หมอจ้าวลูบเคราขาว และพยักหน้ากล่าวว่า “หมอหางพูดมีเหตุผล”“ในวงการแพทย์ แม้คนที่มีอายุมากกว่า จะยิ่งมีประสบการณ์มาก และทักษะแพทย์ก็ย่อมยอดเยี่ยม”“แต่ก็มิใช่ว่าจะเป็นเช่นนี้ทุกคน”“ได้ยินว่าคุณหนูใหญ่อวิ๋นท่านนั้นจากสกุลอวิ๋นจวนจี้ชุนโหว อายุเพียงยี่สิบปี ทักษะแพทย์กลับเทียบเคียงเจ้าสำนักโอวหยาง ถึงขั้นเก่งกาจกว่าในการรักษาบางโรคด้วย”“ทักษะแพทย์สูงส่ง จนคนต้องชื่นชมว่าสมกับที่เป็นทายาทของผู้อาวุโสอวิ๋น”“ด้วยเหตุนี้ เรื่องในวงการนี้จึงไม่อาจสรุปได้ด้วยมาตรฐานเดียว!”อวิ๋นฝูหลิงเห็นว่าคำพูดหมอจ้าวมีความยุติธรรม ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกดีต่อเขามากขึ้นเดิมทีนางวางแผนว่าหากเวินเจายังพูดจ้อต่อไป ก็จะใช้ความล้มเหลวในการรักษาเวินจือเหิงของหมอจ้าวที่ผ่านมาเป็นเหตุผลโต้แย้งแต่เมื่อเห็นหมอจ้าวไม่เหมือนว่าจะเป็นหมอไร้คุณธรรมที่สมรู้ร่วมคิดกับเวินเจา นางก็ล้มเลิกแผนการนี้ทันทีหมอจ้าวคนนี้ดูเป็นคนที่ไม่เลวทีเดียว นางแค่คิดจะมารักษาเวินจือเหิง เพื่อเป็นพันมิตรกับเขา และเพื่อได้รับความช่วยเหลือจากเขาไม่ได้มีความแค้นกับหมอจ้าว จึงไม่จำเป็นต้องเหยียบย่ำเขาขึ้นไป ทำลายชื่อเสียงของเขา จนทำให้
หมอจ้าวได้ยินก็ขมวดคิ้ว หลังจากได้รับการอนุญาตจากเวินจือเหิง ก็ตรวจชีพจรของเขาอีกครั้งครั้งนี้ หมอจ้าวตรวจชีพจรนานขึ้นแต่หลังจากเขาตรวจอยู่นาน ก็ยังตรวจชีพจรออกแค่ว่าเป็นโรคต้องลมเย็น ส่วนอาการปอดร้อน ฟังชีพจรไม่ออกแม้แต่นิดเดียวจริง ๆเขาอดไม่ได้ที่จะสงสัยในทักษะแพทย์ของตัวเองไปชั่วขณะหนึ่งแอบคิดว่าทักษะแพทย์ของเขาสู้เด็กวัยรุ่นที่อายุยี่สิบปีคนหนึ่งไม่ได้เชียวหรือ?อวิ๋นฝูหลิงมองท่าทางสงสัยในชีวิตของหมอจ้าวออก ในใจก็แอบขอโทษประโยคหนึ่งดูจากชีพจรของเวินจือเหิง เหมือนเป็นแค่อาการป่วยจากการต้องไอเย็นจริง ๆ ส่วนอาการปอดร้อนอันใด ล้วนเป็นนางที่พูดไร้สาระเท่านั้นในส่วนของอาการกระหายน้ำปวดหัวที่นางถามเวินจือเหิง และเวินจือเหิงก็พยักหน้าตอบรับ สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นอาการป่วยที่เกิดจากการถูกวางยาพิษอาการเหล่านี้คล้ายกับอาการปอดร้อนอยู่บ้าง ดังนั้นอวิ๋นฝูหลิงจึงใช้โรคปอดร้อนเป็นข้ออ้างนางต้องการแทนที่หมอจ้าว กลายมาเป็นหมอประจำตัวของเวินจือเหิง จึงต้องมีเหตุผลดี ๆ สักข้อหนึ่งเดิมทีวิธีที่ดีที่สุดก็คือการขัดคอหมอจ้าว และตอกย้ำถึงทักษะแพทย์ที่โดดเด่นกว่าของนางแต่หลังจากพูดคุย
