ภายในห้องพักหมู่ตึกเป่ยจงของเยี่ยหยาง เขาพยุงแมคเคนที่ไม่ได้สติไปที่ตั่งไม้บุผ้านุ่มไว้สำหรับนั่งเล่น ก่อนจะแกว่งไม้กายสิทธิ์ปรับเปลี่ยนห้องใหม่อีกครั้ง
สงสัยเขาต้องขยายห้องตัวเองส่วนหนึ่งให้เป็นสถานรักษาพยาบาลพ่อมดแม่มดเหล่าผู้วิเศษอย่างเป็นทางการเลยดีหรือไม่ นี่ก็มีผู้มาใช้บริการต้องสองรายแล้วห้องกว้างถูกปรับเปลี่ยนด้วยเวทมนตร์อีกครั้งตั้งแต่วันแรก ห้องหับถูกขยายกว้างกว่าเดิมสามเท่าตัว ถูกแบ่งกั้นเป็นสัดส่วนแบ่งแยกอย่างชัดเจนขึ้นอีกฝั่ง แน่นอนว่าเป็นบริเวณพื้นที่ที่เขาแบ่งยกให้เพื่อนสนิทที่หมดท่าสลบอยู่ส่วนหนึ่ง อีกส่วนเป็นส่วนที่จัดเตรียมไว้สำหรับผู้ป่วยที่เขาจัดเตรียมไว้อย่างจริงจัง โดยมีผู้ใช้บริการมานานอย่างเซฟซาร์จับจองเตียงหยกหิมะไว้มุมหนึ่ง เตียงนอนสำหรับผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งวางข้างเตียงที่เซเวียร์นอน เยี่ยหยางโบกมือย้ายแมคเคนลอยขึ้นและวางลงบนเตียงที่เตรียมไว้อย่างแผ่วเบาเยี่ยหยางร่ายคาถาง่าย ๆ อย่างคาถาระบุตัวตนตรวจสอบอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้เก็บตัวปัญหาที่ไม่รู้จักกลับมา อักษรภาษาของผู้วิเศษเปร่งแสงเรืองอยู่เหนือศีรแม้ว่าเมิ่งฉางอู่จะอายุมากกว่าอาจารย์จ้าว และยังห่างกว่าพวกนางมากโข แต่หน้าตาหล่อเหลา เป็นมิตรมากกว่า ทำให้ได้ใจสาว ๆ ไม่มากก็น้อย ยังไม่นับความสุภาพเหมือนบัณฑิตผู้ทรงภูมิเมิ่งฉางอู่กวาดตามองศิษย์หน้าใหม่ และเริ่มสอนวิชาอสูรลมปราณที่วิชานี้เหมาะกับการเรียนนอกห้องหับอย่างพื้นที่กว้างเช่นนี้“ในวิชานี้พวกเจ้าศิษย์ทั้งหลายไม่ต้องจด ไม่ต้องจำ ไม่ต้องอ่านตำรา เพียงแค่ต้องมีพลังลมปราณที่แข็งแกร่งที่มากเพียงพอเรียกลมปราณขับเคลื่อนออกมานอกร่างกาย มาเป็นอสูรที่คอยเป็นคู่คอยสู้เคียงข้างอยู่กับพวกเจ้า...”“พี่ลู่เฉิน...พี่หยางยังไม่มาเลยฮะ”“น้องอวิ๋นเจ้าไม่เห็นข้าได้อย่างไร ข้าเสียใจนะ” เยี่ยหยางส่งเสียงงอนนั่งอยู่ข้างอวี้หย่าอวิ๋นที่หันไปกระซิบถามลู่เฉินที่นั่งข้าง ๆ กัน โดยที่เขาไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย“อ๊ะ...ตกใจหมดเลย โถ่!!! พี่หยาง”เยี่ยหยางใช้คาถาเคลื่อนพริบตาฉับพลันมาอยู่ข้างอวี้หย่าอวิ๋นที่เขาใช้เป็นจุดหมายในการปรากฏตัวจากห้องพักที่เป่ยจง เขาไม่ใช้สองคนนั้นเป็นจุดหมาย เพราะเกรงจะผิดสังเกต...หลอกเด็
