“อาลี่ เจ้าไม่เข้าใจหัวอกคนมีความรักเลย เฮ้อ…ท่านอ๋อง หยางหลินอี้ แม่ทัพหนุ่มผู้เป็นหนึ่งในใต้หล้า”
“อ๋องแม่ทัพผู้เป็นหนึ่งแดนประจิมเจ้าค่ะ หาใช่ใต้หล้าไม่”
“นั่นแหละ ๆ ช่างเถอะ ไปอ่านตำราต่อดีกว่า”
“แต่นี่ดึกแล้วนะเจ้าคะแล้วตาท่านก็…”
“ข้าเคยเจอวิธีการรักษาบาดแผลเช่นนี้ในตำราแพทย์ของท่านพ่อ ต้องไปรื้อฟื้นความจำเสียหน่อยไปก่อนนะ”
“คุณหนูเจ้าคะ เฮ้อ….เมื่อใดคุณหนูของข้าจะเรียบร้อยดังคนคุณหนูสกุลอื่นบ้างนะ”
วันถัดมา
“เจ้านะเจ้า ข่าวลือของเจ้าที่ถูกท่านอ๋องรับเอาไว้เพราะโยนลูกแพรคืนโด่งดังทั่วเมืองหลวงแล้ว”
“จริงหรือเจ้าคะท่านพ่อ พูดกันทั่วเมืองหลวงเลยงั้นหรือเจ้าคะ แย่จริงทำเช่นไรดีเล่าเจ้าคะ”
“จะให้ทำเช่นไร เหตุใดเจ้าจึงเล่นสนุกไม่ดูเวลาเช่นนี้ ท่านอ๋องผู้นั้นใช่คนที่เจ้าจะล้อเล่นได้งั้นหรือ เขาเป็นพระนัดดา(หลานชาย) ของฝ่าบาท เจ้านะเจ้า…”
“เช่นนั้นคนก็ร่ำลือไปทั่วเมืองหลวง ท่านพ่อ เช่นนี้ข้าก็ทำตัวไม่ถูกนะสิเจ้าคะ”
“เฮ้อ….ชื่อเสียงของเจ้าแม้ว่าเจ้าจะไม่สนใจแต่ช่วยไว้หน้าพ่อหน่อยได้หรือไม่ พี่เจ้าเป็นถึงพระชายาขององค์รัชทายาทเชียวนะ”
“เฮ้อ พวกท่านก็เอาแต่ชื่อเสียงของพี่ใหญ่กับพี่รองมากดดันข้าอยู่เรื่อยเลย ท่านพ่อนี่ท่านต้องการให้ข้าบ้าตายหรือเจ้าคะ”
“เจ้าน่ะมีความรู้ความสามารถแต่กลับไม่นำมันออกมาใช้แล้วยังเที่ยวเล่นไปเรื่อย พ่อเองก็ไม่เคยว่ากล่าวแต่เรื่องคราวนี้มันร่ำลือหนาหู”
“ก็ดีนะสิเจ้าคะ ร่ำลือให้ดังไปถึงจวนอ๋องเลยยิ่งดี เขาจะได้รับรู้ถึงการมีตัวตนของข้า ให้ร่ำลือไปนาน ๆ ได้ยิ่งดี”
“หลิงเฟย เจ้าจะบ้าไปแล้วงั้นหรือ เรื่องที่เจ้าถอนหมั้นกับสกุลหลานนั่น ข่าวพึ่งซาไปไม่เท่าใดเจ้าก็สร้างข่าวลือใหม่อีก โธ่ลูกรักเจ้าอย่าทำให้พ่อปวดหัวมากกว่านี้เลยได้หรือไม่”
“นั่นลูกเป็นผู้ถอนหมั้นเขาเพราะเขาทำผิดต่อลูก นอกใจแอบไปชอบสตรีอื่น ลูกถอนหมั้นกับเขามันก็ถูกต้องแล้ว เหตุใดจึงได้กลายเป็นว่าลูกต้องอับอาย ผู้ที่ควรอายคือหลานจางหยวนนั่นต่างหากเล่า”
“เอาล่ะ ๆ อย่างไรช่วงนี้เจ้าก็อยู่จวนไปเงียบ ๆ สักพัก รอให้เรื่องมันซาลงเจ้าค่อยออกไปข้างนอก”
“ไม่ได้!! อีกสองวันจะมีงานเลี้ยงในวังหลวงเพื่อต้อนรับกองทัพประจิม ลูกจะไม่ไปร่วมงานได้อย่างไรเพคะ”
“นี่เจ้ายังอยากจะไปในวังหลวงอีกเช่นนั้นหรือ??”
