แม้ว่าเมิ่งฉางอู่จะอายุมากกว่าอาจารย์จ้าว และยังห่างกว่าพวกนางมากโข แต่หน้าตาหล่อเหลา เป็นมิตรมากกว่า ทำให้ได้ใจสาว ๆ ไม่มากก็น้อย ยังไม่นับความสุภาพเหมือนบัณฑิตผู้ทรงภูมิ
เมิ่งฉางอู่กวาดตามองศิษย์หน้าใหม่ และเริ่มสอนวิชาอสูรลมปราณที่วิชานี้เหมาะกับการเรียนนอกห้องหับอย่างพื้นที่กว้างเช่นนี้“ในวิชานี้พวกเจ้าศิษย์ทั้งหลายไม่ต้องจด ไม่ต้องจำ ไม่ต้องอ่านตำรา เพียงแค่ต้องมีพลังลมปราณที่แข็งแกร่งที่มากเพียงพอเรียกลมปราณขับเคลื่อนออกมานอกร่างกาย มาเป็นอสูรที่คอยเป็นคู่คอยสู้เคียงข้างอยู่กับพวกเจ้า...”“พี่ลู่เฉิน...พี่หยางยังไม่มาเลยฮะ”“น้องอวิ๋นเจ้าไม่เห็นข้าได้อย่างไร ข้าเสียใจนะ” เยี่ยหยางส่งเสียงงอนนั่งอยู่ข้างอวี้หย่าอวิ๋นที่หันไปกระซิบถามลู่เฉินที่นั่งข้าง ๆ กัน โดยที่เขาไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย“อ๊ะ...ตกใจหมดเลย โถ่!!! พี่หยาง”เยี่ยหยางใช้คาถาเคลื่อนพริบตาฉับพลันมาอยู่ข้างอวี้หย่าอวิ๋นที่เขาใช้เป็นจุดหมายในการปรากฏตัวจากห้องพักที่เป่ยจง เขาไม่ใช้สองคนนั้นเป็นจุดหมาย เพราะเกรงจะผิดสังเกต ...หลอกเด็จูเฉิงเยว่แอบสังเกตเยี่ยหยางมาตั้งแต่เช้าในวิชาปรุงโอสถเพื่อหาเรื่อง ทั้ง ๆ ที่อีกฝ่ายมาสายแต่โดนอาจารย์จ้าวที่ขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าระเบียบต่อว่าเพียงนิดเดียวทำให้เขาผูกใจเจ็บที่อ๋องไร้ค่าทำเขาขายหน้าผู้คนถึงหลายครั้งต่อหลายครั้ง ถึงแม้ตอนนี้เขาจะฝึกวิชาอยู่แต่สมาธิส่วนหนึ่งก็ถูกแบ่งมาให้เยี่ยหยางเวลาผ่านไปสองชั่วยามศิษย์ใหม่ต่างฝึกขับเคลื่อนลมปราณจนเห็นเป็นรูปเป็นร่างหลายคนแล้ว เมิ่งฉางอู่ก็ให้แต่ละแสดงผลลัพธ์ของการฝึกว่าทุกคนทำได้แค่ไหน เพื่อให้แต่ละคนมีจุดมุ่งหมายลึก ๆ ในใจในการพัฒนาเมื่อเห็นความต่างของฝีมือผู้อื่น เพื่อผลักดันตัวเองไม่ให้ขี้เกียจฝึกฝนเยี่ยหยางดูผลการฝึกของผู้อื่น กลับเริ่มเกิดอาการตึงเครียดเป็นอย่างมากเพราะคนส่วนใหญ่ที่ต่างพยายามมาเกือบสามชั่วยามทำดีที่สุดแค่รูปร่างดูคล้ายสัตว์มีสี่ขา แต่มองไม่ออกว่าเป็นอสูรหรือสัตว์ชนิดใด แถมยังโปร่งแสงแทบจะมองไม่เห็น แน่นอนว่าสัมผัสไม่ได้ เขานี่ว่าพอทุกคนเริ่มฝึกปุ๊บ ก็จะได้เลยแล้วอย่างนี้เขาจะทำยังไง?ของเขาเห็นชัดตำตา สัมผัสลูบคลำได้ตั้งแต่หัวจรดหาง ตัวก็โตเบ่อเริ่อ จะให้