จูเฉิงเยว่แอบสังเกตเยี่ยหยางมาตั้งแต่เช้าในวิชาปรุงโอสถเพื่อหาเรื่อง ทั้ง ๆ ที่อีกฝ่ายมาสายแต่โดนอาจารย์จ้าวที่ขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าระเบียบต่อว่าเพียงนิดเดียวทำให้เขาผูกใจเจ็บที่อ๋องไร้ค่าทำเขาขายหน้าผู้คนถึงหลายครั้งต่อหลายครั้ง ถึงแม้ตอนนี้เขาจะฝึกวิชาอยู่แต่สมาธิส่วนหนึ่งก็ถูกแบ่งมาให้เยี่ยหยางเวลาผ่านไปสองชั่วยามศิษย์ใหม่ต่างฝึกขับเคลื่อนลมปราณจนเห็นเป็นรูปเป็นร่างหลายคนแล้ว เมิ่งฉางอู่ก็ให้แต่ละแสดงผลลัพธ์ของการฝึกว่าทุกคนทำได้แค่ไหน เพื่อให้แต่ละคนมีจุดมุ่งหมายลึก ๆ ในใจในการพัฒนาเมื่อเห็นความต่างของฝีมือผู้อื่น เพื่อผลักดันตัวเองไม่ให้ขี้เกียจฝึกฝนเยี่ยหยางดูผลการฝึกของผู้อื่น กลับเริ่มเกิดอาการตึงเครียดเป็นอย่างมากเพราะคนส่วนใหญ่ที่ต่างพยายามมาเกือบสามชั่วยามทำดีที่สุดแค่รูปร่างดูคล้ายสัตว์มีสี่ขา แต่มองไม่ออกว่าเป็นอสูรหรือสัตว์ชนิดใด แถมยังโปร่งแสงแทบจะมองไม่เห็น แน่นอนว่าสัมผัสไม่ได้ เขานี่ว่าพอทุกคนเริ่มฝึกปุ๊บ ก็จะได้เลยแล้วอย่างนี้เขาจะทำยังไง?ของเขาเห็นชัดตำตา สัมผัสลูบคลำได้ตั้งแต่หัวจรดหาง ตัวก็โตเบ่อเริ่อ จะให้
มันกดพลังของตัวเองจนสุดความสามารถน้อยยิ่งกว่าน้อย น้อยกว่าตอนที่มันถือกำเนิดเสียอีก มันลดขนาดตัวจนเล็กจิ๋วเท่าลูกแมวเหมียวจนมันรู้สึกอยากหาปี๊บมาคลุมตัวสีตัวซีดเผือดเหมือนหนังสัตว์ถูกขัดฟอกสี เพราะมันไม่ใช่อสูรปราณ แต่เป็นสัตว์อสูรเทวะ มันจึงไม่โปร่งแสงฉงหยิ๋นยังไม่ตาย ข้าซีดแบบผีไม่ได้...ฮือ ๆ ข้าถูกรังแก… ศักดิ์ศรีของข้าไม่เหลือแล้วศิษย์สาว ๆ มองฉงหยิ๋นด้วยแววตาวาววับเพราะตอนนี้มันดูน่ารักมาก ยิ่งดวงตากลมโตละห้อยดูน่าสงสาร กลับเรียกคะแนนความนิยมได้อย่างล้นหลามเกินหน้าเกินตาท่านอ๋อง “ว้าว...น่ารักจัง”ฉงหยิ๋นมองตาทุกคนด้วยแววตาที่มีน้ำตาคลอเป้ายกขาหน้าข้างหนึ่งปิดหน้าปิดตาเพราะมันรู้สึกขายหน้าเหลือเกินข้าไม่มีหน้าไปพบผู้ใดแล้ว...แต่ผู้ที่เห็นมันกับคิดว่ามันกำลังเกาศีรษะ ดูแล้วช่างน่ารักน่าชังมากในบรรดาทุกคนที่เรียกสัตว์อสูร เยี่ยหยางเป็นคนสุดท้าย แต่ผลลัพธ์กลับเหนือความคาดหมายในใจของหลายคนโดยเฉพาะเมิ่งฉางอู่ตัวเขาตั้งแต่จำความได้ไม่เคยเห็นอสูรปราณตัวใดที่ทึบแสงและแสดงตัวตนได้เท่าอสูรที่อ
ไฟร้อนลามเลียเนื้อหมัก เริ่มส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายชวนหิวโหย ผักสดหลายชนิดจากกระเป๋าขยายขนาดที่แทบจะเป็นป่ารก มีดหั่นผักลอยขึ้น หั่นผักเป็นชิ้น ๆ ด้วยตัวเองเท่า ๆ กันอย่างสวยงามเยี่ยหยางชี้นิ้วไปที่ชามให้ลอยมาวางด้านหน้าอย่างแผ่วเบาผักที่หั่นเสร็จเหมือนจะรู้หน้าที่ กระโดดจากเขียงหั่น จัดเรียงในชามอย่างงดงาม อีกข้างก็พลิกมือเบา ๆ ชิ้นเนื้อพลิกกลับไปมา เสียงชี่ของน้ำมันในชิ้นเนื้อหยดบนถ่านแข่งกับเสียง…...