บนใบหน้าของอวิ๋นฝูหลิงปรากฏเส้นขีดสีดำนางตัดสินใจว่าเมื่อกลับไปจะตีพวกลูกพี่อู๋เสียหน่อยต้องเป็นพวกเขาที่พูดเรื่องไร้สาระเป็นแน่ เด็กถึงได้ฟังจนเรียนรู้ไปเช่นนี้อวิ๋นฝูหลิงคุกเข่าลง ก่อนจะดึงอวิ๋นจิงมั่วมาถาม “เหตุเจ้าจึงวิ่งมาที่นี่ได้? แล้วมาตั้งแต่เมื่อใด?”อวิ๋นจิงมั่วจิ้มนิ้ว ก่อนจะพูดอย่างรู้สึกผิด “ข้าอยากมาเจอท่านลุง ก็เลยให้พี่เหยากวงพาข้ามาขอรับ”“ข้าได้ยินพวกท่านทะเลาะกัน”“ทะเลาะกันไม่ดีนะขอรับ พวกท่านไม่ทะเลาะกันได้หรือไม่?”“ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้ท่านลุงได้รับบาดเจ็บ ท่านแม่ยอมให้ท่านลุงหน่อยเถอะขอรับ...”เหยากวงยืนอยู่นอกประตู เพราะได้ยินเสียงโต้เถียงกันด้านใน จึงจงใจอยู่ห่าง ๆ และไม่กล้าเข้ามาอวิ๋นฝูหลิงได้ยิน ก็รู้สึกอึดอัดอย่างอธิบายไม่ถูกเจ้าเด็กหน้าเหม็นนี่ช่างลำเอียงไปทางเซียวจิ่งอี้เสียจริง!รู้หรือไม่ว่าผู้ใดเก็บอึเก็บปัสสาวะและเลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่?นางแอบต่อว่า ขณะที่มองอวิ๋นจิงมั่วเอามือเล็กเท้าเอว พลางดุเซียวจิ่งอี้“ท่านลุง ท่านอย่ารังแกท่านแม่ของข้านะขอรับ!”“ไม่อย่างนั้นมั่วมั่วจะไม่ชอบท่านแล้ว!”เซียวจิ่งอี้พยักหน้าโดยพลัน และอธิบายว่า “
อวิ๋นฝูหลิงยืนเงียบอยู่ข้าง ๆ ไม่ได้รบกวนการทำความรู้จักกันของสองพ่อลูกอวิ๋นจิงมั่วร้องไห้สะอึกสะอื้นระบายความรู้สึกออกมากระทั่งอวิ๋นจิงมั่วเงยหน้าขึ้นจากอ้อมกอดของเซียวจิ่งอี้ ดวงตาของเขาแดงก่ำจากการร้องไห้ ทว่าดวงหน้าเล็ก ๆ กลับเผยความเขินอายออกมาเล็ก ๆเขามิใช่เด็กเล็ก ๆ แล้ว แต่กลับกอดท่านพ่อร้องไห้จนเสียงขึ้นจมูกเสียอย่างนั้นขืนเหล่าสหายรู้เข้า ต้องล้อจนเขาอับอายขายขี้หน้าเป็นแน่กลางวัน สามคนหนึ่งครอบครัวกินข้าวด้วยกันเป็นครั้งแรกที่อวิ๋นจิงมั่วได้รู้ซึ้งถึงความหมายของการกินข้าวพร้อมกับท่านพ่อท่านแม่อย่างแท้จริง จึงตื่นเต้นดีใจเป็นที่สุดเขามองเซียวจิ่งอี้ที่นั่งอยู่ทางขวามือของเขา แล้วก็หันไปมองอวิ๋นฝูหลิงที่นั่งอยู่ทางซ้ายมือ รับรู้ได้เพียงแค่ว่าตนเองนั้นเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในใต้หล้าเซียวจิ่งอี้กับอวิ๋นฝูหลิงเห็นท่าทางดีอกดีใจของบุตรชายแล้ว ทั้งคู่จึงเข้าใจตรงกันทันทีโดยที่ไม่ต้องพูดว่าไม่ควรพูดเรื่องอันใดก็ตามที่ฟังแล้วไม่เสนาะหูขึ้นมาพวกเขาให้ความร่วมมือกับบุตรชายสุดความสามารถ สวมบทบาทเป็นบิดามารดาที่ดีกระทั่งยามค่ำ อวิ๋นจิงมั่วดึงดันจะนอนกับเซียวจิ่งอี้
