สวินเส้าคังไม่อยากให้ตำแหน่งผู้นำตระกูลตกไปอยู่ในมือของผู้อื่น อีกทั้งถ้าหากบ้านสายหลักเสียตำแหน่งผู้นำตระกูล วันข้างหน้าคิดจะเอากลับคืนมาก็ไม่ง่ายเช่นนั้นแล้วเกรงว่าตั้งแต่นี้ไปบ้านสายหลักยังจะถูกกดขี่หลังจากสวินเส้าอันพิจารณา แต่งตั้งสวินเส้าคังเป็นผู้นำตระกูลโดยตรงนับตั้งแต่อดีตลูกชายสืบทอดกิจการบิดา พี่ชายตายน้องชายรับช่วงต่อ สวินเส้าอันไม่มีทายาท ดังนั้นส่งต่อกิจการครอบครัวให้น้องชายที่เกิดจากบิดามารดาเดียวกัน ไม่มีใครพูดอะไรได้แต่ช่วยไม่ได้เจตจำนงของสวินเส้าคังคือฝีมือการแพทย์ โดยเฉพาะหลายปีนี้เร่ร่อนไปทั่ว เพื่อหาเบาะแสของอวิ๋นฝูหลิงช่วงก่อนเขาได้รับจดหมายจากทางบ้าน สภาพร่างกายของพี่ใหญ่แย่ลงเรื่อยๆ เร่งเร้าให้เขากลับเจียงเป่ยเพื่อรับช่วงต่อกิจการครอบครัวสวินเส้าคังลังเลมาโดยตลอดเขารู้ว่าตัวเองควรกลับไปรับช่วงต่อกิจการครอบครัว นี่คือความรับผิดชอบที่เขาควรแบกรับในฐานะคนสกุลสวินอีกทั้งอวิ๋นฝูหลิงก็หาเจอแล้ว เขาก็ควรกลับเจียงเป่ยแล้วแต่เขาก็ทำใจทิ้งอวิ๋นฝูหลิงไม่ได้ และไม่อยากละทิ้งเจตจำนงของตัวเองอวิ๋นฝูหลิงเห็นสีหน้าสวินเส้าคังดูไม่ได้นัก อดไม่ได้ที่จะกล่าว “เก
เมื่อสวินเส้าคังได้ยินคำพูดนี้ของอวิ๋นฝูหลิง ก็อารมณ์ดีทันทีความกังวลทั้งหมดหายไปในพริบตาแต่ว่าหลังจากได้ยินคำพูดประโยคสุดท้ายที่มีเจตนาหยอกล้อแฝงอยู่ เขาก็โต้กลับทันที “ไม่มีทาง เรื่องแค่นี้ข้ายังรู้จักแยกแยะอยู่” อวิ๋นฝูหลิงยิ้มจนคิ้วโก่ง จู่ๆ นางก็นึกอะไรขึ้นได้ เอ่ยปากกล่าว “ใช่แล้ว เจียงเป่ยก็มีสาขาของสำนักช่วยชีพ”“เช่นนี้ก็แล้วกัน ข้ายกสาขาของสำนักช่วยชีพทั้งหมดที่อยู่ในเจียงเป่ยให้ท่านดูแล”“รอหลังจากท่านกลับถึงเจียงเป่ย ถ้าหากวันไหนอยากรักษาคน สามารถไปเป็นหมอที่สำนักช่วยชีพโดยตรงเลย”“เป็นอย่างไร?”เมื่อสวินเส้าคังได้ยิน ยกมือชี้อวิ๋นฝูหลิงแล้วชี้อีก กล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เจ้าอยากดึงข้าเข้าสำนักช่วยชีพทางอ้อม เพื่อเสริมหน้าตาให้เจ้าสินะ”“และยังช่วยเจ้าดูแลการค้าของเจ้าแล้ว”“ยิงธนูครั้งเดียวได้นกสามตัว ไม่มีใครฉลาดกว่าเจ้าแล้วจริงๆ!”อวิ๋นฝูหลิงยิ้มแหะๆ รินน้ำชาให้สวินเส้าคังถ้วยหนึ่ง“ก็ตอนนี้ข้ากำลังขาดหมอ โดยเฉพาะหมอที่มีฝีมือเลิศล้ำอย่างศิษย์พี่สวิน!”“อีกอย่างนะ พวกเราเป็นใคร ท่านปฏิเสธข้าได้ลงคอจริงๆ หรือ?”“อีกทั้งพวกเรายังเป็นการร่วมมือที่ต่างฝ่ายต่างได