มันกดพลังของตัวเองจนสุดความสามารถน้อยยิ่งกว่าน้อย น้อยกว่าตอนที่มันถือกำเนิดเสียอีก มันลดขนาดตัวจนเล็กจิ๋วเท่าลูกแมวเหมียวจนมันรู้สึกอยากหาปี๊บมาคลุมตัวสีตัวซีดเผือดเหมือนหนังสัตว์ถูกขัดฟอกสี เพราะมันไม่ใช่อสูรปราณ แต่เป็นสัตว์อสูรเทวะ มันจึงไม่โปร่งแสงฉงหยิ๋นยังไม่ตาย ข้าซีดแบบผีไม่ได้...ฮือ ๆ ข้าถูกรังแก… ศักดิ์ศรีของข้าไม่เหลือแล้วศิษย์สาว ๆ มองฉงหยิ๋นด้วยแววตาวาววับเพราะตอนนี้มันดูน่ารักมาก ยิ่งดวงตากลมโตละห้อยดูน่าสงสาร กลับเรียกคะแนนความนิยมได้อย่างล้นหลามเกินหน้าเกินตาท่านอ๋อง “ว้าว...น่ารักจัง”ฉงหยิ๋นมองตาทุกคนด้วยแววตาที่มีน้ำตาคลอเป้ายกขาหน้าข้างหนึ่งปิดหน้าปิดตาเพราะมันรู้สึกขายหน้าเหลือเกินข้าไม่มีหน้าไปพบผู้ใดแล้ว...แต่ผู้ที่เห็นมันกับคิดว่ามันกำลังเกาศีรษะ ดูแล้วช่างน่ารักน่าชังมากในบรรดาทุกคนที่เรียกสัตว์อสูร เยี่ยหยางเป็นคนสุดท้าย แต่ผลลัพธ์กลับเหนือความคาดหมายในใจของหลายคนโดยเฉพาะเมิ่งฉางอู่ตัวเขาตั้งแต่จำความได้ไม่เคยเห็นอสูรปราณตัวใดที่ทึบแสงและแสดงตัวตนได้เท่าอสูรที่อ
ไฟร้อนลามเลียเนื้อหมัก เริ่มส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายชวนหิวโหย ผักสดหลายชนิดจากกระเป๋าขยายขนาดที่แทบจะเป็นป่ารก มีดหั่นผักลอยขึ้น หั่นผักเป็นชิ้น ๆ ด้วยตัวเองเท่า ๆ กันอย่างสวยงามเยี่ยหยางชี้นิ้วไปที่ชามให้ลอยมาวางด้านหน้าอย่างแผ่วเบาผักที่หั่นเสร็จเหมือนจะรู้หน้าที่ กระโดดจากเขียงหั่น จัดเรียงในชามอย่างงดงาม อีกข้างก็พลิกมือเบา ๆ ชิ้นเนื้อพลิกกลับไปมา เสียงชี่ของน้ำมันในชิ้นเนื้อหยดบนถ่านแข่งกับเสียง…...โครก~~~“หืม?”เสียงกองทัพบุกของท้องฉงฉงเจ้าตัวตะกละ มันทำจมูกฟุดฟิด ๆ เกาะบนบ่าของเยี่ยหยางถูกแล้ว...เกาะบนไหล่ของเยี่ยหยางด้วยร่างกลายจิ๋ว ๆ ที่ใช้หลอกล่อสาวในวันนี้ ในขณะที่ฉงหยิ๋นออกมาจาห้วงมิติด้านนอกเพราะได้กลิ่นของอาหารที่ไปปลุกกิเลนเทพจากฝันหวานทว่าทำไม…เยี่ยหยางขมวดคิ้วมองกิเลนเทพที่ทำตัวไม่สมเผ่าพันธ์ุ ทั้งที่ตอนแรกก็โอดโอยไม่ยอมทำ แต่ว่าตอนนี้ไม่ยอมกลับมาเหมือนเดิม“นี่!!! เสี่ยวฉง เจ้าจะทำตัวเป็นเหมียวน้อยอยู่ทำไมฮะ”‘สาว ๆ ชอบ พวกนางเอ็นดูข้า ถ้าข้าอยู่ในร่า
มิตรภาพ…ความจริงใจ…ขอโทษ...แมค ข้าทำให้เจ้าต้องลำบากแล้วเยี่ยหยางรู้สึกผิดมากที่เป็นสาเหตุทำให้สหายมาเอี่ยวเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เขาตัดสินใจทำลงไปในตอนนั้นที่ตัดสินใจช่วยเซเวียร์ แต่พวกตาแก่และสหายสารเลวของเซเวียร์ กลับลากทุก ๆ คนรอบตัวเขาให้เผชิญความยากลำบาก ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วว่าที่ผู้นำตะกูลคลาส์กสามารถเลือกทางสบายได้มากกว่านี้ แต่แมคเคนก็ตัดสินใจกระโจนลงบ่อโคลนมายุ่งเรื่องด้วย“เฮ้อ…”สายตาของแมคมองไปที่เยี่ยหยาง