ท่านอ๋องรับลูกบอลแพรปักสีแดงประดับพู่มาไว้ในมือพร้อมกับมองมันด้วยความแปลกพระทัย เขาไม่เข้าใจความหมายนี้เลยสักนิดและไม่เข้าใจว่ามันมาจากที่ใดและสตรีคนใดกันแน่ที่เป็นผู้โยนมาให้เขา
แม้แต่จางชิงชิงเองก็นึกแปลกใจที่เขารับมันเอาไว้ในมือ ทั้งโรงน้ำชาต่างหันมามองท่านอ๋องพร้อมกับเสียงฮือฮาที่ดังขึ้น
“นี่มันคือสิ่งใดจื่อรุ่ย”
“ทะ..ท่านอ๋องนั่น..ลูกบอลแพรปัก มันมีไว้สำหรับเลือกคู่ หากว่าสตรีโยนให้บุรุษผู้ใดก็หมายความว่าหมายใจให้บุรุษผู้นั้น..สะ สู่ขอนางมาเป็นคู่ครองพ่ะย่ะค่ะ”
ท่านอ๋องรู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างไร้สาระยิ่งนัก เขาไม่จำเป็นต้องมีชายาในตอนนี้ หน้าที่เขามีเพียงรักษาแคว้นและแผ่นดินเท่านั้น เรื่องอื่นนอกจากนั้นล้วนไร้สาระและมิควรค่าให้เอ่ยถึง เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของลูกแพรนั้น นางกำลังร้องด้วยความดีใจให้กับสตรีข้าง ๆ
“ลูกบอลนี้เป็นของผู้ใด”
เสียงทรงพลังนั้นตะโกนกลับไปถามเหล่าสตรีที่ยืนยินดีอยู่ด้านบน ลู่หลิงเฟยถูกดันออกมาตรงหน้า ท่านอ๋องก็ยังมองเห็นนางไม่ชัดอยู่ดีเพราะอยู่ชั้นสองแต่ก็เห็นแล้วว่านางยกมือขึ้นมา
“ของหม่อมฉันเองเพคะ”
“เช่นนั้น ก็เอาคืนไป”
ด้วยความแปลกใจของคนทั้งเมืองหลวง ท่านอ๋อง หยางหลินอี้โยนลูกบอลแพรปักนั้นกลับคืนไปให้นางทันที สตรีด้านบนต่างหันไปมองและลู่หลิงเฟยที่ไม่ทันระวังและมิได้มองว่าท่านอ๋องผู้นั้นโยนลูกบอลแพรปักนั้นกลับคืนมาให้นางจนลูกบอลนั้นโดนเข้าใบหน้าของนางพร้อมกับชิงชิงที่ทำท่าตกใจและจงใจผลักนางออกไป
“แม่นางระวัง!!”
หลายคนเอ่ยทักพร้อมกับพยายามคว้าตัวของลู่หลิงเฟยเอาไว้ แต่นางก็พลิกตัวหล่นจากระเบียงชั้นสองลงมาเพราะลูกบอลแพรปักโยนเข้าที่ตานางทำให้ควบคุมร่างกายไม่ได้ ตัวนางลอยกลางอากาศเพราะมองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากกลีบดอกไม้ที่โปรยไปทั่ว
“ท่านอ๋อง แม่นางผู้นั้น!!”
ด้วยสัญชาตญาณอีกตามเคย ท่านอ๋องกระโดดจากหลังม้าและพุ่งตัวลอยไปรับนางที่จะตกลงมาไว้ได้อย่างปลอดภัยและค่อย ๆ หมุนตัวลงมายืนบนพื้นอย่างมั่นคง มือนางยังกำลูกบอลแพรนั้นเอาไว้แน่นเมื่อเขาอุ้มนางเอาไว้ได้ในอ้อมกอด ไม่นึกว่านางจะตัวเล็กเช่นนี้ กลิ่นกายนางต้องจมูกเขาเล็กน้อยเมื่ออุ้มนางเอาไว้เช่นนี้ เขาปล่อยนางลงในทันทีเมื่อถึงพื้น
“แม่นาง เจ้าปลอดภัยแล้ว”
“ตาข้า…ตาของข้า!!”
“เอ่อ เจ้าพูดว่าอะไรนะ”
“ข้าปวดตาไปหมดแล้ว อาลี่ อาลี่เจ้าอยู่ไหน”
“คุณหนูเจ้าคะ ข้าอยู่นี่เจ้าค่ะ”
ท่านอ๋องหันไปบอกจื่อรุ่ยให้พาม้าเข้ามาให้เขาและสั่งให้เคลื่อนขบวนต่อ เขาต้องหยุดชะงักไปเพราะนางที่ดูเหมือนจะบาดเจ็บเพราะเขา เมื่อนางค่อย ๆ เปิดตาขึ้นมาเขาพบว่าแก้มนางถูกลูกบอลบาดจนมีแผลเล็กน้อยแต่ก็ทำให้เลือดออกและรอบดวงตาที่แดงเพราะถูกบอลแพรปักนั้นกระแทก
“มะ…แม่นาง…เจ้า…ตาแดงช้ำไปหมดแล้ว”
“อย่ามองนะ!! อาลี่ อาลี่!! เจ้าอยู่ที่ใด”
“คุณหนูเจ้าคะ ข้าอยู่นี่แล้วเจ้าค่ะ”
หลิงเฟยควานมือหาอาลี่ไปทั่วโดยไม่ได้สนใจท่านอ๋องผู้นั้นอีก นางไม่เคยเสียหน้าต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับตามที่บวมช้ำต่อหน้าผู้คนเช่นนี้
“เจ้า…เป็นบุตรสาวจวนใด ข้าจะให้คนไปส่ง”
“ไม่ต้อง!! ถือว่าข้าไม่ได้พบท่าน อาลี่! รีบพาข้ากลับบ้านทีเร็วเข้า!!”
