ภายในห้องพักหมู่ตึกเป่ยจงของเยี่ยหยาง เขาพยุงแมคเคนที่ไม่ได้สติไปที่ตั่งไม้บุผ้านุ่มไว้สำหรับนั่งเล่น ก่อนจะแกว่งไม้กายสิทธิ์ปรับเปลี่ยนห้องใหม่อีกครั้ง
สงสัยเขาต้องขยายห้องตัวเองส่วนหนึ่งให้เป็นสถานรักษาพยาบาลพ่อมดแม่มดเหล่าผู้วิเศษอย่างเป็นทางการเลยดีหรือไม่ นี่ก็มีผู้มาใช้บริการต้องสองรายแล้วห้องกว้างถูกปรับเปลี่ยนด้วยเวทมนตร์อีกครั้งตั้งแต่วันแรก ห้องหับถูกขยายกว้างกว่าเดิมสามเท่าตัว ถูกแบ่งกั้นเป็นสัดส่วนแบ่งแยกอย่างชัดเจนขึ้นอีกฝั่ง แน่นอนว่าเป็นบริเวณพื้นที่ที่เขาแบ่งยกให้เพื่อนสนิทที่หมดท่าสลบอยู่ส่วนหนึ่ง อีกส่วนเป็นส่วนที่จัดเตรียมไว้สำหรับผู้ป่วยที่เขาจัดเตรียมไว้อย่างจริงจัง โดยมีผู้ใช้บริการมานานอย่างเซฟซาร์จับจองเตียงหยกหิมะไว้มุมหนึ่ง เตียงนอนสำหรับผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งวางข้างเตียงที่เซเวียร์นอน เยี่ยหยางโบกมือย้ายแมคเคนลอยขึ้นและวางลงบนเตียงที่เตรียมไว้อย่างแผ่วเบาเยี่ยหยางร่ายคาถาง่าย ๆ อย่างคาถาระบุตัวตนตรวจสอบอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้เก็บตัวปัญหาที่ไม่รู้จักกลับมา อักษรภาษาของผู้วิเศษเปร่งแสงเรืองอยู่เหนือศีรแม้ว่าเมิ่งฉางอู่จะอายุมากกว่าอาจารย์จ้าว และยังห่างกว่าพวกนางมากโข แต่หน้าตาหล่อเหลา เป็นมิตรมากกว่า ทำให้ได้ใจสาว ๆ ไม่มากก็น้อย ยังไม่นับความสุภาพเหมือนบัณฑิตผู้ทรงภูมิเมิ่งฉางอู่กวาดตามองศิษย์หน้าใหม่ และเริ่มสอนวิชาอสูรลมปราณที่วิชานี้เหมาะกับการเรียนนอกห้องหับอย่างพื้นที่กว้างเช่นนี้“ในวิชานี้พวกเจ้าศิษย์ทั้งหลายไม่ต้องจด ไม่ต้องจำ ไม่ต้องอ่านตำรา เพียงแค่ต้องมีพลังลมปราณที่แข็งแกร่งที่มากเพียงพอเรียกลมปราณขับเคลื่อนออกมานอกร่างกาย มาเป็นอสูรที่คอยเป็นคู่คอยสู้เคียงข้างอยู่กับพวกเจ้า...”“พี่ลู่เฉิน...พี่หยางยังไม่มาเลยฮะ”“น้องอวิ๋นเจ้าไม่เห็นข้าได้อย่างไร ข้าเสียใจนะ” เยี่ยหยางส่งเสียงงอนนั่งอยู่ข้างอวี้หย่าอวิ๋นที่หันไปกระซิบถามลู่เฉินที่นั่งข้าง ๆ กัน โดยที่เขาไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย“อ๊ะ...ตกใจหมดเลย โถ่!!! พี่หยาง”เยี่ยหยางใช้คาถาเคลื่อนพริบตาฉับพลันมาอยู่ข้างอวี้หย่าอวิ๋นที่เขาใช้เป็นจุดหมายในการปรากฏตัวจากห้องพักที่เป่ยจง เขาไม่ใช้สองคนนั้นเป็นจุดหมาย เพราะเกรงจะผิดสังเกต...หลอกเด็