เขารู้ว่าสหายของตัวเองแบกทุกสิ่งอยู่บนบ่า ไม่ต่างจากอัศวินผู้กล้าผู้พิชิตจอมมารอย่างเซเวียร์ และตอนนี้คงกำลังโทษตัวเองอยู่ แต่เขาไม่ต้องการแบบนั้น ทางเดินนี้เป็นเขาที่ต้องการเอง ทางเดินนี้เป็นเขาที่เดินก้าวเข้ามาเอง ทางเดินนี้เป็นเขาที่ต้องการเดินเคียงข้างสหายเอง แล้วทำไมต้องไปคิดมากให้ปวดหัวเวียนศีรษะไปไย“เล่ามา…”“อืม เดี๋ยวข้าเล่าให้ฟัง เอาสเต๊กไหมเพื่อน?”เยี่ยหยางลืมตาขึ้น แววตากลับมาเป็นดังเดิม ชวนคนป่วยกินของดี“สารรูปข้าตอนนี้มีแรงเ
เยี่ยหยางสาธยายความสง่างามที่ฉงหยิ๋นพร่ำบอกเขาอยู่ทุกวันให้สหายทราบ แต่ประโยคหลังกลับทำให้กิเลนเทพงอนสะบัดคอแทบเคล็ด“ข้าแมคเคน...เรียกแมคก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จักเจ้าเปี๊ยก”“ ข้าฉงหยิ๋นกิเลนจากเผ่าสัตว์เทพ เชอะ! เพราะสาวชอบข้าที่ตัวเล็ก ๆ ต่างหาก” เสี่ยวฉงพยักหน้ายื่นขาหน้าทำความรู้จักคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสหายของเยี่ยหยาง ทว่าก็อดบ่นพึมพรำให้สองพ่อมดที่ได้ยินหัวเราะเยี่ยหยางเก็บโต๊ะอาหารที่ทานเสร็จเพียงแค่ดีดนิ้ว เขามองหน้าแมคเคนอย่างจริงจังว่าพร้อมที่พูดคุยเรื่องราวทั้งหมดแล้วฉงฉงรู้ว่ามันไม่ควรยุ่งเกี่ยวก็กลับไปนอนอืดตีพุงของตัวเองที่ที่นอนของมัน ถึงรู้ไปใช่ว่ามันจะยื่นขาหน้าเข้าไปช่วยได้ เรื่องของเยี่ยหยางถ้ามีปัญหายากแก้ไข มันค่อยเข้าไปเล่นด้วยก็ยังไม่สาย ดีไม่ดีตอนนั้นมันอาจได้ค่าแรงนิด ๆ หน่อย ๆ เป็นสินน้ำใจ“แมค เจ้ามาที่นี่ได้ยังไง? แล้วทำไมถึงได้กลายเป็นทาสไป” เยี่ยหยางเริ่มเปิดบทสนทนาจริงจัง ถามตรงประเด็นไม่อ้อมค้อม “ตอนนี้เจ้าคงให้ข้าดูความทรงจำไม่ได้ ฉะนั้นเล่ามาให้ละเอียด”“มีข่าว
“เจ้าคงหายดีแล้วสินะ ถึงมีเสียงตะโกนใส่ข้า จนน้ำลายเต็มหัวหมดแล้ว สกปรก!” เยี่ยหยางเช็ดหน้าตัวเองรู้สึกมีหยดน้ำหลายหยดพ่นฝอยใส่หน้าอย่างขยะแขยง เขารู้สึกว่าสหายตัวดีของเขาจะแสดงอาการมากไปหน่อย“โทษที แล้วเป็นมายังไง เจ้าถึงมาเป็นอ๋องได้ แล้วเจ้ามาที่นี่ได้ไง” แมคเคนนั่งลงที่โซฟาเหมือนเดิมถาม“ดูความทรงจำข้าเองละกัน ขี้เกียจเล่า เรื่องมันยาว” เยี่ยหยางเรียกความทรงจำของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นใส่ลูกแก้วเมนเมอร์รินคริสตัน“ดีเหมือนกัน เพราะเจ้ามันเล่าเรื่องได้ห่วยแตก”แมคเคนพูดกับตัวเอง ดีที่คนเป็นอ๋องไม่ได้ยิน เพราะกำลังส่งความทรงจำให้ลูกแก้วเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวลูกแก้วเมนเมอร์รินมีขนาดประมาณศีรษะมนุษย์จากลูกแก้วใสไม่สะท้อนสิ่งใด ก็มีควันขาวอยู่เต็มดึงจิตของผู้ที่จ้องมองเผยเหตุการณ์เมื่อสิบปีก่อนที่ระนาบมนตรา.. ..ควันไอจางสีเทาเงินหมุนวนอยู่ในลูกแก้วเมนเมอร์รินฉายภาพชายหนุ่มร่างสูง มีเอกลักษณ์โดดเด่นอย่างเส้นผมสีเงินยวงยาวที่ถูกมัดรวบด้วยริบบิ้นสีน้ำเงินคราม