อวิ๋นฝูหลิงได้ส่งบัตรเชิญของการประชุมใหญ่แวดวงแพทย์ในนามของผู้นำตระกูลสกุลอวิ๋นแล้วนี่เป็นครั้งแรกที่นางปรากฏตัวในแวดวงการแพทย์อย่างเป็นทางการในฐานะผู้นำตระกูลสกุลอวิ๋นกับหมอถึงเวลานั้น ต้องเผชิญหน้ากับการตั้งคำถามและหาเรื่องแน่นอนอย่างไรก็ตาม แวดวงการแพทย์นั้นไม่ได้อ่อนโยนและสงบอย่างที่เห็นการต่อสู้ที่อยู่ในมุมมืดไม่เคยหยุดลงเลยแม้ทางสกุลสวินเร่งเร้าให้เขากลับไป แต่หลังจากสวินเส้าคังคิดไปคิดมา สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าหลังจากการประชุมใหญ่แวดวงแพทย์สิ้นสุดลง เขาค่อยกลับเจียงเป่ยเช่นนี้แล้วถ้าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นในการประชุมใหญ่แวดวงแพทย์ เขายังสามารถช่วยอวิ๋นฝูหลิงได้อวิ๋นฝูหลิงกับสวินเส้าคังกินไปพลางคุยไปพลางในห้องส่วนตัวของหอสุรา แต่ไม่รู้เลยว่าในห้องส่วนตัวอีกห้องหนึ่งที่มีเพียงกำแพงกั้น อวิ๋นกานซงล้วงห่อผ้าใบหนึ่งออกมาเขาเปิดห่อผ้าทีละชั้นอย่างระมัดระวัง ด้านในสุดเผยให้เห็นหนังสือเล็กๆ เล่มหนี่งเมื่อชายวัยกลางคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเขาเห็นหนังสือเล่มนั้น ในแววตาเผยให้เห็นความเร่าร้อนทันทีเขาเพิ่งจะยื่นมือออกไป ใครจะรู้ว่ากลับถูกอวิ๋นกานซงห้ามถ้าหากอวิ๋นฝูหลิงอยู่ที่นี
หลังจากก่อตั้งราชวงศ์ต้าฉี เจ้าสำนักรุ่นแรกของสำนักหมอหลวงก็คือนายท่านผู้เฒ่าอวิ๋นหลังจากเขาเกษียณ ตำแหน่งเจ้าสำนักก็รับช่วงต่อโดยโอวหยางหมิงศิษย์คนโตของเขาและหมอหลวงทั้งสองรุ่นของสกุลเฉิง ล้วนทำได้เพียงอยู่ใต้พวกเขาปัจจุบันโอวหยางหมิงอายุมากแล้ว และอยากเกษียณนานแล้วถ้าหากโอวหยางหมิงเจ้าสำนักคนนี้เกษียณ เช่นนั้นก็เป็นไปได้ว่าเจ้าสำนักคนใหม่ จะถูกคัดเลือกจากระหว่างรองเจ้าสำนักฝ่ายซ้ายเฉิงกับรองเจ้าสำนักฝ่ายขวาจงฮุยและจงฮุยคือผู้ที่ถูกคัดเลือกจากหมู่ราษฎรให้เข้าสำนักหมอหลวง เพราะฝีมือการแพทย์ที่โดดเด่นปกติอยู่ในสำนักหมอหลวง นอกจากรักษาโรคให้เฉพาะเหล่าผู้สูงศักดิ์ ก็ไม่สนใจอะไรเลยด้วยเหตุนี้จึงไม่มีภูมิหลัง และไม่มีอิทธิพลหนุนหลังส่วนเฉิงชงนั้นต่างออกไป เบื้องหลังของเขามีสกุลเฉิง และปัจจุบันยังได้รับความโปรดปรานจากไทเฮา ฝีมือการแพทย์ก็อยู่ในระดับแนวหน้าในบรรดาเหล่าหมอหลวงดังนั้นเฉิงชงคิดว่าผู้ที่ถูกเลือกให้เป็นเจ้าสำนัก ต้องเป็นเขาเท่านั้นแต่ช่วงนี้กลับมีข่าวลือ โอวหยางหมิงอยากผลักดันคนของเขาขึ้นตำแหน่งเฉิงชงที่มีความมั่นใจเปี่ยมล้นในตอนแรก คราวนี้เริ่มนั่งไม่ติดแล้ว