โครก~~~“หืม?”เสียงกองทัพบุกของท้องฉงฉงเจ้าตัวตะกละ มันทำจมูกฟุดฟิด ๆ เกาะบนบ่าของเยี่ยหยางถูกแล้ว...เกาะบนไหล่ของเยี่ยหยางด้วยร่างกลายจิ๋ว ๆ ที่ใช้หลอกล่อสาวในวันนี้ ในขณะที่ฉงหยิ๋นออกมาจาห้วงมิติด้านนอกเพราะได้กลิ่นของอาหารที่ไปปลุกกิเลนเทพจากฝันหวานทว่าทำไม…เยี่ยหยางขมวดคิ้วมองกิเลนเทพที่ทำตัวไม่สมเผ่าพันธ์ุ ทั้งที่ตอนแรกก็โอดโอยไม่ยอมทำ แต่ว่าตอนนี้ไม่ยอมกลับมาเหมือนเดิม“นี่!!! เสี่ยวฉง เจ้าจะทำตัวเป็นเหมียวน้อยอยู่ทำไมฮะ”‘สาว ๆ ชอบ พวกนางเอ็นดูข้า ถ้าข้าอยู่ในร่า
มิตรภาพ…ความจริงใจ…ขอโทษ...แมค ข้าทำให้เจ้าต้องลำบากแล้วเยี่ยหยางรู้สึกผิดมากที่เป็นสาเหตุทำให้สหายมาเอี่ยวเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เขาตัดสินใจทำลงไปในตอนนั้นที่ตัดสินใจช่วยเซเวียร์ แต่พวกตาแก่และสหายสารเลวของเซเวียร์ กลับลากทุก ๆ คนรอบตัวเขาให้เผชิญความยากลำบาก ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วว่าที่ผู้นำตะกูลคลาส์กสามารถเลือกทางสบายได้มากกว่านี้ แต่แมคเคนก็ตัดสินใจกระโจนลงบ่อโคลนมายุ่งเรื่องด้วย“เฮ้อ…”สายตาของแมคมองไปที่เยี่ยหยาง เขารู้ว่าสหายของตัวเองแบกทุกสิ่งอยู่บนบ่า ไม่ต่างจากอัศวินผู้กล้าผู้พิชิตจอมมารอย่างเซเวียร์ และตอนนี้คงกำลังโทษตัวเองอยู่ แต่เขาไม่ต้องการแบบนั้น ทางเดินนี้เป็นเขาที่ต้องการเอง ทางเดินนี้เป็นเขาที่เดินก้าวเข้ามาเอง ทางเดินนี้เป็นเขาที่ต้องการเดินเคียงข้างสหายเอง แล้วทำไมต้องไปคิดมากให้ปวดหัวเวียนศีรษะไปไย“เล่ามา…”“อืม เดี๋ยวข้าเล่าให้ฟัง เอาสเต๊กไหมเพื่อน?”เยี่ยหยางลืมตาขึ้น แววตากลับมาเป็นดังเดิม ชวนคนป่วยกินของดี“สารรูปข้าตอนนี้มีแรงเ
เยี่ยหยางสาธยายความสง่างามที่ฉงหยิ๋นพร่ำบอกเขาอยู่ทุกวันให้สหายทราบ แต่ประโยคหลังกลับทำให้กิเลนเทพงอนสะบัดคอแทบเคล็ด“ข้าแมคเคน...เรียกแมคก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จักเจ้าเปี๊ยก”“ ข้าฉงหยิ๋นกิเลนจากเผ่าสัตว์เทพ เชอะ! เพราะสาวชอบข้าที่ตัวเล็ก ๆ ต่างหาก” เสี่ยวฉงพยักหน้ายื่นขาหน้าทำความรู้จักคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสหายของเยี่ยหยาง ทว่าก็อดบ่นพึมพรำให้สองพ่อมดที่ได้ยินหัวเราะเยี่ยหยางเก็บโต๊ะอาหารที่ทานเสร็จเพียงแค่ดีดนิ้ว เขามองหน้าแมคเคนอย่างจริงจังว่าพร้อมที่พูดคุยเรื่องราวทั้งหมดแล้วฉงฉงรู้ว่ามันไม่ควรยุ่งเกี่ยวก็กลับไปนอนอืดตีพุงของตัวเองที่ที่นอนของมัน ถึงรู้ไปใช่ว่ามันจะยื่นขาหน้าเข้าไปช่วยได้ เรื่องของเยี่ยหยางถ้ามีปัญหายากแก้ไข มันค่อยเข้าไปเล่นด้วยก็ยังไม่สาย ดีไม่ดีตอนนั้นมันอาจได้ค่าแรงนิด ๆ หน่อย ๆ เป็นสินน้ำใจ“แมค เจ้ามาที่นี่ได้ยังไง? แล้วทำไมถึงได้กลายเป็นทาสไป” เยี่ยหยางเริ่มเปิดบทสนทนาจริงจัง ถามตรงประเด็นไม่อ้อมค้อม “ตอนนี้เจ้าคงให้ข้าดูความทรงจำไม่ได้ ฉะนั้นเล่ามาให้ละเอียด”“มีข่าว