จูเฉิงเยว่แอบสังเกตเยี่ยหยางมาตั้งแต่เช้าในวิชาปรุงโอสถเพื่อหาเรื่อง ทั้ง ๆ ที่อีกฝ่ายมาสายแต่โดนอาจารย์จ้าวที่ขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าระเบียบต่อว่าเพียงนิดเดียวทำให้เขาผูกใจเจ็บที่อ๋องไร้ค่าทำเขาขายหน้าผู้คนถึงหลายครั้งต่อหลายครั้ง ถึงแม้ตอนนี้เขาจะฝึกวิชาอยู่แต่สมาธิส่วนหนึ่งก็ถูกแบ่งมาให้เยี่ยหยางเวลาผ่านไปสองชั่วยามศิษย์ใหม่ต่างฝึกขับเคลื่อนลมปราณจนเห็นเป็นรูปเป็นร่างหลายคนแล้ว เมิ่งฉางอู่ก็ให้แต่ละแสดงผลลัพธ์ของการฝึกว่าทุกคนทำได้แค่ไหน เพื่อให้แต่ละคนมีจุดมุ่งหมายลึก ๆ ในใจในการพัฒนาเมื่อเห็นความต่างของฝีมือผู้อื่น เพื่อผลักดันตัวเองไม่ให้ขี้เกียจฝึกฝนเยี่ยหยางดูผลการฝึกของผู้อื่น กลับเริ่มเกิดอาการตึงเครียดเป็นอย่างมากเพราะคนส่วนใหญ่ที่ต่างพยายามมาเกือบสามชั่วยามทำดีที่สุดแค่รูปร่างดูคล้ายสัตว์มีสี่ขา แต่มองไม่ออกว่าเป็นอสูรหรือสัตว์ชนิดใด แถมยังโปร่งแสงแทบจะมองไม่เห็น แน่นอนว่าสัมผัสไม่ได้ เขานี่ว่าพอทุกคนเริ่มฝึกปุ๊บ ก็จะได้เลยแล้วอย่างนี้เขาจะทำยังไง?ของเขาเห็นชัดตำตา สัมผัสลูบคลำได้ตั้งแต่หัวจรดหาง ตัวก็โตเบ่อเริ่อ จะให้
มันกดพลังของตัวเองจนสุดความสามารถน้อยยิ่งกว่าน้อย น้อยกว่าตอนที่มันถือกำเนิดเสียอีก มันลดขนาดตัวจนเล็กจิ๋วเท่าลูกแมวเหมียวจนมันรู้สึกอยากหาปี๊บมาคลุมตัวสีตัวซีดเผือดเหมือนหนังสัตว์ถูกขัดฟอกสี เพราะมันไม่ใช่อสูรปราณ แต่เป็นสัตว์อสูรเทวะ มันจึงไม่โปร่งแสงฉงหยิ๋นยังไม่ตาย ข้าซีดแบบผีไม่ได้...ฮือ ๆ ข้าถูกรังแก… ศักดิ์ศรีของข้าไม่เหลือแล้วศิษย์สาว ๆ มองฉงหยิ๋นด้วยแววตาวาววับเพราะตอนนี้มันดูน่ารักมาก ยิ่งดวงตากลมโตละห้อยดูน่าสงสาร กลับเรียกคะแนนความนิยมได้อย่างล้นหลามเกินหน้าเกินตาท่านอ๋อง “ว้าว...น่ารักจัง”ฉงหยิ๋นมองตาทุกคนด้วยแววตาที่มีน้ำตาคลอเป้ายกขาหน้าข้างหนึ่งปิดหน้าปิดตาเพราะมันรู้สึกขายหน้าเหลือเกินข้าไม่มีหน้าไปพบผู้ใดแล้ว...แต่ผู้ที่เห็นมันกับคิดว่ามันกำลังเกาศีรษะ ดูแล้วช่างน่ารักน่าชังมากในบรรดาทุกคนที่เรียกสัตว์อสูร เยี่ยหยางเป็นคนสุดท้าย แต่ผลลัพธ์กลับเหนือความคาดหมายในใจของหลายคนโดยเฉพาะเมิ่งฉางอู่ตัวเขาตั้งแต่จำความได้ไม่เคยเห็นอสูรปราณตัวใดที่ทึบแสงและแสดงตัวตนได้เท่าอสูรที่อ
ไฟร้อนลามเลียเนื้อหมัก เริ่มส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายชวนหิวโหย ผักสดหลายชนิดจากกระเป๋าขยายขนาดที่แทบจะเป็นป่ารก มีดหั่นผักลอยขึ้น หั่นผักเป็นชิ้น ๆ ด้วยตัวเองเท่า ๆ กันอย่างสวยงามเยี่ยหยางชี้นิ้วไปที่ชามให้ลอยมาวางด้านหน้าอย่างแผ่วเบาผักที่หั่นเสร็จเหมือนจะรู้หน้าที่ กระโดดจากเขียงหั่น จัดเรียงในชามอย่างงดงาม อีกข้างก็พลิกมือเบา ๆ ชิ้นเนื้อพลิกกลับไปมา เสียงชี่ของน้ำมันในชิ้นเนื้อหยดบนถ่านแข่งกับเสียง…...โครก~~~“หืม?”