เทียบยานั้นไร้ชีวิต คนไข้กับท่านหมอต่างหากที่มีชีวิตจิตใจรู้เพียงแค่เรื่องเทียบยานั้นไร้ประโยชน์ต้องรู้ว่าคนไข้มีอาการเช่นไร เทียบยาอะไรที่เหมาะกับคนไข้มากที่สุดต่างหากจึงจะสำคัญที่สุดและเส้นทางการเป็นหมอนั้น ให้ความสำคัญกับการสั่งสมประสบการณ์การสั่งสมประสบการณ์นี้ นอกจากจะได้มาจากคนไข้มากมายนับไม่ถ้วนแล้ว ยังเกิดจากความรู้ความเข้าใจที่ได้แลกเปลี่ยนเจียระไนกับเพื่อร่วมวิชาชีพดังนั้น อวิ๋นฝูหลิงจึงไม่เคยลังเลที่จะแลกเปลี่ยนเจียระไนความรู้กับหมอท่านอื่น ๆ เลยจวบจนถึงบัดนี้ ท่านหมอจ้าวถึงได้ยอมเลื่อมใสหมดใจอย่างแท้จริงกอปรกับที่เขาตรวจโรคให้เวินจือเหิงมานานขนาดนี้ ทว่ากลับมิเคยเห็นเวินจือเหิงอาการดีขึ้นมาสักเศษเสี้ยวเลยจริงอาศัยแค่เรื่องนี้เพียงเรื่องเดียว ในฐานะที่เป็นหมอ เขาจึงไม่คู่ควรกับตำแหน่งนี้เลยท่านหมอจ้าวประสานมือแก่เวินจือเหิงและเวินเจา กล่าวด้วยสีหน้ารู้สึกผิดว่า “ผู้น้อยวิชาแพทย์ต่ำเตี้ยนัก!”“ดั่งคำที่ว่าคลื่นลูกหลังไล่ทับคลื่นลูกเก่า วิชาแพทย์ของท่านหมอหางผู้นี้สูงส่งกว่าผู้น้อยจริงๆ!”“ผู้น้อยละอายใจยิ่งนัก ขอตัวลา!”จบคำ ท่านหมอจ้าวก็ยกกล่องยากขึ้น ขอ
เวินจือเหิงได้ยินเช่นนั้น เส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปนขึ้นมาทันที มือทั้งสองข้างกำผ้านวมใต้ร่างแน่นท่าทางเช่นนั้นมิเหมือนท่าทางตกใจหลังจากได้ฟังความจริง กลับดูโกรธเป็นฟืนไฟที่เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ อวิ๋นฝูหลิงเห็นเน้นก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางกล่าวได้เลยว่าเวินจือเหิงดูไม่เหมือนคนโง่เขลาเลยสักนิด“ดูท่าคุณชายใหญ่เวินจะรู้มานานแล้ว?”เวินจือเหิงคลายมือ ปรับอารมณ์เล็กน้อย แล้วจึงตอบคำถามของอวิ๋นฝูหลิง “แค่มีความสงสัยในใจอยู่บ้างเท่านั้น”“เพียงแต่ผู้น้อยเคยลอบให้คนไปตรวจสอบแล้ว แต่กลับไม่พบสิ่งใดผิดปกติเลย”“ทั้งยังเคยหาท่านหมอท่านอื่นมาแอบตรวจให้เป็นการส่วนตัวแล้ว ล้วนกล่าวว่าข้าติดเชื้อเป็นไข้หวัด ทั้งยังตรวจหาสาเหตุอื่นใดไม่เจอ”อวิ๋นฝูหลิงพยักหน้า “ไม่ผิด หากดูเพียงแค่ชีพจรของคุณชาย ก็จะเข้าใจผิดได้ง่าย ๆ ว่าเป็นไข้หวัด”“ทั้งพิษในตัวคุณชายมิได้เกิดขึ้นในวันเดียว แต่เป็นค่อย ๆ ต้องพิษทีละน้อย ๆ สะสมไว้จากวันเป็นเดือนจนกลายเป็นพิษเรื้อรัง”“ท่านหมอทั่วไปย่อมดูไม่ออก”“คุณชายวาสนาดีไม่น้อยที่ได้มาพบหมอเทวดาเช่นข้า มิเช่นนั้นอย่างมากที่สุดคุณชายก็จะมีชีวิตอยู่ได้เพียงเดือนเดียว
“ถึงอย่างไรทุกวันนี้ คนที่กุมอำนาจของสกุลเวินก็คือคุณชายรองเวินเจานี่นะ”“เวินเจาจะต้องแอบคุณชายใหญ่เวินทำเรื่องนี้แน่นอน”“แต่ยิ่งมีคนเสพขี้ผึ้งทองมากขึ้น และยิ่งนานขึ้นเท่าไร คิดจะปิดบังเรื่องนี้เช่นไรก็คงปิดไม่มิด มันต้องสร้างความตระหนกไปถึงราชสำนักแน่”“แม้ว่าเวินเจาเป็นคนกระทำเรื่องนี้ แต่ถ้าพูดออกไปแล้วใครจะเชื่อกัน? เกรงว่าถึงเวลานั้นสกุลเวินทั้งสกุลจะต้องถูกลากเข้าไปพัวพันด้วยเป็นแน่”“ถึงอย่างไรเวินเจาก็เป็นถึงคุณชายรองของสกุลเวิน ถึงยามตัดสินโทษ คนทั้งสกุลเวินไม่ว่าจะนายหรือบ่าวล้วนหนีไม่พ้น!” อวิ๋นฝูหลิงพูดจนคอแห้ง จึงพักดื่มชาสักอึกทว่าเวินจือเหิงกลับฟังแล้วรู้สึกสั่นสะท้านอยู่ในใจเขาเพ่งมองอวิ๋นฝูหลิง “ท่านเป็นคนของราชสำนัก?”