เขาเดินหมากผิดไปจริง ๆหากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้แต่แรก เขาก็คงไม่เชิญตัวหางซานสุ่ยมาแน่ยามนี้ช่างดีนัก ทำเอาเขาขี่หลังเสือจนลงไม่ได้ ทั้งยังกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเดิมทีเขาคิดว่าหลังจากเปิดโปงอวิ๋นฝูหลิงแล้ว จะหาข้ออ้างมาสักข้อ ส่งหางซานสุ่ยกลับไปแต่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเวินจือเหิง ถึงได้ดึงดันจะให้หางซานสุ่ยตรวจโรคให้เขาให้ได้เวินเจารู้ว่าหากเขายังขัดขวางต่อไป จะมีแต่ทำให้คนสงสัย จึงได้แต่ฝืนยิ้มพลางกล่าวว่า“ข้าเพียงแค่หวังดี มีใจคิดเผื่อพี่ใหญ่”“ในเมื่อพี่ใหญ่อยากให้คุณชายสามหางจับชีพจร เช่นนั้นก็ลองตรวจดูเถิด”ยามนี้มีแต่ต้องเสี่ยงดูสักครั้งคนที่ให้ยาพิษกับเขาเคยบอกไว้ว่า เมื่อพิษนี้เข้าสู่ร่างกายแล้ว ทั่วหล้านี้มีน้อยคนนักที่จะดูออกคุณชายสามหางผู้นี้จะดูออกหรือไม่นั้นก็พูดได้ไม่แน่ชัด!หากเขาดูไม่ออก การที่ตัวเขาเองขัดขวางอยู่เช่นนี้ จะไม่ทำให้เวินจือเหิงเกิดความสงสัยเอาง่าย ๆ หรอกหรือเมื่อคิดถึงตรงนี้ เวินเจาก็รู้สึกกลับมามั่นใจอีกครั้งในชั่วพริบตาเขาจงใจทำทีเป็นใจกว้าง แล้วผายมือเชิญหางซานสุ่ยด้วยความนอบน้อมจะได้ขจัดความสงสัยเล็กน้อยที่อาจเกิดขึ้นมาจากการท
เวินจือเหิงฟังความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของหางซานสุ่ยออกจึงรีบรับคำทันที “ขอบคุณที่คุณชายสามหางเดินทางมาที่นี่”หางซานสุ่ยยิ้มบาง ๆ “ไม่เป็นไร คุณชายรองเวินได้ให้ค่าตรวจมาก่อนล่วงหน้าแล้ว เพียงแต่หากรู้แต่แรกว่าน้องชายอยู่ที่นี่ ข้าก็คงไม่ต้องมาที่นี่แล้ว”“ฝีมือแพทย์ของน้องชายยอดเยี่ยมกว่าข้า มีเขาอยู่ ข้าก็ไม่จำเป็นต้องออกโรง”เวินจือเหิงได้ยินเช่นนั้น จึงมองเวินเจาด้วยสายตาที่แฝงความหมายลึกซึ้ง “ต้องขอบคุณน้องรองที่คิดเผื่อข้า!”เวินเจาแทบจะคงรอยยิ้มไว้บนหน้าไม่ได้แล้ววันนี้เดิมทีนึกว่าจะได้เปรียบ ทว่ากลับกลายเป็นล้มเหลวไม่เป็นท่าน ในใจของเวินจือเหิงจะต้องมีความสงสัยอยู่เป็นแน่โชคดีที่แม้ว่าเวินจือเหิงจะเกิดความสงสัยอยู่ในใจ ทว่าว่าเขาก็ไร้ข้อพิสูจน์เรื่องถูกวางยาพิษไม่ได้ถูกเปิดโปง ยังไม่ถึงท้ายที่สุดที่จะฉีกหน้าตัดขาดกันเพียงแต่ว่า มีบางเรื่องที่ต้องรีบจัดการให้เร็วที่สุดมิเช่นนั้นหากเวินจือเหิงรู้เข้า จะกลายเป็นเรื่องลำบากเวินเจาวางแผนอยู่ในใจอย่างรวดเร็ว สีหน้าของเขาก็กลับมาซื่อตรงอีกครั้ง“พี่ใหญ่เกรงใจเกินไปแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ข้าควรทำอยู่แล้ว”เวินจือเหิงคร้