แต่เฉิงชงเหมือนได้รับสมบัติล้ำค่าเมื่อหลายปีก่อนเขาเคยออกไปฝึกฝนประสบการณ์ที่ข้างนอก ได้รู้จักกับหมอซางท่านหนึ่งและก็เป็นตอนนั้นเอง เฉิงชงเกิดความสนใจต่อหมอซางเมื่อเห็นหมอซางท่านนั้นนำกระต่ายและสัตว์เล็กอื่นๆ มาทำการทดลองผ่าเย็บ เฉินชงก็เกิดความคิดแปลกๆ รู้สึกว่าบางทีร่างกายของมนุษย์อาจสามารถเย็บแผลและงอกใหม่เหมือนกระต่ายแต่น่าเสียดายที่สกุลเฉิงสนับสนุนแนวทางดั้งเดิม ฝีมือการแพทย์อย่างหมอซางที่ไม่เข้าขั้น ไม่ได้รับอนุญาตในสกุลเฉิงเฉิงชงทำได้เพียงแอบศึกษาเองจนกระทั่งช่วงก่อน เขาได้ยินว่ามีคนผ่าท้องของคนที่ใกล้ตายในเจียงโจวและคนที่ถูกผ่าท้อง ไม่เพียงไม่ตาย กลับกันยังถูกช่วยจนรอดชีวิตแล้วเขาส่งคนไปหาข่าวที่เจียงโจวทันทีหลังจากหาข่าว จึงจะรู้ว่าคนที่ใกล้ตายคนนั้นคือคุณชายน้อยของอัครมหาเสนาบดีลู่ส่วนคนที่ผ่าท้องช่วย ก็คืออวิ๋นฝูหลิงเฉิงชงรู้สึกตกใจมาก ยิ่งคลั่งไคล้ในทักษะหมอซางแล้วเขานึกถึงสมัยที่ฮ่องเต้ไท่จูยกทัพพิชิตใต้ฟ้า นายท่านผู้เฒ่าอวิ๋นก็เป็นแพทย์ทหารอยู่ในกองทัพ ทักษะหมอซางของเขาไม่มีใครสามารถเทียบทักษะการผ่าท้องของอวิ๋นฝูหลิง ไม่แน่ว่าได้รับการถ่ายทอดโดยน
อวิ๋นกานซงลอบแค่นเสียงเย็นชาหากไม่ใช่เพราะไม่มีตัวเลือกที่ดีกว่า เขาย่อมไม่เลือกเฉิงชงแต่ไม่เป็นไร รอให้จบเรื่องเสียก่อน เขาก็จะสามารถเหยียบย่ำชื่อเสียงในวงการแพทย์ของเฉิงชงได้ เมื่อถึงครานั้นเฉิงชงจะยังเย่อหยิ่งได้อยู่หรือ?เมื่อนึกถึงแผนของตัวเอง มุมปากของอวิ๋นกานซงก็เผยรอยยิ้มมีความสุขออกมาหลังจากอวิ๋นฝูหลิงรับประทานอาหารกลางวันกับสวินเส้าคังเสร็จ ทั้งกลุ่มก็ออกไปจากห้องส่วนตัวคาดไม่ถึงว่าทันทีที่นางออกมาจากประตูห้องส่วนตัว ก็เห็นเฉิงชงออกมาจากห้องส่วนตัวด้านข้างเช่นกันแม้อวิ๋นฝูหลิงจะเคยพบเฉิงชงเพียงไม่กี่ครา แต่นางซึ่งมีความจำดียิ่ง ก็แทบจะจำเฉิงชงได้ในทันทีเห็นเฉิงชงรีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว อวิ๋นฝูหลิงก็มิได้ตามไปทักทายเช่นกันกล่าวกันตามตรงระหว่างพวกเขาทั้งสองคนก็มิได้สนิทสนมกันมากนัก ก่อนหน้านี้ยามที่ฮ่องเต้จิ่งผิงประชวร พวกเขาก็รักษาฮ่องเต้จิ่งผิงอยู่ที่ตำหนักจื่อเฉิน จึงเคยรวมกลุ่มกันอยู่บ้างอวิ๋นฝูหลิงคิดว่าอาหารร้านนี้ไม่เลวเลย เฉิงชงก็อาจจะมากินอาหารและรวมตัวกับสหายเช่นกันดังนั้นนางจึงไม่ได้ใส่ใจสถานการณ์นี้มากนักจนกระทั่งนางเห็นอวิ๋นกานซงเดินตามไป โดยท
ตัวตนที่นางปรารถนามากที่สุด และอยากให้เป็นที่รู้จักมากที่สุด ก็คือตัวตนในฐานะหมออวิ๋นฝูหลิงพยักหน้าให้หลิงโหยว มิได้รบกวนการตรวจคนไข้ที่โถงด้านหน้า และพาหลิงโหยวไปที่ด้านหลังโรงหมออวิ๋นฝูหลิงถามไถ่สถานการณ์ในช่วงนี้ของสำนักช่วยชีพ และได้รู้ว่าสำนักช่วยชีพดำเนินกิจการไปได้ปกติ จึงรู้สึกวางใจ“คุณหนูใหญ่ เมื่อสองวันก่อนได้มีการจัดพิธีสรงสามของหลานชายคนโตที่จวนชิงเหอปั๋ว ฮูหยินผู้เฒ่าของจวนชิงเหอปั๋วเฝ้ารอหลานชายคนนี้มานานมากแล้ว เพราะมีความสุขมากเกินไป