เสียงกองทัพบุกของท้องฉงฉงเจ้าตัวตะกละ มันทำจมูกฟุดฟิด ๆ เกาะบนบ่าของเยี่ยหยางถูกแล้ว...เกาะบนไหล่ของเยี่ยหยางด้วยร่างกลายจิ๋ว ๆ ที่ใช้หลอกล่อสาวในวันนี้ ในขณะที่ฉงหยิ๋นออกมาจาห้วงมิติด้านนอกเพราะได้กลิ่นของอาหารที่ไปปลุกกิเลนเทพจากฝันหวานทว่าทำไม…เยี่ยหยางขมวดคิ้วมองกิเลนเทพที่ทำตัวไม่สมเผ่าพันธ์ุ ทั้งที่ตอนแรกก็โอดโอยไม่ยอมทำ แต่ว่าตอนนี้ไม่ยอมกลับมาเหมือนเดิม“นี่!!! เสี่ยวฉง เจ้าจะทำตัวเป็นเหมียวน้อยอยู่ทำไมฮะ”‘สาว ๆ ชอบ พวกนางเอ็นดูข้า ถ้าข้าอยู่ในร่า
มิตรภาพ…ความจริงใจ…ขอโทษ...แมค ข้าทำให้เจ้าต้องลำบากแล้วเยี่ยหยางรู้สึกผิดมากที่เป็นสาเหตุทำให้สหายมาเอี่ยวเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เขาตัดสินใจทำลงไปในตอนนั้นที่ตัดสินใจช่วยเซเวียร์ แต่พวกตาแก่และสหายสารเลวของเซเวียร์ กลับลากทุก ๆ คนรอบตัวเขาให้เผชิญความยากลำบาก ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วว่าที่ผู้นำตะกูลคลาส์กสามารถเลือกทางสบายได้มากกว่านี้ แต่แมคเคนก็ตัดสินใจกระโจนลงบ่อโคลนมายุ่งเรื่องด้วย“เฮ้อ…”สายตาของแมคมองไปที่เยี่ยหยาง เขารู้ว่าสหายของตัวเองแบกทุกสิ่งอยู่บนบ่า ไม่ต่างจากอัศวินผู้กล้าผู้พิชิตจอมมารอย่างเซเวียร์ และตอนนี้คงกำลังโทษตัวเองอยู่ แต่เขาไม่ต้องการแบบนั้น ทางเดินนี้เป็นเขาที่ต้องการเอง ทางเดินนี้เป็นเขาที่เดินก้าวเข้ามาเอง ทางเดินนี้เป็นเขาที่ต้องการเดินเคียงข้างสหายเอง แล้วทำไมต้องไปคิดมากให้ปวดหัวเวียนศีรษะไปไย“เล่ามา…”“อืม เดี๋ยวข้าเล่าให้ฟัง เอาสเต๊กไหมเพื่อน?”เยี่ยหยางลืมตาขึ้น แววตากลับมาเป็นดังเดิม ชวนคนป่วยกินของดี“สารรูปข้าตอนนี้มีแรงเ
เยี่ยหยางสาธยายความสง่างามที่ฉงหยิ๋นพร่ำบอกเขาอยู่ทุกวันให้สหายทราบ แต่ประโยคหลังกลับทำให้กิเลนเทพงอนสะบัดคอแทบเคล็ด“ข้าแมคเคน...เรียกแมคก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จักเจ้าเปี๊ยก”“ ข้าฉงหยิ๋นกิเลนจากเผ่าสัตว์เทพ เชอะ! เพราะสาวชอบข้าที่ตัวเล็ก ๆ ต่างหาก” เสี่ยวฉงพยักหน้ายื่นขาหน้าทำความรู้จักคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสหายของเยี่ยหยาง ทว่าก็อดบ่นพึมพรำให้สองพ่อมดที่ได้ยินหัวเราะเยี่ยหยางเก็บโต๊ะอาหารที่ทานเสร็จเพียงแค่ดีดนิ้ว เขามองหน้าแมคเคนอย่างจริงจังว่าพร้อมที่พูดคุยเรื่องราวทั้งหมดแล้วฉงฉงรู้ว่ามันไม่ควรยุ่งเกี่ยวก็กลับไปนอนอืดตีพุงของตัวเองที่ที่นอนของมัน ถึงรู้ไปใช่ว่ามันจะยื่นขาหน้าเข้าไปช่วยได้ เรื่องของเยี่ยหยางถ้ามีปัญหายากแก้ไข มันค่อยเข้าไปเล่นด้วยก็ยังไม่สาย ดีไม่ดีตอนนั้นมันอาจได้ค่าแรงนิด ๆ หน่อย ๆ เป็นสินน้ำใจ“แมค เจ้ามาที่นี่ได้ยังไง? แล้วทำไมถึงได้กลายเป็นทาสไป” เยี่ยหยางเริ่มเปิดบทสนทนาจริงจัง ถามตรงประเด็นไม่อ้อมค้อม “ตอนนี้เจ้าคงให้ข้าดูความทรงจำไม่ได้ ฉะนั้นเล่ามาให้ละเอียด”“มีข่าว