ใครจะคาดคิดว่าองครักษ์ทั้งสองเพิ่งจะเดินไปได้ไม่ทันไร เวินเจาก็มาเสียแล้วเวินเจาผลักบานประตูเข้าไป เขาถึงกับถูกบรรยากาศภายในห้องทำให้ตกใจไปในทันทีกลางวันแสก ๆ เช่นนี้ เขาไหนเลยจะไปคิดว่าท่านราชครูที่ดูท่าทางซื่อสัตย์เช่นนั้น จะมีด้านที่ปล่อยตัวไปตามอำเภอใจเช่นนี้ชั่วพริบตานั้น เวินเจามีแต่ความอึดอัดใจเขารีบยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดหน้าไว้ แล้วพูดอย่างขุ่นเคืองว่า “ท่านราชครูเชิญทำธุระก่อนเถิด ข้าจะไปรอท่านที่ห้องข้างๆ!”พูดจบ เวินเจาก็ออกห้องไปด้วยความรวดเร็วก่อนที่จะออกไป เขาพลันเหลือบไปเห็นโดยไม่ตั้งใจ จึงเห็นเข้ากับผิวขาวราวหิมะที่โผล่วับ ๆ แวม ๆ ตามรอยแยกของม่านคลุมเตียงกลิ่นหอมประหลาดลอยคละคลุ้งอยู่ในอากาศเวินเจารู้สึกว่ากลิ่นหอมนั้นออกจะคุ้นจมูกอยู่บ้าง เหมือนกับเคยได้กลิ่นจากที่ไหนสักแห่งมาก่อนทว่าเขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย รีบสาวเท้าเดินออกไปท่านจอมปราชญ์เหวินถูกเวินเจาเข้ามารบกวนเรื่องดี ๆ ย่อมไม่สบอารมณ์นักครั้นสตรีบนเตียงได้ยินเสียงของเวินเจา ก็ตกใจจนตัวสั่นงันงก รีบดึงผ้านวมคลุมปิดหน้าปิดทันทันที ด้วยกลัวว่าเวินเจาจะเข้ามาเจอนางเข้าท่านจอมปราชญ์เหวินเห็นเช่นน
เวินเจาไม่รู้เลยว่าตัวเองถูกสวมเขาเขากลัวว่าท่านจอมปราชญ์เหวินจะรู้สึกเสียหน้า ยังปลอบใจเขาด้วย “ทุกคนล้วนเป็นผู้ชาย ข้าเข้าใจ!”“ท่านราชครูไม่จำเป็นต้องเก็บเอาไปใส่ใจ!”ท่านจอมปราชญ์เหวินเห็นเวินเจาย้อนกลับมาช่วยเขาบรรเทาความอึดอัด หลังจากอึ้งไปครู่หนึ่ง มุมปากที่ซ่อนอยู่ใต้หน้ากากเผยอขึ้นเขาไม่อยากพูดถึงหัวข้อสนทนานี้อีก จึงกล่าวเปลี่ยนประเด็น “นายน้อยมาอย่างเร่งรีบ มีเรื่องอะไรหรือ?”เวินเจาจึงจะนึกถึงจุดประสงค์ที่ตัวเองมา“วันนี้จู่ๆ ก็มีหมอของสกุลหางไปที่เวินจือเหิง”“แม้มองพิษในร่างกายของเวินจือเหิงไม่ออก แต่ข้ามักจะรู้สึกไม่สบายใจ”เมื่อท่านจอมปราชญ์เหวินได้ยินก็เลิกคิ้วเล็กน้อย “คนไหนของสกุลหาง?”เวินเจากล่าวตอบ “บอกแค่ว่าแซ่หาง ไม่ได้บอกว่าชื่ออะไร”เขาคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าว “เป็นเด็กหนุ่มอายุประมาณยี่สิบปี หน้าตาดีใช้ได้”ท่านจอมปราชญ์เหวินไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสกุลหางมากนักรู้แค่ว่านายท่านผู้เฒ่าหางมีลูกหลานมากมาย เด็กหนุ่มที่ปีนี้อายุประมาณยี่สิบปี ลองคิดดูน่าจะเป็นหลานของนายท่านผู้เฒ่าหางในเมื่อคนคนนั้นมองปัญหาสุขภาพของเวินจือเหิงไม่ออก ท่านจอมปราชญ์จึงไม่ได้เ