เสียงหัวเราะดังขึ้นตามหลังนางไปไม่หยุด หลิงเฟยแม้จะชินชากับเสียงหัวเราะเยาะนี้แต่นางก็ไม่อยากให้ผู้ที่นางพึ่งโยนลูกบอลแพรปักนี้ให้ต้องมาหัวเราะนางในเวลานี้ ชื่อเสียงของนางมิได้ดีนักในเมืองหลวง แม้ว่าจะเป็นหญิงงามและเป็นบุตรของท่านหมอหลวงชื่อดังแต่นิสัยชอบเที่ยวเล่นและชื่นชมบุรุษรูปงามมีผู้ใดในต้าซ่งแห่งนี้ไม่ทราบบ้าง
“นั่นนางใช่หรือไม่”
“ใช่เจ้าค่ะ”
“หึ กล้าดีเช่นไรโยนบอลให้ท่านอ๋อง”
“แล้ว…ลูกบอลแพรปักของท่าน”
“เก็บไปเสีย!! นางโยนไปครั้งหนึ่งแล้ว ข้าไม่โง่พอที่จะโยนไปให้ท่านอ๋องโยนคืนมาอีกครั้งหรอก เขายังพบข้าในตอนนี้ไม่ได้ ตอนนี้ไม่เหมาะ เอาไว้โอกาสหน้างานเลี้ยงในวังค่อยให้เขาพบข้าอีกครั้ง”
“เจ้าค่ะคุณหนู”
“ลู่หลิงเฟย กี่ครั้งเจ้าก็ยังเป็นสตรีที่โง่เขลาอยู่เช่นเดิม เรื่องบุรุษเจ้าหรือจะสู้ข้าได้”
“คุณหนูลู่ผู้นั้นถูกหัวเราะเยาะจนในตอนนี้เสียงหัวเราะยังดังไม่หยุดเลยเจ้าค่ะ”
“ช่างโง่นัก ไม่มีผู้ใดในต้าซ่งนี้จะเหมาะสมกับท่านอ๋อง หยางผู้นั้นเท่ากับข้า “หลี่ฟางอิ่ง” คนนี้อีกแล้ว”
“คุณหนู เช่นนั้นวันนี้”
“กลับจวน”
“เจ้าค่ะ”
"หลี่ฟางอิ่ง" บุตรีของเสนาบดีฝ่ายขวาสั่งสาวใช้ให้เก็บบอลแพรปักและกลับจวนทันที เดิมทีนางเองก็ตั้งใจจะโยนลูกบอลนี้ไปให้ท่านอ๋องเช่นกัน นางเป็นถึง “สตรีอันดับหนึ่งของต้าซ่ง” ที่เป็นที่หมายปองของบุรุษทั่วแคว้น มีหรือท่านอ๋องจะไม่มองนางหากว่าเป็นนางที่โยนลูกแพรปักนั้นไปให้เขา แต่….
“นึกไม่ถึงว่าลู่หลิงเฟยจะกล้าโยนลูกแพรนั่นตัดหน้าข้า”
“ช่างไม่เจียมตัวเอาเสียเลยนะเจ้าคะ เป็นเพียงบุตรคนเล็กของหมอหลวงในสำนักหมอหลวงเท่านั้นเอง”
“เจ้ากล่าวผิดแล้ว นางเป็นถึงน้องสาวของท่านรองแม่ทัพลู่ผู้โด่งดังแห่งกองทัพพยัคฆ์เหนือ และยังเป็นน้องสาวพระชายาขององค์รัชทายาทเชียวนะ บรรดาศักดิ์นี้น่าเสียดายที่นางทำตัวเองเสื่อมเสียจนน่าอับอาย หลังจากนี้ข่าวที่นางถูกท่านอ๋องปฏิเสธนี้จะต้อง…..”
“แพร่กระจายอย่างรวดเร็วแน่นอนเจ้าค่ะ”
“ดี ข้าจะรอฟังข่าว อีกสองวันจะมีงานเลี้ยงในวังหลวง ข้าจะรอดูว่านางจะยังกล้าเข้าวังไปงานเลี้ยงครั้งนี้หรือไม่”
จวนสกุลลู่
“โอ๊ย เบา ๆ สิอาลี่ บวมไปหมดแล้วกระมัง”
“คุณหนูเจ้าคะ ข้ายังไม่ทัน…ได้แตะตัวท่านเลยเจ้าค่ะ”
“เจ็บชะมัดเลย โอ๊ย!! เจ็บเพียงนี้เชียวหรือ หน้าข้าเสียโฉมแล้วกระมัง น่าอับอายที่สุดเหตุใดเจ้าอ๋องบ้านั่น โอ๊ย!! เจ็บใจ เสียทีที่หน้าตาดี หยาบคายชะมัด”
“คุณหนูเจ้าคะ หากใบหน้าท่านยังเป็นเช่นนี้ งานเลี้ยงในอีกสองวันข้างหน้า ดูแล้วท่านน่าจะ….”
“เจ้าคิดว่าข้าจะยอมพลาดโอกาสนี้งั้นหรือ ท่านอ๋องผู้นั้น รูปงามโดดเด่น ข้าชอบยิ่งนัก ยิ่งเข้าหายาก ๆเช่นนี้ยิ่งท้าทาย ข้าชอบเอาชนะอยู่แล้วเจ้าก็รู้ ที่สำคัญ จะยอมแพ้หลี่ฟางอิ่งนั่นได้อย่างไร”
“แต่ว่าท่านอ๋องโยนลูกแพรปักกลับคืนมานะเจ้าคะ”
“เขาอาจจะแค่ตกใจเท่านั้นไม่เป็นไร ข้าจะบอกกับทุกคนว่าเขารับไปแล้ว ทั้งตัวข้าและลูกบอลแพรตกใส่เขา เขารับข้าไปแล้วเช่นนี้ก็หนียากแล้วละ”
“คุณหนู ท่าน…จะรับไหวหรือเจ้าคะหากว่าครั้งนี้ถูกเขาปฏิเสธอีก เหล่าคุณหนูในเมืองทั้งหลายพวกนั้นรวมถึงคุณหนูหลี่นั่นจะไม่หัวเราะท่านหรือเจ้าคะ”
“หลี่ฟางอิ่งผู้นั้นไม่กล้าแม้แต่จะโยนลูกแพรนั่นให้เขาด้วยซ้ำ ข้าต้องสนใจนางงั้นหรือ เจ้าก็รู้ว่าคุณหนูของเจ้ามิได้สนใจขี้ปากพวกขี้นินทาลับหลังอย่างพวกนางหรอก”
“คุณหนูเจ้าคะ แต่คราวนี้…ต่อหน้าผู้คนทั้งเมืองหลวงเลยนะเจ้าคะ”
“แล้วอย่างไรเล่า เขาแค่โยนกลับมาและข้าก็ตกลงมาในอ้อมกอดเขา นี่มิใช่ฉากพรหมลิขิตในนิยายรักที่เจ้าชอบอ่านหรืออย่างไร พระเอกน่ะต้องเป็นเช่นนี้แหละ เจอลูกตื๊อนางเอกเช่นข้าเข้าไป ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันปักใจรักพระองค์ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ …..”