“ต้องอยากไปสิเพคะ งานนี้เห็นบอกว่ามีขุนนางทุกระดับไปร่วมงานได้ ท่านพ่อ ท่านเป็นถึงพ่อตาขององค์รัชทายาทเชียวนะเพคะ”
“ไม่ใช่ ๆ ประเด็นมันมิได้อยู่ตรงนั้นแต่เจ้าจะไปด้วยงั้นหรือ นี่เจ้าไม่กลัวว่า…”
“ท่านพ่อ ท่านคิดว่าข้าเคยสนใจคำที่พวกขี้ขลาดดีแต่นินทาลับหลังผู้อื่นพูดถึงข้างั้นหรือเจ้าคะ เรื่องแบบนั้นทำอะไรลู่หลิงเฟยมิได้หรอกเจ้าค่ะ”
“เฮ้อ….อาลี่เจ้าไปบอกให้พ่อบ้านหลุนชงยายอมให้ข้าที”
“เจ้าค่ะนายท่าน”
สองวันถัดมา
“ยอดเยี่ยมเลยเจ้าค่ะคุณหนู ท่านทำอย่างไรจึงได้รักษารอบดวงตาของท่านให้หายทันเช่นนี้เจ้าคะ อีกทั้งใบหน้ายังสดใสและเนียนนุ่มมากกว่าเดิมด้วย”
“ข้าปรุงยาตามตำราแพทย์และผสมบางอย่างที่บำรุงผิวหน้าเข้าไปพอกไว้ทั้งคืนตลอดสองวันมานี้ และก็ได้ผล เจ้าดูสิ แทบจะไม่ต้องทาแป้งเลย”
“นั่นสิเจ้าคะ ชาดทาปากของคุณหนูก็สีงามยิ่งนัก ไม่แดงไปไม่สีจืดไปทาแล้วดูชุ่มชื่นยิ่งนัก”
“หึ ข้าเป็นผู้ปรุงเองกับมือเชียวนะก็ต้องงดงามเป็นธรรมดา สิ่งเหล่านี้จะต้องทำเงินให้ข้าได้อย่างแน่นอน”
“คุณหนู ท่านคงมิคิดจะนำมันไปขายหรอกนะเจ้าคะ”
“ไม่หรอกน่า ข้าก็แค่จะนำไปให้พี่หญิงเท่านั้น ให้นางแจกจ่ายพระสนมในวังหลังใช้ เพียงเท่านี้ข้าก็ผลิตของนี่ส่งไม่ทันขายแล้ว”
“นึกแล้วเชียวว่าท่านคงไม่ไปงานนี้เฉย ๆ อย่างแน่นอน”
“พวกเขาคิดว่าข้าบ้าผู้ชายถึงเพียงนั้นงั้นหรือ หึ ข้าน่ะ รู้น้อยไปเสียแล้ว ข้าน่ะบ้าเงินมากกว่าผู้ชายเสียอีก สวยไว้ก่อนผู้ชายน่ะของแถม ไปกันเถอะท่านพ่อกับพี่ใหญ่คงรอข้าแย่แล้ว”
ห้องโถงใหญ่
“ท่านพ่อ พี่ใหญ่ข้ามาแล้วเจ้าค่ะ”
“โอโหหลิงเฟยเจ้าช่างสดใสราวเบญจมาศร้อยปีในสวนหมื่นอักษรของไท่หลงจวินเสียจริง”
“พี่ใหญ่ท่านกลับมาเมืองหลวงไม่นานก็ปากหวานเช่นนี้เลยนะเจ้าคะ หรือว่าอยากจะหาพี่สะใภ้ให้ข้าเสียแล้ว”
“หึ ข้าออกศึกฝึกทหารอยู่สองในสามส่วนของเวลาในชีวิต มีเวลาที่ใดจะไปหาสตรีงามคู่กายเล่า ไปเถอะขอรับท่านพ่อ”
“อืม ไปเถอะ นี่หลิงเฟยพ่อขอเตือนเจ้าอีกครั้ง....”
“ข้าจะไม่ก่อเรื่องก่อปัญหาและจะทำตัวเรียบร้อยอยู่ เงียบ ๆ ไร้ปากเสียงเจ้าค่ะ”
“ดูเจ้าพูดเข้าสิ ไม่ต้องขนาดนั้น แค่ไม่พูดเรื่อยเปื่อยก็พอ”
วังหลวง
“หลิงเฟย”
“พี่หญิง”
“ถวายบังคมองค์รัชทายาทเพคะ”
“ตามสบายเถอะ”
“พี่หญิงข้ามี…”
“มานี่ก่อน หม่อมฉันขอตัวสักครู่นะเพคะ”
“ได้สิพวกเจ้าพี่น้องมิได้พบกันนานแล้วคงคิดถึงสินะ”
“เพคะ”
“ลู่อิ๋งเซียน” พระชายาองค์รัชทายาทดึงแขนน้องสาวออกมายังด้านนอกห้องโถงงานเลี้ยงในทันที
“พี่หญิง เหตุใดท่านลากข้าออกมาถึงนี่เจ้าคะ”
“น้องบ้า ข่าวลือเรื่องเจ้าโด่งดังเข้ามาถึงในวังหลวงบอกพี่มาเจ้าไปเล่นซนอะไรอีก แล้วมีเรื่องเช่นนั้นกับเจ้าและท่านอ๋องหยางผู้นั้นจริงหรือ”
“พี่รองท่านใจเย็น ๆ ก่อนนะเจ้าค่ะ ค่อย ๆ ถามข้าทีละเรื่อง สูดหายใจเข้าลึก ๆ เชื่อข้า ฮึบ…”
ลู่อิ๋งเซียนทำตามที่นางแนะนำก่อนจะลืมตัวและหันมาดุนางอีกครั้งพร้อมกับตีแขนนางไปอีกหนึ่งที
“เจ้านี่นะ ยามหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ยังกล้าล้อเล่นกับข้าอีก บอกข้ามาเรื่องมันเป็นอย่างไรกันแน่ในวังล้วนลือกันไปมากมาย องค์รัชทายาทก็มาสอบถามกับพี่แต่พี่ก็เลี่ยงไปว่ายังมิได้พบเจ้าเลยยังไม่รู้ความจริง”
“คือว่า…เรื่องมันก็….”
ลู่หลิงเฟยเล่าทุกอย่างให้พี่รองของนางฟังจนหมดสิ้น สิ้นคำเล่าจากปากของหลิงเฟย ลู่อิ๋งเซียนถึงกับนั่งลงและเริ่มถอดถอนใจ
“เฮ้อ สรุปก็คือที่เล่ารือกันมานั่นแทบจะเป็นเรื่องจริงทั้งหมดเลย จากนี้เจ้าจะทำสิ่งใดต่อ”
“ท่านเห็นท่านอ๋องแล้วหรือไม่เจ้าคะ”
“นี่เจ้ายังกล้าถามหาเขาอีกงั้นหรือ”
“พี่หญิงท่านก็รู้ ข้าถูกใจเขาจึงโยนลูกบอลแพรปักนั้นไปให้เขานะเจ้าคะ”