“แค่รอคนมีตำแหน่งสำคัญในเมืองหลวงติดขี้ผึ้งทอง พวกเราก็สามารถนำกำลังทหารของทางจินโจว และคนของพวกเราบุกเข้าเมืองหลวง ยึดวังหลวงแล้ว”“ถึงเวลาจะเป็นวันที่ต้าฉีล่มสลาย และเผ่าเยว่ผงาดอีกครั้ง!”ท่านจอมปราชญ์เหวินพูดถึงตรงนี้ ลุกขึ้นคำนับเวินเจาทีหนึ่ง “ถึงเวลานายน้อยขึ้นครองราชย์ ใต้ฟ้าศิโรราบ”เวินเจาจินตนาการภาพที่ตัวเองสวมเพ้ามังกร สวมมงกุฎบนศีรษะ นั่งอยู่บนราชบัลลังก์ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นเขายื่นมือไปประคองท่านจอมปราชญ์เหวิน กล่าวอย่างกระตือรือร้น “ถ้าหากมีวันหนึ่งที่เผ่าเยว่สามารถฟื้นฟูแคว้น ท่านราชครูจะมีความดีความชอบที่ยิ่งใหญ่!”ท่านจอมปราชญ์เหวินหลุบตา “เพื่อแคว้นเยว่ กระหม่อมยินดีทำทุกอย่างโดยไม่รู้สึกเสียใจใดๆ”เวินเจาตบไหล่ของท่านจอมปราชญ์เหวิน “หัวใจที่ท่านราชครูมีต่อเผ่าเยว่ฟ้าดินสามารถเป็นพยาน”“ทางแคว้นญี่ปุ่น ฝากท่านจอมปราชญ์เหวินแล้ว”“ข้าจะบังคับให้เวินจือเหิงบอกที่อยู่ของสมบัติสกุลเวินเอง”เวินเจาวางยาพิษเวินจือเหิง ไม่เพียงเพื่อตำแหน่งผู้นำตระกูลสกุลเวิน ยังรวมถึงสมบัติของสกุลเวินที่สะสมมานับร้อยปีด้วยหลังจากเขากุมอำนาจสกุลเวิน เคยดูสมุดบัญชีของสกุลเ
ท้องฟ้าและทะเลสีครามเชื่อมต่อกันเป็นเส้นตรงฝูงนกนางนวลกระพือปีกบินอยู่เหนือท้องทะเลอวิ๋นฝูหลิงยืนอยู่บนดาดฟ้า ลมทะเลที่ปะทะหน้ามาพร้อมกับกลิ่นเค็มและความชื้นจางๆเทียนเฉวียนยืนอยู่ที่ข้างกายนาง มองดูท้องทะเลที่กว้างสุดลูกหูลูกตาวันนี้เป็นวันที่สามของการออกทะเลแล้วในสามวันนี้ พวกนางค้นหาตามเส้นทางจากอ่าวเสี่ยวเยว่ไปแคว้นญี่ปุ่น แต่กลับไม่พบอะไรเลยเซียวจิ่งอี้กับจั่วยวนกำลังติดตามคนญี่ปุ่น หายตัวไปจากอ่าวเสี่ยวเยว่อวิ๋นฝูหลิงสั่งให้เทียนเฉวียนพาคนไปค้นหาที่อ่าวเสี่ยวเยว่อย่างลับๆ จนทั่วแล้ว แต่ไม่พบร่องรอยของเซียวจิ่งอี้กับจั่วเยี่ยนเลยเมื่อเป็นเช่นนี้ ความเป็นไปได้ที่สูงที่สุดคือเซียวจิ่งอี้กับจั่วเยี่ยนออกทะเลไปพร้อมกับเรือของคนญี่ปุ่นแล้ว แม้ทะเลกว้างใหญ่ แต่ชาวญี่ปุ่นคนนั้นทำการค้าขายกับเวินเจา การเดินทางทางทะเล มีเส้นทางที่แน่นอนการแบ่งอำนาจไม่ได้มีเพียงเฉพาะบนบก บนทะเลก็มีเจ้าถิ่นเช่นกันถ้าหากออกนอกเส้นทาง ไม่แน่อาจจะหลงเข้าไปในถิ่นของคนอื่น หรือแม้แต่พบกับโจรสลัดดังนั้นขอแค่อวิ๋นฝูหลิงแล่นไปตามเส้นทางจากอ่าวเสี่ยวเยว่ไปแคว้นญี่ปุ่น ขอแค่หาชาวญี่ปุ่นคนนั้นเ
หลังจากหลายวันที่ใช้เวลาร่วมกัน คนที่เวินจือเหิงส่งมาเชื่อฟังมาก สามารถเรียกได้ว่าปฏิบัติตามคำสั่งของอวิ๋นฝูหลิงอวิ๋นฝูหลิงแค่ต้องการให้พวกเขาเชื่อฟัง และให้คำแนะนำที่มีประโยชน์แก่นางในเวลาจำเป็น ให้การออกทะเลครั้งนี้ราบรื่นและปลอดภัยก็พอแล้วจ้าวเสวียซือวิ่งไปที่ดาดฟ้า ก็ตะโกนถามอวิ๋นฝูหลิง “ถ้าได้ยินมาว่าช่วยคนขึ้นมาจากทะเล…”อวิ๋นฝูหลิงพยักหน้าให้เขา หลังจากนั้นมองไปที่ด้านข้างจ้าวเสวียซือมองตามสายตาของนาง