เขากำลังนั่งอยู่ข้างหน้าเตียง คอยเฝ้าอวิ๋นจิงมั่วไปพลาง หยิบตำราขึ้นมาอ่านไปพลางอวิ๋นฝูหลิงเห็นภาพตรงหน้านี้แล้ว ถึงกับเหม่อลอยไปชั่วขณะโฉมหน้าด้านข้างของบุรุษโฉมงามช่างเปี่ยมไปด้วยพลังทำลายล้างจริง ๆนี่มันความงามระดับไหนกันนะ เป็นความงดงามที่นางไม่ต้องเสียเงินก็เชยชมได้แน่หรือ?ส่วนเจ้าก้อนซาลาเปาก้อนน้อย ๆ บนเตียงก็ช่างนุ่มนิ่มน่ารักน่าชังไม่มีใครเทียบอวิ๋นฝูหลิงอดยกมือกุมหน้าอกไว้ไม่ได้ นางรู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นระรัวจนแทบจะกระเด็นกระดอนออกมาบุรุษที่หน้าตาตรงตามรสนิยมของนางขนาดนี้ เหตุใดถึงต้องเป็นองค์ชายด้วยนะ?หากเป็นเพียงคุณชายจากครอบครัวขุนนางธรรมดา ๆ ละก็ ไม่แน่ว่าเมื่อวานนี้นางอาจจะหักห้ามใจตัวเองไว้ไม่อยู่ก็ได้ทว่ากับราชวงศ์นั้นไม่เหมือนกัน จะต้องมีกฎเกณฑ์มากมายรออยู่แน่นอนหากน้องตกลงยอมเป็นพระชายาอี้อ๋อง เกรงว่าวันข้างหน้าคงจะไม่ต่างอะไรกับวิหคปีกหัก ถูกขังไว้ในกรงทองเป็นแน่จะเป็นเช่นนั้นไม่ได้เด็ดขาด!นางตั้งมั่นไว้แล้วว่าจะเป็นหมอเทวดาที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วล้าให้ได้ระหว่างหน้าที่การงานกับบุรุษนั้น แต่ไหนแต่ไรมานางก็เลือกหน้าที่การงานมาเป็นอันดับแ
อวิ๋นฝูหลิงได้ให้คนนำความไปแจ้งแก่นายท่านหางแล้วดังนั้นเหล่าคนไข้ที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาต่อหลังจากวันประลองวิชาแพทย์ ล้วนได้รับการแจ้งให้มารับการตรวจโรคอีกครั้งที่สำนักผิงอันอวิ๋นฝูหลิงเป็นคนที่หากได้เริ่มทำอะไรแล้วต้องทำต่อจนเสร็จโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนไข้ของนาง นางต้องรับผิดชอบให้ถึงที่สุดกระทั่งอวิ๋นฝูหลิงตรวจอาการให้เหล่าคนไข้ที่มารับการตรวจอีกครั้งเสร็จแล้ว นายท่านหางก็มาถึงได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ เขาประสานมือให้อวิ๋นฝูหลิงพลางกล่าว “แม่นางอวิ๋น ท่านปู่ของข้าอยากพบเจ้าสักครั้ง ไม่รู้ว่าเจ้าจะสะดวกหรือไม่?”