ไอควันในลูกแก้วค่อย ๆ จางหายไป ครู่เดียวก็ก่อตัวขึ้นใหม่ เป็นภาพแห่งความทรงจำตัดมาที่เกลเฌอร์การ์ด คุกใต้ดินที่สำหรับขังอาชญากรร้ายแรงของผู้วิเศษกลิ่นอายความตายปะทะใบหน้าผู้นำตระกูลวินเซอร์ ที่ตัดสินใจขัดขวางการกระทำที่เลวทรามของบรรดาเพื่อนรักอัศวินผู้กล้าผู้ยิ่งใหญ่ เขาเรียกใช้อักขระเวทที่เคยสร้างไว้ ในจุดลับตาคนบนแผ่นดินเกลเฌอร์ในสมัยสงครามของจอมมาร เดินทางมาที่นี่โดยที่ไม่มีใครรู้ตัวผืนแผ่นดินนี้แห้งแล้งเต็มไปด้วยหมอกควันขุ่นมัว แยกออกมาจากแผ่นดินอื่น ๆ ตั้งอยู่โดดเดี่ยว ไม่มีกลางวัน มีเพียงราตรีไร้แสงจันทราที่มืดมิด เป็นที่กักขังเหล่าอาชญากรที่ร้ายแรงของผู้วิเศษไว้ใต้ผืนดิน ที่ผู้คนต่างเรียกว่า เกลเฌอร์การ์ดดยุคหนุ่มผู้นำตระกูลวินเซอร์อยู่ภายใต้ผ้าคลุมล่องหน เดินผ่านเข้ามาภายในคุกด้วยเส้นทางลับที่น้อยคนจะรู้ ผ่านผู้คุมขังเข้ามาอย่างง่ายดาย ราวกับกับดักคาถาที่ป้องกันผู้บุกรุกเป็นของไร้ประโยชน์เดินเข้าออกชำนาญเหมือนเป็นแค่สวนหลังคฤหาสน์วินเซอร์ ตรงสู่ห้องขังที่อยู่ลึกที่สุดเต็มไปด้วยคาถาคำสาปและกับดักร้ายแรงไม่รู้ว่าเรื่องนี้เป
“ใครกันแน่ที่งี่เง่าสเวน” คู่อริที่ผันตัวเป็นเพื่อนรู้ใจกลอกตามองบน ที่ยังไงเขาสองคนก็ยังพูดกวนประสาทกันเหมือนเดิม แม้ว่าสถานะจะเปลี่ยนไป“เจ้าไงเกรกอรี่ เรียกเซฟดีกว่า” เซเวียร์ที่นอนอยู่ที่พื้นหินแข็งกระด้างยักไหล่ทำตัวเหมือนไม่ใช่นักโทษที่อยู่หลังกรงเหล็ก“เซฟฟี่ เจ้าคิดดีแล้วใช่มั้ยที่จะไม่หนี” เกรกถามย้ำอีกครั้งราวกับว่าจะอีกคนจะเปลี่ยนใจกะทันหันไม่ทำเรื่องโง่ๆอย่างที่กำลังทำอยู่“อืม แต่ข้าให้เจ้าเรียกข้าเซฟ ไม่ใช่เซฟฟี่”ดวงตาของผู้ถูกเพื่อนรักหักหลังสลดลง เขาไม่อยากเผชิญหน้ากับทุกสิ่งแล้วให้เรื่องทั้งหมดมันจบลงง่าย ๆ ที่เขา แค่เขาเพียงคนก็พอ ใบหน้าที่ก้มหลบสายตาเงยหน้าขึ้นแววตาเปลี่ยนกลับเป็นปกติ“เจ้าอย่ามีน้ำโหหน่อยเลยเซฟฟี่”เกรกเองก็อยากจะช่วยให้ถึงที่สุด ถึงไม่ช่วย ไม่เข้าไปเอี่ยว พวกนั้นก็ต้องลากเขาลงโคลนด้วยเช่นกันเขาตัดสินใจตั้งแต่ก่อนมาที่นี่แล้วว่าจะช่วยก็คือช่วย ถือว่าช่วยเหลือตัวเองล่วงหน้าพ่อนักบุญคงไม่ต่อว่าเขา แม้อีกฝ่ายจะปฏิเสธ แต่เขาคงได้แต่ยอมรั