ก็เห็นเด็กหนุ่มอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปีนั่งอยู่ตรงนั้น กำลังยัดหมั่นโถวเข้าปากเด็กหนุ่มกวาดมององครักษ์ที่อยู่โดยรอบองครักษ์ไปยืนคั่นระหว่างเขากับอวิ๋นฝูหลิง และตั้งท่าระวังกับปกป้องผู้ที่ต้องระวังคือเด็กหนุ่มคนนี้ ส่วนผู้ที่ต้องปกป้องคืออวิ๋นฝูหลิงแม้เด็กหนุ่มคนนี้ดูน่าสงสาร แต่อย่างไรก็เป็นคนที่ไม่รู้ที่ไปที่มา ต้องระวังไว้ก่อนจ้าวเสวียซือมองเด็กหนุ่มแวบหนึ่ง ประกายในแววตาดับลงทันทีเขาพึมพำเสียงเบา “ข้าคิดว่า…”เขาไม่ได้พูดคำที่เหลือออกมา แต่อวิ๋นฝูหลิงกลับเข้าใจความหมายของเขาพวกเขาล้วนคิดว่าเซียวจิ่งอี้กับจั่วเยี่ยนมีโอกาสที่จะอยู่บนทะเลมากที่สุดไม่แน่ว่า
อวิ๋นฝูหลิงเข้าใจความกังวลของจ้าวเสวียซือบนทะเลผืนนี้ไม่ได้มีเพียงพ่อค้าจากแคว้นต่างๆ ที่ทำการค้าทางทะเลกับต้าฉียังมีโจรสลัดที่คอยปล้นเรือสินค้าที่แล่นผ่านมาด้วยคนที่เวินจือเหิงส่งมา ล้วนคุ้นเคยกับเรื่องราวในทะเลภายใต้คำขอของอวิ๋นฝูหลิง หลายวันนี้พวกเขาได้เรื่องราวต่างๆ ที่พบเจอตอนออกทะเลให้ฟังไม่น้อย และยังมีประสบการณ์การใช้ชีวิตบนทะเลด้วยหนึ่งในนั้นก็มีเนื้อหาเกี่ยวกับโจรสลัดโจรสลัดไม่ใช่พวกป่าเถื่อนทั้งหมด มีโจรสลัดบางส่วนที่เดินเส้นทางชิงไหวพริบพวกเขาจะส่งคนไปปลอมตัวเป็นผู้รอดชีวิตกลางทะเล อาศัยความเห็นใจของผู้คน หลังจากถูกช่วยขึ้นมาแล้ว แกล้งเป็นผู้อ่อนแอเพื่อให้ได้มาซึ่งความเห็นใจและเชื่อใจจากนั้นร่วมมือกับโจรสลัดที่ซ่อนอยู่ในมุมมืดเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ต้องออกแรงเยอะ สามารถจับคนและปล้นทรัพย์สินทั้งหมดบนเรือได้อย่างง่ายดาย จ้าวเสวียซือสงสัยว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าคือสายลับ แน่นอนว่าอวิ๋นฝูหลิงก็มีความสงสัยเช่นเดียวกับจ้าวเสวียซือนางไม่ได้เชื่อคำพูดของเด็กหนุ่มคนนี้ทั้งหมดถ้าหากอยู่บนบก หลังจากอวิ๋นฝูหลิงช่วยเด็กหนุ่มคนนี้ อยากมากให้เงินเขาเล็กน้อย แล้วไล่เขาไป
เทียนเฉวียนได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจทันทีว่าท่านอ๋องคิดจะนั่งรอลาภลอยในเมื่อเวินเจาผู้นั้นเป็นนายน้อยเผ่าเยว่ สถานะในเผ่าเยว่ก็ย่อมไม่ธรรมดาหลังจากคนแคว้นเยว่เหล่านั้นรู้ข่าวว่าเวินเจาถูกจับตัวมา จะต้องคิดหาวิธีมาช่วยเขาออกไปเป็นแน่เทียนเฉวียนไปทำตามคำสั่งของเซียวจิ่งอี้ทันทีทว่าหลังจากรอมาสามวัน ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวจากทางด้านเวินเจาแม้แต่น้อยเซียวจิ่งอี้ตระหนักได้ว่าตัวเองเจอคู่ต่อสู้เข้าแล้วราชครูแคว้นเยว่หลบหนีเก่งมาก ทำให้ยามนี้เขารู้สึกจนปัญญาอยู่บ้างหากพูดตามหลักการแล้ว คนแคว้นเยว่เหล่านั้นต้องการฟื้นฟูแคว้น ตัวตนของเวินเจาซึ่งมีสายเลือดราชวงศ์ จึงทำให้พวกเขามีเหตุผลอันชอบธรรมมิเช่นนั้นอาศัยเพียงราชครูผู้นั้น คนแคว้นเยว่ที่เหลือจะเชื่อฟังคำสั่งเขาได้อย่างไร?