อาลี่ถึงกับรู้สึกแปลก ๆเมื่อคุณหนูของนางพูดพร้อมกับเล่นหูเล่นตากับนางแม้ว่าจะเป็นเรื่องล้อเล่น แต่ความรู้สึกนี้มันก็ช่าง…
“คุณหนู ข้ารู้สึกขนลุกแปลก ๆเจ้าค่ะ”
“อาลี่ เจ้าไม่เข้าใจหัวอกคนมีความรักเลย เฮ้อ…ท่านอ๋อง หยางหลินอี้ แม่ทัพหนุ่มผู้เป็นหนึ่งในใต้หล้า”“อ๋องแม่ทัพผู้เป็นหนึ่งแดนประจิมเจ้าค่ะ หาใช่ใต้หล้าไม่”“นั่นแหละ ๆ ช่างเถอะ ไปอ่านตำราต่อดีกว่า”“แต่นี่ดึกแล้วนะเจ้าคะแล้วตาท่านก็…”“ข้าเคยเจอวิธีการรักษาบาดแผลเช่นนี้ในตำราแพทย์ของท่านพ่อ ต้องไปรื้อฟื้นความจำเสียหน่อยไปก่อนนะ”“คุณหนูเจ้าคะ เฮ้อ….เมื่อใดคุณหนูของข้าจะเรียบร้อยดังคนคุณหนูสกุลอื่นบ้างนะ”วันถัดมา“เจ้านะเจ้า ข่าวลือของเจ้าที่ถูกท่านอ๋องรับเอาไว้เพราะโยนลูกแพรคืนโด่งดังทั่วเมืองหลวงแล้ว”“จริงหรือเจ้าคะท่านพ่อ พูดกันทั่วเมืองหลวงเลยงั้นหรือเจ้าคะ แย่จริงทำเช่นไรดีเล่าเจ้าคะ”“จะให้ทำเช่นไร เหตุใดเจ้าจึงเล่นสนุกไม่ดูเวลาเช่นนี้ ท่านอ๋องผู้นั้นใช่คนที่เจ้าจะล้อเล่นได้งั้นหรือ เขาเป็นพระนัดดา(หลานชาย) ของฝ่าบาท เจ้านะเจ้า…”“เช่นนั้นคนก็ร่ำลือไปทั่วเมืองหลวง ท่านพ่อ เช่นนี้ข้าก็ทำตัวไม่ถูกนะสิเจ้าคะ”“เฮ้อ….ชื่อเสียงของเจ้าแม้ว่าเจ้าจะไม่สนใจแต่ช่วยไว้หน้าพ่อหน่อยได้หรือไม่ พี่เจ้าเป็นถึงพระชายาขององค์รัชทายาทเชียวนะ”“เฮ้อ พวกท่านก็เอาแต่ชื่อเสียงของพี่ใหญ่กับพี่รองมากด
“เจ้านั่นเอง เอ่อ ไม่ทราบจริง ๆ ว่า…”“ท่านอ๋อง นางคือบุตรคนที่สี่ของท่านพ่อข้า ใต้เท้าลู่หยวนซิ่งหมอหลวงประจำพระองค์ของฝ่าบาท”“ที่แท้ก็บุตรของใต้เท้าลู่หมอหลวงผู้มีชื่อของเมืองหลวง”“ท่านอ๋องกล่าวชมเกินไปแล้วเพคะ ท่านพ่อเก่งจริงแต่หม่อมฉันเก่งเรื่องเที่ยวเล่นมากที่สุด โรงน้ำชา สุราหรือโรงละครรอบเมืองหลวง ไม่มีที่ใดที่หม่อมฉันไม่รู้ ท่านอ๋องอยากไปที่ใดบอกหม่อมฉันได้เลย หม่อมฉัน…”“อะฮึ่ม หลิงเฟย…เจ้าช่วยพูดให้มันน้อยหน่อย”“อ่อ ข้า…มักจะเป็นเช่นนี้ เวลาเห็นคนที่รูปงามหล่อเหลาจะ…โอ๊ย เพคะเช่นนั้นหม่อมฉันขอตัวเข้าไปข้างในก่อน พี่หญิงนี่สินค้าใหม่อย่าลืมนะ ข้อตกลงเหมือนเดิม”“อืม ข้ารู้แล้ว อีกเดี๋ยวจะไปคุยกับเจ้า”หลิงเฟยเดินถอยถวายความเคารพให้ท่านอ๋องพร้อมกับยิ้มด้วยความชื่นชมเขาที่ยืนมองนางด้วยสีหน้าและแววตาแปลกใจแต่ก็มิได้ใส่ใจมากนัก เขาสนใจสิ่งที่นางพึ่งจะมอบให้พระชายามากกว่า“มิทราบว่าท่านอ๋องมีเรื่องใดอยากจะบอกกล่าวกับข้างั้นหรือเพคะ”“กระหม่อมมีเรื่องอยากมาเตือนพระองค์”หลังจากนั้นหลิงเฟยได้เพียงแค่ลอบมองท่านอ๋องจากที่ไกล ๆ เท่านั้นราวกับว่าเขาเองก็พยายามจะเลี่ยงนางเช่นกัน เพราะ
หลังจากงานเลี้ยงเสร็จสิ้น ลู่หลิงเฟยก็มีโอกาสได้พบกับท่านอ๋องอีกหลายครั้ง หลายวันมานี้นางพยายามทำทุกอย่างให้เป็นเรื่องบังเอิญว่าพบเขา ทั้งที่ก่อนเข้าวังเพื่อส่งของให้พระชายาองค์รัชทายาท และโรงน้ำชาในเมืองหลวง“ท่านอ๋อง บังเอิญอีกแล้วเพคะ พระองค์ก็มาโรงน้ำชาเช่นเดียวกันหรือเพคะ”“ดูเหมือนจะมิใช่เรื่องบังเอิญดังที่เจ้าพูดนะคุณหนูลู่ มาพูดกันตรง ๆ เถิด หลายวันมานี้เจ้าติดตามข้าและข้าเองก็มักจะพบเจ้าอยู่เสมอ เจ้าต้องการสิ่งใด”“เป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ นะเพคะ โรงน้ำชานี้เป็นร้านประจำที่ข้าชอบมาดื่มกับสหาย จริงหรือไม่ชิงชิง”“เอ่อ…หลิงเฟยแต่เจ้าบอกว่าเจ้าเดินตาม…อ้อ จริงเพคะ”ชิงชิงจงใจพูดออกมาให้ท่านอ๋องทรงทราบว่าลู่หลิงเฟยเดินตามเขามา แต่ดูเหมือนว่าพระองค์จะไม่ได้ยินเพราะมัวแต่ทำสีหน้ากึ่งรำคาญกึ่งหงุดหงิดอยู่ตรงหน้าพวกนาง ชิงชิงถือโอกาสนี้เพื่อหลีกหนี“ท่านอ๋อง หม่อมฉันมีธุระเช่นนั้นขอตัวก่อนเพคะ หลิงเฟยข้าพึ่งนึกได้วันนี้เดินตาม เอ๊ย เดินเล่นเป็นเพื่อนเจ้าไม่ได้แล้ว ไปก่อนนะ”“อ้าวชิงชิง เหตุใดทิ้งข้าเช่นนี้เล่า หากเป็นเช่นนั้นท่านอ๋องพระองค์พึ่งกลับมาที่นี่ ให้หม่อมฉันนำเที่ยวดีหรือไม่
