไม่มีขาย“พี่สาม นี่คือ….”“ท่านอ๋องสั่งตัดมาเพื่อเจ้า พร้อมกับสิ่งนี้”หลิงเฟยรับกล่องไม้แกะสลักมุกมาจากพี่สามของนางและเปิดออกมา ด้านในเป็นชุดเครื่องประดับไข่มุกราตรีทั้งชุด เครื่องประดับนี้ราวกับถูกสั่งทำขึ้นเพื่อให้เข้ากับชุดที่ท่านอ๋องส่งมาพร้อมกัน“นี่ ทั้งหมดนี้คือ….”“ท่านอ๋องคงอยากให้เจ้าสวมชุดนี้ไปงานเลี้ยงในวังหลวง”“แต่ว่า…เขาไม่พูดอะไรกับข้าสักคำ”“เด็กโง่ เรื่องเช่นนี้ต้องป่าวประกาศงั้นหรือ ท่านอ๋องให้คนนำมาส่งให้ข้าก่อนที่จะกลับพร้อมกำชับให้ข้าบอกเจ้าว่าวันชมดอกท้อให้เจ้าสวมชุดนี้เข้าวังพร้อมเขาที่มารับที่จวน”“บ้าจริง ทำเช่นนี้เพื่ออะไรกัน ข้าตั้งรับไม่ทันแล้ว”“ดูหน้าเจ้าสิ แดงดุจมะเขือเทศแล้ว เอาละข้าไม่กวนเจ้าแล้ว เก็บให้ดีแล้วพักผ่อนเสียหน่อย”
“ท่านอ๋องแวะไปรับข้าที่จวนน่ะเจ้าค่ะ”“เอ่อ ได้ข่าวว่าท่านล้มป่วยอยู่นาน ข้า…แวะไปเยี่ยมหลายครั้งแต่ไม่พบ”“ท่านรองแม่ทัพ ข้าหายดีแล้วเจ้าค่ะขอบคุณมากสำหรับของขวัญเจ้าค่ะข้าชอบมาก”“ท่านหายดีก็ดีแล้ว”“น้องสี่ เจ้ามาถึงเร็วดีนี่ อ้าวใต้เท้าเฉินพบท่านแล้ว”“คุณชายลู่ ท่านหมอลู่ ท่านนี้คือ….ถวายบังคมพระชายา”“ท่านแม่ทัพอย่าได้มากพิธีกับข้าเลย มาที่นี่ข้าเป็นคุณหนูสามสกุลลู่เท่านั้นเจ้าค่ะ”“พวกท่านมากันแล้ว เราเข้าไปกันเลยดีหรือไม่ ใต้เท้าเฉิน ท่านก็มาถึงแล้วงั้นหรือ”“ถวายบังคมท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”“เช่นนั้นก็เข้าไปพร้อมกันเถอะ หลิงเฟยไปเถอะ”“เพคะ”พวกเขาพากันเดินเข้าไปในงาน มือท่านอ๋องที่จับมือหลิงเฟยเดินเข้างานไปนั้นราวกับตอกย้ำเฉินเป่าหลิงว่าเขาคงช้าไปเสียแล้วกับบุปผางามผู้นั้นเมื่อเข้ามาในงาน พวกเขาก็พบกับองค์รัชทายาทและพระชายาก่อน พระชายาสวมกอดกับพี่สามในทันทีเพราะไม่ได้พบกันนานพร้อมกับดึงแขนหลิงเฟยเข้าไปด้วย“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง หายดีแล้วใช่หรือไม่ข้าอยากออกวังไปพบเจ้าที่จวนใจจะขาดแต่ในวังสั่งห้ามเพราะเกรงว่าข่าวลือนั่น แต่ที่จริงข้าทราบเรื่องทั้งหมดแล้ว องค์รัชทายาทเล่าให้ฟังเจ้า