ทว่าหลังจากผ่านไปนาน คนแคว้นเยว่เหล่านั้นกลับไม่มีท่าทีว่าจะมาช่วยเวินเจาแม้แต่น้อยนี่หมายความว่ามองแผนของเขาออกใช่หรือไม่? หรือคิดว่ายามนี้ไม่ใช่จังหวะที่ดีในการช่วยเหลือ จึงกำลังวางแผนและเฝ้าดูอยู่?หรือคนแคว้นเยว่ยอมแพ้เรื่องนายน้อยเวินเจาผู้นี้แล้ว?เซียวจิ่งอี้คิดไปคิดมา ก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่คนแ
ทหารชั้นผู้น้อยคนนั้นได้กลิ่นเลือดจาง ๆ สายหนึ่งกลิ่นเลือดจางมาก จนแทบไม่ได้กลิ่นแต่เขาเกิดมาพร้อมจมูกที่อ่อนไหวต่อกลิ่น แค่เพียงกลิ่นจาง ๆ ก็สามารถได้กลิ่นเช่นกันทหารชั้นผู้น้อยรีบเดินหลายก้าว ไล่ตามสือจ่างซึ่งเป็นผู้นำไปยามนี้สือจ่างเดินออกมาจากเรือนแล้ว ทหารชั้นผู้น้อยรีบเดินไปตรงหน้าสือจ่าง และกระซิบไม่กี่ประโยคก้นบึ้งในดวงตาของสือจ่างฉายแววประหลาดใจ และหันกลับไปมองลานบ้านด้านหลังในลานบ้าน ชายวัยกลางคนกับหญิงสาวผู้งดงามเห็นว่าในที่สุดทหารก็ตรวจค้นเสร็จแล้ว จึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกใครจะรู้ว่ายังไม่ทันถอนหายใจเสร็จ ประตูเรือนกลับถูกคนพังเปิดเข้ามาอย่างกะทันหันกลุ่มทหารที่เข้ามาตรวจค้นก่อนหน้านี้บุกเข้ามาอีกครั้งชายวัยกลางคนเห็นเช่นนั้นก็ใจเต้นแรง แต่บนใบหน้ากลับยังสงบ และก้าวออกมาด้วยรอยยิ้มคาดไม่ถึงว่าเขายังไม่ทันได้เอ่ยปาก สือจ่างผู้นั้นซึ่งเป็นหัวหน้าก็ผลักเขาไปด้านข้าง ก่อนออกคำสั่งเสียงเคร่งขรึมว่า “ค้นหาทั้งในและนอกเรือนใหม่อีกครั้ง ค้นให้ละเอียด!”ทหารทุกคนตอบรับ และแยกย้ายไปค้นหาอีกครั้งทันทีทหารชั้นผู้น้อยซึ่งประสาทรับกลิ่นไวยืนอยู่ที่เดิม จมูกขยับฟ
“ขอรับ” เทียนซูรับคำสั่งก่อนจะถอยออกไปผ่านไปไม่นาน เทียนซูก็กลับมา“ท่านอ๋อง ผู้ดูแลหอจินอวี้กับพนักงานยืนยันศพกันหมดแล้วขอรับ แน่ใจแล้วว่าเป็นคนที่อยู่ข้างตัวราชครูแคว้นเยว่ผู้นั้น”เซียวจิ่งอี้ใคร่ครวญครู่หนึ่ง ก่อนถามว่า “คนผู้นี้ถูกจับได้ที่ใด?”“ถูกจับที่ตรอกหูลู่ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองขอรับ” เทียนซูตอบกลับเซียวจิ่งอี้กล่าวทันที “ไปเอาแผนที่จินโจวมา”ผ่านไปไม่นาน แผนที่จินโจวก็ถูกแขวนขึ้นเซียวจิ่งอี้เดินไปข้างหน้าแผนที่ หาตำแหน่งตรอกหูลู่บนแผนที่เขายื่นมือออกไปแตะบนแผนที่ หลังจากนั้นก็วงขอบเขตโดยประมาณและกล่าวว่า“ถ่ายทอดคำสั่ง ให้คนไปค้นหาทุกซอกทุกมุมของตรอกหูลู่”คนผู้นั้นที่ถูกจับได้ ย่อมไม่ปรากฏตัวที่ตรอกหูลู่โดยไม่มีสาเหตุบางทีสถานที่ซ่อนตัวของพวกเขา อาจจะอยู่ใกล้ตรอกหูลู่นอกจากนี้คนผู้นั้นที่ถูกจับได้ ยังกัดลิ้นปลิดชีพตัวเอง ไม่ให้ความหวังตัวเองว่าจะมีชีวิตรอดเลย เห็นได้ชัดว่าทำเพื่อปกป้องใครบางคนดูท่าคนรอบกายราชครูแคว้นเยว่ผู้นั้นจะจงรักภักดีเป็นอย่างยิ่งการเดินทางมาจินโจวครั้งนี้ของเขา ไม่แน่คนข้างกายที่พามาอาจจะล้วนเป็นคนสนิททั้งสิ้นหากคนสนิทเห