จึงเกิดอาการหัวใจวายอย่างกะทันหันในงานเลี้ยง”“โชคดีที่ครอบครัวพวกเขาเตรียมยาบำรุงหัวใจของสำนักช่วยชีพของพวกเราเอาไว้ล่วงหน้า หลังจากฮูหยินผู้เฒ่ากินยาก็ได้สติขึ้นมาอย่างรวดเร็ว”“จวนชิงเหอปั๋วไม่วางใจ จึงเชิญหมอหลวงมาดูอาการเป็นพิเศษ”“เมื่อหมอหลวงผู้นั้นรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากินยาบำรุงหัวใจของพวกเราจึงได้สติ ก็ขอยาเม็ดหนึ่งจากจวนชิงเหอปั๋ว”“หลังจากตรวจสอบแล้วก็บอกว่าโชคดีมากที่มียาบำรุงหัวใจเม็ดนั้น ไม่เช่นนั้นชีวิตของฮูหยินผู้เฒ่าคงตกอยู่ในอันตรายไปแล้ว”“หลังจากข่าวนี้แพร่ออกไป ยาลูกกลอนของสำนักช่วยชีพของพวกเรา ก็เป็นที่นิยมขึ้
หลิงโหยวส่ายศีรษะ “มิได้บอกขอรับ อีกฝ่ายได้ยินว่าท่านไม่อยู่ ก็บอกว่าพรุ่งนี้จะมาอีกครา”“ข้าบอกกฎเกณฑ์การให้ท่านตรวจอาการกับอีกฝ่ายไปแล้วเช่นกัน และบอกว่าอีกสองวันคุณหนูใหญ่จะมาตรวจคนไข้ที่สำนักช่วยชีพ คนผู้นั้นก็มิได้พูดอันใด ก่อนจะกลับไปเช่นนั้นขอรับ”อวิ๋นฝูหลิงคิดว่าหากอีกฝ่ายอยากมาให้นางตรวจอาการ ย่อมต้องมาหาที่สำนักอีกคราเป็นแน่หลังออกจากสำนักช่วยชีพ เดิมทีอวิ๋นฝูหลิงคิดจะกลับไปที่จวนอี้อ๋องทันทีทว่ายามที่ผ่านจวนจี้ชุนโหวระหว่างทาง อวิ๋นฝูหลิงก็บอกให้หยุดรถม้าอย่างกะทันหันหลังจากอวิ๋นฝูหลิงนำจวนจี้ชุนโหวกลับมาได้แล้ว ไม่เพียงแต่ขับไล่คนของครอบครัวอวิ๋นกานซงออกไป แม้แต่คนใช้ในจวนก็ถูกนางไล่ออกไปจนหมดยามนี้ในจวนมีเพียงสามีภรรยาสูงอายุคู่หนึ่งกับหลิงโหยวคอยดูแลทำความสะอาดหลังจากอวิ๋นฝูหลิงกลับมาที่เมืองหลวง ก็อยู่ที่จวนอี้อ๋องมาโดยตลอด ดังนั้นจวนจี้ชุนโหวแสนกว้างขวางแห่งนี้ จึงถูกทิ้งให้ว่างเปล่าเดิมทีอวิ๋นฝูหลิงยังกังวลเรื่องโรงปรุงยา ทันใดนั้นก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา คิดว่าการตั้งโรงปรุงยาที่จวนจี้ชุนโหวก็ไม่เลวนางเดินชมจวนจี้ชุนโหวรอบหนึ่ง ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว
เทียนเฉวียนได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจทันทีว่าท่านอ๋องคิดจะนั่งรอลาภลอยในเมื่อเวินเจาผู้นั้นเป็นนายน้อยเผ่าเยว่ สถานะในเผ่าเยว่ก็ย่อมไม่ธรรมดาหลังจากคนแคว้นเยว่เหล่านั้นรู้ข่าวว่าเวินเจาถูกจับตัวมา จะต้องคิดหาวิธีมาช่วยเขาออกไปเป็นแน่เทียนเฉวียนไปทำตามคำสั่งของเซียวจิ่งอี้ทันทีทว่าหลังจากรอมาสามวัน ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวจากทางด้านเวินเจาแม้แต่น้อยเซียวจิ่งอี้ตระหนักได้ว่าตัวเองเจอคู่ต่อสู้เข้าแล้วราชครูแคว้นเยว่หลบหนีเก่งมาก ทำให้ยามนี้เขารู้สึกจนปัญญาอยู่บ้างหากพูดตามหลักการแล้ว คนแคว้นเยว่เหล่านั้นต้องการฟื้นฟูแคว้น ตัวตนของเวินเจาซึ่งมีสายเลือดราชวงศ์ จึงทำให้พวกเขามีเหตุผลอันชอบธรรมมิเช่นนั้นอาศัยเพียงราชครูผู้นั้น คนแคว้นเยว่ที่เหลือจะเชื่อฟังคำสั่งเขาได้อย่างไร?