ดุจสายฟ้าที่ฟาดลงมากลางแจ้ง หลิงเฟยคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินเรื่องเช่นนี้ เมื่อครู่นี้พี่รองของนางพึ่งจะ….พี่รองที่เป็นพระชายาขององค์รัชทายาท ถามท่านอ๋องว่า…“หลินอี้ ท่านตอบข้ามาสิ เหตุใดจึงเงียบ ข้ามิอาจตอบรับความรู้สึกของท่านได้ น้องสี่มีหน้าตาและนิสัยเหมือนข้ามากที่สุด ท่านคงมิได้คิดว่าจะให้นาง….เป็นตัวแทนข้าในเรื่องนี้หรอกใช่หรือไม่”หลิงเฟยทรุดตัวลงช้า ๆ นางไม่อยากได้ยินอะไรต่อจากนี้อีกแล้ว นางพยายามหาทางออกจากที่นี่ ต้องออกไปเดี๋ยวนี้และลืมเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่ให้เร็วที่สุด นางจำได้แค่เดินออกมาและลัดเลาะตามพุ่มไม้ด้านหน้าตำหนักออกมาโดยไม่มีผู้ใดเห็น “พระชายา เรื่องในอดีตกระหม่อมลืมมันไปหมดแล้ว กระหม่อมกล้าสาบานกับพระองค์ตรงนี้ว่า ที่กระหม่อมอยากหมั้นหมายกับหลิงเฟยเพราะกระหม่อมรักนาง อยากดูแลนาง อยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ด้วยกันนับจากนี้”“และที่สำคัญ พระองค์กล่าวผิดอยู่อย่างหนึ่ง นางไม่มีส่วนใดที่เหมือนท่านเลย นางสดใสและเป็นตัวของตัวเอง มีความสามารถและเข้มแข็งกล้าหาญที่แม้แต่กระหม่อมเองยังยอมแพ้ นั่นทำให้กระหม่อมรักนางจากใจจริง”พระชายายิ้มให้เขาอย่างจริงใจกลับไปเช่นกัน“เช
หลิงเฟยรู้สึกว่าร่างของนางลอยขึ้นไปและถูกใครสักคนดึงเอาไว้ ริมฝีปากนางราวกับมีลมอ่อน ๆ เข้ามา นางเหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่ใต้น้ำนั้น “(ท่านอ๋องจูบข้าทำไม)”เสียงในความคิดนางดังอยู่พร้อมกับสติที่หลุดลอยไปอีกครั้งเมื่อขึ้นมาหายใจบนผิวน้ำและสำลักน้ำออกมา“แคก แคก”“หลิงเฟย!! ท่านอ๋อง!! พวกเขาขึ้นมาแล้ว เร็วเข้า เอาผ้ามา”“หลิงเฟย เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง หลิงเฟย”ใบหน้าก่อนนางหมดสติคือใบหน้าของท่านอ๋อง นางราวกับจะลืมตาขึ้นได้ แต่ก็หลับไปอีกครั้ง…. จวนสกุลลู่“นางฟื้นหรือยัง”“ยังเลยพ่ะย่ะค่ะ”“นางตกน้ำได้อย่างไร”“กระหม่อมไม่มั่นใจ แต่คนที่ถึงก่อนหน้านั้น…และที่อยู่ที่นั่น คือจางชิงชิง”“จางชิงชิง นางคือ….”“นางคือสตรีที่พระองค์พบที่ร้านตัดชุดเมื่อวันก่อนเพคะ”“จื่อรุ่ย สั่งให้คนไปเอาตัวนางมาข้าจะสอบสวนนางด้วยตนเอง”“แคก แคก”“หลิงเฟย!!”ท่านอ๋องวิ่งไปที่เตียงของนางในทันที หลิงเฟย ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมามองเห็นใบหน้าของคนมากมายแต่นางยังแยกไม่ออกว่าเป็นผู้ใดบ้าง ท่านอ๋องใช้พระหัตถ์ลูบใบหน้านางเบา ๆ“แคก แคก”“เจ้าไหวหรือไม่”“น้ำ”เสียงของนางแหบต่ำคงเพราะสำลักน้ำไปมาก กว่าท่านหมอลู่จะรักษานางได