“เจ้าคงหายดีแล้วสินะ ถึงมีเสียงตะโกนใส่ข้า จนน้ำลายเต็มหัวหมดแล้ว สกปรก!” เยี่ยหยางเช็ดหน้าตัวเองรู้สึกมีหยดน้ำหลายหยดพ่นฝอยใส่หน้าอย่างขยะแขยง เขารู้สึกว่าสหายตัวดีของเขาจะแสดงอาการมากไปหน่อย“โทษที แล้วเป็นมายังไง เจ้าถึงมาเป็นอ๋องได้ แล้วเจ้ามาที่นี่ได้ไง” แมคเคนนั่งลงที่โซฟาเหมือนเดิมถาม“ดูความทรงจำข้าเองละกัน ขี้เกียจเล่า เรื่องมันยาว” เยี่ยหยางเรียกความทรงจำของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นใส่ลูกแก้วเมนเมอร์รินคริสตัน“ดีเหมือนกัน เพราะเจ้ามันเล่าเรื่องได้ห่วยแตก”แมคเคนพูดกับตัวเอง ดีที่คนเป็นอ๋องไม่ได้ยิน เพราะกำลังส่งความทรงจำให้ลูกแก้วเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวลูกแก้วเมนเมอร์รินมีขนาดประมาณศีรษะมนุษย์จากลูกแก้วใสไม่สะท้อนสิ่งใด ก็มีควันขาวอยู่เต็มดึงจิตของผู้ที่จ้องมองเผยเหตุการณ์เมื่อสิบปีก่อนที่ระนาบมนตรา.. ..ควันไอจางสีเทาเงินหมุนวนอยู่ในลูกแก้วเมนเมอร์รินฉายภาพชายหนุ่มร่างสูง มีเอกลักษณ์โดดเด่นอย่างเส้นผมสีเงินยวงยาวที่ถูกมัดรวบด้วยริบบิ้นสีน้ำเงินคราม
ไอควันในลูกแก้วค่อย ๆ จางหายไป ครู่เดียวก็ก่อตัวขึ้นใหม่ เป็นภาพแห่งความทรงจำตัดมาที่เกลเฌอร์การ์ด คุกใต้ดินที่สำหรับขังอาชญากรร้ายแรงของผู้วิเศษกลิ่นอายความตายปะทะใบหน้าผู้นำตระกูลวินเซอร์ ที่ตัดสินใจขัดขวางการกระทำที่เลวทรามของบรรดาเพื่อนรักอัศวินผู้กล้าผู้ยิ่งใหญ่ เขาเรียกใช้อักขระเวทที่เคยสร้างไว้ ในจุดลับตาคนบนแผ่นดินเกลเฌอร์ในสมัยสงครามของจอมมาร เดินทางมาที่นี่โดยที่ไม่มีใครรู้ตัวผืนแผ่นดินนี้แห้งแล้งเต็มไปด้วยหมอกควันขุ่นมัว แยกออกมาจากแผ่นดินอื่น ๆ ตั้งอยู่โดดเดี่ยว ไม่มีกลางวัน มีเพียงราตรีไร้แสงจันทราที่มืดมิด เป็นที่กักขังเหล่าอาชญากรที่ร้ายแรงของผู้วิเศษไว้ใต้ผืนดิน ที่ผู้คนต่างเรียกว่า เกลเฌอร์การ์ดดยุคหนุ่มผู้นำตระกูลวินเซอร์อยู่ภายใต้ผ้าคลุมล่องหน เดินผ่านเข้ามาภายในคุกด้วยเส้นทางลับที่น้อยคนจะรู้ ผ่านผู้คุมขังเข้ามาอย่างง่ายดาย ราวกับกับดักคาถาที่ป้องกันผู้บุกรุกเป็นของไร้ประโยชน์เดินเข้าออกชำนาญเหมือนเป็นแค่สวนหลังคฤหาสน์วินเซอร์ ตรงสู่ห้องขังที่อยู่ลึกที่สุดเต็มไปด้วยคาถาคำสาปและกับดักร้ายแรงไม่รู้ว่าเรื่องนี้เป