ลู่หลิงเฟยหยุดชะงักไปนิดหน่อยพร้อมกับหันมามองผู้พูด นี่คงไม่คิดจะมาแย่งบุรุษกับนางอีกกระมัง“เจ้าหมายความว่าอย่างไร ท่านอ๋องทำไม”“ข้าก็แค่อยากรู้ว่าระหว่างเจ้ากับท่านอ๋องในตอนนี้ สถานการณ์ดูจะไม่ค่อยเป็นใจเท่าไหร่ ข่าวว่าเจ้าเอาแต่ติดตามเขาไปทั่วจนท่านอ๋องหลีกหนีแทบไม่ไหวนั่นทำให้ข้าฟังแล้ว..รู้สึกอับอายแทนยิ่งนัก”“หลี่ฟางอิ่ง ตัวข้ายังไม่อายเจ้าจะอายแทนข้าด้วยเหตุใดหรือว่าเจ้าเองก็นึกอยากทำเช่นนี้แต่มิกล้าถึงได้เอาแต่พูดต่อว่าข้าลับหลัง น่าสมเพชยิ่งนัก เมื่อใดก็เป็นเช่นนี้อยู่ร่ำไป รอให้ข้าเหนื่อยเองและยอมคายแล้วเจ้าค่อยเก็บเอาไปกินทีหลัง”“ลู่หลิงเฟยนี่เจ้า!!”“โอ้ ทนไม่ไหวแล้วงั้นหรือคุณหนูหลี่ เจ้าอย่าลืมนะว่าเจ้าเป็นถึงสตรีงดงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ส่วนข้าคือสตรีที่หยาบคายที่สุดในต้าซ่ง ข้าไม่กลัวเรื่องเสียชื่อเสียงแต่เจ้า….กลัวหรือไม่เล่า เจ้ากล้าแลกหรือไม่”“เจ้า…หยาบคายเช่นนี้ถึงได้ถูกถอนหมั้น”“หลี่ฟางอิ่งเจ้าเข้าใจเสียใหม่ ผู้ที่ถอนหมั้นคือข้าไม่ใช่สกุลหลาน เป็นถึงสตรีที่ฉลาดดูมีความรู้ก็อย่าได้รับแต่ข่าวสารผิด ๆ จนทำให้เจ้า…ดูโง่เลย…นะ ขอตัวก่อน”“ข้าไม่มีทางยอมแพ้เจ้า
“เกรงว่าคนพวกนี้คงไม่รอท่านสอบสวนหรอก พวกมันมียาพิษไว้ใต้ลิ้น ทางที่ดีให้ข้าช่วยสักหน่อย”นางสะบัดผ้าเพียงหนึ่งครั้ง ยาพิษใต้ลิ้นนั้นก็หลุดออกมาพร้อมกับนางที่ก้มลงไปสกัดจุดที่ร่างเอาไว้พร้อมกับเตะไปให้ท่านอ๋องตรงหน้าพวกเขา คนร้ายนอนนิ่งอยู่ตรงหน้าเขากับจื่อรุ่ย“เอาไปสิ”“แม่นางลู่ นี่เจ้า….”นางค่อย ๆ เรียกผ้าแพรราวกับสั่งได้เก็บเข้ามาและหันไปยังที่ที่มีอาลี่นอนอยู่ นางวิ่งไปพร้อมกับยกร่างที่ไร้ลมหายใจของสาวใช้คู่กายมา น้ำตาไหลรินราวไร้การอดกลั้นใด ๆ “อาลี่ ข้าแก้แค้นให้เจ้าแล้ว พวกมันตายแล้วพวกเรากลับบ้านกันนะ”“ลู่หลิงเฟย ให้ข้าไปส่ง…”“ไม่รบกวนท่านอ๋อง ข้าจะพานางกลับเองถือว่าเรามิได้พบกันที่นี่ อย่าเอ่ยเรื่องที่พบข้าในคืนนี้กับผู้ใดก็พอ”“เพราะเหตุใด อึก …แคก แคก”“ท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ”ลู่หลิงเฟยหันไปวางร่างของอาลี่ลงและเดินเข้าไปหาท่านอ๋อง จื่อรุ่ยมองนางอย่างไม่แน่ใจว่านางจะทำสิ่งใดอีก เพียงชั่วพริบตา เขานึกไม่ถึงว่านางจะเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้ ราวกับเขาพึ่งจะรู้จักลู่หลิงเฟยตัวจริงในวันนี้เอง“คุณหนูลู่ นั่นท่านจะทำสิ่งใด”นางหันไปมองจื่อรุ่ยนิดหน่อยแต่ท่านอ๋องในตอนนี
ใต้เท้าลู่หันไปมองพระพักตร์ท่านอ๋องอย่างนึกประหลาดใจ ท่านอ๋องคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้ประหลาด เขาจึงหยิบยาที่หลิงเฟยให้เขาออกมาหนึ่งเม็ดและส่งให้ท่านหมอลู่“นี่มัน…ใช่จริง ๆ ยาต้าหรงจริง ๆ แต่ผู้ใดกันที่ทำยานี้ออกมาได้ หรือว่า….”ท่านหมอลู่และลู่หยวนลี่หันมามองหน้ากัน พวกเขารู้ดีว่าหลิงเฟยศึกษาวิชาแพทย์อย่างแตกฉานแต่นางไม่เคยแสดงออกเรื่องนี้มาก่อน “ท่านอ๋อง พระองค์รีบกินเถิดพ่ะย่ะค่ะ พิษในพระวรกายจะได้ถูกขับออกมา”ท่านหมอลู่ส่งยาคืนให้ท่านอ๋อง เขาจึงรับและกลืนลงไปในทันที แม้ว่าจะยังไม่ได้คำตอบแต่ในตอนนี้ที่เขาเห็นว่าลู่หลิงเฟยกลับมาถึงจวนอย่างปลอดภัยนั่นก็นับว่าโล่งใจไปได้แล้ว“อาการของนาง…”“กระหม่อมรักษาได้พ่ะย่ะค่ะ นางเพียงแค่ตกใจและ…ทำใจไม่ได้ชั่วครู่เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ ขอบพระทัยที่ทรงถามไถ่”“นางช่วยชีวิตข้าไว้ มิอาจเพิกเฉยได้ ครั้งนี้หากไม่ได้นาง….(ห้ามบอกผู้ใดว่าพบข้าที่นี่)…ที่ให้ยาถอนพิษ ข้าคง…”เขารักษาคำมั่นที่นางบอกเอาไว้ว่าจะไม่เอ่ยเรื่องที่นางช่วยเขากำจัดคนร้ายด้วยวิชายุทธ์ที่แกร่งกล้านั้น เขาเองก็นึกอยากเก็บเรื่องนี้เป็นความลับเช่นกัน“เร็วเข้า ไปต้มยาตามที่ข้าบอกให้