“เฮ้อ เจ้า…คงยังไม่รู้สินะ ท่านอ๋องผู้นั้น…”
“ถวายบังคมพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”
สองพี่น้องหันไปมองผู้ที่เอ่ยคำทักทาย เมื่อลู่หลิงเฟยหันไปก็ถึงกับทำตัวไม่ถูก ยืนได้ไม่ตรงจนพี่รองของนางต้องจับนางเอาไว้และบิดแขนให้นางรู้สึกตัว
“โอ๊ย หล่อเหลามากเพคะ อุ๊ย ไม่ใช่ ๆ หมายถึง ถวายบังคม…ท่านอ๋อง”
พระชายาลู่ถึงกับหลับตาลงพร้อมกับส่ายหน้ากับความบ้าบิ่นของน้องสาวคนสุดท้องของนางเองเมื่อหันไปยิ้มแห้ง ๆ ให้ท่านอ๋อง “หยางหลินอี้” ที่เข้ามาทักทายนาง
“ท่านอ๋อง เหตุใดท่านจึงได้ออกมาที่นี่ ไม่อยู่ในงานเลี้ยง”
“กระหม่อมเพียงแค่ออกมาสูดอากาศเท่านั้น ในห้องโถงแออัดเกินไปพ่ะย่ะค่ะ นึกไม่ถึงว่าจะพบพระองค์ที่นี่เช่นกัน เอ่อ ไม่คิดว่าจะพบแม่นางที่นี่เช่นกัน”
“หม่อมฉันลู่หลิงเฟย ผู้ที่ท่านรับเอาไว้ได้พร้อมบอลลูกแพรปักเมื่อวันก่อนท่านคงจำได้ใช่หรือไม่เพคะ”
“เจ้านั่นเอง เอ่อ ไม่ทราบจริง ๆ ว่า…”“ท่านอ๋อง นางคือบุตรคนที่สี่ของท่านพ่อข้า ใต้เท้าลู่หยวนซิ่งหมอหลวงประจำพระองค์ของฝ่าบาท”“ที่แท้ก็บุตรของใต้เท้าลู่หมอหลวงผู้มีชื่อของเมืองหลวง”“ท่านอ๋องกล่าวชมเกินไปแล้วเพคะ ท่านพ่อเก่งจริงแต่หม่อมฉันเก่งเรื่องเที่ยวเล่นมากที่สุด โรงน้ำชา สุราหรือโรงละครรอบเมืองหลวง ไม่มีที่ใดที่หม่อมฉันไม่รู้ ท่านอ๋องอยากไปที่ใดบอกหม่อมฉันได้เลย หม่อมฉัน…”“อะฮึ่ม หลิงเฟย…เจ้าช่วยพูดให้มันน้อยหน่อย”“อ่อ ข้า…มักจะเป็นเช่นนี้ เวลาเห็นคนที่รูปงามหล่อเหลาจะ…โอ๊ย เพคะเช่นนั้นหม่อมฉันขอตัวเข้าไปข้างในก่อน พี่หญิงนี่สินค้าใหม่อย่าลืมนะ ข้อตกลงเหมือนเดิม”“อืม ข้ารู้แล้ว อีกเดี๋ยวจะไปคุยกับเจ้า”หลิงเฟยเดินถอยถวายความเคารพให้ท่านอ๋องพร้อมกับยิ้มด้วยความชื่นชมเขาที่ยืนมองนางด้วยสีหน้าและแววตาแปลกใจแต่ก็มิได้ใส่ใจมากนัก เขาสนใจสิ่งที่นางพึ่งจะมอบให้พระชายามากกว่า“มิทราบว่าท่านอ๋องมีเรื่องใดอยากจะบอกกล่าวกับข้างั้นหรือเพคะ”“กระหม่อมมีเรื่องอยากมาเตือนพระองค์”หลังจากนั้นหลิงเฟยได้เพียงแค่ลอบมองท่านอ๋องจากที่ไกล ๆ เท่านั้นราวกับว่าเขาเองก็พยายามจะเลี่ยงนางเช่นกัน เพราะ
หลังจากงานเลี้ยงเสร็จสิ้น ลู่หลิงเฟยก็มีโอกาสได้พบกับท่านอ๋องอีกหลายครั้ง หลายวันมานี้นางพยายามทำทุกอย่างให้เป็นเรื่องบังเอิญว่าพบเขา ทั้งที่ก่อนเข้าวังเพื่อส่งของให้พระชายาองค์รัชทายาท และโรงน้ำชาในเมืองหลวง“ท่านอ๋อง บังเอิญอีกแล้วเพคะ พระองค์ก็มาโรงน้ำชาเช่นเดียวกันหรือเพคะ”“ดูเหมือนจะมิใช่เรื่องบังเอิญดังที่เจ้าพูดนะคุณหนูลู่ มาพูดกันตรง ๆ เถิด หลายวันมานี้เจ้าติดตามข้าและข้าเองก็มักจะพบเจ้าอยู่เสมอ เจ้าต้องการสิ่งใด”“เป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ นะเพคะ โรงน้ำชานี้เป็นร้านประจำที่ข้าชอบมาดื่มกับสหาย จริงหรือไม่ชิงชิง”“เอ่อ…หลิงเฟยแต่เจ้าบอกว่าเจ้าเดินตาม…อ้อ จริงเพคะ”ชิงชิงจงใจพูดออกมาให้ท่านอ๋องทรงทราบว่าลู่หลิงเฟยเดินตามเขามา แต่ดูเหมือนว่าพระองค์จะไม่ได้ยินเพราะมัวแต่ทำสีหน้ากึ่งรำคาญกึ่งหงุดหงิดอยู่ตรงหน้าพวกนาง ชิงชิงถือโอกาสนี้เพื่อหลีกหนี“ท่านอ๋อง หม่อมฉันมีธุระเช่นนั้นขอตัวก่อนเพคะ หลิงเฟยข้าพึ่งนึกได้วันนี้เดินตาม เอ๊ย เดินเล่นเป็นเพื่อนเจ้าไม่ได้แล้ว ไปก่อนนะ”“อ้าวชิงชิง เหตุใดทิ้งข้าเช่นนี้เล่า หากเป็นเช่นนั้นท่านอ๋องพระองค์พึ่งกลับมาที่นี่ ให้หม่อมฉันนำเที่ยวดีหรือไม่