เอ๊ะ? เมื่อกี้อีกฝ่ายบอกว่าเขาเป็นน้องชาย ก็หมายความว่าอีกคนเป็นพี่ชายที่ท่านแม่เอ่ยถึงงั้นหรือ“ท่านคือ?”“อ่ะแฮ่ม...ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้ง น้องชายของข้า”เยี่ยหยางกล่าวยิ้มกว้างต้อนรับน้องชายอย่างอารมณ์ดี ปัดความบาดหมางส่วนตัวระหว่างเขากับเฉิงเยว่ทิ้งทันที ราวกับเรื่องที่ปะทะคารมกันไม่เคยเกิดขึ้นจูเฉิงเยว่ “...”“เจ้าไม่เชื่อ?” เยี่ยหยางเห็นน้องชายเงียบไปก็ถามกลับ ก็ได้คำตอบที่ปวดใจมาแทนว่าอีกฝ่ายไม่เชื่อแม้แต่น้อย“นี่เจ้าดู” คนเป็นพี่ลากน้องชายหมาด ๆ มายืนหน้ากระจกเทียบ “สีผมเราสองคนก็เหมือนกัน สีตาก็ด้วย นี่เป็นเอกลักษณ์ของตระกูลเราเลยนะ”“ท่านพ่อท่านแม่ไม่ได้มีสีผมสีตาประหลาดอย่างนี้” เฉิงเยว่แย้ง“ก็ได้ ๆ ข้าจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เจ้าฟัง” เยี่ยหยางพูดเสียงเล็กเสียงน้อยกับน้องชายอย่างอ่อนโยนจากนั้นรินน้ำชาให้ตัวเองและน้องชาย เตรียมสนทนายืดยาวให้อีกฝ่ายยอมรับเขาให้ได้ เขาอยากมีน้องชายตั้งแต่อยู่ระนาบมนตราแล้ว แต่ท
เจ้าตัวเลยพิสูจน์โดยถลกแขนเสื้อขึ้นไม่เกรงใจเจ้าบ้านบาดแผลยาวจากคมกระบี่ค่อย ๆ สมานตัวเองเห็นชัดด้วยตาเปล่า ดวงตากลมโตเบิกตากว้างอย่างตกใจยารสชาติห่วยนรกแตก แต่มีประสิทธิภาพดีเกินคาด คงไม่มีโอสถใดเยี่ยมยอดเท่านี้ มันสามารถรักษาบาดแผลได้ในพริบตาเฉิงเยว่มองหน้าเส้าหยางอย่างมึนงง สายตาเต็มไปด้วยคำถาม ว่า ทำไมต้องช่วยเขามากมายอย่างนี้“คุณชายจู คงมีคำถามอยากถามข้า”เยี่ยหยางถาม เขาไม่ต้องเสแสร้งปกปิดตัวตน เผยบุคลิกเป็นตัวเอง ออกมา “เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าตัวเองมีพลังอย่างอื่นนอกจากปราณยุทธ”“ข้ารู้ แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร”“คุณชายมองตัวเองในยามนี้ก่อน” เยี่ยหยางร่ายเวทเรียกกระจกส่องทั้งตัวให้เฉิงเยว่ได้มองตัวเองทั้งตัวดูท่าเจ้าตัวจะไม่รู้ว่า นอกจากตัวเองมีพลังเวทแล้ว แม้แต่รูปลักษณ์ก็ยังเปลี่ยนไปเฉิงเยว่มองภาพสะท้อนนิ่งงึนงัน มือยกจับเส้นผมที่เคยเป็นสีเข้มกับกลายเป็นสีเงินยวงขาวสว่างทั่วทั้งศีรษะ ดวงตาสีฟ้าแทนที่ดวงตาเข้มที่เคยมีนับสิบปีไม่ มันเกิดอะไรขึ้นกับเข
“จุ๊ ๆ ไม่ต้องรีบอยากตาย เดี๋ยวข้ามีเรื่องสนทนาอย่างสนิทสนมกับพวกเจ้า”บุคคลที่สวมหน้ากากตัวสูงกว่า กล่าวกับพวกมันที่เหลือรอดห้าคน ด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียมแผ่ไอเย็นทั่วร่าง จนไม่มีใครกล้าขยับตัวปิดปากเงียบ กลัวว่าหากเผลอส่งเสียงจะกลายเป็นนกถูกเกาทัณฑ์ตัวแรกพวกมันมองเพื่อนร่วมอาชีพอีกคนชิ่งตายด้วยสีหน้าอิจฉาแม่ง! หนีตายไปสบายก่อนใครเพื่อนเลยเยี่ยหยางหลังจากข่มขู่มือสังหารเสร็จ ก็หันไปหาจูเฉิงเยว่ที่เปลี่ยนรูปลักษณ์ไป“คุณชายข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า หวังว่าจะไม่ปฏิเสธ” เขาเอ่ยกับคุณชายจูเฉิงเยว่ “สภาพเจ้าตอนนี้คงไปพบใครลำบาก มากับข้า”ส่วนเฉิงเยว่เหนื่อยจนพูดไม่ออก ได้แต่พยักหน้าอย่างจำยอมให้อีกฝ่าย ตัวเขาคาดไม่ถึงว่าคนที่มาช่วยคือเส้าหยาง โชคดีที่อีกฝ่ายยื่นมือมาช่วย แม้เคยเห็นหน้าค่าตา ไม่เคยคุยกันอย่างสนิทสนมก็ตามทันทีที่จูเฉิงเยว่พยักหน้าตกลง เยี่ยหยางก็ร่ายคาถาเคลื่อนย้ายพริบตาอีกหน นำทั้งคนทั้งศพของเหล่านักฆ่า กลับไปที่เขาเพิ่งจากมาอีกครั้ง“อ๊ะ! อาหยางลืมสิ่งใด?”
และผลลัพธ์ก็คือระเบิดโทสะของจูเฉิงเยว่ที่ไม่มีใครล่วงรู้ เพราะผู้ลองดีต่างไปรายงานตัวกับยมบาลกันทุกคนเรียบร้อย สำหรับบางคนการมีโทสะ อาจทำให้ขาดสติ แต่สำหรับเฉิงเยว่โทสะในเรื่องนี้กลับทำให้เขาสงบอารมณ์ สงบนิ่งจนน่ากลัว ประสาททั้งห้าเปิดรับสัมผัส แววตานิ่งเย็นยะเยือกพร้อมทำลายพวกมันหารู้ไม่ว่า ได้ก้าวข้ามขีดอารมณ์ของทายาทตระกูลจูให้แล้ว ลมไร้ที่มาโหมกระหน่ำจากทุกทิศทาง ล้อมรอบกลุ่มมือสังหารสองกลุ่มที่ส่งคนมามากกว่างานอื่น ๆ พวกมันต่างมองหน้ากันอย่างมึนงง ข่าวลือในสมาคมนักฆ่าเกี่ยวกับคุณชายตัวประหลาดผู้นี้เห็นทีจะเป็นจริง พวกมันต้องรีบจบงานนี้ ก่อนที่ชีวิตของมันจะต้องจบลงที่นี่เอง ท่าทีกวนโทสะเหยื่อเปลี่ยนเป็นลงมือสังหารอย่างจริงจังเคร่งเครียดมากขึ้น คมอาวุธพุ่งเข้ามาทุกทิศทางเล็งเข้าที่จุดตาย จูเฉิงเยว่รู้สึกถึงพลังบางอย่างไหลเวียนในร่างกาย เอ่อล้นเต็มไปด้วยพลัง ความรู้สึกที่รุนแรงยิ่งกว่าพลังข
พวกเขาทุกคนที่เป็นคนของสมาคมเหวินชา ต่างเป็นคนที่อาหยางเลือกเองกับมือ ถูกสั่งสอนฝึกฝนจนกลายเป็นยอดคน แม้ว่าอาหยางของเขาจะเป็นแค่เด็ก แต่ความรู้และประสบการณ์กลับมากมายมหาศาลอาหยางต้องประสบเหตุการณ์เช่นใดที่บีบบังคับให้ต้องเติบโตเลี้ยงตัวเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะเติบโตมาด้วยกันช่วงหนึ่ง และรู้จักครอบครัวเบื้องหลังตี้ตี่ แต่เขาคิดว่ามันต้องมีเรื่องราวมากกว่าที่เขารู้ หวังว่าน้องน้อยของเขาจะใช้ชีวิตเฉกเช่นคนปกติทั่วไป อย่าได้เจ็บปวดเช่นพี่ชายคนนี้เลยจูเฉิงเยว่เมื่อสะกดรอยตามชินอ๋องไม่ทัน เขาก็ย้อนกลับไปที่จุดมุ่งหมายเดิม ที่ตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมาถึงยามเซินแล้ว จะให้ท่านแม่รอนานไม่ใช่ความคิดที่ดี“สบายดีหรือไม่ คุณชายจูเฉิงเยว่?”