อวิ๋นฝูหลิงไม่ปริปากพูด ทำเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อยเท่านั้น แล้วชูจอกชาให้เขา“คุณชายใหญ่เวินลองไตร่ตรองข้อเสนอของข้าให้ดีเถิด”“ร่วมมือกับข้า คุณชายจะไม่เพียงรักษาชีวิตได้เท่านั้น แต่ยังมีโอกาสรักษาสกุลเวินเชื้อสายของสกุลเวินเอาไว้ได้”“คิดแล้วคุณชายก็คงไม่ยอมให้ทั้งสกุลเวินต้องตกนรก เพียงเพราะเวินเจาเพียงคนเดียวหรอกกระมัง?”เวินจือเหิงไตร่
“พอกินหมด พิษในตัวของคุณชายก็สบายไปราว ๆ กึ่งหนึ่งแล้ว คอยดูแลบำรุงร่างกายให้ดี จะมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกสักปีครึ่งก็ไม่ใช่ปัญหา”เวินจือเหิงสีหน้าแข็งค้างทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น“ยาแก้พิษนี่สลายพิษได้เพียงครึ่งเดียว?”อวิ๋นฝูหลิงโยนขวดยาที่บรรจุยาแก้พิษให้เวินจือเหิง“ให้ยาคุณชายไปครึ่งหนึ่งน่ะถูกต้องแล้ว”“หากวันนี้ข้าสลายพิษให้คุณชายหมด แล้วพรุ่งนี้คุณชายทำลายข้อตกลง มิใช่ว่าข้าต้องคว้าน้ำเหลวหรือ?”“ข้าต้องเหลือทางหนีทีไล่ให้ตัวเองด้วยสิ!”เวินจือเหิงบีบขวดยา สีหน้าไม่น่ามองเท่าไรนัก “พูดจาไร้สัจจะ นี่หรือพฤติกรรมของผู้มีคุณธรรม?” “ผู้น้อยเวินจือเหิง ดูเป็นคนต่ำช้าที่เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพลเช่นนั้นหรือ?”“ท่านจะดูแคลนผู้น้อยเกินไปหน่อยกระมัง?”อวิ๋นฝูหลิงเห็นว่าเขาดูเหมือนจะเดือดดาลไม่น้อย จึงได้แต่ตบบ่าเขาเบา ๆ แล้วกล่าวปลอบอย่างขอไปที “ข้าน่ะเป็นพวกทำตนชั่วช้าก่อนจะทำตนเป็นผู้มีคุณธรรม เช่นนี้ดีต่อข้ากับคุณชายแล้ว!”“อย่างไรก็ขอแค่คุณชายให้ความร่วมมือกับข้าเป็นอย่างดี ไม่กระทำตนหน้าไหว้หลังหลอก จงใจหลอกข้า ข้าย่อมสลายพิษในตัวคุณชายออกให้หมดแน่นอน!”เวินจือเหิงกล
เวินจือเหิงได้ฟังแล้วถึงกับสูดลมหายใจด้วยความตื่นตะลึงมิน่าเล่า อวิ๋นฝูหลิงถึงได้บอกว่าเขามีชีวิตอยู่ได้เพียงหนึ่งเดือนช่วงนี้เขาเริ่มฝันมาก ทั้งยังนอนไม่ค่อยหลับแล้ว บางครั้งก็รู้สึกเหมือนหัวใจเต้นระรัวนี่เป็นสัญญาณเตือนว่าพิษกำลังจะกำเริบโชคดีที่ได้พบอวิ๋นฝูหลิง มิเช่นนั้น เกรงว่าจนถึงช่วงเวลาที่เขาตาย ก็ยังคงสับสน ไม่รู้ว่าตนเองตายด้วยเหตุใดกันแน่อวิ๋นฝูหลิงพูดได้ถูกต้อง เป็นเขาที่โชคดีโชคดีที่ได้เจออวิ๋นฝูหลิง