หลิงเฟยค่อย ๆ เลื่อนตัวลงนอนพัก เขาก้มลงห่มผ้าให้นางพร้อมกับก้มลงไปอีกครั้งหลิงเฟยหันหลังให้เขาในทันทีเขารู้สึกว่านางพยายามจะเลี่ยงเขาอยู่หลายครั้ง นางไม่เหมือนเดิมจริง ๆ เรื่องที่เขาคุยกับพระชายาคงต้องหาเวลาพูดคุยกับนาง รอให้นางหายดีกว่านี้เขาจะบอกทุกอย่างแก่นาง“เช่นนั้น ข้าไปนะ”“ขอบพระทัยเพคะ”วันถัดมา “น้องสี่เจ้าไหวหรือไม่”“พี่ใหญ่ข้าแค่ตกน้ำ มิได้ป่วยจนลุกไม่ขึ้นนะเจ้าคะ”“เช่นนั้นก็ไปกันเถิด เห็นว่าวันนี้พระชายาจะแสดงดีดพิณต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทด้วยนี่ใช่หรือไม่ขอรับท่านพ่อ”“อืม นานแล้วที่ไม่ได้เห็นพระชายาดีดพิณ”“ดี เริ่มเลย”“หลิงเฟย เจ้าว่าอะไรนะ”“เปล่าเพคะ”“อ่อ เช่นนั้นก็ขึ้นรถม้ากันเถอะ ไหวหรือไม่ให้ข้าอุ้มขึ้นไปดีกว่านะ”“ไม่ต้องเพคะหม่อมฉันเดินเองได้เพคะ”ท่านอ๋องรู้ดีว่านางอาจจะยังโกรธเขา แม้ว่าบางเรื่องยังไม่กระจ่างชัดแต่เขาจะค่อย ๆ เล่าให้นางฟัง หลายเรื่องต้องใช้เวลาคุยกันนานกว่าจะเข้าใจ แต่บางเรื่องที่เขาบอกนางได้ก็จะบอกเลย“หลิงเฟย หากว่าเจ้ารู้สึกไม่ค่อยดีให้รีบบอกข้าเข้าใจหรือไม่”“เพคะ”เขาดึงตัวนางเข้ามากอดและอิงซบที่ไหล่ หลิงเฟยไม่ทันระวังจึงต้องทำตามที่
ทั้งสองหันไปมองท่านอ๋องที่ตอนนี้เริ่มบีบมือของ หลิงเฟยแน่นพร้อมกับหันมายิ้มให้ทั้งสองคนที่เหลือ“พวกท่านมาอยู่นี่เอง”“ท่านอ๋อง พวกกระหม่อมมาสูดอากาศพ่ะย่ะค่ะ เอาล่ะ หลิงเฟย เอาไว้พบกันใหม่นะว่าง ๆ จะรับไปดูละคร”“จางหยวนท่านนี่เมื่อใดก็ไม่เปลี่ยน ตกลงไว้พบกันใหม่”“เอ่อ เช่นนั้นข้าน้อยก็ขอตัวก่อน”“ใต้เท้าเฉิน เดินเข้าไปพร้อมกันก็ได้ ข้ายังอยากถามท่าน….”“เฟยเอ๋อร์ เกรงว่าจะไม่เหมาะนะ ข้าว่าเรามีบางอย่างต้องคุยกันหน่อย”“เช่นนั้นกระหม่อมขอตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะ ไว้พบกันใหม่”หลิงเฟยสะบัดแขนออกจากเขาแต่ท่านอ๋องไม่ยอมให้นางทำเช่นนั้นพร้อมกับดึงนางไปยังห้องด้านข้างของท้องพระโรงซึ่งโดยปกติเอาไว้สำหรับแต่งตัวในงานและนั่งพักผ่อน“ท่านอ๋อง พาหม่อมฉันมาที่นี่ทำไมเพคะ”“วันนี้เจ้าเป็นอะไร เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าทำสิ่งใดอยู่”“ท่านอ๋อง พระองค์ตรัสแปลก ๆ นะเพคะ หม่อมฉันเพียงแค่ยืนคุยกับจางหยวนและใต้เท้าเฉิน”“เจ้ารู้ว่าข้ายังมิได้ถามเรื่องนั้น ข้าถาม…เรื่องก่อนหน้านี้ เหตุใดต้องทำกิริยาเช่นนั้นต่อหน้าองค์รัชทายาท”“ปล่อยนะ หม่อมฉันเจ็บ ท่านอ๋อง!!”“หลิงเฟย ที่นี่เป็นวังหลวงแม้ว่าพระชายาจะเป็นพี่สาวของเจ
สองเดือนถัดมา “เบ่งเพคะพระชายา อื้อ....”“กรี๊ด!!!..”“อุแว๊!!……”“เป็นองค์ชายน้อยเพคะ”สิ้นเสียงของหมอตำแยทำคลอดในวังที่แจ้งว่าพระชายาขององค์รัชทายาทคลอดบุตรชายออกมา ทำให้ จวินอวี้หยวนองค์รัชทายาทรีบลุกขึ้นและพุ่งกายเข้าไปยังห้องที่พระชายาอยู่ในทันที หลิงเฟยหันมามองพระพักตร์พระสวามีที่นั่งอยู่ข้าง“ท่านพี่ เป็นอะไรไปเพคะ”“คือว่า…ตอนเจ้าคลอด ก็จะต้อง…ร้องทรมานเหมือนกับที่….อิ๋งเซียน…”“ใช่เพคะ สตรีเวลาคลอดก็เป็นเช่นนี้ หากบุตรคลอดง่ายก็ไม่เจ็บนานเหมือนกับที่พี่หญิงเบ่งเพียงสี่ห้าครั้งบุตรก็คลอด แต่บางคนเบ่งอยู่ร่วมครึ่งวันก็ยังไม่ออกก็มี”“อะไรนะ!! เบ่งครึ่งวันงั้นหรือ เฟยเอ๋อร์ เช่นนั้นเจ้า…มิต้องทรมานแย่หรือ”“พระองค์อย่ากังวลพระทัยเกินไปเพคะ หม่อมฉันกับพี่หญิงก็ต่างเป็นสตรี เรามีบิดาเป็นหมอนะเพคะ คลอดไม่ยากหรอกเพคะ”“แต่เสียงร้องนั่นทำเอาองค์รัชทายาทแทบจะเป็นบ้าตายเจ้าก็เห็น”“นั่นเพราะพี่เขยไม่เคยได้ยินพี่หญิงกรีดร้องทรมานเช่นนี้มาก่อนก็เลยตกพระทัยน่ะเพคะ”“เช่นนั้นข้า…ไม่เป็นลมไปเลยงั้นหรือหากได้ยินเสียงเจ้าเจ็บปวดถึงเพียงนั้น ข้าจะทนไม่ได้เอาน่ะสิ”“เช่นนั้นพระองค์ก็ไม่ควรม
“เปล่าเพคะ แค่เวียนหัวเพราะคนเดินตามเกือบแปดคน ไปไหนก็เดินล้อมขนาดนี้ไม่เวียนหัวบ้างก็แปลกสิเพคะ”“เช่นนั้นให้ข้าเดินตามเจ้า อารักขาเจ้าคนเดียว จะได้ไม่เวียนหัวดีหรือไม่”พระชายาหันมามองพระพักตร์ที่จริงจังเมื่อเอ่ยประโยคนี้ขึ้นมา“ท่านอ๋องเพคะ พระองค์ไม่มีงานราชกิจอื่นแล้วหรือเพคะ หม่อมฉันตั้งครรภ์มิได้ป่วยนะเพคะ”“ข้าเป็นห่วงเจ้า ข้าผิดงั้นหรือ”หลิงเฟยถอนหายใจพร้อมกับดึงคอเขาเข้ามาซบที่อกนาง ลมหายใจของเขาร้อนผ่าว หัวใจยังเต้นแรงเพราะวิ่งมาอย่างรวดเร็วเพราะเป็นห่วงนาง“ท่านพี่ ข้าสัญญากับท่านว่าจะดูแลตัวเอง ท่านพี่เป็นห่วงหม่อมฉันเข้าใจเพคะ แต่ว่าหม่อมฉันเองก็ไม่อยากให้พระองค์เป็นห่วงมากเกินไป ทำเช่นนี้ราวกับว่าไม่ไว้ใจหม่อมฉันนะเพคะ”“ข้าต้องพยายามปรับตัวอีกแล้วใช่หรือไม่”“เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ หากว่าพระองค์เป็นห่วงหม่อมฉัน พระองค์ก็ทำเท่าที่อยากทำเถิดเพคะ แต่ว่าอย่าให้เสียงานจนผู้อื่นครหาท่านเอาได้ หม่อมฉันมิอยากเป็นต้นเหตุว่าทำให้พระองค์ไม่มีความรับผิดชอบในงานอย่างอื่น”“ได้ ข้ารับปากเจ้า แล้วเจ้ากินอะไรหรือยัง พระชายาฝากยาบำรุงมาให้เจ้าด้วย นางบอกว่าได้มาเยอะช่วงที่ตั้งครรภ์เลยแบ่
สี่เดือนถัดมา“พวกเจ้ารีบย้ายของพวกนี้ออกไปอย่าให้มีของที่มีคมอยู่ในสถานที่ที่พระชายาจะเดินผ่านได้ เร็วเข้า จื่อรุ่ย!! เจ้าไปเอายาบำรุงครรภ์ที่พ่อตาข้ามาหรือยัง”“อยู่นี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ กำลังจะรีบนำไปต้มพ่ะย่ะค่ะ”“รีบไปเลยเร็ว ๆ พระชายาจะตื่นแล้ว ข้าวละ เสร็จหรือยัง”“หลินอี้!!”เสียงของหยางหลิงเฟย พระชายาดังขึ้นเพื่อเรียกพระสวามี นางตื่นขึ้นมาและมองไม่เห็นเขาอยู่บนเตียง ท่านอ๋องรีบสั่งการเก็บกวาดจวนจนทั่วเพื่อมิให้หลิงเฟยเกิดปัญหาเวลาเดินในจวน“ข้ามาแล้ว ๆ”“ท่านไปที่ใดมา"“ข้า….ไปสั่งให้ทุบทำขั้นบันไดใหม่ให้เจ้า จะได้เดินง่ายขึ้น”“นี่ท่านสั่งรื้อจวนอีกแล้วงั้นหรือ!!”รอยยิ้มสำนึกผิดของท่านอ๋องหลบสายตาพระชายาไม่ได้เลย “ไม่ต้องมายิ้มเลย วันก่อนก็สั่งรื้อสวน”“ก็กลัวเจ้าเดินสะดุดหญ้าล้มนี่ มันอันตรายมากนะ”“แล้วยังสั่งไม่ให้ข้าจับเครื่องมือบดยา”“ก็มันมีทั้งมีดและครกหิน มันอันตรายทั้งนั้น เสี่ยงมากนะหลิงเฟยไม่ได้หรอก ช่วงนี้เจ้าห้ามเข้าไป”“นี่ท่านสั่งรื้อบันไดอีกแล้ว”“ซี่มันถี่และชันมากเกินไป เจ้าคิดดูสิ ช่วงครรภ์แรกท่านพ่อบอกว่าห้ามเจ้าเดินเร็ว ห้ามยกของหนัก ห้ามสะดุดล้ม มันเสี่ยงน
ห้องส่งตัวเจ้าสาว“เหนื่อยหรือไม่”“ไม่เพคะ”“เจ้าตั้งใจจะโยนลูกบอลแพรและเปลี่ยนเจ้าบ่าวจริง ๆ นะหรือเมื่อเช้านี้”ลู่หลิงเฟยหันมามองพระพักตร์ของพระสวามีอย่างนึกเคืองใจที่เขาบังอาจเล่นนอกบทที่ตกลงกับนางเอาไว้ก่อนหน้านี้จนเกือบแก้ไขไม่ทัน ยังดีที่ท่านอ๋องเป็นคนฉลาดและรู้ใจนางดีเขาจึงแก้ไขสถานการณ์นั้นได้“เป็นพระองค์ต่างหากที่เปลี่ยนบทก่อน”“นั่น