ท้องฟ้าโปร่งสายลมพัดเอื่อยเย็นสบาย แสงแดดส่องกระทบผืนน้ำสีน้ำเงินครามราวกับอัญมณี คลื่นทะเลหมุนเกลียวซัดกระทบกราบเรือเป็นจังหวะ เป็นฟองคลื่นสีขาวแตกฟ่องละลายหายไป มีเรือสำราญลำใหญ่ล่องลดเลี้ยวอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรกว้างไพศาลสุดลูกลูกตาเสียงสังสรรค์เฮฮาสนุกสนานดังมาจากบนเรือสำเภาใหญ่ของชินอ๋องที่พาพระชายาเอก และอ๋องน้อยมาประพาสดูความแปลกใหม่ของบรรยากาศนอกเมืองหลวงบนลำเรือต่างมีบ่าวไพร่มากมายเกือบร้อยคนที่คอยติดตามมารับใช้เจ้านายอย่างใกล้ชิด แต่เสมือนพวกเขาก็ได้มาพักผ่อนด้วยไม่ต่างกัน นับว่าพากันมาเที่ยวกันยกตำหนักอ๋อง“เสด็จแม่ ๆ พี่ปลาตัวหย้ายใหญ่” นิ้วมือสั้นป้อมชี้ไปที่มัจฉาตัวไม่น้อย แทบจะทับผู้ใหญ่คนหนึ่งขาดอากาศหายใจตายได้ โผกระโดดโลดแล่นจากท้องทะเล“น่ารัก... หยางหยางชอบ” เสียงหัวเราะเจื้อยแจ้วถ้อยพาทีของอ๋องน้อย ชวนให้ทุกคนที่ได้ยินเก็บรอยยิ้มไว้ไม่มิด คือ มู่หรงเยี่ยหยางเชื้อพระวงศ์ตัวจิ๋ว น่ารักน่าเอ็นดู แขนขาสั้น ๆ อ้วนป้อมเป็นข้อป้องน่าฟัด ทุกคนที่เห็นการเติบโตของเจ้าก้อนแป้งขาวต่างเห็นแววความฉลาด เฉียบคม และมากพรสวรรค์ตั้งแต่วัยเยาว์ อีกทั้งยังเป็นที่รักของทุกคนไม่เว้นเสด
ในขณะที่ชินอ๋องรุดหน้าปกป้องลูกเมียของเขาอยู่เบื้องหน้า รัศมีปราณยุทธแผ่ซ่านปรากฏให้เห็นเงาของกิเลนสวรรค์ห้าธาตุ พุ่งตรงเข้าไปสังหารผู้บุกรุก“ถงถงเจ้าบาดเจ็บหรือไม่” ชินอ๋องถามคู่ชีวิตของตนอย่างเป็นห่วง เขายืนหยัดอย่างมั่นคงบนดาดฟ้าเรือโคลงเคลง สายตารอบระวังมือสังหารที่องครักษ์กำลังรับมืออยู่รอบ ๆ“ไม่เป็นไรหลงหมิง แล้วท่านล่ะ” พักตร์งามของชายาเอกเปื้อนเขม่าดำไปหมด ในอ้อมกอดพยายามบดบังภยันตรายให้ลูกชายตัวน้อย ปัดป้องคมดาบที่มุ่งเข้ามาด้วยกระบี่อ่อนดวงตาของอ๋องน้อยเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนกตกใจ แต่ก็ว่าง่ายอย่างรู้ความไม่ตกใจจนร้องงอแงธงโจรสลัดกุ่ยไห่ที่ครองน่านน้ำในแถบนี้คู่กับธงสัญลักษณ์จิ้นอ๋องโบกสะบัดในกองเรือที่โอบล้อมเข้ามาเสียงโห่ร้องตะโกนกู่ก้องดังจนคนของชินอ๋องต่างสิ้นหวัง ด้วยจำนวนคนที่ต่างกันหลายสิบเท่า อีกทั้งผู้บุกรุกต่างเป็นนักฆ่าสังหารมืออาชีพ ต่างกับพวกเขาที่เป็นบ่าวไพร่ที่มีวรยุทธติดตัวเล็กน้อยกองเรือผู้บุกรุกทอดสมอจอดเรือเทียบกับขบวนเรือของชินอ๋อง พลาดไม้กระดานกว้างราวหนึ่งฉื่อ [1] ข้ามมาอย่างง่ายดาย เข็นฆ่าผู้คนอย่างเหี้ยมโหด สาวใช้ถูกฉุดลากไปขืนใจย่ำยี ท่ามกลางกอ