ข่าวรัชทายาทราชอาณาจักรซีเว่ยถูกอสูรเทาเทียทำร้ายและชินอ๋องบาดเจ็บสาหัส ล่วงรู้ไปถึงพระกรรณฮ่องเต้ราชอาณาจักรซีเว่ย จนวุ่นวายไปทั่วราชสำนักเหล่าขุนนางต่างออกมาโต้แย้งสนทนาซุบซิบเรื่องนี้ บรรดาฮูหยินตราตั้งยันชาวบ้านต่างหยิบยกมาพูดคุยเรื่องรัชทายาท นินทาชินอ๋อง บ้างก็ว่าถึงคราต้องตั้งรัชทายาทคนใหม่ บ้างก็ว่าบ้านเมืองจะสงบเพราะชินอ๋องนอนเป็นผักปลาแต่ข่าวลือย่อมมีความจริงผสมอยู่ มู่หรงหย่งสือฮ่องเต้แห่งราชอาณาจักรซีเว่ยรับสารมาจากสือหลงโหยว ผู้ที่เขาแต่งตั้งให้เป็นสหายและองครักษ์ประจำตัวของพระโอรสเพียงองค์เดียว เนื้อความในสารเล่ารายงานตั้งแต่ออกจากเมืองหลวง ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของชินอ๋องผู้เลื่องชื่อเจ็ดส่วนสิบ ซึ่งแต่ละเรื่องผู้นั่งบัลลังก์มังกรก็คาดไว้อยู่แล้วว่าต้องเกิดขึ้นตามปกติส่วนตอนนี้อาการของมู่หรงลู่เฉินรัชทายาทราชอาณาจักรซีเว่ย ก็พ้นขีดอันตรายไม่มีบาดแผลภายนอก เพราะโอสถพิเศษของเส้าหยาง จะมีก็แต่พิษเทาเทียที่ยังค้างอยู่ในร่างกาย ต้องใช้เวลารักษาให้พิษค่อย ๆ สลายจือจาง ส่วนหลานชายตัวปัญหาตอนนี้ก็กระโดดโลดเต้นก่อเรื่องได้แล้วซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดข
ชินอ๋องตะโกนเรียกคนที่รอรับคำสั่งอยู่ด้านนอก“ส่งคนพวกนี้ไปให้กู้ซีเจ๋อดูแล ให้พวกเขาฝึกร่วมกลับกลุ่มของเหวินชา อย่าให้เสด็จอาทราบ ส่วนค่าใช้จ่ายทุกอย่างทำบัญชีอย่าละเอียด”“พ่ะย่ะค่ะ”ฉีหลินเหลียงรับคำสั่ง แล้วเดินออกไปเตรียมการตามคำสั่งชินอ๋อง“ไปกัน”“โอ๊ะเสร็จแล้ว กลับกันเถอะ” หูลี่เซียนเริ่มมึนแล้วลุกขึ้นยืน นางอยากไปซบอกลู่เฉินนอน“งานเรายังไม่เสร็จนะ ข้ายังไม่รู้เลยว่าใครเป็นตัวการ เกิดมันลงมือก่อเรื่องอีก เราจะตั้งรับไม่ทัน” เยี่ยหยางที่แม้ดื่มสุราไปมาก แต่เขาไม่รู้สึกเมาเลยสักนิด เอ่ยจุดประสงค์ที่เขากลับมาเมืองหลวงอีกครั้ง“แล้วเราจะทำยังไง?”“ลี่เซียนเจ้าเมาแล้ว?”เยี่ยหยางมองหน้าเพื่อนสาว ที่เหมือนความคิดหยุดลงพร้อมสุราที่เข้าปาก “เจ้าพวกนี้ไม่รู้ แต่หัวหน้าพวกมันรู้ เราก็ไปถามหัวหน้าพวกมันสิ”“ต่อให้ตาย ก็ต้องปลุกมาถามก่อน ใครให้พวกมันรับงานนี้ล่ะ? รับงานมาแล้วก็ต้องรับผิดชอบ”“เยี่ย
หวงฉีเจิ้งเริ่มทำการสอดส่องความทรงจำของผู้หลับใหล ค่อย ๆ แผ่จิตแทรกเข้าไปในห้วงความฝัน ย้อนเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น เขามองดูความฝันของคนหลายร้อยคน แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือสิ่งที่พวกเขารู้อยู่แล้วพวกมันแค่ต้องการอาวุธวิญญาณร้อยปีเขาไม่รู้แม้กระทั่งว่าใครเป็นผู้ว่าจ้าง