ลู่หลิงฟางเดินออกมาเพราะนางได้ยินเสียงเอะอะพร้อมกับคนที่เริ่มซุบซิบกันอยู่ด้านนอกโดยที่พวกนางไม่ทันได้สังเกต ลู่หลิงฟางหันไปสอบถามฟางชิงชิงที่ดูเป็นห่วงน้องสาวนางแต่กลับถามเรื่องเช่นนี้ต่อหน้าผู้คนมากมายจนนางนึกแปลกใจว่าแม่นางจางผู้นี้หวังดีกับน้องสาวนางจริงหรือไม่“พระชายา หม่อมฉันเพียงแค่ เป็นห่วง…เรื่องข่าวลือในคืนนั้นทั้งเมืองหลวงต่างร่ำลือไปมากมายแต่ไม่มีผู้ใดออกมาแก้ต่างเลย”“งั้นหรือ พวกเขาร่ำลือ พวกเขาของเจ้าน่ะ คือผู้ใด”“คือว่า..เรื่องนี้ คนทั้งเมืองหลวงต่างเล่าลือกันไป หม่อมฉันชี้ตัวไม่ชัด ไปหานางก็ไม่มีคำตอบ หม่อมฉันก็จนปัญญาจะแก้ต่างให้เพคะ”“ข้าถามว่าพวกเขาร่ำลือว่าอย่างไร”“ว่า หลิงเฟยถูกคนร้ายย่ำยีจนสาวใช้นางตายเพคะ ข้าเองก็ฟังเขามาอีกที แต่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลยว่าในคืนนั้นมีผู้ใดเป็นพยานให้นางว่านางมิได้ถูกทำร้าย”“เช่นนั้นข้าคงเป็นพยานให้นางได้ เพราะข้าเป็นผู้ที่อยู่กับนางในคืนนั้นเอง”พวกนางหันไปมองบุรุษรูปงามในชุดลำลองสีขาวปักด้วยดิ้นสีเงินทั้งตัวที่เดินเข้ามาในร้านพร้อมกับองครักษ์ข้างกาย เขาปราดตาไปมองจางชิงชิงทันที เขาเห็นตั้งแต่นางลากลู่หลิงเฟยออกมาและสอบถามเสี
หลิงเฟยปล่อยน้ำตาที่เฝ้าอดกลั้นมาแสนนานออกมาในครานี้เอง เพียงคำพูดเดียวของท่านอ๋องทำให้นางราวกับถูกปลดล็อกบางอย่างออกไป นางร้องไห้ออกมาเสียงดัง เขาพยายามเช็ดน้ำตาให้นางอยู่หลายครั้ง จนนางนิ่งสงบลงในที่สุด“อยากพูด อยากระบายสิ่งใดออกมาอีกหรือไม่”“….”“พูดออกมาเถอะ ไม่ว่าสิ่งใดข้าก็จะฟัง วันนี้ข้ามีเวลาทั้งวันเพื่อปลอบเจ้า”“พระองค์ไม่ต้องสงสารหม่อมฉันก็ได้เพคะ นี่มันไม่จำเป็นเลย”“เหตุใดเจ้าจึงมองว่าเป็นความสงสาร เจ้ามองว่าข้าเป็นเช่นนั้นงั้นหรือ หากเพียงสงสารเจ้าคงไม่ตามเจ้ามาถึงที่นี่กระมัง”“พระองค์ ทรงหมายความว่าอย่างไรเพคะ”“ข้า…อยากขอบคุณเจ้า อยากทำเช่นนี้มานานแล้วแต่เจ้าก็ไม่เคยออกมาจากจวนเลยสักครั้ง ไปที่จวนเจ้าก็ไม่ออกมาพบผู้ใดจนข้าแทบจะหาทางออกไม่ได้ โชคดีที่วันนี้พระชายาเสด็จมาที่เมืองหลวงมิเช่นนั้นข้าคงไม่มีโอกาสเอ่ยคำนี้ออกมาเสียที”“พระองค์เพียงแค่อยากขอบคุณหม่อมฉันสินะเพคะ ไม่เป็นไรเพคะหม่อมฉันมิได้ทำสิ่งใด...”นางดันเขาออกเพื่อจะกลับมานั่งที่เดิมแต่เขากลับไม่ยอมปล่อยและยังดึงนางเข้าไปกอดแน่นกว่าเดิมอีกด้วยจนนางเริ่มใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ และดูเหมือนว่าหัวใจของท่านอ๋องเ
หลิงเฟยปล่อยน้ำตาที่เฝ้าอดกลั้นมาแสนนานออกมาในครานี้เอง เพียงคำพูดเดียวของท่านอ๋องทำให้นางราวกับถูกปลดล็อกบางอย่างออกไป นางร้องไห้ออกมาเสียงดัง เขาพยายามเช็ดน้ำตาให้นางอยู่หลายครั้ง จนนางนิ่งสงบลงในที่สุด“อยากพูด อยากระบายสิ่งใดออกมาอีกหรือไม่”“….”