ลู่หลิงเฟยหยุดชะงักไปนิดหน่อยพร้อมกับหันมามองผู้พูด นี่คงไม่คิดจะมาแย่งบุรุษกับนางอีกกระมัง“เจ้าหมายความว่าอย่างไร ท่านอ๋องทำไม”“ข้าก็แค่อยากรู้ว่าระหว่างเจ้ากับท่านอ๋องในตอนนี้ สถานการณ์ดูจะไม่ค่อยเป็นใจเท่าไหร่ ข่าวว่าเจ้าเอาแต่ติดตามเขาไปทั่วจนท่านอ๋องหลีกหนีแทบไม่ไหวนั่นทำให้ข้าฟังแล้ว..รู้สึกอับอายแทนยิ่งนัก”“หลี่ฟางอิ่ง ตัวข้ายังไม่อายเจ้าจะอายแทนข้าด้วยเหตุใดหรือว่าเจ้าเองก็นึกอยากทำเช่นนี้แต่มิกล้าถึงได้เอาแต่พูดต่อว่าข้าลับหลัง น่าสมเพชยิ่งนัก เมื่อใดก็เป็นเช่นนี้อยู่ร่ำไป รอให้ข้าเหนื่อยเองและยอมคายแล้วเจ้าค่อยเก็บเอาไปกินทีหลัง”“ลู่หลิงเฟยนี่เจ้า!!”“โอ้ ทนไม่ไหวแล้วงั้นหรือคุณหนูหลี่ เจ้าอย่าลืมนะว่าเจ้าเป็นถึงสตรีงดงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ส่วนข้าคือสตรีที่หยาบคายที่สุดในต้าซ่ง ข้าไม่กลัวเรื่องเสียชื่อเสียงแต่เจ้า….กลัวหรือไม่เล่า เจ้ากล้าแลกหรือไม่”“เจ้า…หยาบคายเช่นนี้ถึงได้ถูกถอนหมั้น”“หลี่ฟางอิ่งเจ้าเข้าใจเสียใหม่ ผู้ที่ถอนหมั้นคือข้าไม่ใช่สกุลหลาน เป็นถึงสตรีที่ฉลาดดูมีความรู้ก็อย่าได้รับแต่ข่าวสารผิด ๆ จนทำให้เจ้า…ดูโง่เลย…นะ ขอตัวก่อน”“ข้าไม่มีทางยอมแพ้เจ้า
“เกรงว่าคนพวกนี้คงไม่รอท่านสอบสวนหรอก พวกมันมียาพิษไว้ใต้ลิ้น ทางที่ดีให้ข้าช่วยสักหน่อย”นางสะบัดผ้าเพียงหนึ่งครั้ง ยาพิษใต้ลิ้นนั้นก็หลุดออกมาพร้อมกับนางที่ก้มลงไปสกัดจุดที่ร่างเอาไว้พร้อมกับเตะไปให้ท่านอ๋องตรงหน้าพวกเขา คนร้ายนอนนิ่งอยู่ตรงหน้าเขากับจื่อรุ่ย“เอาไปสิ”“แม่นางลู่ นี่เจ้า….”นางค่อย ๆ เรียกผ้าแพรราวกับสั่งได้เก็บเข้ามาและหันไปยังที่ที่มีอาลี่นอนอยู่ นางวิ่งไปพร้อมกับยกร่างที่ไร้ลมหายใจของสาวใช้คู่กายมา น้ำตาไหลรินราวไร้การอดกลั้นใด ๆ “อาลี่ ข้าแก้แค้นให้เจ้าแล้ว พวกมันตายแล้วพวกเรากลับบ้านกันนะ”“ลู่หลิงเฟย ให้ข้าไปส่ง…”“ไม่รบกวนท่านอ๋อง ข้าจะพานางกลับเองถือว่าเรามิได้พบกันที่นี่ อย่าเอ่ยเรื่องที่พบข้าในคืนนี้กับผู้ใดก็พอ”“เพราะเหตุใด อึก …แคก แคก”“ท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ”ลู่หลิงเฟยหันไปวางร่างของอาลี่ลงและเดินเข้าไปหาท่านอ๋อง จื่อรุ่ยมองนางอย่างไม่แน่ใจว่านางจะทำสิ่งใดอีก เพียงชั่วพริบตา เขานึกไม่ถึงว่านางจะเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้ ราวกับเขาพึ่งจะรู้จักลู่หลิงเฟยตัวจริงในวันนี้เอง“คุณหนูลู่ นั่นท่านจะทำสิ่งใด”นางหันไปมองจื่อรุ่ยนิดหน่อยแต่ท่านอ๋องในตอนนี
ใต้เท้าลู่หันไปมองพระพักตร์ท่านอ๋องอย่างนึกประหลาดใจ ท่านอ๋องคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้ประหลาด เขาจึงหยิบยาที่หลิงเฟยให้เขาออกมาหนึ่งเม็ดและส่งให้ท่านหมอลู่“นี่มัน…ใช่จริง ๆ ยาต้าหรงจริง ๆ แต่ผู้ใดกันที่ทำยานี้ออกมาได้ หรือว่า….”ท่านหมอลู่และลู่หยวนลี่หันมามองหน้ากัน พวกเขารู้ดีว่าหลิงเฟยศึกษาวิชาแพทย์อย่างแตกฉานแต่นางไม่เคยแสดงออกเรื่องนี้มาก่อน “ท่านอ๋อง พระองค์รีบกินเถิดพ่ะย่ะค่ะ พิษในพระวรกายจะได้ถูกขับออกมา”ท่านหมอลู่ส่งยาคืนให้ท่านอ๋อง เขาจึงรับและกลืนลงไปในทันที แม้ว่าจะยังไม่ได้คำตอบแต่ในตอนนี้ที่เขาเห็นว่าลู่หลิงเฟยกลับมาถึงจวนอย่างปลอดภัยนั่นก็นับว่าโล่งใจไปได้แล้ว“อาการของนาง…”“กระหม่อมรักษาได้พ่ะย่ะค่ะ นางเพียงแค่ตกใจและ…ทำใจไม่ได้ชั่วครู่เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ ขอบพระทัยที่ทรงถามไถ่”“นางช่วยชีวิตข้าไว้ มิอาจเพิกเฉยได้ ครั้งนี้หากไม่ได้นาง….(ห้ามบอกผู้ใดว่าพบข้าที่นี่)…ที่ให้ยาถอนพิษ ข้าคง…”เขารักษาคำมั่นที่นางบอกเอาไว้ว่าจะไม่เอ่ยเรื่องที่นางช่วยเขากำจัดคนร้ายด้วยวิชายุทธ์ที่แกร่งกล้านั้น เขาเองก็นึกอยากเก็บเรื่องนี้เป็นความลับเช่นกัน“เร็วเข้า ไปต้มยาตามที่ข้าบอกให้