จิตรกรฝีมือดีเช่นนี้ เหตุใดจึงถูกเซียวจิ่งอี้เชิญไปได้ง่าย ๆยิ่งไปกว่านั้นจิตรกรฝีมือดีเหล่านั้นก็ยังไม่เคยเห็นพวกท่านจอมปราชญ์เหวินมาก่อน เหตุใดจึงสามารถวาดภาพเหมือนจากความว่างเปล่าให้เหมือนพวกเขาโดยสมบูรณ์ได้?นอกจากนี้ท่านจอมปราชญ์เหวินอยู่ที่จินโจวมานานแล้ว แต่ไม่เคยได้ยินว่าในจินโจวมีจิตรกรชื่อดังอันใดเลยตั้งแต่เขาหลบหนีจากหอจินอวี้มาจนถึงตอนนี้ ก็ยังผ่านไปไม่พ้นครึ่งวันเสียด้วยซ้ำภายในระยะเวลาอันสั้นถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงมีคนที่สามารถวาดภาพพวกเขาออกมาได้มากมายเช่นนี้?ในใจท่านจอมปราชญ์เหวินไม่อยากจะเชื่อแต่เห็นผู้ใต้บังคับบัญชาพูดจาหนักแน่น เขาก็ไม่กล้าคิดไปเองมากเกินไปไม่รู้เพราะเหตุใด เขามักรู้สึกว่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเซียวจิ่งอี้ จะมีความแปลกประหลาดมากเสมอบางทีอาจมีคนมากความสามารถอยู่ข้างกายเซียวจิ่งอี้จริง ๆ ซึ่งสามารถวาดภาพเหมือนออกมาได้เหมือนจริงโดยสมบูรณ์ โดยที่อาศัยเพียงคำอธิบายไม่กี่ประโยคยามนี้คนเหล่านี้ที่อยู่ข้างกายเขา ต่างเป็นคนที่เคยปรากฏตัวที่หอจินอวี้หากข้างกายเซียวจิ่งอี้มีจิตรกรฝีมือดีอยู่จริง ๆ เกรงว่าคนเหล่านี้ที่อยู่ข้างกายเขา คงล้วนถูกวาด
ท่านจอมปราชญ์เหวินได้แต่แสร้งทำเป็นผ่านทางมา และรีบพาคนจากไปยามที่ออกมาจากหอจินอวี้ ท่านจอมปราชญ์เหวินก็ถอดหน้ากากออกการสวมหน้ากากเดินบนท้องถนน จะยิ่งดึงดูดความสนใจหลังจากถอดหน้ากาก รูปลักษณ์ของเขาก็ไม่ได้โดดเด่นมากนัก ในฝูงชนจึงแทบไม่มีใครสังเกตเห็นเมื่อคิดว่าแผนการของตนล้มเหลว จนถูกเซียวจิ่งอี้ไล่ล่าราวกับสุนัขไร้บ้านตัวหนึ่ง อีกทั้งนายน้อยเผ่าเยว่เป็นหรือตายก็ไม่อาจรู้ได้ ในใจท่านจอมปราชญ์เหวินจึงหดหู่เป็นอย่างยิ่งเป็นความผิดของเซียวจิ่งอี้!ท่านจอมปราชญ์เหวินรู้สึกราวกับว่าเซียวจิ่งอี้เกิดมาเพื่อเป็นหายนะของเขาเขาวางแผนจัดการเซียวจิ่งอี้หลายครั้ง แต่ก็ถูกอีกฝ่ายหลบเลี่ยงได้ทุกครั้งเมื่อเขาคิดจะฉวยโอกาสสร้างความวุ่นวายให้แคว้นต้าฉี ก็จะถูกเซียวจิ่งอี้ทำลายแผนการเสมอยามนี้เมื่อนึกถึงเซียวจิ่งอี้ ท่านจอมปราชญ์เหวินก็โกรธจนกัดกรามในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ นี้ เขายังไม่มีกำลังที่จะโต้กลับได้รอก่อนเถอะรอให้เขากลับไปที่เมืองหลวง ก็จะสามารถอาศัยอำนาจขององค์ชายสาม จัดการเซียวจิ่งอี้ให้สิ้นซาก!ท่านจอมปราชญ์เหวินกัดฟัน ขณะที่สีหน้ามืดครึ้มผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดท่านจอมป