เกิดความหวังที่จะฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรงและทำให้เขารู้ว่าความจริงแล้วนั้นตนเองถูกวางยาพิษ มิใช่คนสับสนที่ไม่รู้อะไรเลยเวินจือเหิงรีบเทยาแก้พิษออกมาจากขวดยาหนึ่งเม็ด แล้วกินลงไปทันทีอวิ๋นฝูหลิงเห็นว่าทำเป้าหมายที่มาสกุลเวินสำเร็จแล้ว จึงคิดจะขอตัวลากลับใครจะไปคิดว่า จู่ ๆ มั่วซูที่หลังจากไปส่งท่านหมอจ้าวแล้วก็มาเฝ้าอยู่หน้าประตูเรือนอย่างรู้จักหน้าที่ก็วิ่งซอยเท้าเข้ามารายงานว่า“คุณชาย คุณชายรองจัดยากลับมาแล้วขอรับ!”ครั้นอวิ๋นฝูหลิงที่กำลังคิดจะกลับได้ยินเช่นนี้ จึงได้แต่ล้มเลิกความคิดไปก่อนนึกไม่ถึงเลยว่าจังหวะจะไม่เป็นใจเช่นนี้ ดันอยู่จนถึงเวลาที่เว
เวินจือเหิงยังไม่ทันได้มีเวลาให้คิดอะไรมากมายนัก เวินเจาก็นำคนเดินเข้ามาเสียแล้วก่อนหน้านี้ที่เวินเจาถือเทียบยาแผ่นนั้นของอวิ๋นฝูหลิงออกไป เดิมทีคิดจะใช้ให้เด็กรับใช้สักคนไปจัดยามา ทว่าอยู่ ๆ เขาก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นในใจอยู่ดี ๆ เหตุใดถึงมีท่านหมอที่กล่าวอ้างว่าตนเองเป็นคนสกุลหางมาเยือนถึงประตูเรือนได้?เรื่องนี้ยิ่งคิด เขาก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจหรือว่าจะเป็นพวกต้มตุ๋นที่เข้ามาหลอกลวงจากที่ไหนสักแห่ง?หรือว่าเวินจือเหิงจะค้นพบอะไรบางอย่างเข้าจริง ๆ ถึงได้หาท่านหมอผู้มีวิชาแพทย์สูงส่งมาตรวจโรคเป็นการส่วนตัว และเพื่อเป็นการปิดบังหูตาผู้อื่น คนผู้นั้นถึงได้โกหกว่าตนเองเป็นคนสกุลหาง?ทว่าท่านหมอผู้นั้นท่าทางดูอายุยังน้อย ทั้งยังวินิจฉัยไม่ได้ว่าเวินจือเหิงต้องยาพิษ จนแทบจะอยู่ในโลกมนุษย์ต่ออีกได้ไม่นานแล้วดูแล้ววิชาแพทย์ก็ไม่เท่าไร!เวินเจายิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกไม่ชอบมาพากลประจวบกับที่ยามนี้มาถึงสำนักผิงอัน แล้วได้ยินว่าสำนักผิงอันมีคนสกุลหันมาที่สำนัก เวินเจาก็ไม่รู้คิดอะไร อยู่ ๆ ก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นในใจ ตรงเข้าไปเชิญตัวคนสกุลหางที่อยู่ด้านในสำนักผิงอันให้ไปสกุลเวินแท
เทียนเฉวียนได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจทันทีว่าท่านอ๋องคิดจะนั่งรอลาภลอยในเมื่อเวินเจาผู้นั้นเป็นนายน้อยเผ่าเยว่ สถานะในเผ่าเยว่ก็ย่อมไม่ธรรมดาหลังจากคนแคว้นเยว่เหล่านั้นรู้ข่าวว่าเวินเจาถูกจับตัวมา จะต้องคิดหาวิธีมาช่วยเขาออกไปเป็นแน่เทียนเฉวียนไปทำตามคำสั่งของเซียวจิ่งอี้ทันทีทว่าหลังจากรอมาสามวัน ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวจากทางด้านเวินเจาแม้แต่น้อยเซียวจิ่งอี้ตระหนักได้ว่าตัวเองเจอคู่ต่อสู้เข้าแล้วราชครูแคว้นเยว่หลบหนีเก่งมาก ทำให้ยามนี้เขารู้สึกจนปัญญาอยู่บ้างหากพูดตามหลักการแล้ว คนแคว้นเยว่เหล่านั้นต้องการฟื้นฟูแคว้น ตัวตนของเวินเจาซึ่งมีสายเลือดราชวงศ์ จึงทำให้พวกเขามีเหตุผลอันชอบธรรมมิเช่นนั้นอาศัยเพียงราชครูผู้นั้น คนแคว้นเยว่ที่เหลือจะเชื่อฟังคำสั่งเขาได้อย่างไร?