ลู่หลิงฟางเดินออกมาเพราะนางได้ยินเสียงเอะอะพร้อมกับคนที่เริ่มซุบซิบกันอยู่ด้านนอกโดยที่พวกนางไม่ทันได้สังเกต ลู่หลิงฟางหันไปสอบถามฟางชิงชิงที่ดูเป็นห่วงน้องสาวนางแต่กลับถามเรื่องเช่นนี้ต่อหน้าผู้คนมากมายจนนางนึกแปลกใจว่าแม่นางจางผู้นี้หวังดีกับน้องสาวนางจริงหรือไม่“พระชายา หม่อมฉันเพียงแค่ เป็นห่วง…เรื่องข่าวลือในคืนนั้นทั้งเมืองหลวงต่างร่ำลือไปมากมายแต่ไม่มีผู้ใดออกมาแก้ต่างเลย”“งั้นหรือ พวกเขาร่ำลือ พวกเขาของเจ้าน่ะ คือผู้ใด”“คือว่า..เรื่องนี้ คนทั้งเมืองหลวงต่างเล่าลือกันไป หม่อมฉันชี้ตัวไม่ชัด ไปหานางก็ไม่มีคำตอบ หม่อมฉันก็จนปัญญาจะแก้ต่างให้เพคะ”“ข้าถามว่าพวกเขาร่ำลือว่าอย่างไร”“ว่า หลิงเฟยถูกคนร้ายย่ำยีจนสาวใช้นางตายเพคะ ข้าเองก็ฟังเขามาอีกที แต่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลยว่าในคืนนั้นมีผู้ใดเป็นพยานให้นางว่านางมิได้ถูกทำร้าย”“เช่นนั้นข้าคงเป็นพยานให้นางได้ เพราะข้าเป็นผู้ที่อยู่กับนางในคืนนั้นเอง”พวกนางหันไปมองบุรุษรูปงามในชุดลำลองสีขาวปักด้วยดิ้นสีเงินทั้งตัวที่เดินเข้ามาในร้านพร้อมกับองครักษ์ข้างกาย เขาปราดตาไปมองจางชิงชิงทันที เขาเห็นตั้งแต่นางลากลู่หลิงเฟยออกมาและสอบถามเสี
หลิงเฟยปล่อยน้ำตาที่เฝ้าอดกลั้นมาแสนนานออกมาในครานี้เอง เพียงคำพูดเดียวของท่านอ๋องทำให้นางราวกับถูกปลดล็อกบางอย่างออกไป นางร้องไห้ออกมาเสียงดัง เขาพยายามเช็ดน้ำตาให้นางอยู่หลายครั้ง จนนางนิ่งสงบลงในที่สุด“อยากพูด อยากระบายสิ่งใดออกมาอีกหรือไม่”“….”“พูดออกมาเถอะ ไม่ว่าสิ่งใดข้าก็จะฟัง วันนี้ข้ามีเวลาทั้งวันเพื่อปลอบเจ้า”“พระองค์ไม่ต้องสงสารหม่อมฉันก็ได้เพคะ นี่มันไม่จำเป็นเลย”“เหตุใดเจ้าจึงมองว่าเป็นความสงสาร เจ้ามองว่าข้าเป็นเช่นนั้นงั้นหรือ หากเพียงสงสารเจ้าคงไม่ตามเจ้ามาถึงที่นี่กระมัง”“พระองค์ ทรงหมายความว่าอย่างไรเพคะ”“ข้า…อยากขอบคุณเจ้า อยากทำเช่นนี้มานานแล้วแต่เจ้าก็ไม่เคยออกมาจากจวนเลยสักครั้ง ไปที่จวนเจ้าก็ไม่ออกมาพบผู้ใดจนข้าแทบจะหาทางออกไม่ได้ โชคดีที่วันนี้พระชายาเสด็จมาที่เมืองหลวงมิเช่นนั้นข้าคงไม่มีโอกาสเอ่ยคำนี้ออกมาเสียที”“พระองค์เพียงแค่อยากขอบคุณหม่อมฉันสินะเพคะ ไม่เป็นไรเพคะหม่อมฉันมิได้ทำสิ่งใด...”นางดันเขาออกเพื่อจะกลับมานั่งที่เดิมแต่เขากลับไม่ยอมปล่อยและยังดึงนางเข้าไปกอดแน่นกว่าเดิมอีกด้วยจนนางเริ่มใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ และดูเหมือนว่าหัวใจของท่านอ๋องเ
แคว้นต้าซ่ง รัชสมัยฮ่องเต้ จวินอวี้หลาง“คุณหนู มาแล้วเจ้าค่ะ ๆ”“เร็วเข้าอาลี่จะไม่ทันแล้ว ขบวนกองทัพแห่งแดนประจิมจะเข้ามาถึงในเมืองแล้วข้าได้ยินเสียงกลองดังแล้ว”“คุณหนูเจ้าคะ ทางนั้นเจ้าค่ะ คุณหนูจางรออยู่ชั้นสองเจ้าค่ะ”“ลู่หลิงเฟย” บุตรีคนเล็กของท่านหมอหลวงในราชสำนักเดินกึ่งวิ่งขึ้นบันไดในโรงน้ำชาชื่อดังเพื่อไปยังห้องส่วนตัวชั้นสองของโรงน้ำชาแห่งนี้ซึ่งนางสั่งให้สาวใช้มาจับจองเอาไว้ วันนี้คือวันที่กองทัพแดนประจิม ได้รับชัยชนะกลับมาจากทำศึกใหญ่นอกชายแดนตะวันตก “หลิงเฟย ทางนี้”“ชิงชิง ข้ามาแล้ว”ลู่หลิงเฟยวิ่งไปยังห้องนั้นทันที สตรีวัยเดียวกับนางอีกสองสามคนรออยู่ในนั้น ล้วนแต่เป็นสหายที่เติบโตมาพร้อมกัน “จางชิงชิง” เป็นบุตรของขุนนางขั้นสี่ในราชสำนักในกรมคลังตำแหน่งของบิดานางนับว่าไม่ได้สูงมากแต่เพราะลู่หลิงเฟยมิได้เลือกคบคนที่ฐานะ นางเป็นมิตรกับทุกคนที่เป็นมิตรกับนาง“มาแล้ว ๆ พวกเขามาแล้ว หลิงเฟยเจ้าเตรียมลูกบอลแพรนั่นมาด้วยงั้นหรือ”“เจ้าไม่รู้อะไร ปีนี้ข้าก็สิบแปดแล้วนะย่อมอยากหาบุรุษที่เหมาะสมท่านพ่อบอกเองว่าข้าโตแล้ว”“เจ้าคงไม่คิดที่จะ….โยนให้พวกเขาที่นี่ในวันนี้หรอกนะ”“ก