เยี่ยหยางสาธยายความสง่างามที่ฉงหยิ๋นพร่ำบอกเขาอยู่ทุกวันให้สหายทราบ แต่ประโยคหลังกลับทำให้กิเลนเทพงอนสะบัดคอแทบเคล็ด“ข้าแมคเคน...เรียกแมคก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จักเจ้าเปี๊ยก”“ ข้าฉงหยิ๋นกิเลนจากเผ่าสัตว์เทพ เชอะ! เพราะสาวชอบข้าที่ตัวเล็ก ๆ ต่างหาก” เสี่ยวฉงพยักหน้ายื่นขาหน้าทำความรู้จักคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสหายของเยี่ยหยาง ทว่าก็อดบ่นพึมพรำให้สองพ่อมดที่ได้ยินหัวเราะเยี่ยหยางเก็บโต๊ะอาหารที่ทานเสร็จเพียงแค่ดีดนิ้ว เขามองหน้าแมคเคนอย่างจริงจังว่าพร้อมที่พูดคุยเรื่องราวทั้งหมดแล้วฉงฉงรู้ว่ามันไม่ควรยุ่งเกี่ยวก็กลับไปนอนอืดตีพุงของตัวเองที่ที่นอนของมัน ถึงรู้ไปใช่ว่ามันจะยื่นขาหน้าเข้าไปช่วยได้ เรื่องของเยี่ยหยางถ้ามีปัญหายากแก้ไข มันค่อยเข้าไปเล่นด้วยก็ยังไม่สาย ดีไม่ดีตอนนั้นมันอาจได้ค่าแรงนิด ๆ หน่อย ๆ เป็นสินน้ำใจ“แมค เจ้ามาที่นี่ได้ยังไง? แล้วทำไมถึงได้กลายเป็นทาสไป” เยี่ยหยางเริ่มเปิดบทสนทนาจริงจัง ถามตรงประเด็นไม่อ้อมค้อม “ตอนนี้เจ้าคงให้ข้าดูความทรงจำไม่ได้ ฉะนั้นเล่ามาให้ละเอียด”“มีข่าว
มิตรภาพ…ความจริงใจ…ขอโทษ...แมค ข้าทำให้เจ้าต้องลำบากแล้วเยี่ยหยางรู้สึกผิดมากที่เป็นสาเหตุทำให้สหายมาเอี่ยวเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เขาตัดสินใจทำลงไปในตอนนั้นที่ตัดสินใจช่วยเซเวียร์ แต่พวกตาแก่และสหายสารเลวของเซเวียร์ กลับลากทุก ๆ คนรอบตัวเขาให้เผชิญความยากลำบาก ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วว่าที่ผู้นำตะกูลคลาส์กสามารถเลือกทางสบายได้มากกว่านี้ แต่แมคเคนก็ตัดสินใจกระโจนลงบ่อโคลนมายุ่งเรื่องด้วย“เฮ้อ…”สายตาของแมคมองไปที่เยี่ยหยาง เขารู้ว่าสหายของตัวเองแบกทุกสิ่งอยู่บนบ่า ไม่ต่างจากอัศวินผู้กล้าผู้พิชิตจอมมารอย่างเซเวียร์ และตอนนี้คงกำลังโทษตัวเองอยู่ แต่เขาไม่ต้องการแบบนั้น ทางเดินนี้เป็นเขาที่ต้องการเอง ทางเดินนี้เป็นเขาที่เดินก้าวเข้ามาเอง ทางเดินนี้เป็นเขาที่ต้องการเดินเคียงข้างสหายเอง แล้วทำไมต้องไปคิดมากให้ปวดหัวเวียนศีรษะไปไย“เล่ามา…”“อืม เดี๋ยวข้าเล่าให้ฟัง เอาสเต๊กไหมเพื่อน?”เยี่ยหยางลืมตาขึ้น แววตากลับมาเป็นดังเดิม ชวนคนป่วยกินของดี“สารรูปข้าตอนนี้มีแรงเ