ทว่าหลังจากผ่านไปนาน คนแคว้นเยว่เหล่านั้นกลับไม่มีท่าทีว่าจะมาช่วยเวินเจาแม้แต่น้อยนี่หมายความว่ามองแผนของเขาออกใช่หรือไม่? หรือคิดว่ายามนี้ไม่ใช่จังหวะที่ดีในการช่วยเหลือ จึงกำลังวางแผนและเฝ้าดูอยู่?หรือคนแคว้นเยว่ยอมแพ้เรื่องนายน้อยเวินเจาผู้นี้แล้ว?เซียวจิ่งอี้คิดไปคิดมา ก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่คนแ
ทหารชั้นผู้น้อยคนนั้นได้กลิ่นเลือดจาง ๆ สายหนึ่งกลิ่นเลือดจางมาก จนแทบไม่ได้กลิ่นแต่เขาเกิดมาพร้อมจมูกที่อ่อนไหวต่อกลิ่น แค่เพียงกลิ่นจาง ๆ ก็สามารถได้กลิ่นเช่นกันทหารชั้นผู้น้อยรีบเดินหลายก้าว ไล่ตามสือจ่างซึ่งเป็นผู้นำไปยามนี้สือจ่างเดินออกมาจากเรือนแล้ว ทหารชั้นผู้น้อยรีบเดินไปตรงหน้าสือจ่าง และกระซิบไม่กี่ประโยคก้นบึ้งในดวงตาของสือจ่างฉายแววประหลาดใจ และหันกลับไปมองลานบ้านด้านหลังในลานบ้าน ชายวัยกลางคนกับหญิงสาวผู้งดงามเห็นว่าในที่สุดทหารก็ตรวจค้นเสร็จแล้ว จึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกใครจะรู้ว่ายังไม่ทันถอนหายใจเสร็จ ประตูเรือนกลับถูกคนพังเปิดเข้ามาอย่างกะทันหันกลุ่มทหารที่เข้ามาตรวจค้นก่อนหน้านี้บุกเข้ามาอีกครั้งชายวัยกลางคนเห็นเช่นนั้นก็ใจเต้นแรง แต่บนใบหน้ากลับยังสงบ และก้าวออกมาด้วยรอยยิ้มคาดไม่ถึงว่าเขายังไม่ทันได้เอ่ยปาก สือจ่างผู้นั้นซึ่งเป็นหัวหน้าก็ผลักเขาไปด้านข้าง ก่อนออกคำสั่งเสียงเคร่งขรึมว่า “ค้นหาทั้งในและนอกเรือนใหม่อีกครั้ง ค้นให้ละเอียด!”ทหารทุกคนตอบรับ และแยกย้ายไปค้นหาอีกครั้งทันทีทหารชั้นผู้น้อยซึ่งประสาทรับกลิ่นไวยืนอยู่ที่เดิม จมูกขยับฟ
“ขอรับ” เทียนซูรับคำสั่งก่อนจะถอยออกไปผ่านไปไม่นาน เทียนซูก็กลับมา“ท่านอ๋อง ผู้ดูแลหอจินอวี้กับพนักงานยืนยันศพกันหมดแล้วขอรับ แน่ใจแล้วว่าเป็นคนที่อยู่ข้างตัวราชครูแคว้นเยว่ผู้นั้น”เซียวจิ่งอี้ใคร่ครวญครู่หนึ่ง ก่อนถามว่า “คนผู้นี้ถูกจับได้ที่ใด?”“ถูกจับที่ตรอกหูลู่ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองขอรับ” เทียนซูตอบกลับเซียวจิ่งอี้กล่าวทันที “ไปเอาแผนที่จินโจวมา”ผ่านไปไม่นาน แผนที่จินโจวก็ถูกแขวนขึ้นเซียวจิ่งอี้เดินไปข้างหน้าแผนที่ หาตำแหน่งตรอกหูลู่บนแผนที่เขายื่นมือออกไปแตะบนแผนที่ หลังจากนั้นก็วงขอบเขตโดยประมาณและกล่าวว่า“ถ่ายทอดคำสั่ง ให้คนไปค้นหาทุกซอกทุกมุมของตรอกหูลู่”คนผู้นั้นที่ถูกจับได้ ย่อมไม่ปรากฏตัวที่ตรอกหูลู่โดยไม่มีสาเหตุบางทีสถานที่ซ่อนตัวของพวกเขา อาจจะอยู่ใกล้ตรอกหูลู่นอกจากนี้คนผู้นั้นที่ถูกจับได้ ยังกัดลิ้นปลิดชีพตัวเอง ไม่ให้ความหวังตัวเองว่าจะมีชีวิตรอดเลย เห็นได้ชัดว่าทำเพื่อปกป้องใครบางคนดูท่าคนรอบกายราชครูแคว้นเยว่ผู้นั้นจะจงรักภักดีเป็นอย่างยิ่งการเดินทางมาจินโจวครั้งนี้ของเขา ไม่แน่คนข้างกายที่พามาอาจจะล้วนเป็นคนสนิททั้งสิ้นหากคนสนิทเห