หลิงเฟยปล่อยน้ำตาที่เฝ้าอดกลั้นมาแสนนานออกมาในครานี้เอง เพียงคำพูดเดียวของท่านอ๋องทำให้นางราวกับถูกปลดล็อกบางอย่างออกไป นางร้องไห้ออกมาเสียงดัง เขาพยายามเช็ดน้ำตาให้นางอยู่หลายครั้ง จนนางนิ่งสงบลงในที่สุด“อยากพูด อยากระบายสิ่งใดออกมาอีกหรือไม่”“….”“พูดออกมาเถอะ ไม่ว่าสิ่งใดข้าก็จะฟัง วันนี้ข้ามีเวลาทั้งวันเพื่อปลอบเจ้า”“พระองค์ไม่ต้องสงสารหม่อมฉันก็ได้เพคะ นี่มันไม่จำเป็นเลย”“เหตุใดเจ้าจึงมองว่าเป็นความสงสาร เจ้ามองว่าข้าเป็นเช่นนั้นงั้นหรือ หากเพียงสงสารเจ้าคงไม่ตามเจ้ามาถึงที่นี่กระมัง”“พระองค์ ทรงหมายความว่าอย่างไรเพคะ”“ข้า…อยากขอบคุณเจ้า อยากทำเช่นนี้มานานแล้วแต่เจ้าก็ไม่เคยออกมาจากจวนเลยสักครั้ง ไปที่จวนเจ้าก็ไม่ออกมาพบผู้ใดจนข้าแทบจะหาทางออกไม่ได้ โชคดีที่วันนี้พระชายาเสด็จมาที่เมืองหลวงมิเช่นนั้นข้าคงไม่มีโอกาสเอ่ยคำนี้ออกมาเสียที”“พระองค์เพียงแค่อยากขอบคุณหม่อมฉันสินะเพคะ ไม่เป็นไรเพคะหม่อมฉันมิได้ทำสิ่งใด...”นางดันเขาออกเพื่อจะกลับมานั่งที่เดิมแต่เขากลับไม่ยอมปล่อยและยังดึงนางเข้าไปกอดแน่นกว่าเดิมอีกด้วยจนนางเริ่มใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ และดูเหมือนว่าหัวใจของท่านอ๋องเ
ลู่หลิงฟางเดินออกมาเพราะนางได้ยินเสียงเอะอะพร้อมกับคนที่เริ่มซุบซิบกันอยู่ด้านนอกโดยที่พวกนางไม่ทันได้สังเกต ลู่หลิงฟางหันไปสอบถามฟางชิงชิงที่ดูเป็นห่วงน้องสาวนางแต่กลับถามเรื่องเช่นนี้ต่อหน้าผู้คนมากมายจนนางนึกแปลกใจว่าแม่นางจางผู้นี้หวังดีกับน้องสาวนางจริงหรือไม่“พระชายา หม่อมฉันเพียงแค่ เป็นห่วง…เรื่องข่าวลือในคืนนั้นทั้งเมืองหลวงต่างร่ำลือไปมากมายแต่ไม่มีผู้ใดออกมาแก้ต่างเลย”“งั้นหรือ พวกเขาร่ำลือ พวกเขาของเจ้าน่ะ คือผู้ใด”“คือว่า..เรื่องนี้ คนทั้งเมืองหลวงต่างเล่าลือกันไป หม่อมฉันชี้ตัวไม่ชัด ไปหานางก็ไม่มีคำตอบ หม่อมฉันก็จนปัญญาจะแก้ต่างให้เพคะ”“ข้าถามว่าพวกเขาร่ำลือว่าอย่างไร”“ว่า หลิงเฟยถูกคนร้ายย่ำยีจนสาวใช้นางตายเพคะ ข้าเองก็ฟังเขามาอีกที แต่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลยว่าในคืนนั้นมีผู้ใดเป็นพยานให้นางว่านางมิได้ถูกทำร้าย”“เช่นนั้นข้าคงเป็นพยานให้นางได้ เพราะข้าเป็นผู้ที่อยู่กับนางในคืนนั้นเอง”พวกนางหันไปมองบุรุษรูปงามในชุดลำลองสีขาวปักด้วยดิ้นสีเงินทั้งตัวที่เดินเข้ามาในร้านพร้อมกับองครักษ์ข้างกาย เขาปราดตาไปมองจางชิงชิงทันที เขาเห็นตั้งแต่นางลากลู่หลิงเฟยออกมาและสอบถามเสี
ใต้เท้าลู่หันไปมองพระพักตร์ท่านอ๋องอย่างนึกประหลาดใจ ท่านอ๋องคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้ประหลาด เขาจึงหยิบยาที่หลิงเฟยให้เขาออกมาหนึ่งเม็ดและส่งให้ท่านหมอลู่“นี่มัน…ใช่จริง ๆ ยาต้าหรงจริง ๆ แต่ผู้ใดกันที่ทำยานี้ออกมาได้ หรือว่า….”ท่านหมอลู่และลู่หยวนลี่หันมามองหน้ากัน พวกเขารู้ดีว่าหลิงเฟยศึกษาวิชาแพทย์อย่างแตกฉานแต่นางไม่เคยแสดงออกเรื่องนี้มาก่อน “ท่านอ๋อง พระองค์รีบกินเถิดพ่ะย่ะค่ะ พิษในพระวรกายจะได้ถูกขับออกมา”ท่านหมอลู่ส่งยาคืนให้ท่านอ๋อง เขาจึงรับและกลืนลงไปในทันที แม้ว่าจะยังไม่ได้คำตอบแต่ในตอนนี้ที่เขาเห็นว่าลู่หลิงเฟยกลับมาถึงจวนอย่างปลอดภัยนั่นก็นับว่าโล่งใจไปได้แล้ว“อาการของนาง…”“กระหม่อมรักษาได้พ่ะย่ะค่ะ นางเพียงแค่ตกใจและ…ทำใจไม่ได้ชั่วครู่เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ ขอบพระทัยที่ทรงถามไถ่”“นางช่วยชีวิตข้าไว้ มิอาจเพิกเฉยได้ ครั้งนี้หากไม่ได้นาง….(ห้ามบอกผู้ใดว่าพบข้าที่นี่)…ที่ให้ยาถอนพิษ ข้าคง…”เขารักษาคำมั่นที่นางบอกเอาไว้ว่าจะไม่เอ่ยเรื่องที่นางช่วยเขากำจัดคนร้ายด้วยวิชายุทธ์ที่แกร่งกล้านั้น เขาเองก็นึกอยากเก็บเรื่องนี้เป็นความลับเช่นกัน“เร็วเข้า ไปต้มยาตามที่ข้าบอกให้