ทว่าหลังจากผ่านไปนาน คนแคว้นเยว่เหล่านั้นกลับไม่มีท่าทีว่าจะมาช่วยเวินเจาแม้แต่น้อยนี่หมายความว่ามองแผนของเขาออกใช่หรือไม่? หรือคิดว่ายามนี้ไม่ใช่จังหวะที่ดีในการช่วยเหลือ จึงกำลังวางแผนและเฝ้าดูอยู่?หรือคนแคว้นเยว่ยอมแพ้เรื่องนายน้อยเวินเจาผู้นี้แล้ว?เซียวจิ่งอี้คิดไปคิดมา ก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่คนแ
ทหารชั้นผู้น้อยคนนั้นได้กลิ่นเลือดจาง ๆ สายหนึ่งกลิ่นเลือดจางมาก จนแทบไม่ได้กลิ่นแต่เขาเกิดมาพร้อมจมูกที่อ่อนไหวต่อกลิ่น แค่เพียงกลิ่นจาง ๆ ก็สามารถได้กลิ่นเช่นกันทหารชั้นผู้น้อยรีบเดินหลายก้าว ไล่ตามสือจ่างซึ่งเป็นผู้นำไปยามนี้สือจ่างเดินออกมาจากเรือนแล้ว ทหารชั้นผู้น้อยรีบเดินไปตรงหน้าสือจ่าง และกระซิบไม่กี่ประโยคก้นบึ้งในดวงตาของสือจ่างฉายแววประหลาดใจ และหันกลับไปมองลานบ้านด้านหลังในลานบ้าน ชายวัยกลางคนกับหญิงสาวผู้งดงามเห็นว่าในที่สุดทหารก็ตรวจค้นเสร็จแล้ว จึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกใครจะรู้ว่ายังไม่ทันถอนหายใจเสร็จ ประตูเรือนกลับถูกคนพังเปิดเข้ามาอย่างกะทันหันกลุ่มทหารที่เข้ามาตรวจค้นก่อนหน้านี้บุกเข้ามาอีกครั้งชายวัยกลางคนเห็นเช่นนั้นก็ใจเต้นแรง แต่บนใบหน้ากลับยังสงบ และก้าวออกมาด้วยรอยยิ้มคาดไม่ถึงว่าเขายังไม่ทันได้เอ่ยปาก สือจ่างผู้นั้นซึ่งเป็นหัวหน้าก็ผลักเขาไปด้านข้าง ก่อนออกคำสั่งเสียงเคร่งขรึมว่า “ค้นหาทั้งในและนอกเรือนใหม่อีกครั้ง ค้นให้ละเอียด!”ทหารทุกคนตอบรับ และแยกย้ายไปค้นหาอีกครั้งทันทีทหารชั้นผู้น้อยซึ่งประสาทรับกลิ่นไวยืนอยู่ที่เดิม จมูกขยับฟ
“ขอรับ” เทียนซูรับคำสั่งก่อนจะถอยออกไปผ่านไปไม่นาน เทียนซูก็กลับมา“ท่านอ๋อง ผู้ดูแลหอจินอวี้กับพนักงานยืนยันศพกันหมดแล้วขอรับ แน่ใจแล้วว่าเป็นคนที่อยู่ข้างตัวราชครูแคว้นเยว่ผู้นั้น”เซียวจิ่งอี้ใคร่ครวญครู่หนึ่ง ก่อนถามว่า “คนผู้นี้ถูกจับได้ที่ใด?”“ถูกจับที่ตรอกหูลู่ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองขอรับ” เทียนซูตอบกลับเซียวจิ่งอี้กล่าวทันที “ไปเอาแผนที่จินโจวมา”ผ่านไปไม่นาน แผนที่จินโจวก็ถูกแขวนขึ้นเซียวจิ่งอี้เดินไปข้างหน้าแผนที่ หาตำแหน่งตรอกหูลู่บนแผนที่เขายื่นมือออกไปแตะบนแผนที่ หลังจากนั้นก็วงขอบเขตโดยประมาณและกล่าวว่า“ถ่ายทอดคำสั่ง ให้คนไปค้นหาทุกซอกทุกมุมของตรอกหูลู่”คนผู้นั้นที่ถูกจับได้ ย่อมไม่ปรากฏตัวที่ตรอกหูลู่โดยไม่มีสาเหตุบางทีสถานที่ซ่อนตัวของพวกเขา อาจจะอยู่ใกล้ตรอกหูลู่นอกจากนี้คนผู้นั้นที่ถูกจับได้ ยังกัดลิ้นปลิดชีพตัวเอง ไม่ให้ความหวังตัวเองว่าจะมีชีวิตรอดเลย เห็นได้ชัดว่าทำเพื่อปกป้องใครบางคนดูท่าคนรอบกายราชครูแคว้นเยว่ผู้นั้นจะจงรักภักดีเป็นอย่างยิ่งการเดินทางมาจินโจวครั้งนี้ของเขา ไม่แน่คนข้างกายที่พามาอาจจะล้วนเป็นคนสนิททั้งสิ้นหากคนสนิทเห