ข้าก็แค่อยากจะขึ้นไปรับเจ้าเท่านั้น หากว่าเจ้าตกลงมาอีกจะทำเช่นไรเล่า ข้าน่ะตั้งใจเปลี่ยนเองเพราะอยากให้เจ้าเข้าใจหัวใจของข้ามากขึ้น”“หึ ยังดีที่พระองค์แก้ไขได้ทัน มิเช่นนั้นเจ้าบ่าวของหม่อมฉันในวันนี้คงมิใช่พระองค์แล้ว”“มีหรือว่าข้าจะยอม ต่อให้เจ้าจะเปลี่ยนเงื่อนไขอีกกี่ร้อยครั้ง เจ้าบ่าวก็ยังต้องเป็นข้าอยู่ดี เจ้าหนีไม่พ้นหรอก เหมือนในคืนนี้ที่เจ้าหนีไม่พ้นแน่ ๆ”“พระองค์ดื่มจนเมาแล้วใช่หรือไม่”“ไม่เมาเท่าสุรามงคลที่ดื่มกับเจ้าหรอก”“เช่นนั้นข้าต้องพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่”หลิงเฟยจูบเขาทันทีพร้อมกับดึงชุดเจ้าบ่าวออกอย่างรวดเร็ว แต่ชุดเหล่านี้ตอนใส่พวกเขาแทบจะไม่ได้ใส่เอง ดังนั้นตอนถอด…..“นี่มันถอดแบบไหนละ หลินอี้ ดึงสายนั้นออกก่อนสิ ไม่ใ
ตำหนักบูรพา“พี่หญิง”“น้องสี่ เจ้ามาได้สักทีนะ เป็นอย่างไรบ้างบาดแผลของเจ้าหายดีหมดแล้วหรือไม่ แล้วนี่ตาเจ้ายังมีปัญหาอะไรอยู่หรือไม่ เจ้ามองข้าชัดใช่หรือไม่”ลู่อิ๋งเซียนเอ่ยถามลู่หลิงเฟยไม่หยุดเมื่อพบหน้ากันจนท่านอ๋องและองค์รัชทายาทแทบจะไม่มีช่วงที่ขัดจังหวะนางได้เลย จนองค์รัชทายาทต้องดึงไหล่ของพระชายาเอาไว้และให้ใจเย็น ๆ“เจ้าใจเย็นก่อนให้หลิงเฟยได้พักสักหน่อย นางพึ่งเข้าเฝ้าเสด็จพ่อมาให้นางได้หายใจก่อนสิ”“ข้า…เป็นห่วงนี่ได้ข่าวว่าทั้งถูกลักพาตัว ถูก….ขัง แล้วไหนจะโดนตบตีอีก”“พี่หญิง ท่านฟังข่าวลือมากไปแล้ว นางร้ายเช่นข้าผู้ใดจะกล้ารังแก”“แล้วข่าวที่ว่าเจ้า….ใช้ดาบฟันดวงตาองค์หญิงหลีน่าจนบอดนั่น…”“เรื่องนั้นเป็นเรื่องจริงเจ้าค่ะ”“ตายจริง เหตุใดเจ้า…”“เรื่องนั้นเป็นเพียงแค่การป้องกันตัว องค์ชายคุณหมิงเองก็เข้าพระทัยดี เห็นว่ามาเข้าเฝ้าฝ่าบาทและตกลงทำการค้ากับเราหลายอย่างเลยนี่”“ใช่ ๆ หลินอี้ ครั้งนี้เราได้ประโยชน์มากกว่าที่คิด อย่างน้อยก็ต้องขอบคุณพวกเจ้าละนะ องค์ชายคุณหมิงรู้สึกสำนึกผิดมากจริง ๆ ถึงกลับยอมละเว้นภาษีสินค้าที่จะนำเข้าไปขายยังแคว้นฉู่และยินยอมให้เราเก็บภาษีเต็