ไฟร้อนลามเลียเนื้อหมัก เริ่มส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายชวนหิวโหย ผักสดหลายชนิดจากกระเป๋าขยายขนาดที่แทบจะเป็นป่ารก มีดหั่นผักลอยขึ้น หั่นผักเป็นชิ้น ๆ ด้วยตัวเองเท่า ๆ กันอย่างสวยงามเยี่ยหยางชี้นิ้วไปที่ชามให้ลอยมาวางด้านหน้าอย่างแผ่วเบาผักที่หั่นเสร็จเหมือนจะรู้หน้าที่ กระโดดจากเขียงหั่น จัดเรียงในชามอย่างงดงาม อีกข้างก็พลิกมือเบา ๆ ชิ้นเนื้อพลิกกลับไปมา เสียงชี่ของน้ำมันในชิ้นเนื้อหยดบนถ่านแข่งกับเสียง…...โครก~~~“หืม?”เสียงกองทัพบุกของท้องฉงฉงเจ้าตัวตะกละ มันทำจมูกฟุดฟิด ๆ เกาะบนบ่าของเยี่ยหยางถูกแล้ว...เกาะบนไหล่ของเยี่ยหยางด้วยร่างกลายจิ๋ว ๆ ที่ใช้หลอกล่อสาวในวันนี้ ในขณะที่ฉงหยิ๋นออกมาจาห้วงมิติด้านนอกเพราะได้กลิ่นของอาหารที่ไปปลุกกิเลนเทพจากฝันหวานทว่าทำไม…เยี่ยหยางขมวดคิ้วมองกิเลนเทพที่ทำตัวไม่สมเผ่าพันธ์ุ ทั้งที่ตอนแรกก็โอดโอยไม่ยอมทำ แต่ว่าตอนนี้ไม่ยอมกลับมาเหมือนเดิม“นี่!!! เสี่ยวฉง เจ้าจะทำตัวเป็นเหมียวน้อยอยู่ทำไมฮะ”‘สาว ๆ ชอบ พวกนางเอ็นดูข้า ถ้าข้าอยู่ในร่า
มันกดพลังของตัวเองจนสุดความสามารถน้อยยิ่งกว่าน้อย น้อยกว่าตอนที่มันถือกำเนิดเสียอีก มันลดขนาดตัวจนเล็กจิ๋วเท่าลูกแมวเหมียวจนมันรู้สึกอยากหาปี๊บมาคลุมตัวสีตัวซีดเผือดเหมือนหนังสัตว์ถูกขัดฟอกสี เพราะมันไม่ใช่อสูรปราณ แต่เป็นสัตว์อสูรเทวะ มันจึงไม่โปร่งแสงฉงหยิ๋นยังไม่ตาย ข้าซีดแบบผีไม่ได้...ฮือ ๆ ข้าถูกรังแก… ศักดิ์ศรีของข้าไม่เหลือแล้วศิษย์สาว ๆ มองฉงหยิ๋นด้วยแววตาวาววับเพราะตอนนี้มันดูน่ารักมาก ยิ่งดวงตากลมโตละห้อยดูน่าสงสาร กลับเรียกคะแนนความนิยมได้อย่างล้นหลามเกินหน้าเกินตาท่านอ๋อง “ว้าว...น่ารักจัง”ฉงหยิ๋นมองตาทุกคนด้วยแววตาที่มีน้ำตาคลอเป้ายกขาหน้าข้างหนึ่งปิดหน้าปิดตาเพราะมันรู้สึกขายหน้าเหลือเกินข้าไม่มีหน้าไปพบผู้ใดแล้ว...แต่ผู้ที่เห็นมันกับคิดว่ามันกำลังเกาศีรษะ ดูแล้วช่างน่ารักน่าชังมากในบรรดาทุกคนที่เรียกสัตว์อสูร เยี่ยหยางเป็นคนสุดท้าย แต่ผลลัพธ์กลับเหนือความคาดหมายในใจของหลายคนโดยเฉพาะเมิ่งฉางอู่ตัวเขาตั้งแต่จำความได้ไม่เคยเห็นอสูรปราณตัวใดที่ทึบแสงและแสดงตัวตนได้เท่าอสูรที่อ
จูเฉิงเยว่แอบสังเกตเยี่ยหยางมาตั้งแต่เช้าในวิชาปรุงโอสถเพื่อหาเรื่อง ทั้ง ๆ ที่อีกฝ่ายมาสายแต่โดนอาจารย์จ้าวที่ขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าระเบียบต่อว่าเพียงนิดเดียวทำให้เขาผูกใจเจ็บที่อ๋องไร้ค่าทำเขาขายหน้าผู้คนถึงหลายครั้งต่อหลายครั้ง ถึงแม้ตอนนี้เขาจะฝึกวิชาอยู่แต่สมาธิส่วนหนึ่งก็ถูกแบ่งมาให้เยี่ยหยางเวลาผ่านไปสองชั่วยามศิษย์ใหม่ต่างฝึกขับเคลื่อนลมปราณจนเห็นเป็นรูปเป็นร่างหลายคนแล้ว เมิ่งฉางอู่ก็ให้แต่ละแสดงผลลัพธ์ของการฝึกว่าทุกคนทำได้แค่ไหน เพื่อให้แต่ละคนมีจุดมุ่งหมายลึก ๆ ในใจในการพัฒนาเมื่อเห็นความต่างของฝีมือผู้อื่น เพื่อผลักดันตัวเองไม่ให้ขี้เกียจฝึกฝนเยี่ยหยางดูผลการฝึกของผู้อื่น กลับเริ่มเกิดอาการตึงเครียดเป็นอย่างมากเพราะคนส่วนใหญ่ที่ต่างพยายามมาเกือบสามชั่วยามทำดีที่สุดแค่รูปร่างดูคล้ายสัตว์มีสี่ขา แต่มองไม่ออกว่าเป็นอสูรหรือสัตว์ชนิดใด แถมยังโปร่งแสงแทบจะมองไม่เห็น แน่นอนว่าสัมผัสไม่ได้ เขานี่ว่าพอทุกคนเริ่มฝึกปุ๊บ ก็จะได้เลยแล้วอย่างนี้เขาจะทำยังไง?ของเขาเห็นชัดตำตา สัมผัสลูบคลำได้ตั้งแต่หัวจรดหาง ตัวก็โตเบ่อเริ่อ จะให้
แม้ว่าเมิ่งฉางอู่จะอายุมากกว่าอาจารย์จ้าว และยังห่างกว่าพวกนางมากโข แต่หน้าตาหล่อเหลา เป็นมิตรมากกว่า ทำให้ได้ใจสาว ๆ ไม่มากก็น้อย ยังไม่นับความสุภาพเหมือนบัณฑิตผู้ทรงภูมิเมิ่งฉางอู่กวาดตามองศิษย์หน้าใหม่ และเริ่มสอนวิชาอสูรลมปราณที่วิชานี้เหมาะกับการเรียนนอกห้องหับอย่างพื้นที่กว้างเช่นนี้“ในวิชานี้พวกเจ้าศิษย์ทั้งหลายไม่ต้องจด ไม่ต้องจำ ไม่ต้องอ่านตำรา เพียงแค่ต้องมีพลังลมปราณที่แข็งแกร่งที่มากเพียงพอเรียกลมปราณขับเคลื่อนออกมานอกร่างกาย มาเป็นอสูรที่คอยเป็นคู่คอยสู้เคียงข้างอยู่กับพวกเจ้า...”“พี่ลู่เฉิน...พี่หยางยังไม่มาเลยฮะ”“น้องอวิ๋นเจ้าไม่เห็นข้าได้อย่างไร ข้าเสียใจนะ” เยี่ยหยางส่งเสียงงอนนั่งอยู่ข้างอวี้หย่าอวิ๋นที่หันไปกระซิบถามลู่เฉินที่นั่งข้าง ๆ กัน โดยที่เขาไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย“อ๊ะ...ตกใจหมดเลย โถ่!!! พี่หยาง”เยี่ยหยางใช้คาถาเคลื่อนพริบตาฉับพลันมาอยู่ข้างอวี้หย่าอวิ๋นที่เขาใช้เป็นจุดหมายในการปรากฏตัวจากห้องพักที่เป่ยจง เขาไม่ใช้สองคนนั้นเป็นจุดหมาย เพราะเกรงจะผิดสังเกต...หลอกเด็
ภายในห้องพักหมู่ตึกเป่ยจงของเยี่ยหยาง เขาพยุงแมคเคนที่ไม่ได้สติไปที่ตั่งไม้บุผ้านุ่มไว้สำหรับนั่งเล่น ก่อนจะแกว่งไม้กายสิทธิ์ปรับเปลี่ยนห้องใหม่อีกครั้งสงสัยเขาต้องขยายห้องตัวเองส่วนหนึ่งให้เป็นสถานรักษาพยาบาลพ่อมดแม่มดเหล่าผู้วิเศษอย่างเป็นทางการเลยดีหรือไม่ นี่ก็มีผู้มาใช้บริการต้องสองรายแล้วห้องกว้างถูกปรับเปลี่ยนด้วยเวทมนตร์อีกครั้งตั้งแต่วันแรก ห้องหับถูกขยายกว้างกว่าเดิมสามเท่าตัว ถูกแบ่งกั้นเป็นสัดส่วนแบ่งแยกอย่างชัดเจนขึ้นอีกฝั่งแน่นอนว่าเป็นบริเวณพื้นที่ที่เขาแบ่งยกให้เพื่อนสนิทที่หมดท่าสลบอยู่ส่วนหนึ่ง อีกส่วนเป็นส่วนที่จัดเตรียมไว้สำหรับผู้ป่วยที่เขาจัดเตรียมไว้อย่างจริงจัง โดยมีผู้ใช้บริการมานานอย่างเซฟซาร์จับจองเตียงหยกหิมะไว้มุมหนึ่งเตียงนอนสำหรับผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งวางข้างเตียงที่เซเวียร์นอน เยี่ยหยางโบกมือย้ายแมคเคนลอยขึ้นและวางลงบนเตียงที่เตรียมไว้อย่างแผ่วเบาเยี่ยหยางร่ายคาถาง่าย ๆ อย่างคาถาระบุตัวตนตรวจสอบอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้เก็บตัวปัญหาที่ไม่รู้จักกลับมา อักษรภาษาของผู้วิเศษเปร่งแสงเรืองอยู่เหนือศีร