จิตรกรฝีมือดีเช่นนี้ เหตุใดจึงถูกเซียวจิ่งอี้เชิญไปได้ง่าย ๆยิ่งไปกว่านั้นจิตรกรฝีมือดีเหล่านั้นก็ยังไม่เคยเห็นพวกท่านจอมปราชญ์เหวินมาก่อน เหตุใดจึงสามารถวาดภาพเหมือนจากความว่างเปล่าให้เหมือนพวกเขาโดยสมบูรณ์ได้?นอกจากนี้ท่านจอมปราชญ์เหวินอยู่ที่จินโจวมานานแล้ว แต่ไม่เคยได้ยินว่าในจินโจวมีจิตรกรชื่อดังอันใดเลยตั้งแต่เขาหลบหนีจากหอจินอวี้มาจนถึงตอนนี้ ก็ยังผ่านไปไม่พ้นครึ่งวันเสียด้วยซ้ำภายในระยะเวลาอันสั้นถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงมีคนที่สามารถวาดภาพพวกเขาออกมาได้มากมายเช่นนี้?ในใจท่านจอมปราชญ์เหวินไม่อยากจะเชื่อแต่เห็นผู้ใต้บังคับบัญชาพูดจาหนักแน่น เขาก็ไม่กล้าคิดไปเองมากเกินไปไม่รู้เพราะเหตุใด เขามักรู้สึกว่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเซียวจิ่งอี้ จะมีความแปลกประหลาดมากเสมอบางทีอาจมีคนมากความสามารถอยู่ข้างกายเซียวจิ่งอี้จริง ๆ ซึ่งสามารถวาดภาพเหมือนออกมาได้เหมือนจริงโดยสมบูรณ์ โดยที่อาศัยเพียงคำอธิบายไม่กี่ประโยคยามนี้คนเหล่านี้ที่อยู่ข้างกายเขา ต่างเป็นคนที่เคยปรากฏตัวที่หอจินอวี้หากข้างกายเซียวจิ่งอี้มีจิตรกรฝีมือดีอยู่จริง ๆ เกรงว่าคนเหล่านี้ที่อยู่ข้างกายเขา คงล้วนถูกวาด
ท่านจอมปราชญ์เหวินได้แต่แสร้งทำเป็นผ่านทางมา และรีบพาคนจากไปยามที่ออกมาจากหอจินอวี้ ท่านจอมปราชญ์เหวินก็ถอดหน้ากากออกการสวมหน้ากากเดินบนท้องถนน จะยิ่งดึงดูดความสนใจหลังจากถอดหน้ากาก รูปลักษณ์ของเขาก็ไม่ได้โดดเด่นมากนัก ในฝูงชนจึงแทบไม่มีใครสังเกตเห็นเมื่อคิดว่าแผนการของตนล้มเหลว จนถูกเซียวจิ่งอี้ไล่ล่าราวกับสุนัขไร้บ้านตัวหนึ่ง อีกทั้งนายน้อยเผ่าเยว่เป็นหรือตายก็ไม่อาจรู้ได้ ในใจท่านจอมปราชญ์เหวินจึงหดหู่เป็นอย่างยิ่งเป็นความผิดของเซียวจิ่งอี้!ท่านจอมปราชญ์เหวินรู้สึกราวกับว่าเซียวจิ่งอี้เกิดมาเพื่อเป็นหายนะของเขาเขาวางแผนจัดการเซียวจิ่งอี้หลายครั้ง แต่ก็ถูกอีกฝ่ายหลบเลี่ยงได้ทุกครั้งเมื่อเขาคิดจะฉวยโอกาสสร้างความวุ่นวายให้แคว้นต้าฉี ก็จะถูกเซียวจิ่งอี้ทำลายแผนการเสมอยามนี้เมื่อนึกถึงเซียวจิ่งอี้ ท่านจอมปราชญ์เหวินก็โกรธจนกัดกรามในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ นี้ เขายังไม่มีกำลังที่จะโต้กลับได้รอก่อนเถอะรอให้เขากลับไปที่เมืองหลวง ก็จะสามารถอาศัยอำนาจขององค์ชายสาม จัดการเซียวจิ่งอี้ให้สิ้นซาก!ท่านจอมปราชญ์เหวินกัดฟัน ขณะที่สีหน้ามืดครึ้มผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดท่านจอมป