จิตรกรฝีมือดีเช่นนี้ เหตุใดจึงถูกเซียวจิ่งอี้เชิญไปได้ง่าย ๆยิ่งไปกว่านั้นจิตรกรฝีมือดีเหล่านั้นก็ยังไม่เคยเห็นพวกท่านจอมปราชญ์เหวินมาก่อน เหตุใดจึงสามารถวาดภาพเหมือนจากความว่างเปล่าให้เหมือนพวกเขาโดยสมบูรณ์ได้?นอกจากนี้ท่านจอมปราชญ์เหวินอยู่ที่จินโจวมานานแล้ว แต่ไม่เคยได้ยินว่าในจินโจวมีจิตรกรชื่อดังอันใดเลยตั้งแต่เขาหลบหนีจากหอจินอวี้มาจนถึงตอนนี้ ก็ยังผ่านไปไม่พ้นครึ่งวันเสียด้วยซ้ำภายในระยะเวลาอันสั้นถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงมีคนที่สามารถวาดภาพพวกเขาออกมาได้มากมายเช่นนี้?ในใจท่านจอมปราชญ์เหวินไม่อยากจะเชื่อแต่เห็นผู้ใต้บังคับบัญชาพูดจาหนักแน่น เขาก็ไม่กล้าคิดไปเองมากเกินไปไม่รู้เพราะเหตุใด เขามักรู้สึกว่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเซียวจิ่งอี้ จะมีความแปลกประหลาดมากเสมอบางทีอาจมีคนมากความสามารถอยู่ข้างกายเซียวจิ่งอี้จริง ๆ ซึ่งสามารถวาดภาพเหมือนออกมาได้เหมือนจริงโดยสมบูรณ์ โดยที่อาศัยเพียงคำอธิบายไม่กี่ประโยคยามนี้คนเหล่านี้ที่อยู่ข้างกายเขา ต่างเป็นคนที่เคยปรากฏตัวที่หอจินอวี้หากข้างกายเซียวจิ่งอี้มีจิตรกรฝีมือดีอยู่จริง ๆ เกรงว่าคนเหล่านี้ที่อยู่ข้างกายเขา คงล้วนถูกวาด
ท่านจอมปราชญ์เหวินได้แต่แสร้งทำเป็นผ่านทางมา และรีบพาคนจากไปยามที่ออกมาจากหอจินอวี้ ท่านจอมปราชญ์เหวินก็ถอดหน้ากากออกการสวมหน้ากากเดินบนท้องถนน จะยิ่งดึงดูดความสนใจหลังจากถอดหน้ากาก รูปลักษณ์ของเขาก็ไม่ได้โดดเด่นมากนัก ในฝูงชนจึงแทบไม่มีใครสังเกตเห็นเมื่อคิดว่าแผนการของตนล้มเหลว จนถูกเซียวจิ่งอี้ไล่ล่าราวกับสุนัขไร้บ้านตัวหนึ่ง อีกทั้งนายน้อยเผ่าเยว่เป็นหรือตายก็ไม่อาจรู้ได้ ในใจท่านจอมปราชญ์เหวินจึงหดหู่เป็นอย่างยิ่งเป็นความผิดของเซียวจิ่งอี้!ท่านจอมปราชญ์เหวินรู้สึกราวกับว่าเซียวจิ่งอี้เกิดมาเพื่อเป็นหายนะของเขาเขาวางแผนจัดการเซียวจิ่งอี้หลายครั้ง แต่ก็ถูกอีกฝ่ายหลบเลี่ยงได้ทุกครั้งเมื่อเขาคิดจะฉวยโอกาสสร้างความวุ่นวายให้แคว้นต้าฉี ก็จะถูกเซียวจิ่งอี้ทำลายแผนการเสมอยามนี้เมื่อนึกถึงเซียวจิ่งอี้ ท่านจอมปราชญ์เหวินก็โกรธจนกัดกรามในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ นี้ เขายังไม่มีกำลังที่จะโต้กลับได้รอก่อนเถอะรอให้เขากลับไปที่เมืองหลวง ก็จะสามารถอาศัยอำนาจขององค์ชายสาม จัดการเซียวจิ่งอี้ให้สิ้นซาก!ท่านจอมปราชญ์เหวินกัดฟัน ขณะที่สีหน้ามืดครึ้มผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดท่านจอมป