“พูดออกมาเถอะ ไม่ว่าสิ่งใดข้าก็จะฟัง วันนี้ข้ามีเวลาทั้งวันเพื่อปลอบเจ้า”“พระองค์ไม่ต้องสงสารหม่อมฉันก็ได้เพคะ นี่มันไม่จำเป็นเลย”“เหตุใดเจ้าจึงมองว่าเป็นความสงสาร เจ้ามองว่าข้าเป็นเช่นนั้นงั้นหรือ หากเพียงสงสารเจ้าคงไม่ตามเจ้ามาถึงที่นี่กระมัง”“พระองค์ ทรงหมายความว่าอย่างไรเพคะ”“ข้า…อยากขอบคุณเจ้า อยากทำเช่นนี้มานานแล้วแต่เจ้าก็ไม่เคยออกมาจากจวนเลยสักครั้ง ไปที่จวนเจ้าก็ไม่ออกมาพบผู้ใดจนข้าแทบจะหาทางออกไม่ได้ โชคดีที่วันนี้พระชายาเสด็จมาที่เมืองหลวงมิเช่นนั้นข้าคงไม่มีโอกาสเอ่ยคำนี้ออกมาเสียที”“พระองค์เพียงแค่อยากขอบคุณหม่อมฉันสินะเพคะ ไม่เป็นไรเพคะหม่อมฉันมิได้ทำสิ่งใด...”นางดันเขาออกเพื่อจะกลับมานั่งที่เดิมแต่เขากลับไม่ยอมปล่อยและยังดึงนางเข้าไปกอดแน่นกว่าเดิมอีกด้วยจนนางเริ่มใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ และดูเหมือนว่าหัวใจของท่านอ๋องเ
ลู่หลิงฟางเดินออกมาเพราะนางได้ยินเสียงเอะอะพร้อมกับคนที่เริ่มซุบซิบกันอยู่ด้านนอกโดยที่พวกนางไม่ทันได้สังเกต ลู่หลิงฟางหันไปสอบถามฟางชิงชิงที่ดูเป็นห่วงน้องสาวนางแต่กลับถามเรื่องเช่นนี้ต่อหน้าผู้คนมากมายจนนางนึกแปลกใจว่าแม่นางจางผู้นี้หวังดีกับน้องสาวนางจริงหรือไม่“พระชายา หม่อมฉันเพียงแค่ เป็นห่วง…เรื่องข่าวลือในคืนนั้นทั้งเมืองหลวงต่างร่ำลือไปมากมายแต่ไม่มีผู้ใดออกมาแก้ต่างเลย”“งั้นหรือ พวกเขาร่ำลือ พวกเขาของเจ้าน่ะ คือผู้ใด”“คือว่า..เรื่องนี้ คนทั้งเมืองหลวงต่างเล่าลือกันไป หม่อมฉันชี้ตัวไม่ชัด ไปหานางก็ไม่มีคำตอบ หม่อมฉันก็จนปัญญาจะแก้ต่างให้เพคะ”“ข้าถามว่าพวกเขาร่ำลือว่าอย่างไร”“ว่า หลิงเฟยถูกคนร้ายย่ำยีจนสาวใช้นางตายเพคะ ข้าเองก็ฟังเขามาอีกที แต่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลยว่าในคืนนั้นมีผู้ใดเป็นพยานให้นางว่านางมิได้ถูกทำร้าย”“เช่นนั้นข้าคงเป็นพยานให้นางได้ เพราะข้าเป็นผู้ที่อยู่กับนางในคืนนั้นเอง”พวกนางหันไปมองบุรุษรูปงามในชุดลำลองสีขาวปักด้วยดิ้นสีเงินทั้งตัวที่เดินเข้ามาในร้านพร้อมกับองครักษ์ข้างกาย เขาปราดตาไปมองจางชิงชิงทันที เขาเห็นตั้งแต่นางลากลู่หลิงเฟยออกมาและสอบถามเสี
ใต้เท้าลู่หันไปมองพระพักตร์ท่านอ๋องอย่างนึกประหลาดใจ ท่านอ๋องคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้ประหลาด เขาจึงหยิบยาที่หลิงเฟยให้เขาออกมาหนึ่งเม็ดและส่งให้ท่านหมอลู่“นี่มัน…ใช่จริง ๆ ยาต้าหรงจริง ๆ แต่ผู้ใดกันที่ทำยานี้ออกมาได้ หรือว่า….”ท่านหมอลู่และลู่หยวนลี่หันมามองหน้ากัน พวกเขารู้ดีว่าหลิงเฟยศึกษาวิชาแพทย์อย่างแตกฉานแต่นางไม่เคยแสดงออกเรื่องนี้มาก่อน “ท่านอ๋อง พระองค์รีบกินเถิดพ่ะย่ะค่ะ พิษในพระวรกายจะได้ถูกขับออกมา”ท่านหมอลู่ส่งยาคืนให้ท่านอ๋อง เขาจึงรับและกลืนลงไปในทันที แม้ว่าจะยังไม่ได้คำตอบแต่ในตอนนี้ที่เขาเห็นว่าลู่หลิงเฟยกลับมาถึงจวนอย่างปลอดภัยนั่นก็นับว่าโล่งใจไปได้แล้ว“อาการของนาง…”“กระหม่อมรักษาได้พ่ะย่ะค่ะ นางเพียงแค่ตกใจและ…ทำใจไม่ได้ชั่วครู่เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ ขอบพระทัยที่ทรงถามไถ่”“นางช่วยชีวิตข้าไว้ มิอาจเพิกเฉยได้ ครั้งนี้หากไม่ได้นาง….(ห้ามบอกผู้ใดว่าพบข้าที่นี่)…ที่ให้ยาถอนพิษ ข้าคง…”เขารักษาคำมั่นที่นางบอกเอาไว้ว่าจะไม่เอ่ยเรื่องที่นางช่วยเขากำจัดคนร้ายด้วยวิชายุทธ์ที่แกร่งกล้านั้น เขาเองก็นึกอยากเก็บเรื่องนี้เป็นความลับเช่นกัน“เร็วเข้า ไปต้มยาตามที่ข้าบอกให้
“เกรงว่าคนพวกนี้คงไม่รอท่านสอบสวนหรอก พวกมันมียาพิษไว้ใต้ลิ้น ทางที่ดีให้ข้าช่วยสักหน่อย”นางสะบัดผ้าเพียงหนึ่งครั้ง ยาพิษใต้ลิ้นนั้นก็หลุดออกมาพร้อมกับนางที่ก้มลงไปสกัดจุดที่ร่างเอาไว้พร้อมกับเตะไปให้ท่านอ๋องตรงหน้าพวกเขา คนร้ายนอนนิ่งอยู่ตรงหน้าเขากับจื่อรุ่ย“เอาไปสิ”“แม่นางลู่ นี่เจ้า….”นางค่อย ๆ เรียกผ้าแพรราวกับสั่งได้เก็บเข้ามาและหันไปยังที่ที่มีอาลี่นอนอยู่ นางวิ่งไปพร้อมกับยกร่างที่ไร้ลมหายใจของสาวใช้คู่กายมา น้ำตาไหลรินราวไร้การอดกลั้นใด ๆ “อาลี่ ข้าแก้แค้นให้เจ้าแล้ว พวกมันตายแล้วพวกเรากลับบ้านกันนะ”“ลู่หลิงเฟย ให้ข้าไปส่ง…”“ไม่รบกวนท่านอ๋อง ข้าจะพานางกลับเองถือว่าเรามิได้พบกันที่นี่ อย่าเอ่ยเรื่องที่พบข้าในคืนนี้กับผู้ใดก็พอ”“เพราะเหตุใด อึก …แคก แคก”“ท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ”ลู่หลิงเฟยหันไปวางร่างของอาลี่ลงและเดินเข้าไปหาท่านอ๋อง จื่อรุ่ยมองนางอย่างไม่แน่ใจว่านางจะทำสิ่งใดอีก เพียงชั่วพริบตา เขานึกไม่ถึงว่านางจะเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้ ราวกับเขาพึ่งจะรู้จักลู่หลิงเฟยตัวจริงในวันนี้เอง“คุณหนูลู่ นั่นท่านจะทำสิ่งใด”นางหันไปมองจื่อรุ่ยนิดหน่อยแต่ท่านอ๋องในตอนนี
ลู่หลิงเฟยหยุดชะงักไปนิดหน่อยพร้อมกับหันมามองผู้พูด นี่คงไม่คิดจะมาแย่งบุรุษกับนางอีกกระมัง“เจ้าหมายความว่าอย่างไร ท่านอ๋องทำไม”“ข้าก็แค่อยากรู้ว่าระหว่างเจ้ากับท่านอ๋องในตอนนี้ สถานการณ์ดูจะไม่ค่อยเป็นใจเท่าไหร่ ข่าวว่าเจ้าเอาแต่ติดตามเขาไปทั่วจนท่านอ๋องหลีกหนีแทบไม่ไหวนั่นทำให้ข้าฟังแล้ว..รู้สึกอับอายแทนยิ่งนัก”“หลี่ฟางอิ่ง ตัวข้ายังไม่อายเจ้าจะอายแทนข้าด้วยเหตุใดหรือว่าเจ้าเองก็นึกอยากทำเช่นนี้แต่มิกล้าถึงได้เอาแต่พูดต่อว่าข้าลับหลัง น่าสมเพชยิ่งนัก เมื่อใดก็เป็นเช่นนี้อยู่ร่ำไป รอให้ข้าเหนื่อยเองและยอมคายแล้วเจ้าค่อยเก็บเอาไปกินทีหลัง”“ลู่หลิงเฟยนี่เจ้า!!”“โอ้ ทนไม่ไหวแล้วงั้นหรือคุณหนูหลี่ เจ้าอย่าลืมนะว่าเจ้าเป็นถึงสตรีงดงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ส่วนข้าคือสตรีที่หยาบคายที่สุดในต้าซ่ง ข้าไม่กลัวเรื่องเสียชื่อเสียงแต่เจ้า….กลัวหรือไม่เล่า เจ้ากล้าแลกหรือไม่”“เจ้า…หยาบคายเช่นนี้ถึงได้ถูกถอนหมั้น”“หลี่ฟางอิ่งเจ้าเข้าใจเสียใหม่ ผู้ที่ถอนหมั้นคือข้าไม่ใช่สกุลหลาน เป็นถึงสตรีที่ฉลาดดูมีความรู้ก็อย่าได้รับแต่ข่าวสารผิด ๆ จนทำให้เจ้า…ดูโง่เลย…นะ ขอตัวก่อน”“ข้าไม่มีทางยอมแพ้เจ้า
หลังจากงานเลี้ยงเสร็จสิ้น ลู่หลิงเฟยก็มีโอกาสได้พบกับท่านอ๋องอีกหลายครั้ง หลายวันมานี้นางพยายามทำทุกอย่างให้เป็นเรื่องบังเอิญว่าพบเขา ทั้งที่ก่อนเข้าวังเพื่อส่งของให้พระชายาองค์รัชทายาท และโรงน้ำชาในเมืองหลวง“ท่านอ๋อง บังเอิญอีกแล้วเพคะ พระองค์ก็มาโรงน้ำชาเช่นเดียวกันหรือเพคะ”“ดูเหมือนจะมิใช่เรื่องบังเอิญดังที่เจ้าพูดนะคุณหนูลู่ มาพูดกันตรง ๆ เถิด หลายวันมานี้เจ้าติดตามข้าและข้าเองก็มักจะพบเจ้าอยู่เสมอ เจ้าต้องการสิ่งใด”“เป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ นะเพคะ โรงน้ำชานี้เป็นร้านประจำที่ข้าชอบมาดื่มกับสหาย จริงหรือไม่ชิงชิง”“เอ่อ…หลิงเฟยแต่เจ้าบอกว่าเจ้าเดินตาม…อ้อ จริงเพคะ”ชิงชิงจงใจพูดออกมาให้ท่านอ๋องทรงทราบว่าลู่หลิงเฟยเดินตามเขามา แต่ดูเหมือนว่าพระองค์จะไม่ได้ยินเพราะมัวแต่ทำสีหน้ากึ่งรำคาญกึ่งหงุดหงิดอยู่ตรงหน้าพวกนาง ชิงชิงถือโอกาสนี้เพื่อหลีกหนี“ท่านอ๋อง หม่อมฉันมีธุระเช่นนั้นขอตัวก่อนเพคะ หลิงเฟยข้าพึ่งนึกได้วันนี้เดินตาม เอ๊ย เดินเล่นเป็นเพื่อนเจ้าไม่ได้แล้ว ไปก่อนนะ”“อ้าวชิงชิง เหตุใดทิ้งข้าเช่นนี้เล่า หากเป็นเช่นนั้นท่านอ๋องพระองค์พึ่งกลับมาที่นี่ ให้หม่อมฉันนำเที่ยวดีหรือไม่