“เกรงว่าคนพวกนี้คงไม่รอท่านสอบสวนหรอก พวกมันมียาพิษไว้ใต้ลิ้น ทางที่ดีให้ข้าช่วยสักหน่อย”นางสะบัดผ้าเพียงหนึ่งครั้ง ยาพิษใต้ลิ้นนั้นก็หลุดออกมาพร้อมกับนางที่ก้มลงไปสกัดจุดที่ร่างเอาไว้พร้อมกับเตะไปให้ท่านอ๋องตรงหน้าพวกเขา คนร้ายนอนนิ่งอยู่ตรงหน้าเขากับจื่อรุ่ย“เอาไปสิ”“แม่นางลู่ นี่เจ้า….”นางค่อย ๆ เรียกผ้าแพรราวกับสั่งได้เก็บเข้ามาและหันไปยังที่ที่มีอาลี่นอนอยู่ นางวิ่งไปพร้อมกับยกร่างที่ไร้ลมหายใจของสาวใช้คู่กายมา น้ำตาไหลรินราวไร้การอดกลั้นใด ๆ “อาลี่ ข้าแก้แค้นให้เจ้าแล้ว พวกมันตายแล้วพวกเรากลับบ้านกันนะ”“ลู่หลิงเฟย ให้ข้าไปส่ง…”“ไม่รบกวนท่านอ๋อง ข้าจะพานางกลับเองถือว่าเรามิได้พบกันที่นี่ อย่าเอ่ยเรื่องที่พบข้าในคืนนี้กับผู้ใดก็พอ”“เพราะเหตุใด อึก …แคก แคก”“ท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ”ลู่หลิงเฟยหันไปวางร่างของอาลี่ลงและเดินเข้าไปหาท่านอ๋อง จื่อรุ่ยมองนางอย่างไม่แน่ใจว่านางจะทำสิ่งใดอีก เพียงชั่วพริบตา เขานึกไม่ถึงว่านางจะเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้ ราวกับเขาพึ่งจะรู้จักลู่หลิงเฟยตัวจริงในวันนี้เอง“คุณหนูลู่ นั่นท่านจะทำสิ่งใด”นางหันไปมองจื่อรุ่ยนิดหน่อยแต่ท่านอ๋องในตอนนี
ลู่หลิงเฟยหยุดชะงักไปนิดหน่อยพร้อมกับหันมามองผู้พูด นี่คงไม่คิดจะมาแย่งบุรุษกับนางอีกกระมัง“เจ้าหมายความว่าอย่างไร ท่านอ๋องทำไม”“ข้าก็แค่อยากรู้ว่าระหว่างเจ้ากับท่านอ๋องในตอนนี้ สถานการณ์ดูจะไม่ค่อยเป็นใจเท่าไหร่ ข่าวว่าเจ้าเอาแต่ติดตามเขาไปทั่วจนท่านอ๋องหลีกหนีแทบไม่ไหวนั่นทำให้ข้าฟังแล้ว..รู้สึกอับอายแทนยิ่งนัก”“หลี่ฟางอิ่ง ตัวข้ายังไม่อายเจ้าจะอายแทนข้าด้วยเหตุใดหรือว่าเจ้าเองก็นึกอยากทำเช่นนี้แต่มิกล้าถึงได้เอาแต่พูดต่อว่าข้าลับหลัง น่าสมเพชยิ่งนัก เมื่อใดก็เป็นเช่นนี้อยู่ร่ำไป รอให้ข้าเหนื่อยเองและยอมคายแล้วเจ้าค่อยเก็บเอาไปกินทีหลัง”“ลู่หลิงเฟยนี่เจ้า!!”“โอ้ ทนไม่ไหวแล้วงั้นหรือคุณหนูหลี่ เจ้าอย่าลืมนะว่าเจ้าเป็นถึงสตรีงดงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ส่วนข้าคือสตรีที่หยาบคายที่สุดในต้าซ่ง ข้าไม่กลัวเรื่องเสียชื่อเสียงแต่เจ้า….กลัวหรือไม่เล่า เจ้ากล้าแลกหรือไม่”“เจ้า…หยาบคายเช่นนี้ถึงได้ถูกถอนหมั้น”“หลี่ฟางอิ่งเจ้าเข้าใจเสียใหม่ ผู้ที่ถอนหมั้นคือข้าไม่ใช่สกุลหลาน เป็นถึงสตรีที่ฉลาดดูมีความรู้ก็อย่าได้รับแต่ข่าวสารผิด ๆ จนทำให้เจ้า…ดูโง่เลย…นะ ขอตัวก่อน”“ข้าไม่มีทางยอมแพ้เจ้า
หลังจากงานเลี้ยงเสร็จสิ้น ลู่หลิงเฟยก็มีโอกาสได้พบกับท่านอ๋องอีกหลายครั้ง หลายวันมานี้นางพยายามทำทุกอย่างให้เป็นเรื่องบังเอิญว่าพบเขา ทั้งที่ก่อนเข้าวังเพื่อส่งของให้พระชายาองค์รัชทายาท และโรงน้ำชาในเมืองหลวง“ท่านอ๋อง บังเอิญอีกแล้วเพคะ พระองค์ก็มาโรงน้ำชาเช่นเดียวกันหรือเพคะ”“ดูเหมือนจะมิใช่เรื่องบังเอิญดังที่เจ้าพูดนะคุณหนูลู่ มาพูดกันตรง ๆ เถิด หลายวันมานี้เจ้าติดตามข้าและข้าเองก็มักจะพบเจ้าอยู่เสมอ เจ้าต้องการสิ่งใด”“เป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ นะเพคะ โรงน้ำชานี้เป็นร้านประจำที่ข้าชอบมาดื่มกับสหาย จริงหรือไม่ชิงชิง”“เอ่อ…หลิงเฟยแต่เจ้าบอกว่าเจ้าเดินตาม…อ้อ จริงเพคะ”ชิงชิงจงใจพูดออกมาให้ท่านอ๋องทรงทราบว่าลู่หลิงเฟยเดินตามเขามา แต่ดูเหมือนว่าพระองค์จะไม่ได้ยินเพราะมัวแต่ทำสีหน้ากึ่งรำคาญกึ่งหงุดหงิดอยู่ตรงหน้าพวกนาง ชิงชิงถือโอกาสนี้เพื่อหลีกหนี“ท่านอ๋อง หม่อมฉันมีธุระเช่นนั้นขอตัวก่อนเพคะ หลิงเฟยข้าพึ่งนึกได้วันนี้เดินตาม เอ๊ย เดินเล่นเป็นเพื่อนเจ้าไม่ได้แล้ว ไปก่อนนะ”“อ้าวชิงชิง เหตุใดทิ้งข้าเช่นนี้เล่า หากเป็นเช่นนั้นท่านอ๋องพระองค์พึ่งกลับมาที่นี่ ให้หม่อมฉันนำเที่ยวดีหรือไม่