อวิ๋นฝูหลิงยังจำเรื่องที่เซียวจิ่งอี้ขอให้นางวาดภาพเหมือนได้หลังจากพบเซียวจิ่งอี้ ทั้งสองคนก็ไปยังคุกที่ขังผู้ดูแลกับพนักงานของหอจินอวี้ไว้เมื่อพูดถึงแขกผู้มีเกียรติบนชั้นสามของหอจินอวี้ ผู้ดูแลกับพนักงานของหอจินอวี้ก็ต่างจดจำได้เป็นอย่างดีชั้นสามของหอจินอวี้ ไม่ใช่ว่าใครต่างก็มีสิทธิ์ขึ้นไปได้นี่เป็นอุบายที่หอจินอวี้โยนออกมา เป็นวิธีดึงดูดลูกค้าเพื่อสร้างกำไรแบบหนึ่งผู้ที่สามารถขึ้นไปชั้นสามของหอจินอวี้ได้ หมายความว่าเป็นคนที่มีสถานะและทักษะการพนันสูงแต่กลุ่มของท่านจอมปราชญ์เหวิน กลับเป็นเวินเจาพาขึ้นไปด้วยตัวเองนับตั้งแต่เวินจือเหิงนอนป่วยติดเตียง อำนาจทั้งหมดของสกุลเวินก็ตกไปอยู่ในมือของเวินเจาเวินเจาพาคนไปพักอยู่ที่ชั้นสามของหอจินอวี้ ทั้งยังบอกให้ปรนนิบัติกลุ่มของท่านจอมปราชญ์เหวิน เหล่าคนของหอจินอวี้ย่อมไม่กล้าไม่เชื่อฟังไม่ว่าจะเป็นผู้ดูแลของหอจินอวี้ หรือพนักงาน ยามนี้เมื่อถูกขังอยู่ในคุก ทุกคนก็หวาดกลัวอยู่ตลอดเมื่อเห็นการสืบสวนก่อนหน้านี้ของเซียวจิ่งอี้ คนเหล่านี้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง และออกไปจากคุกโดยเร็ว ทุกคนต่างก็แย่งชิงกันเป็นคนแรกเพราะกล
“พี่สาม ทางด้านเมืองหลวงมีข่าวคราวบ้างหรือไม่?”“พวกท่านปู่โอวหยางคิดค้นเทียบยาใหม่ที่ใช้รักษาผู้ที่ป่วยเพราะขี้ผึ้งทองได้แล้วหรือไม่?”หลังจากค้นพบขี้ผึ้งทอง อวิ๋นฝูหลิงก็ดึงพวกรองเจ้าสำนักโอวหยางกับหมอหลวงจงมาร่วมศึกษาด้วยกัน ทั้งยังเขียนจดหมายส่งให้นายท่านผู้เฒ่าหาง รวมถึงส่งข้อมูลที่เกี่ยวกับชีพจรและการรักษาให้เขาด้วยแม้เมืองหลวงกับจินโจวจะเป็นสถานที่ที่ได้รับผลกระทบจากขี้ผึ้งทองมากที่สุด แต่ก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าที่อื่นจะไม่ได้รับผลกระทบถึงอย่างไรการค้าของแคว้นต้าฉีก็เจริญรุ่งเรืองมาก จากใต้ขึ้นเหนือมีพ่อค้ามากมาย บางทีอาจจะมีคนที่เดินทางระหว่างเมืองหลวงกับจินโจว ซื้อขี้ผึ้งทองติดไปด้วยสองสามกล่องก็เป็นได้อวิ๋นฝูหลิงคิดว่านางออกจากเมืองหลวงมาหลายวันถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าทางด้านเมืองหลวงจะมีความคืบหน้าใหม่อันใดบ้างตั้งแต่อวิ๋นฝูหลิงกลับมาถึงจินโจว ก็ยุ่งอยู่กับการรักษาผู้ป่วยมาโดยตลอด หางซานสุ่ยจึงไม่มีโอกาสได้พูดคุยเป็นการส่วนตัวกับนางตอนนี้เมื่อเห็นว่าอวิ๋นฝูหลิงเป็นฝ่ายถามขึ้นมา หางซานสุ่ยก็นับว่ามีโอกาสแล้วเขาหยิบจดหมายสองสามฉบับออกมาจากในโต๊ะ“จดหมายพวกนี้ถูกส่ง