ตั้งแต่ครั้งที่ประลองวิชาแพทย์แล้วได้พบกับนายท่านผู้เฒ่าหางในวันนั้น อวิ๋นฝูหลิงก็เดาได้ว่าจะต้องเจอกับเรื่องเช่นนี้นางเองก็อยากพบหน้านายท่านผู้เฒ่าหางอยู่พอดีอวิ๋นฝูหลิงได้พบนายท่านผู้เฒ่าหางในเรือนหลังหนึ่งที่นายท่านหางซื้อไว้ในหัวเมืองเดิมทีนายท่านผู้เฒ่าหางอยากจะมาพบอวิ๋นฝูหลิงตามลำพังสักครั้งหลังจากจบการประลองวิชาแพทย์ในวันนั้นใครจะไปรู้ว่าอยู่ดี ๆ ก็มีมือลอบสังหารโผล่เข้ามาเสียอย่างนั้นและอี้อ๋องก็มาออกราชการที่เจียงโจวโดยปิดบังสถานะ ทั้งยังต้องธนูของมื
ปีนั้นอวิ๋นกานซงอยากครอบครองสินทรัพย์ของจวนโหวและสำนักช่วยชีพใจจะขาด ทั้งครอบครัวสมรู้ร่วมคิดกันวางแผนร้าย วางยาอวิ๋นฝูหลิงด้วยอยากจะทำให้ชื่อเสียงของนางต้องเสื่อมเสีย ใครจะรู้เล่าว่าจะเกิดเหตุการณ์จับพลัดจับผลูไปมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับองค์ชายเจ็ดเข้าอวิ๋นกานซงกลัวว่าอวิ๋นฝูหลิงจะใช้เรื่องนี้ปีนป่ายเข้าไปอยู่ในราชวงศ์ แล้วพอตรวจสอบหาความจริงได้ก็จะมาแก้แค้นพวกเขา จึงคิดเผานางให้ตายอยู่ในกองเพลิงเสียเลยเคราะห์ดีที่แม่นมของนางเป็นคนฉลาดเฉียบแหลม หลังรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล ก็พานางหนีออกมาทันทีครั้นนายท่านผู้เฒ่าหางได้ฟังจนจบก็เดือดพล่านขึ้นมาทันทีทันใด เขากัดฟันกรอดด้วยความโกรธเกรี้ยว “ไอ้เด็กนั่นมันกล้าดีอย่างไร!”นายท่านหางและท่านหมอหางเองก็มีสีหน้าโกรธเกรี้ยวนายท่านผู้เฒ่าหางตำหนิตนเองว่า “ต้องโทษข้า ตอนนั้นหลังจากที่ท่านพ่อท่านแม่ของเจ้าตายจากไป ไม่ควรปล่อยให้เจ้าอยู่ที่จวนโหว แล้วให้คนเจ้าคนสับปลับจิตใจโหดเหี้ยมนั่นเลี้ยงดูเลย”“หากมีศิษย์พี่ศิษย์น้องอย่างพวกเราหลายครอบครัวคอยเลี้ยงดูเจ้า คงไม่เกิดเรื่องเช่นนี้แน่!”“ตอนนั้นเขาสาบานเป็นมั่นเป็นเหมาะ พวกเราเองก็เห็นว่าเข