“เจ้านั่นเอง เอ่อ ไม่ทราบจริง ๆ ว่า…”“ท่านอ๋อง นางคือบุตรคนที่สี่ของท่านพ่อข้า ใต้เท้าลู่หยวนซิ่งหมอหลวงประจำพระองค์ของฝ่าบาท”“ที่แท้ก็บุตรของใต้เท้าลู่หมอหลวงผู้มีชื่อของเมืองหลวง”“ท่านอ๋องกล่าวชมเกินไปแล้วเพคะ ท่านพ่อเก่งจริงแต่หม่อมฉันเก่งเรื่องเที่ยวเล่นมากที่สุด โรงน้ำชา สุราหรือโรงละครรอบเมืองหลวง ไม่มีที่ใดที่หม่อมฉันไม่รู้ ท่านอ๋องอยากไปที่ใดบอกหม่อมฉันได้เลย หม่อมฉัน…”“อะฮึ่ม หลิงเฟย…เจ้าช่วยพูดให้มันน้อยหน่อย”“อ่อ ข้า…มักจะเป็นเช่นนี้ เวลาเห็นคนที่รูปงามหล่อเหลาจะ…โอ๊ย เพคะเช่นนั้นหม่อมฉันขอตัวเข้าไปข้างในก่อน พี่หญิงนี่สินค้าใหม่อย่าลืมนะ ข้อตกลงเหมือนเดิม”“อืม ข้ารู้แล้ว อีกเดี๋ยวจะไปคุยกับเจ้า”หลิงเฟยเดินถอยถวายความเคารพให้ท่านอ๋องพร้อมกับยิ้มด้วยความชื่นชมเขาที่ยืนมองนางด้วยสีหน้าและแววตาแปลกใจแต่ก็มิได้ใส่ใจมากนัก เขาสนใจสิ่งที่นางพึ่งจะมอบให้พระชายามากกว่า“มิทราบว่าท่านอ๋องมีเรื่องใดอยากจะบอกกล่าวกับข้างั้นหรือเพคะ”“กระหม่อมมีเรื่องอยากมาเตือนพระองค์”หลังจากนั้นหลิงเฟยได้เพียงแค่ลอบมองท่านอ๋องจากที่ไกล ๆ เท่านั้นราวกับว่าเขาเองก็พยายามจะเลี่ยงนางเช่นกัน เพราะ
“อาลี่ เจ้าไม่เข้าใจหัวอกคนมีความรักเลย เฮ้อ…ท่านอ๋อง หยางหลินอี้ แม่ทัพหนุ่มผู้เป็นหนึ่งในใต้หล้า”“อ๋องแม่ทัพผู้เป็นหนึ่งแดนประจิมเจ้าค่ะ หาใช่ใต้หล้าไม่”“นั่นแหละ ๆ ช่างเถอะ ไปอ่านตำราต่อดีกว่า”“แต่นี่ดึกแล้วนะเจ้าคะแล้วตาท่านก็…”“ข้าเคยเจอวิธีการรักษาบาดแผลเช่นนี้ในตำราแพทย์ของท่านพ่อ ต้องไปรื้อฟื้นความจำเสียหน่อยไปก่อนนะ”“คุณหนูเจ้าคะ เฮ้อ….เมื่อใดคุณหนูของข้าจะเรียบร้อยดังคนคุณหนูสกุลอื่นบ้างนะ”วันถัดมา“เจ้านะเจ้า ข่าวลือของเจ้าที่ถูกท่านอ๋องรับเอาไว้เพราะโยนลูกแพรคืนโด่งดังทั่วเมืองหลวงแล้ว”“จริงหรือเจ้าคะท่านพ่อ พูดกันทั่วเมืองหลวงเลยงั้นหรือเจ้าคะ แย่จริงทำเช่นไรดีเล่าเจ้าคะ”“จะให้ทำเช่นไร เหตุใดเจ้าจึงเล่นสนุกไม่ดูเวลาเช่นนี้ ท่านอ๋องผู้นั้นใช่คนที่เจ้าจะล้อเล่นได้งั้นหรือ เขาเป็นพระนัดดา(หลานชาย) ของฝ่าบาท เจ้านะเจ้า…”“เช่นนั้นคนก็ร่ำลือไปทั่วเมืองหลวง ท่านพ่อ เช่นนี้ข้าก็ทำตัวไม่ถูกนะสิเจ้าคะ”“เฮ้อ….ชื่อเสียงของเจ้าแม้ว่าเจ้าจะไม่สนใจแต่ช่วยไว้หน้าพ่อหน่อยได้หรือไม่ พี่เจ้าเป็นถึงพระชายาขององค์รัชทายาทเชียวนะ”“เฮ้อ พวกท่านก็เอาแต่ชื่อเสียงของพี่ใหญ่กับพี่รองมากด
ท่านอ๋องรับลูกบอลแพรปักสีแดงประดับพู่มาไว้ในมือพร้อมกับมองมันด้วยความแปลกพระทัย เขาไม่เข้าใจความหมายนี้เลยสักนิดและไม่เข้าใจว่ามันมาจากที่ใดและสตรีคนใดกันแน่ที่เป็นผู้โยนมาให้เขา แม้แต่จางชิงชิงเองก็นึกแปลกใจที่เขารับมันเอาไว้ในมือ ทั้งโรงน้ำชาต่างหันมามองท่านอ๋องพร้อมกับเสียงฮือฮาที่ดังขึ้น“นี่มันคือสิ่งใดจื่อรุ่ย”“ทะ..ท่านอ๋องนั่น..ลูกบอลแพรปัก มันมีไว้สำหรับเลือกคู่ หากว่าสตรีโยนให้บุรุษผู้ใดก็หมายความว่าหมายใจให้บุรุษผู้นั้น..สะ สู่ขอนางมาเป็นคู่ครองพ่ะย่ะค่ะ”ท่านอ๋องรู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างไร้สาระยิ่งนัก เขาไม่จำเป็นต้องมีชายาในตอนนี้ หน้าที่เขามีเพียงรักษาแคว้นและแผ่นดินเท่านั้น เรื่องอื่นนอกจากนั้นล้วนไร้สาระและมิควรค่าให้เอ่ยถึง เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของลูกแพรนั้น นางกำลังร้องด้วยความดีใจให้กับสตรีข้าง ๆ“ลูกบอลนี้เป็นของผู้ใด”เสียงทรงพลังนั้นตะโกนกลับไปถามเหล่าสตรีที่ยืนยินดีอยู่ด้านบน ลู่หลิงเฟยถูกดันออกมาตรงหน้า ท่านอ๋องก็ยังมองเห็นนางไม่ชัดอยู่ดีเพราะอยู่ชั้นสองแต่ก็เห็นแล้วว่านางยกมือขึ้นมา“ของหม่อมฉันเองเพคะ”“เช่นนั้น ก็เอาคืนไป”ด้วยความแปลกใจของคนทั้งเมืองหล