แม้ว่าราชครูแคว้นเยว่จะหนีไปแล้ว แต่เขาอยู่ที่หอจินอวี้ตั้งหลายวัน จึงมักจะมีช่วงเวลาที่ผ่อนคลายจนเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงแม้เขาจะใช้หน้ากากปิดบังใบหน้าอยู่เสมอ จึงไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่คนรอบตัวเขาทุกคนจะสวมหน้ากากกระมัง?เริ่มต้นไล่ไปจากผู้ใต้บังคับบัญชา บางทีอาจจะค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ก็เป็นได้เซียวจิ่งอี้ตัดสินใจไต่สวนผู้ดูและกับพนักงานเหล่านั้นของหอจินอวี้ยังมีทักษะการวาดภาพเหมือนอันยอดเยี่ยมของอวิ๋นฝูหลิง จะต้องจับพวกปลาซิวปลาสร้อยพวกนั้นได้เป็นแน่แม้ว่ากลุ่มของราชครูแคว้นเยว่จะฉวยโอกาสวางเพลิงเพื่อหนีออกไปจากหอจินอวี้ แต่ประตูเมืองจินโจวก็ปิดอยู่ ยามนี้พวกเขาคงยังซ่อนตัวอยู่ในเมืองนอกจากนี้ มีบางสิ่งที่ต้องจัดการด้วยเช่นกันเซียวจิ่งอี้ยืนอยู่หน้าประตูสำนักผิงอัน หันกลับมามองอวิ๋นฝูหลิงที่กำลังยุ่งคราหนึ่งเพียงชั่วครู่เดียว เขาก็พลิกร่างขึ้นหลังม้า มุ่งตรงไปยังที่ว่าการเมืองจินโจวครึ่งชั่วยามต่อมา มีประกาศใบหนึ่งถูกนำมาติดไว้ที่ประตูที่ว่าการทั้งยังมีคนตีฆ้องจากที่ว่าการ อ่านเนื้อหาในประกาศไปทั่วเมืองประกาศนี้กล่าวถึงอันตรายของขี้ผึ้งทอง
“ข้าอยากจับคนร้ายที่กระทำความผิด ให้ได้แบบคาหนังคาเขา”“แต่ไม่คิดเลยว่าคนผู้นั้นจะโหดเหี้ยมถึงขั้นเสียสติ ตั้งใจวางเพลิงในหอจินอวี้ เพื่อหลบหนีการไล่ล่า”“เป็นเพราะข้าไม่รอบคอบ ทำให้ผู้บริสุทธิ์ทุกคนต้องตกอยู่ในอันตราย”“วันนี้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเพราะเหตุเพลิงไหม้ที่หอจินอวี้ ค่ารักษาและค่ายาข้าจะจ่ายให้เอง”“นอกจากนี้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย จะได้รับห้าตำลึง ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหนักจะได้รับสิบตำลึง”“ได้ยินว่ามีสองคนที่ถูกไฟไหม้จนบาดเจ็บสาหัส สองคนนี้จะได้รับยี่สิบตำลึง”“เงินเหล่านี้ถือเป็นน้ำใจเล็กน้อยจากข้า ที่อยากจะรักษาร่างกายเหล่าผู้บาดเจ็บ”“ข้าจะให้คนนำเงินมามอบให้ในภายหลัง!”ผู้บาดเจ็บทุกคนได้ยินเช่นนั้น ความไม่พอใจที่สุมอยู่ในอกก็หายไปกว่าครึ่งทันทีตอนนี้เมื่อย้อนคิดดูแล้ว เมื่อคืนยามที่หอจินอวี้ถูกปิดล้อม ผู้นำคนนั้นก็บอกว่าทำเพื่อสืบคดีบางอย่างจริง ๆคิดดูอีกครายามนั้นที่เกิดเพลิงไหม้ ทหารเหล่านั้นก็มิได้บังคับขังพวกเขาไว้ในหอจินอวี้ ทว่ากลับรีบเข้ามาในหอเพื่อดับไฟช่วยคนหากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ เกรงว่าพวกเขาคงไม่ใช่แค่ได้รับบาดเจ็บ แต่กว่าครึ่งคงตายตกไปในเหตุเพ