อวิ๋นฝูหลิงยังจำเรื่องที่เซียวจิ่งอี้ขอให้นางวาดภาพเหมือนได้หลังจากพบเซียวจิ่งอี้ ทั้งสองคนก็ไปยังคุกที่ขังผู้ดูแลกับพนักงานของหอจินอวี้ไว้เมื่อพูดถึงแขกผู้มีเกียรติบนชั้นสามของหอจินอวี้ ผู้ดูแลกับพนักงานของหอจินอวี้ก็ต่างจดจำได้เป็นอย่างดีชั้นสามของหอจินอวี้ ไม่ใช่ว่าใครต่างก็มีสิทธิ์ขึ้นไปได้นี่เป็นอุบายที่หอจินอวี้โยนออกมา เป็นวิธีดึงดูดลูกค้าเพื่อสร้างกำไรแบบหนึ่งผู้ที่สามารถขึ้นไปชั้นสามของหอจินอวี้ได้ หมายความว่าเป็นคนที่มีสถานะและทักษะการพนันสูงแต่กลุ่มของท่านจอมปราชญ์เหวิน กลับเป็นเวินเจาพาขึ้นไปด้วยตัวเองนับตั้งแต่เวินจือเหิงนอนป่วยติดเตียง อำนาจทั้งหมดของสกุลเวินก็ตกไปอยู่ในมือของเวินเจาเวินเจาพาคนไปพักอยู่ที่ชั้นสามของหอจินอวี้ ทั้งยังบอกให้ปรนนิบัติกลุ่มของท่านจอมปราชญ์เหวิน เหล่าคนของหอจินอวี้ย่อมไม่กล้าไม่เชื่อฟังไม่ว่าจะเป็นผู้ดูแลของหอจินอวี้ หรือพนักงาน ยามนี้เมื่อถูกขังอยู่ในคุก ทุกคนก็หวาดกลัวอยู่ตลอดเมื่อเห็นการสืบสวนก่อนหน้านี้ของเซียวจิ่งอี้ คนเหล่านี้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง และออกไปจากคุกโดยเร็ว ทุกคนต่างก็แย่งชิงกันเป็นคนแรกเพราะกล
“พี่สาม ทางด้านเมืองหลวงมีข่าวคราวบ้างหรือไม่?”“พวกท่านปู่โอวหยางคิดค้นเทียบยาใหม่ที่ใช้รักษาผู้ที่ป่วยเพราะขี้ผึ้งทองได้แล้วหรือไม่?”หลังจากค้นพบขี้ผึ้งทอง อวิ๋นฝูหลิงก็ดึงพวกรองเจ้าสำนักโอวหยางกับหมอหลวงจงมาร่วมศึกษาด้วยกัน ทั้งยังเขียนจดหมายส่งให้นายท่านผู้เฒ่าหาง รวมถึงส่งข้อมูลที่เกี่ยวกับชีพจรและการรักษาให้เขาด้วยแม้เมืองหลวงกับจินโจวจะเป็นสถานที่ที่ได้รับผลกระทบจากขี้ผึ้งทองมากที่สุด แต่ก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าที่อื่นจะไม่ได้รับผลกระทบถึงอย่างไรการค้าของแคว้นต้าฉีก็เจริญรุ่งเรืองมาก จากใต้ขึ้นเหนือมีพ่อค้ามากมาย บางทีอาจจะมีคนที่เดินทางระหว่างเมืองหลวงกับจินโจว ซื้อขี้ผึ้งทองติดไปด้วยสองสามกล่องก็เป็นได้อวิ๋นฝูหลิงคิดว่านางออกจากเมืองหลวงมาหลายวันถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าทางด้านเมืองหลวงจะมีความคืบหน้าใหม่อันใดบ้างตั้งแต่อวิ๋นฝูหลิงกลับมาถึงจินโจว ก็ยุ่งอยู่กับการรักษาผู้ป่วยมาโดยตลอด หางซานสุ่ยจึงไม่มีโอกาสได้พูดคุยเป็นการส่วนตัวกับนางตอนนี้เมื่อเห็นว่าอวิ๋นฝูหลิงเป็นฝ่ายถามขึ้นมา หางซานสุ่ยก็นับว่ามีโอกาสแล้วเขาหยิบจดหมายสองสามฉบับออกมาจากในโต๊ะ“จดหมายพวกนี้ถูกส่ง