อวิ๋นฝูหลิงยังจำเรื่องที่เซียวจิ่งอี้ขอให้นางวาดภาพเหมือนได้หลังจากพบเซียวจิ่งอี้ ทั้งสองคนก็ไปยังคุกที่ขังผู้ดูแลกับพนักงานของหอจินอวี้ไว้เมื่อพูดถึงแขกผู้มีเกียรติบนชั้นสามของหอจินอวี้ ผู้ดูแลกับพนักงานของหอจินอวี้ก็ต่างจดจำได้เป็นอย่างดีชั้นสามของหอจินอวี้ ไม่ใช่ว่าใครต่างก็มีสิทธิ์ขึ้นไปได้นี่เป็นอุบายที่หอจินอวี้โยนออกมา เป็นวิธีดึงดูดลูกค้าเพื่อสร้างกำไรแบบหนึ่งผู้ที่สามารถขึ้นไปชั้นสามของหอจินอวี้ได้ หมายความว่าเป็นคนที่มีสถานะและทักษะการพนันสูงแต่กลุ่มของท่านจอมปราชญ์เหวิน กลับเป็นเวินเจาพาขึ้นไปด้วยตัวเองนับตั้งแต่เวินจือเหิงนอนป่วยติดเตียง อำนาจทั้งหมดของสกุลเวินก็ตกไปอยู่ในมือของเวินเจาเวินเจาพาคนไปพักอยู่ที่ชั้นสามของหอจินอวี้ ทั้งยังบอกให้ปรนนิบัติกลุ่มของท่านจอมปราชญ์เหวิน เหล่าคนของหอจินอวี้ย่อมไม่กล้าไม่เชื่อฟังไม่ว่าจะเป็นผู้ดูแลของหอจินอวี้ หรือพนักงาน ยามนี้เมื่อถูกขังอยู่ในคุก ทุกคนก็หวาดกลัวอยู่ตลอดเมื่อเห็นการสืบสวนก่อนหน้านี้ของเซียวจิ่งอี้ คนเหล่านี้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง และออกไปจากคุกโดยเร็ว ทุกคนต่างก็แย่งชิงกันเป็นคนแรกเพราะกล
“พี่สาม ทางด้านเมืองหลวงมีข่าวคราวบ้างหรือไม่?”“พวกท่านปู่โอวหยางคิดค้นเทียบยาใหม่ที่ใช้รักษาผู้ที่ป่วยเพราะขี้ผึ้งทองได้แล้วหรือไม่?”หลังจากค้นพบขี้ผึ้งทอง อวิ๋นฝูหลิงก็ดึงพวกรองเจ้าสำนักโอวหยางกับหมอหลวงจงมาร่วมศึกษาด้วยกัน ทั้งยังเขียนจดหมายส่งให้นายท่านผู้เฒ่าหาง รวมถึงส่งข้อมูลที่เกี่ยวกับชีพจรและการรักษาให้เขาด้วยแม้เมืองหลวงกับจินโจวจะเป็นสถานที่ที่ได้รับผลกระทบจากขี้ผึ้งทองมากที่สุด แต่ก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าที่อื่นจะไม่ได้รับผลกระทบถึงอย่างไรการค้าของแคว้นต้าฉีก็เจริญรุ่งเรืองมาก จากใต้ขึ้นเหนือมีพ่อค้ามากมาย บางทีอาจจะมีคนที่เดินทางระหว่างเมืองหลวงกับจินโจว ซื้อขี้ผึ้งทองติดไปด้วยสองสามกล่องก็เป็นได้อวิ๋นฝูหลิงคิดว่านางออกจากเมืองหลวงมาหลายวันถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าทางด้านเมืองหลวงจะมีความคืบหน้าใหม่อันใดบ้างตั้งแต่อวิ๋นฝูหลิงกลับมาถึงจินโจว ก็ยุ่งอยู่กับการรักษาผู้ป่วยมาโดยตลอด หางซานสุ่ยจึงไม่มีโอกาสได้พูดคุยเป็นการส่วนตัวกับนางตอนนี้เมื่อเห็นว่าอวิ๋นฝูหลิงเป็นฝ่ายถามขึ้นมา หางซานสุ่ยก็นับว่ามีโอกาสแล้วเขาหยิบจดหมายสองสามฉบับออกมาจากในโต๊ะ“จดหมายพวกนี้ถูกส่ง