คนเหล่านี้เป็นแค่ลูกกระจ๊อกของกลุ่มโจรหลาย ๆ กลุ่ม ที่ถูกหัวหน้าพวกมันสั่งมาเท่านั้น ไม่แม้จะเห็นหรือได้ยินเสียงตัวการสั่งการแม้แต่น้อยหวงฉีเจิ้งสั่นหัว หลังจากถอนจิตคืนกลับมา “ไม่มีประโยชน์ พวกมันไม่รู้อะไรเลย แต่พวกมันถูกหัวหน้าพวกมันใช้วิชาพิสดารลงอักขระเลือดไว้ หากคิดจะพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมาคือตาย”“อักขระเลือด?”“อืม พวกหัวหน้าโจรภูเขาพวกนี้เป็นคนทำให้ลูกน้องมันเอง แต่ว่าใครเป็นคนสอน ข้าไม่รู้”“เรื่องนี้มันไม่ธรรมดาอยู่แล้ว อีกฝ่ายสามารถหาเทาเทียมาลงมือด้วย คิดว่ามันคงวางแผนการมาอย่างดี” หูลี่เซียนครุ่นคิด“เก็บคนพวกนี้ก็ไม่มีประโยชน์ เปลืองค่าข้าวตำหนักข้า” เยี่ยมยางบ่นหงุดหงิดไม่พอใจที่ไม่ได้เรื่อ
หลังจากหนึ่งสัปดาห์ผ่านไป ข่าวคราวของผู้บุกรุกเงียบหายไปสืบสาวหาต้นเหตุไม่ได้ เพราะทันทีที่สอบปากคำ พวกมันต่างไม่ยอมปริปากแม้แต่น้อยแม้ว่าบางคนที่ถูกอาจารย์จ้าวเป็นคนสอบสวนต้องยอมเอ่ยวาจา แต่เพียงแค่คิดจะพูด ก็กลายเป็นศพต่อหน้าต่อตาจ้าวถิงเซียวด้วยพิษกลืนวิญญาณอย่างไม่รู้ตัวด้วยวิธีปกปิดความลับที่โหดเหี้ยมอำมหิต จึงได้แต่ปล่อยผู้บุกรุกที่มีชีวิตที่เหลือไป เนื่องจากคนที่รู้ต้นตอเรื่องราวตายเรียบหมดแล้วแน่นอนว่าเยี่ยหยางไม่ยอมแพ้ จอมเวทสามคนแอบกลับไปที่เมืองหลวงของราชอาณาจักรซีเว่ย ย่องเข้าตำหนักชินอ๋อง“นี่เยี่ยหยาง ทำไมเจ้าจะต้องย่องแอบเข้าบ้านตัวเอง?” จอมเวทสาวถามเจ้าของบ้าน“แม่นางหูลี่เซียน แม่นางรู้หรือไม่ว่าเปิ่นหวางเป็นผู้ใด”เยี่ยหยางถามทีเล่นทีจริงกับอลิซาเบธ หรือ หูลี่เซียน นามที่แม่บุญธรรมตั้งให้นาง นามที่มีความหมายเทพธิดาที่งดงามเฮอะ ๆ …ส่วนญาติผู้น้องเขาก็เรียกนางว่าลี่ลี่ นามที่มีความหมายว่า น่ารักงดงามความงดงามเอย เทพธิดาเอย ความน่ารักเอย เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ เพื่อนสาวเขาควรมีชื่อที่มีค
ร่างจิ้งจอกแดงเรืองแสงสว่างขนาดตัวที่ค่อย ๆ ขยายขึ้นจากยืนสี่ขาเป็นสองเท้า หลังที่ขนานกับพื้นดินค่อย ๆ เหยียดตรง เงาของสตรีอยู่ท่ามกลางเงาควัน เส้นผมยาวสลวยจรดพื้น“เฮ้ย! ลืม!!! เสื้อ ๆ อยู่ไหน”เยี่ยหยางที่เห็นเงาร่างเปลือยเปล่าของเพื่อนสาว ก็รีบปิดตาเรียกเสื้อผาวตัวใหญ่ลอยไปคลุมสาวเจ้าไม่ให้อุจาดตาเขา เขาไม่อยากฝันร้ายเพราะเห็นร่างแม่มดโป๊ขี้วีน“ไอ้...ไอ้บ้า...