เพียงผู้คนกะพริบตา เยี่ยหยางก็ลงมือทันที โดยไม่ให้สัญญาณหรือให้อีกฝ่ายเตรียมตัวเตรียมใจใด ๆภาพทุกอย่างรอบ ๆ หยุดนิ่งไม่ขยับ ศิษย์สายในทั้งหกคนตาหันไปมองรอบตัวอย่างตื่นตระหนก เห็นประกายวาบผ่านดวงตาของขยะไร้ปราณที่พวกมันว่าเยี่ยหยางแสยะยิ้มกว้างให้ มือยกชี้กิ่งไม้เรียวยาวไปที่ทั้งหกคน พริบตายังไม่ทันให้พวกมันได้กล่าวอ้างใด ๆ ร่างกายร้อนผ่าวไปทั่วร่าง กระดูกเหมือนถูกบดเบียดก่อร่างใหม่ จากยืนสองขากลายเป็นสี่ขาใบหน้าเต็มไปด้วยขน จมูกปากยาวยื่น หางยาว ๆ งอกออกจากบั้นท้าย พวกมันต่างตื่นตระหนก ดวงตาตื่นตะลึงมองไปสหายข้างกายที่กลายเป็นสุนัขไม่ต่างจากมัน“นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้น!!!” แต่เสียงที่ออกมากลับไม่ใช่เสียงของมนุษย์ กลายเป็นเสียงเห่าหอนของสุนัขตัวหนึ่ง“พวกเจ้าจงลิ้มลองรสชาติการใช้ชีวิตเยี่ยงสุนัขเจ็ดวันเจ็ดคืน ให้รู้จักจิตสำนึกของการเป็นมนุษย์ที่ดีนั้นเป็นยังไงซะ แต่ไม่ต้องห่วง จะไม่มีใครสงสัยที่พวกแกหายไป จะไม่มีใครตามหา เพียงแค่ข้าดีดนิ้วทุกคนที่แกรู้จักก็จะลืมเลือน ถ้าในเจ็ดวันสำนึกได้ว่ามนุษย์ที่ดีควรเป็นกันอย่างไ
เยี่ยหยางเดินตรงดิ่งเข้าไปกลางวงของเรื่องราวทันทีอย่างรวดเร็วด้วยคาถาเคลื่อนย้ายฉับพลันในระยะสั้นราวกับหายตัว เข้าไปยืนจังก้าขวางศิษย์สายในคนนั้นที่กำลังลงมือทุบตีทาสผิวเข้ม“จะทำอะไร” เยี่ยหยางจ้องเขม็งไปที่ฝ่ายตรงข้ามท่าทางเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงดูมีพลังอำนาจที่อีกฝ่ายไม่อาจต้านทานได้“แกเป็นใครถอยไปซะ ถ้าไม่อยากเจ็บตัว เป็นศิษย์สายนอกก็ควรเจียมตัวซะ” ศิษย์ชายที่ลงมือทุบตีทาส มองสำรวจเยี่ยหยางว่ามาจากตระกูลใด ที่มันไม่อาจล่วงเกินได้หรือไม่ แต่…“ที่แท้ก็สวะ”ไต้กู้ซวนมองไปที่เยี่ยหยางอย่างเหยียดหยาม ตัวมันเองก็ถือเป็นอัจฉริยะในหมู่ศิษย์ไม่เกรงกลัวผู้ใดอยู่แล้ว แต่มันก็อยู่เป็นรู้ว่าบางตระกูลก็ไม่ควรไปล่วงเกิน แต่สำหรับเยี่ยหยางมันกับไม่รู้ว่าเขามาจากตระกูลใดดูท่าแล้วคงเป็นตระกูลที่ไม่มีชื่อเสียงตระกูลไหน ปล่อยสวะไร้ค่าให้อับอายในหมู่ผู้ฝึกปราณยุทธ ไม่ก็คงเป็นผู้ฝึกยุทธพเนจรที่พอมีดีที่จะเป็นศิษย์เทียนถูหวู่อยู่บ้าง แต่อย่างว่าที่นี่ไม่ได้มีแค่อัจฉริยะ แม้แต่ขยะถ้าผ่านการคัดเลือกก็ถือว่าเป็นศิษย์