คุณชายน้อยตระกูลจูถึงกลับกลอกตามองบนอย่างเบื่อหน่าย ที่ต้องพบกับพวกโตแต่ตัวแต่ไร้สติปัญญาอีกแล้ว พวกมันราวสิบคนปิดบังหน้าตาเยี่ยงโจรหาเรื่องคนตั้งแต่ตะวันยังไม่ตกดิน ช่างอาจหาญยิ่งนัก เขาไม่อยากเสียเวลากับคนพวกนี้ยิ่งกว่าอ๋องจอมบัดซบคนนั้นสักอีก“ถอยออกไปตอนนี้ ข้าจะยังไม่เอาเรื่องพวกเจ้า” จูเฉิ
ดังนั้นสิ่งแรกที่เขาริเริ่มลงมือทำหลังจากแน่ใจว่าต้องติดอยู่ต่างถิ่นคือ หาเงินและหลักแหล่งที่มั่นคง“อาหยาง!!!”เสียงร้องอย่างดีใจของกู้ซีเจ๋อ ผู้รับหน้าที่ดูแลกิจการทั้งหมดแทนเยี่ยหยางร้องอย่างคิดถึงคนที่หายหน้าหายตาไปนาน เขาไม่เห็นเงาหัวนายท่าน ‘เส้าหยาง’ หัวหน้าสมาคมการค้าเหวินชาจนแทบลืมว่ามีตัวตน ยังดีที่เส้นผมสีสว่างเด่นบอกเอกลักษณ์ที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางลืม จะมีใครที่มีเส้นผมสีนี้ตั้งแต่ยังไม่แก่เฒ่ากันบ้าง ถ้าไม่ใช่เจ้านายที่นึกได้ว่าตัวเองก็มีงานต้องทำ“ระงับอารมณ์ตื่นเต้นที่คิดถึงน้องรักหน่อยพี่”ดวงตาสองสีมองไปที่พี่ชายนอกสายเลือดของเขาด้วยดวงตาหยอกเย้ากู้ซีเจ๋อ ที่ทำหน้าที่แทนเจ้าของกิจการได้อย่างดีเยี่ยม สมกลับที่คนเป็นน้องวางใจทิ้งงานให้แบบไม่ต้องเป็นห่วง“ข้าไม่ได้ตื่นเต้นคิดถึงเจ้า แต่คิดว่าเมื่อไหร่เจ้าจะเอางานตัวเองกลับไปสะสางสักที ข้าแทบจะจมกองบัญชีตายอยู่แล้ว” กู้ซีเจ๋อมองหน้าน้องชายที่เคยน่ารักอย่างขุ่นเคืองเยี่ยหยางเจอกับกู้ซีเจ๋อโดยบังเอิญเมื่อสิบปีก่อน
หลังจากที่ข่าวคราวรั่วไหลออกไปโดยที่เฉิงเยว่ไม่ต้องลงแรง ท่านแม่ก็ร้องจะมาพบหน้าเขาให้ได้ เป็นเหตุให้ตาลุงหวงเมียเร่งปั่นงานราษฎร์งานหลวงที่ตัวเองดูแลข้ามวันข้ามคืน โหมงานเป็นเดือนเศษเพื่อหาวันหยุดติดสอยห้อยตามภรรยาสุดที่รักมาหาลูกชายแสนน่ารักอย่างเขาและมันก็คือวันนี้เฉิงเยว่กลับหมู่ตึกไท่ตง ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ให้ตัวเองดูเป็นเด็กน้อยในสายตาท่านแม่ที่รัก เขาขัดสีฉวีวรรณตัวเองเกือบชั่วยาม และยืนอยู่หน้ากองเสื้อผ้ากองใหญ่อยู่อีกเกือบครึ่งชั่วยามเด็กหนุ่มตัวน้อยหยิบชุดนั้นชุดนี้ขึ้นแล้ววางลงอยู่หลายที เสื้อผ้าถูกคัดแยกเป็นหลายกอง จนในที่สุดมือหนุ่มน้อยก็เอื้อมไปหยิบชุดที่อยู่แยกตัวเดียวไม่อยู่รวมกับเสื้อกองไหนเสื้อไหมชุดผาวสีเหลืองอ่อนคาดด้วยเข็มขัดเอวสีขาว มวยผมผูกด้วยที่คาดที่สีเดียวกับเสื้อ ปักปิ่นเรียบอันเล็กบนศีรษะ เครื่องประดับและอาภรณ์ที่อยู่บนร่าง ทำให้จูเฉิงเยว่เด็กหนุ่มกลายเด็กน้อยที่ดูละมุนน่ารักน่าทะนุถนอมเป็นที่สุดเฉิงเยว่หมุนตัวสำรวจความเรียบร้อยจากกระจกเงาที่สะท้อนภาพคุณชายน้อยแสนน่าเอ็นดู มุมปากยกยิ้มขึ้นอย่างพึงพอใจ เ