เกรก นายทำบ้าอะไร”เสียงแหบแห้งตะกุกตะกักเพราะไม่ได้พูดมานานโวยขึ้น เสื้อผาวตัวใหญ่คลุมหัวปิดหน้าปิดตาจนมองไม่เห็นไรอะไรแสงและควันจางหายนางดึงเสื้อมาคลุมร่างไร้อาภรณ์ เสื้อผาวนุ่มลื่นเว้าไปตามส่วนโค้ง จนเห็นทรวดทรงโฉมงามล่มเมือง นิ้วมือเรียวยาวดังกิ่งหลิวรวบเส้นผมยาวลากออกมานอกอาภรณ์ สองหนุ่มเห็นหน้าตาคุ้นเคยยืนหน้าหงิกกลบความสวยจนหมด“ไง ยังอยู่ดีนิพ่อคุณชาย” คำทักทายแรกหลังจากด่าทอของแม่มดสาวนามอลิซาเบธ“ไม่เลวเลยสหายข้า ได้เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ของที่นี่ ตอแหลเนียนได้ตลอด”อลิซาเบธตบไหล่เพื่อนชายคนนี้ ที่ชอบทำหน้าเ
เยี่ยหยางเห็นโอกาสคืนฐานะ ก็สลับตัวกับร่างหลอมแร่แปรธาตุทันทีที่พ้นสายตาอาจารย์ประจำวิชาปรุงโอสถ เขาถอดหน้ากากออกดื่มน้ำยารสชาติย่ำแย่ลงคอ กลับมาเป็นชินอ๋องตามเดิมส่วนร่างปลอมก็โยนเข้าห้วงมิติเก็บรักษาไว้เผื่อคราวหน้ามีโอกาสได้ใช้ในห้องหนึ่งของมิติที่เต็มไปด้วยร่างหลอมที่รูปลักษณ์ต่างกันไปจ้าวถิงเซียวเมื่อเข้ามาอีกครั้งก็ไม่เห็นศิษย์ผู้สวมหน้ากากแล้ว เขายอมปล่อยเรื่องนี้ไปก่อนในตอนนี้ แต่ไม่มีทางที่จะไม่สืบหาราวเรื่องอาจารย์ปรุงโอสถเดินผ่านเตียงของศิษย์ชายที่อาการหนัก เพราะโดนพิษเทาเทียเหมือนกันที่นอนอยู่ด้านข้างผู้ที่เข้ามาใหม่ ยาเม็ดใหญ่ถูกป้อนเข้าปากลู่เฉินเพื่อสลายพิษ จากนั้นก็ไปดูอาการอีกคนที่ตอนนี้นั่งหันซ้ายหันขวาไม่มีอาการเจ็บปวด คือ ชินอ๋องจอมเสเพลที่เขาอยากจะสั่งสอนหนัก ๆ เหลือเกิน“ไม่เป็นอะไรแล้ว ก็กลับไปนอนที่ห้องตัวเอง อย่ามาเกะกะ” ผู้เป็นใหญ่ในจวนเยียวยาไล่ศิษย์ที่ไม่ต้องดูแลแล้วออกไป แต่ก็เห็นสายตามองคนเจ็บไม่ไปไหน“เขาไม่เป็นอะไรมากแล้วพิษในกายจะค่อย ๆ สลายไปเอง”“ขอบคุณที่ท่านอาจารย์จ้าวดูแล
ดวงตาของสัตว์เทพกวาดตามองเทาเทียหลายร้อยตัวที่ยังไม่สงบอ้าปากกว้างน้ำลายไหลยืดตามคมเคี้ยวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด มันรู้สึกว่าปากพวกนี้เหม็นสุด ๆ พวกไม่รักษาความสะอาดของช่องปากเลย‘แหยะ...ข้าไม่อยากฟัดกับพวกหมาบ้าน้ำลายอย่างเทาเทียเลยหยางหยาง’‘เจ้าไม่ฟัด ข้าฟัดกับพวกมันเอง’เยี่ยหยางตอบกลับสัตว์เทพคู่ตัวเองเสียงเย็น เขารู้ว่าฉงหยิ๋นพูดแบบนี้กำลังเรียกสติให้เขาควบคุมอารมณ์ เขาไม่คลุ้มคลั่งตอนนี้หรอก ยังมีอะไรให้ต้องจัดการอีกมากเขาส่งญาติผู้น้องให้สือหลงโหยวดูแลอย่างดีแล้ว ก่อนจะร่ายเกราะเวทคุ้มกายให้พวกเขา จากเก็บไม้กายสิทธิ์และเรียกไม้เท้าออกมาจัดการกับหมาบ้าน้ำลาย ทั้งยกทั้งฟาดทั้งสาปส่ง จนพวกมันแน่นิ่งไปหลายสิบตัวมือซ้ายก็ถือดาบประจำตระกูลวินเซอร์จ้วงแทงไม่ยั้ง เทาเทียแม้จะรู้สึกสัมผัสถึงอันตราย แต่มันก็ช้าไป แม้ว่ารวมกำลังพลต่อสู้เยี่ยหยางที่ฆ่าเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์อย่างโกรธแค้น ก็ไม่อาจสู้จอมเวทที่โทสะเดือดดาลพุ่งสะท้านฟ้าได้ ต่อให้เขาแสดงตัวไม่เป็นโล้เป็นพาย กลั่นแกล้งคน จนอายฟ้าดิน ย่อมขีดกำจัดขีดไว้ฝ่ายผู้บุกรุกเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด
เส้นผมสีเงินสะท้อนแสงตกกระทบสว่างเป็นเด่นชัด เดินออกมาเป็นคนแรกตามด้วยคนอื่น ๆ ทั้งหมดอยู่ในชุดของศิษย์เทียนถูหวู่ ทุกคนไม่มีล่องลอยของการบาดเจ็บมีเพียงอาการเหนื่อยล้าเมื่อยกล้ามเนื้อเท่านั้น ใบหน้า หน้าตา สีหน้าแจ่มใสไม่มีแววตาหวาดกลัวใด ๆ เดินออกมาเหมือนคนเพิ่มออกมาจากห้องนอนดวงตาผู้คนที่อยู่นอกตำหนักทั้งสองฝ่ายเบิกกว้างตกใจ จนลูกตาแทบกระเด็นกระบี่ทวนง้าวร่วงหล่นจากมือกระทบพื้น ส่งเสียงเคร้งคร้างดังเป็นทอด ๆ ภาพเลวร้ายต่าง ๆ ที่คิดไปไกลได้กลับตาลปัตรความหวังของฝ่ายบุกรุกเหมือนปีนถึงยอดผากลับถูกถีบลงมาเหยียบขยี้เละไม่เหลือซาก ผู้ที่บุกเข้าไปภายในตำหนักที่เหลืออีกครึ่งจากการเก็บไว้สอบปากคำด้วยอำนาจชินอ๋อง ตอนนี้ถูกมัดมือมัดปากไม่กล้าหืออือเดินเรียงแถวกันมาอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยยิ่งกว่าทหารในกองทัพ สีหน้าเจี๋ยมเจี้ยมเดินคอตกหมดอาลัยตายอยากกันทุกคน“เกิดอะไรขึ้น”น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยเรียบ ๆ ดวงตาคมหรี่มองภาพด้านนอก บุคลิกของผู้สวมหน้ากากอำพรางตัวตนคนนี้ ทำให้ทุกคนที่เห็นต่างรู้สึกว่ามีอำนาจอัดแน่นในร่างสูงสง่า จนทำให้ดูน่าเกรงขาม แต่น
ถึงพังพอนเหลืองที่เคารพหลานชายสุดที่รักของท่านถูกพวกมันรังแกย่ำยี พวกมันกระทืบข้า ลวนลามข้า เหยียดหยามวงศ์ตระกูลข้า จนไม่มีหน้ารักษา อีกทั้งกล่าวหาว่าท่านไม่มีน้ำยาสั่งสอนข้า จนกลายเป็นสวะรกแผ่นดินเท่ากับพวกมันลบหลู่เบื้องสูงเท่ากับเหยียบหน้าฝ่าบาท พวกมันเป็นคนของตาเฒ่าหลี่ที่หวังสร้างคลื่นใต้น้ำก่อเรื่อง มีโทษสมควรตาย เรื่องนี้ไท่จื่อเป็นสักขีพยานได้ ยังเคราะห์ดีที่มีผู้แข็งแกร่งช่วยเหลือข้าเอาไว้ และเป็นผู้ส่งตัวพวกมันและจดหมายฉบับนี้มาให้ฝ่าบาทพิจารณา ป.ล พวกมันเป็นคนของพรรคมารอสูรที่ตาแก่หลี่อยู่เบื้องหลังกล้าเหิมเกริมบุกเทียนถูหวู่ ข้าส่งพวกมันให้ท่านนอนกกกอดได้เพียงเท่านี้จาก ชินอ๋อง หลานรักของเสด็จอาฮ่องเต้ฮ่องเต้ราชอาณาจักรซีเว่ยที่กำลังประชุมขุนนางหารือเรื่องบ้านเมืองอ่านสารจบหนวดกลับกระตุกไม่หยุด เส้นขมับเต้นตุบ ๆ สายตาคมมองไปที่บรรดาร่างล่อนจ้อนที่มีผ้าปกปิดกันอุจาด รอยสักบอกยี่ห้อเจ้านายถูกเยี่ยหยางพรางไว้“ทหารจับพวกมันไปขังคุกของชินอ๋อง ร