ท่านอ๋องหันไปมองใบหน้าที่แดงจัดนั่นและอดนึกขำไม่ได้ นางกับเขาเคยทำเรื่องเช่นนี้ก็จริงแต่การที่จะเห็นผู้อื่นทำเรื่องเช่นนี้ต่อหน้าคงมีเพียงนางที่แกล้งตาบอดเท่านั้นที่จะได้เห็น“เจ้าบอกว่า พวกเขานอนด้วยกัน…ทั้ง ๆ ที่มีเจ้า..”หลิงเฟยพยักหน้าและหันไปซุกที่อกท่านอ๋องทันทีเพราะความอายที่จะเล่าต่อ ท่านอ๋องจะโกรธนางลงได้เช่นไรในเมื่อนางน่ารักถึงเพียงนี้ แม้ว่าจะทำผิดไปบ้างแต่ก็พอให้อภัยได้ แต่เรื่องก่อนหน้านี้เขารวมบัญชีเอาไว้แล้ว กลับจวนค่อยสะสางกับนางอีกครั้งก็ยังไม่สาย“แย่จริง เช่นนั้นองค์หญิงผู้นั้นก็…..”“หลินอี้ นาง….”“นางทำไมงั้นหรือ”“นาง…นอนอยู่กับผู้ชาย…สะ….สามคน”""สามคน""ซางเย่ถึงกับหันหน้าหนีไปอีกทางเช่นกัน นางรับไม่ได้เอาเสียเลย ก่อนหน้านี้นางเองก็ฟังเฉย ๆ แต่เมื่อหลิงเฟยเล่ามาถึงตอนนี้ นางเองก็รู้สึกอายแทนผู้เล่าเสียจริง ๆฮ่วนเซียวต้องลูบหลังภรรยาพร้อมกับแต่ละคนที่หน้าแดงไม่ต่างกับผู้เล่าอย่างลู่หลิงเฟย“เจ้า พูดผ่านไปเถอะนะเรื่องนี้ จากนั้นนางจึงพาเจ้าไปที่อารามงั้นหรือ”“อืม นางพาข้าไปที่นั่นในตอนดึก บอกว่าต้องให้พ้นยามห้ายไปก่อน (22.59 น.)”“เป็นช่วงที่ข้าไปพบรองแม่ทัพ”
“หลินอี้!!”“กินข้าวก่อนเถอะ มา ลองชิมขาหมูนี่สักหน่อย”อาหารบนโต๊ะพร่องลงไปมากเพราะลู่หลิงเฟยหลังจากป่วยพึ่งจะมีมื้อนี้ที่นางมองเห็นอาหารที่กินเข้าไปและยังได้นั่งกินกับหยางหลินอี้ทำให้นางเจริญอาหารมากกว่าเดิม“โอ๊ย อิ่มมากเลย”“ดื่มชาร้อนนี่หน่อย ช่วยย่อยอาหารได้ดี”“พระองค์ช่างใส่พระทัยจริง ๆ นี่ชาผสมดอกบ๊วย หอมกลิ่นบ๊วยด้วย หรือว่า....”“ชอบหรือไม่”“สดชื่นมากเลยเพคะ”“ข้าขโมยมาจากห้องของเจ้า”“หม่อมฉันย่อมรู้ดีเพคะ เพราะชาสูตรนี้ข้างนอกไม่มีขาย ว่าแต่พระองค์ไปขโมยมาเมื่อใดเพคะ”“วันที่ไปพักที่จวนของเจ้า พี่ใหญ่เจ้าเริ่มก่อน เมื่อข้าถามเขาก็เลยบอกว่าเจ้าทำเองและเก็บซ่อนเอาไว้ที่ห้องยา วันที่ข้าเข้าไปเอายาในห้องนั้นก็เลยหยิบติดมือมา”“หยิบติดมือมามิได้ขโมย ท่านอ๋องช่างเลี่ยงใช้คำเก่งเหลือเกิน”“ไปเถอะข้าจะทายาให้”“เพคะ”ห้องบรรทมเมื่อเข้ามาถึงห้อง พวกเขาก็ลืมเสียสนิทว่าต้องทายาเมื่อท่านอ๋องดึงนางเข้ามากอดจนร่างของทั้งคู่เอนลงบนเตียงและเริ่มดึงชุดของอีกฝ่ายออกอย่างบ้าคลั่ง“หลิงเฟย อา เจ้าบาดเจ็บอยู่ อย่าพึ่งหักโหม”“หลินอี้ อ๊า”หลิงเฟยที่นอนทับร่างหนาของท่านอ๋องเอาไว้ครางสุดเสียง