นายท่านผู้เฒ่าหางพูดจบ ก็หันไปมองอวิ๋นฝูหลิง “ทางเจ้าเองคงมีแผนการอะไรอยู่แล้วกระมัง?”อวิ๋นฝูหลิงพยักหน้า “ข้าต้องทวงคืนจวนจี้ชุนโหวกับสำนักช่วยชีพกลับมาให้ได้ รวมถึงของพวกนั้นที่ท่านพ่อท่านแม่ทิ้งไว้ให้ข้าด้วย!”นายท่านผู้เฒ่าหางว่า “ควรทำแล้วละ เจ้าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงคนเดียวของท่านอาจารย์ ทั้งสำนักช่วยชีพและจวนจี้ชุนโหวล้วนเป็นของเจ้าอยู่แต่เดิมอยู่แล้ว!”เดิมทีนายท่านหางและท่านหมอหางยังไม่รู้เรื่องราวนักครั้นยามนี้ได้ยินนายท่านผู้เฒ่าหางพูดออกมาเช่นนี้แล้ว จึงได้รู้ว่าอวิ๋นกานซงนั้นมิใช่เลือดเนื้อเชื้อไขที่แท้จริงของสกุลอวิ๋น แต่เป็นบุตรที่เกิดจากสตรีนอกจวนกับท่านปู่ที่แต่งเข้าสกุลอวิ๋นของอวิ๋นฝูหลิงภายหลังจากที่เข้ามาในจวนจี้ชุนโหวแล้ว ท่านย่าของอวิ๋นฝูหลิงไม่ได้ทำให้เรื่องราวใหญ่โตด้วยเห็นแก่ความรักความผูกพันฉันสามีภรรยาจะอย่างไรจวนโหวก็มีทายาทสืบสกุลแล้ว ถือว่าทำกุศลด้วยการเลี้ยงดูคนนอกเพิ่มอีกสักคน ให้เขาได้มีข้าวกินก็เท่านั้นเรื่องนี้มีเพียงคนที่ใกล้ชิดกับสกุลอวิ๋นเท่านั้นที่ล่วงรู้ฉะนั้นในสายตาของคนนอกแล้ว ล้วนเข้าใจว่าอวิ๋นกานซงเป็นบุตรชายคนที่สองของสกุลอ
“การประชุมใหญ่แวดวงแพทย์จะจัดขึ้นทุก ๆ ยี่สิบปี และทุกครั้งจะจัดขึ้นในวันที่สิบเดือนสิบ ซึ่งกินระยะเวลาหนึ่งเดือน”“ปีนี้ก็ตรงกับปีที่ต้องจัดการประชุมใหญ่แวดวงแพทย์พอดิบพอดี”“แพทย์ทั่วหล้าล้วนเคารพนับถือสกุลอวิ๋น ท่านหมอมีชื่อมีแซ่ทุกคนล้วนรู้สึกเป็นเกียรติยิ่งเมื่อได้รับเทียบเชิญการประชุมของสกุลอวิ๋น”“จะว่าไป การประชุมใหญ่แวดวงแพทย์คราวก่อนก็ได้บิดาเจ้าเป็นผู้จัด เพียงแค่ชั่วพริบตาก็ผ่านไปยี่สิบปีแล้ว”“ข้าว่า การประชุมใหญ่แวดวงแพทย์ในครั้งนี้นับเป็นโอกาสอันดี ที่เจ้าจะใช้ฐานะผู้นำตระกูลสกุลอวิ๋นมาเปิดเผยตัวตนของเจ้าต่อหน้าผู้คนในแวดวงแพทย์อย่างเป็นทางการ”“เพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่ตัวเอง ทั้งยังได้เปิดโปงโฉมหน้าที่แท้จริงของอวิ๋นกานซงต่อหน้าเหล่าแพทย์ทั่วหล้า ห้ามมิให้เขาได้อ้างชื่อสกุลอวิ๋นได้อีก!”อวิ๋นฝูหลิงขบคิด นางคิดว่าบางที่การประชุมใหญ่แวดวงแพทย์ในครานี้อาจจะเป็นโอกาสที่นางตามหามาตลอดก็เป็นได้จู่ ๆ นายท่านหางก็โพล่งขึ้นมาว่า “ข้าได้ฟังข่าวลือมา ว่ากันว่าการประชุมใหญ่แวดวงแพทย์ครานี้ อวิ๋นกานซงจะเป็นคนออกหน้าจัดด้วยตัวเอง”นายท่านผู้เฒ่าหางเผยสีหน้าหยามเหยียด“เข