แม้ว่าราชครูแคว้นเยว่จะหนีไปแล้ว แต่เขาอยู่ที่หอจินอวี้ตั้งหลายวัน จึงมักจะมีช่วงเวลาที่ผ่อนคลายจนเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงแม้เขาจะใช้หน้ากากปิดบังใบหน้าอยู่เสมอ จึงไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่คนรอบตัวเขาทุกคนจะสวมหน้ากากกระมัง?เริ่มต้นไล่ไปจากผู้ใต้บังคับบัญชา บางทีอาจจะค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ก็เป็นได้เซียวจิ่งอี้ตัดสินใจไต่สวนผู้ดูและกับพนักงานเหล่านั้นของหอจินอวี้ยังมีทักษะการวาดภาพเหมือนอันยอดเยี่ยมของอวิ๋นฝูหลิง จะต้องจับพวกปลาซิวปลาสร้อยพวกนั้นได้เป็นแน่แม้ว่ากลุ่มของราชครูแคว้นเยว่จะฉวยโอกาสวางเพลิงเพื่อหนีออกไปจากหอจินอวี้ แต่ประตูเมืองจินโจวก็ปิดอยู่ ยามนี้พวกเขาคงยังซ่อนตัวอยู่ในเมืองนอกจากนี้ มีบางสิ่งที่ต้องจัดการด้วยเช่นกันเซียวจิ่งอี้ยืนอยู่หน้าประตูสำนักผิงอัน หันกลับมามองอวิ๋นฝูหลิงที่กำลังยุ่งคราหนึ่งเพียงชั่วครู่เดียว เขาก็พลิกร่างขึ้นหลังม้า มุ่งตรงไปยังที่ว่าการเมืองจินโจวครึ่งชั่วยามต่อมา มีประกาศใบหนึ่งถูกนำมาติดไว้ที่ประตูที่ว่าการทั้งยังมีคนตีฆ้องจากที่ว่าการ อ่านเนื้อหาในประกาศไปทั่วเมืองประกาศนี้กล่าวถึงอันตรายของขี้ผึ้งทอง
“ข้าอยากจับคนร้ายที่กระทำความผิด ให้ได้แบบคาหนังคาเขา”“แต่ไม่คิดเลยว่าคนผู้นั้นจะโหดเหี้ยมถึงขั้นเสียสติ ตั้งใจวางเพลิงในหอจินอวี้ เพื่อหลบหนีการไล่ล่า”“เป็นเพราะข้าไม่รอบคอบ ทำให้ผู้บริสุทธิ์ทุกคนต้องตกอยู่ในอันตราย”“วันนี้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเพราะเหตุเพลิงไหม้ที่หอจินอวี้ ค่ารักษาและค่ายาข้าจะจ่ายให้เอง”“นอกจากนี้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย จะได้รับห้าตำลึง ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหนักจะได้รับสิบตำลึง”“ได้ยินว่ามีสองคนที่ถูกไฟไหม้จนบาดเจ็บสาหัส สองคนนี้จะได้รับยี่สิบตำลึง”“เงินเหล่านี้ถือเป็นน้ำใจเล็กน้อยจากข้า ที่อยากจะรักษาร่างกายเหล่าผู้บาดเจ็บ”“ข้าจะให้คนนำเงินมามอบให้ในภายหลัง!”ผู้บาดเจ็บทุกคนได้ยินเช่นนั้น ความไม่พอใจที่สุมอยู่ในอกก็หายไปกว่าครึ่งทันทีตอนนี้เมื่อย้อนคิดดูแล้ว เมื่อคืนยามที่หอจินอวี้ถูกปิดล้อม ผู้นำคนนั้นก็บอกว่าทำเพื่อสืบคดีบางอย่างจริง ๆคิดดูอีกครายามนั้นที่เกิดเพลิงไหม้ ทหารเหล่านั้นก็มิได้บังคับขังพวกเขาไว้ในหอจินอวี้ ทว่ากลับรีบเข้ามาในหอเพื่อดับไฟช่วยคนหากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ เกรงว่าพวกเขาคงไม่ใช่แค่ได้รับบาดเจ็บ แต่กว่าครึ่งคงตายตกไปในเหตุเพ