“ข้าขอสนทนากับเส้าหยางต่อสักครู่” ฉีเจิ้งแม้ในใจจะร่ำร้องแค่ไหน แต่เขาก็ขึ้นชื่อว่าเป็นคุณชายเจ้าเล่ห์ ก็สวมบทรับหน้าลู่เฉินอย่างไม่มีพิรุธการมาของเจียงกงกงเปรียบเสมือนการได้เวลาพักผ่อนดี ๆ เพราะลู่เฉินจอมเข้มงวด ได้ปล่อยให้ญาติผู้พี่ได้กระดี๊กระด๊ากับของพระราชทาน ทำให้ท่านอ๋องผู้เลื่องชื่อได้ทำตัวขี้เกียจอย่างจริงจังสักทีเยี่ยหยางตรวจนับข้าวของในหีบพระราชทานด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอารมณ์ดี เขายกครึ่งหนึ่งแบ่งให้หวงฉีเจิ้งที่ออกแรงรับมือผู้บุกรุกในตำหนักสรรพาวุธพอ ๆ กับเขา ส่วนหูลี่เซียนเขาให้นางไปขอส่วนแบ่งจากเจ้านายจิ้งจอกขนฟูอย่างลู่เฉินเถอะ เขาไม่มีแบ่งให้ เพราะรู้สึกหมั่นไส้นางอย่างมาก วัน ๆ หนึ่งเดินตามญาติผู้น้องของเขาต้อย ๆเวลาที่ผ่านมาเดือนกว่าจากสัปดาห์เป็นเดือน ตั้งแต่หูลี่เซียนกลายเป็นเซียนจิ้งจอก ชีวิตนางก็สบายกว่าเขาหลายเท่า วัน ๆ กิน ๆ นอน ๆ จนเหมือนหมูมากกว่า(หมา)จิ้งจอกแล้ว วิ่งเทียวไปเทียวมาระหว่างห้องของญาติผู้น้องกับห้องเขา ตอนนี้นางก็หลบลู่เฉินมาสิงสถิตที่ห้องเขา นั่งหน้าหงิกเพราะไม่มีอะไรให้ทำส่วนเขากับฉีเจิ้งตกอยู่ในสภาวะเ
“ไท่จื่อ อาการของท่านเป็นอย่างไรบ้าง ข้าจะได้กลับไปทูลฝ่าบาทได้ถูกต้อง”เจียงกงกงขันทีส่วนพระองค์เอ่ยถามรัชทายาทของแคว้นที่ยังดูซีดเซียวอยู่บ้าง“เจียงกงกง อาการข้าดีขึ้นมากแล้ว กลางฤดูใบไม้ผลิพิษก็จะสลายจนหมด ต้องขอบคุณคุณชายเส้าหยางที่ช่วยชีวิตข้าและชินอ๋องไว้” ลู่เฉินบอก“เกรงใจแล้ว ข้าแค่ทำสิ่งที่สมควรทำ” เส้าหยางรับคำขอบคุณ สีหน้าอาการ และท่วงท่าดูสง่างามผ่าเผย“เส้าหยางจวิน ข้านำคำขอบคุณจากฝ่าบาทมามอบให้ท่านที่ช่วยปกป้องสายเลือดมู่หรง” เจียงกงกงหันไปพูดกับเส้าหยางขันทีส่วนพระองค์ของฮ่องเต้ราชอาณาจักรซีเว่ยมองสำรวจประเมินท่านชายเส้าหยางจวิน เพื่อนำไปกราบทูลองค์เหนือหัวของตนอย่างละเอียด พลางคิดพิเคราะห์อืม...คนผู้นี้ที่โดดเด่นเกินใคร เส้นผมสีขาวประหลาด ดวงตาสองสีที่ประหลาดยิ่งกว่า ปกปิดหน้าตา ปกปิดแซ่สกุล ใบหน้าหลังหน้ากากยากคาดเดาว่าเป็นเช่นไร บุคลิกสง่างามดุจเชื้อพระวงศ์ผู้หนึ่งแผ่ออกมา ลมปราณลึกล้ำตรวจสอบไม่ได้ แต่กลับเป็นแค่ศิษย์สายนอก“ขอบคุณท่านกงกงผู้เฒ่า”เจียงกงกงหลังจากที่เก็บข้อมูลไว้ราย