จวนท่านอ๋อง“อ๊ะ พอแล้ว หลินอี้ หม่อมฉันไม่ไหวแล้ว อ๊าา โอ๊วว…หลินอี้!!”“ก็อยู่นิ่ง ๆ สิ เจ้านี่นะ แผลเต็มตัวขนาดนี้ยังกล้าไปตีกับหลีน่าอีก ช่างอวดดีจริง ๆ”“สงสารนักก็ไปตามนางกลับมาสิ ปล่อย ข้าอาบเองได้”หลิงเฟยเดินหนีเขาแต่สระนั้นไม่ได้กว้างพอที่จะให้ทำเช่นนั้นได้ ท่านอ๋องดึงนางมานั่งที่ตัก เขาพานางมาที่จวนและดึงมาอาบน้ำเพื่อชำระล้างร่างกาย ที่จริงเขาต้องการสำรวจบาดแผลของนางที่ฟกช้ำไปทั่วเพราะถูกลักพาตัวและถูกเหลียงหลีน่าตีตอนที่นางอยู่อารามอิ้งเซียง“หากว่าข้าจะตามหลีน่าไป ก็ตามไปเอาชีวิตนางเท่านั้นที่กล้าตีเจ้าบาดเจ็บขนาดนี้”หลิงเฟยหันมาจับพระหัตถ์ที่สั่นของท่านอ๋องที่ถือผ้าเพื่อเช็ดตัวให้นาง “อย่าสานต่อความแค้นเลยเพคะ หม่อมฉันสะสางแค้นให้อาลี่และตัวเองแล้ว จากนี้เราควรจะมีความสุขแล้วนะเพคะ”“เจ้า…เหตุใดยอมให้นางตบตีเจ้าจนมีแผลเต็มตัวเช่นนี้”“หม่อมฉันมิได้ถูกนางตบตีอย่างเดียว แต่เพราะถูกย้ายที่บ่อย ๆ และคนที่แบกหม่อมฉันครั้งแรกก็เกือบตกกำแพงในจวน อีกทีก็ตกบันไดที่บ่อนระหว่างย้ายตัวหม่อมฉันมาที่อารามนั่น ส่วนแผลที่มากขนาดนี้เพราะก่อนหน้านี้ที่มองไม่เห็นหม่อมฉันเดินชนไปทั่วก็เ
“ดูท่าแล้ว เจ้าคงจะเกินเยียวยาจริง ๆ รองแม่ทัพเลี่ยง”“พ่ะย่ะค่ะ”“คุมตัวองค์หญิงกลับไปแคว้นฉู่ คุมความประพฤติและให้นางอยู่ที่ศาลบรรพชน ไม่มีคำสั่งข้าห้ามนางออกมา”“พี่ใหญ่ ท่านไม่มีสิทธิ์ลงโทษข้า เสด็จพ่อ…”“เสด็จพ่อ!! พอทราบเรื่องที่เจ้าทำความเดือดร้อนที่นี่ จึงมอบหมายให้ข้าเป็นผู้ลงโทษเจ้าตามสมควร เอาตัวไป”“ไม่นะพี่ใหญ่ ข้าไม่ยอม”หลีน่าดิ้นจนหลุดก่อนที่จะคว้าดาบของรองแม่ทัพและวิ่งเข้าใส่องค์รัชทายาท หลิงเฟยเห็นจึงรีบดึงองค์รัชทายาทหลบออกมาในทันที“หลบไปเพคะองค์ชาย”“หลิงเฟย!!”หลิงเฟยใช้ผ้าแพรตบเสยที่ใบหน้าของหลีน่าจนนางหงายหลังล้มลงไป ท่านอ๋องเอื้อมตัวไปรับตัวองค์ชายคุณหมิงเอาไว้ได้“ขอบคุณท่านอ๋อง”“ท่านไม่เป็นไรนะ นาง…แรงเยอะเกินสตรีไปนิด ไว้ข้าจะสั่งสอนนาง….”“ไม่เป็นไร เราปลอดภัยแต่ว่านั่นนาง…จะทำสิ่งใด”“เรื่องของสตรี ก็ต้องปล่อยให้สตรีเช่นข้าสะสางสิ ใช่หรือไม่หลีน่า”“นังสารเลว เจ้าจะทำอะไร”“ข้าหรือ หลินอี้!! ท่านมานี่สิ!!”หลิงเฟยตะโกนเรียกท่านอ๋อง ที่หันมามองหน้าลู่หยวนลี่ เฉินเป่าหลิงและองค์ชายต่างแคว้นที่แอบขำเขาเล็กน้อย แต่ก็ยอมเดินเข้าไปหาลู่หลิงเฟยที่ยืนอยู่ตรงหน้า