“เจ้านั่นเอง เอ่อ ไม่ทราบจริง ๆ ว่า…”“ท่านอ๋อง นางคือบุตรคนที่สี่ของท่านพ่อข้า ใต้เท้าลู่หยวนซิ่งหมอหลวงประจำพระองค์ของฝ่าบาท”“ที่แท้ก็บุตรของใต้เท้าลู่หมอหลวงผู้มีชื่อของเมืองหลวง”“ท่านอ๋องกล่าวชมเกินไปแล้วเพคะ ท่านพ่อเก่งจริงแต่หม่อมฉันเก่งเรื่องเที่ยวเล่นมากที่สุด โรงน้ำชา สุราหรือโรงละครรอบเมืองหลวง ไม่มีที่ใดที่หม่อมฉันไม่รู้ ท่านอ๋องอยากไปที่ใดบอกหม่อมฉันได้เลย หม่อมฉัน…”“อะฮึ่ม หลิงเฟย…เจ้าช่วยพูดให้มันน้อยหน่อย”“อ่อ ข้า…มักจะเป็นเช่นนี้ เวลาเห็นคนที่รูปงามหล่อเหลาจะ…โอ๊ย เพคะเช่นนั้นหม่อมฉันขอตัวเข้าไปข้างในก่อน พี่หญิงนี่สินค้าใหม่อย่าลืมนะ ข้อตกลงเหมือนเดิม”“อืม ข้ารู้แล้ว อีกเดี๋ยวจะไปคุยกับเจ้า”หลิงเฟยเดินถอยถวายความเคารพให้ท่านอ๋องพร้อมกับยิ้มด้วยความชื่นชมเขาที่ยืนมองนางด้วยสีหน้าและแววตาแปลกใจแต่ก็มิได้ใส่ใจมากนัก เขาสนใจสิ่งที่นางพึ่งจะมอบให้พระชายามากกว่า“มิทราบว่าท่านอ๋องมีเรื่องใดอยากจะบอกกล่าวกับข้างั้นหรือเพคะ”“กระหม่อมมีเรื่องอยากมาเตือนพระองค์”หลังจากนั้นหลิงเฟยได้เพียงแค่ลอบมองท่านอ๋องจากที่ไกล ๆ เท่านั้นราวกับว่าเขาเองก็พยายามจะเลี่ยงนางเช่นกัน เพราะ
“อาลี่ เจ้าไม่เข้าใจหัวอกคนมีความรักเลย เฮ้อ…ท่านอ๋อง หยางหลินอี้ แม่ทัพหนุ่มผู้เป็นหนึ่งในใต้หล้า”“อ๋องแม่ทัพผู้เป็นหนึ่งแดนประจิมเจ้าค่ะ หาใช่ใต้หล้าไม่”“นั่นแหละ ๆ ช่างเถอะ ไปอ่านตำราต่อดีกว่า”“แต่นี่ดึกแล้วนะเจ้าคะแล้วตาท่านก็…”“ข้าเคยเจอวิธีการรักษาบาดแผลเช่นนี้ในตำราแพทย์ของท่านพ่อ ต้องไปรื้อฟื้นความจำเสียหน่อยไปก่อนนะ”“คุณหนูเจ้าคะ เฮ้อ….เมื่อใดคุณหนูของข้าจะเรียบร้อยดังคนคุณหนูสกุลอื่นบ้างนะ”วันถัดมา“เจ้านะเจ้า ข่าวลือของเจ้าที่ถูกท่านอ๋องรับเอาไว้เพราะโยนลูกแพรคืนโด่งดังทั่วเมืองหลวงแล้ว”“จริงหรือเจ้าคะท่านพ่อ พูดกันทั่วเมืองหลวงเลยงั้นหรือเจ้าคะ แย่จริงทำเช่นไรดีเล่าเจ้าคะ”“จะให้ทำเช่นไร เหตุใดเจ้าจึงเล่นสนุกไม่ดูเวลาเช่นนี้ ท่านอ๋องผู้นั้นใช่คนที่เจ้าจะล้อเล่นได้งั้นหรือ เขาเป็นพระนัดดา(หลานชาย) ของฝ่าบาท เจ้านะเจ้า…”“เช่นนั้นคนก็ร่ำลือไปทั่วเมืองหลวง ท่านพ่อ เช่นนี้ข้าก็ทำตัวไม่ถูกนะสิเจ้าคะ”“เฮ้อ….ชื่อเสียงของเจ้าแม้ว่าเจ้าจะไม่สนใจแต่ช่วยไว้หน้าพ่อหน่อยได้หรือไม่ พี่เจ้าเป็นถึงพระชายาขององค์รัชทายาทเชียวนะ”“เฮ้อ พวกท่านก็เอาแต่ชื่อเสียงของพี่ใหญ่กับพี่รองมากด
ท่านอ๋องรับลูกบอลแพรปักสีแดงประดับพู่มาไว้ในมือพร้อมกับมองมันด้วยความแปลกพระทัย เขาไม่เข้าใจความหมายนี้เลยสักนิดและไม่เข้าใจว่ามันมาจากที่ใดและสตรีคนใดกันแน่ที่เป็นผู้โยนมาให้เขา แม้แต่จางชิงชิงเองก็นึกแปลกใจที่เขารับมันเอาไว้ในมือ ทั้งโรงน้ำชาต่างหันมามองท่านอ๋องพร้อมกับเสียงฮือฮาที่ดังขึ้น“นี่มันคือสิ่งใดจื่อรุ่ย”“ทะ..ท่านอ๋องนั่น..ลูกบอลแพรปัก มันมีไว้สำหรับเลือกคู่ หากว่าสตรีโยนให้บุรุษผู้ใดก็หมายความว่าหมายใจให้บุรุษผู้นั้น..สะ สู่ขอนางมาเป็นคู่ครองพ่ะย่ะค่ะ”ท่านอ๋องรู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างไร้สาระยิ่งนัก เขาไม่จำเป็นต้องมีชายาในตอนนี้ หน้าที่เขามีเพียงรักษาแคว้นและแผ่นดินเท่านั้น เรื่องอื่นนอกจากนั้นล้วนไร้สาระและมิควรค่าให้เอ่ยถึง เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของลูกแพรนั้น นางกำลังร้องด้วยความดีใจให้กับสตรีข้าง ๆ“ลูกบอลนี้เป็นของผู้ใด”เสียงทรงพลังนั้นตะโกนกลับไปถามเหล่าสตรีที่ยืนยินดีอยู่ด้านบน ลู่หลิงเฟยถูกดันออกมาตรงหน้า ท่านอ๋องก็ยังมองเห็นนางไม่ชัดอยู่ดีเพราะอยู่ชั้นสองแต่ก็เห็นแล้วว่านางยกมือขึ้นมา“ของหม่อมฉันเองเพคะ”“เช่นนั้น ก็เอาคืนไป”ด้วยความแปลกใจของคนทั้งเมืองหล