แม้ว่าราชครูแคว้นเยว่จะหนีไปแล้ว แต่เขาอยู่ที่หอจินอวี้ตั้งหลายวัน จึงมักจะมีช่วงเวลาที่ผ่อนคลายจนเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงแม้เขาจะใช้หน้ากากปิดบังใบหน้าอยู่เสมอ จึงไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่คนรอบตัวเขาทุกคนจะสวมหน้ากากกระมัง?เริ่มต้นไล่ไปจากผู้ใต้บังคับบัญชา บางทีอาจจะค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ก็เป็นได้เซียวจิ่งอี้ตัดสินใจไต่สวนผู้ดูและกับพนักงานเหล่านั้นของหอจินอวี้ยังมีทักษะการวาดภาพเหมือนอันยอดเยี่ยมของอวิ๋นฝูหลิง จะต้องจับพวกปลาซิวปลาสร้อยพวกนั้นได้เป็นแน่แม้ว่ากลุ่มของราชครูแคว้นเยว่จะฉวยโอกาสวางเพลิงเพื่อหนีออกไปจากหอจินอวี้ แต่ประตูเมืองจินโจวก็ปิดอยู่ ยามนี้พวกเขาคงยังซ่อนตัวอยู่ในเมืองนอกจากนี้ มีบางสิ่งที่ต้องจัดการด้วยเช่นกันเซียวจิ่งอี้ยืนอยู่หน้าประตูสำนักผิงอัน หันกลับมามองอวิ๋นฝูหลิงที่กำลังยุ่งคราหนึ่งเพียงชั่วครู่เดียว เขาก็พลิกร่างขึ้นหลังม้า มุ่งตรงไปยังที่ว่าการเมืองจินโจวครึ่งชั่วยามต่อมา มีประกาศใบหนึ่งถูกนำมาติดไว้ที่ประตูที่ว่าการทั้งยังมีคนตีฆ้องจากที่ว่าการ อ่านเนื้อหาในประกาศไปทั่วเมืองประกาศนี้กล่าวถึงอันตรายของขี้ผึ้งทอง
“ข้าอยากจับคนร้ายที่กระทำความผิด ให้ได้แบบคาหนังคาเขา”“แต่ไม่คิดเลยว่าคนผู้นั้นจะโหดเหี้ยมถึงขั้นเสียสติ ตั้งใจวางเพลิงในหอจินอวี้ เพื่อหลบหนีการไล่ล่า”“เป็นเพราะข้าไม่รอบคอบ ทำให้ผู้บริสุทธิ์ทุกคนต้องตกอยู่ในอันตราย”“วันนี้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเพราะเหตุเพลิงไหม้ที่หอจินอวี้ ค่ารักษาและค่ายาข้าจะจ่ายให้เอง”“นอกจากนี้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย จะได้รับห้าตำลึง ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหนักจะได้รับสิบตำลึง”“ได้ยินว่ามีสองคนที่ถูกไฟไหม้จนบาดเจ็บสาหัส สองคนนี้จะได้รับยี่สิบตำลึง”“เงินเหล่านี้ถือเป็นน้ำใจเล็กน้อยจากข้า ที่อยากจะรักษาร่างกายเหล่าผู้บาดเจ็บ”“ข้าจะให้คนนำเงินมามอบให้ในภายหลัง!”ผู้บาดเจ็บทุกคนได้ยินเช่นนั้น ความไม่พอใจที่สุมอยู่ในอกก็หายไปกว่าครึ่งทันทีตอนนี้เมื่อย้อนคิดดูแล้ว เมื่อคืนยามที่หอจินอวี้ถูกปิดล้อม ผู้นำคนนั้นก็บอกว่าทำเพื่อสืบคดีบางอย่างจริง ๆคิดดูอีกครายามนั้นที่เกิดเพลิงไหม้ ทหารเหล่านั้นก็มิได้บังคับขังพวกเขาไว้ในหอจินอวี้ ทว่ากลับรีบเข้ามาในหอเพื่อดับไฟช่วยคนหากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ เกรงว่าพวกเขาคงไม่ใช่แค่ได้รับบาดเจ็บ แต่กว่าครึ่งคงตายตกไปในเหตุเพ