ทันทีที่อวิ๋นจิงมั่วเห็นอวิ๋นฝูหลิง ก็รีบพุ่งเข้าไปหาราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่ลูกน้อย ๆ ทันที“ท่านแม่ ทำไมท่านถึงกลับมาดึกเช่นนี้?”เซียวจิ่งอี้กล่าวขึ้นมาข้าง ๆ ว่า “เขารอเจ้าอยู่ตลอด รอให้เจ้ากลับมากินมื้อเย็นด้วยกัน”อวิ๋นฝูหลิงลูบแก้มอวิ๋นจิงมั่ว “ขอโทษนะ วันนี้แม่มีกิจนิดหน่อย เลยกลับมาดึก”อวิ๋นจิงมั่วกอดขาอวิ๋นฝูหลิงไว้ ส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “ไม่เป็นไรขอรับ ท่านแม่มีกิจต้องทำ มั่วมั่วรอท่านแม่ได้”เซียวจิ่งอี้สั่งให้บ่าวรับใช้ตั้งสำรับกระทั่งอวิ๋นฝูหลิงกลับมาจากล้างหน้าล้างตาและผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า อาหารทั้งหลายก็ตั้งอยู่บนโต๊ะเรียบร้อยแล้วหลังกินข้าว อวิ๋นฝูหลิงไปเดินย่อยอาหารกับอวิ๋นจิงมั่วที่ลานเรือนไม่รู้ว่าเซียวจิ่งอี้ตามมาตอนไหน เขากล่าวกับอวิ๋นฝูหลิงว่า “สกุลหางมีชื่อเสียงไม่เลว นายท่านผู้เฒ่าหางเองก็เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับน้ำใจไมตรียิ่งผู้หนึ่ง”“หากเจ้าอยากร่วมมือกับสกุลหางทวงคืนของของสกุลอวิ๋นกลับมา สกุลหางก็นับว่าเป็นกำลังที่มีประโยชน์จริง ๆ ”“แต่ก็ไม่อาจเชื่อใจคนสกุลหางได้ทั้งหมด ให้เชื่อแค่เจ็ดส่วน แล้วเผื่อใจไว้อีกสามส่วนพอ หากวันข้างหน้าเกิดการเปลี่ยนแป
เซียวจิ่งอี้ประทับจุมพิตอวิ๋นฝูหลิงเล็กน้อย แล้วก้มหน้าพูดอยู่ข้างหูของนาง “ข้ามีความคิดไม่ดีอันใดหรือ? แค่อยากมีลูกกับเจ้าอีกสักคนเท่านั้น”“ฝูหลิง พวกเรามีลูกสาวอีกสักคนดีหรือไม่?”แม้ว่าอวิ๋นฝูหลิงจะมีความตั้งใจแรงกล้า ทว่ายามนี้ถูกเขายั่วเย้าจนหน้าแดงก่ำไปหมด“ท่านอย่าประเจิดประเจ้อ จิงมั่วยังอยู่ตรงนี้นะ!”เป็นครั้งแรกที่เซียงจิ่งอี้รู้สึกว่าเจ้าเด็กน้อยคนนี้เกะกะสายตาดูท่าต้องรีบให้เขาย้ายออกไปอยู่เรือนคนเดียวให้ไวขึ้นถึงจะดีแต่ท่าทางที่ทั้งเขินอายทั้งตื่นตระหนกเช่นนี้ของอวิ๋นฝูหลิงช่างน่ารักน่าเอ็นดูเหลือเกิน มันทำให้เขายิ่งรักใคร่จนแทบไม่ไหวอวิ๋นฝูหลิงกลัวว่าเซียวจิ่งอี้จะทำอะไรตามอำเภอใจขึ้นมาจริง ๆ จึงรีบลุกขึ้นพลางผลักเขาออก“นี่ก็ดึกแล้ว ข้าขอตัวไปพักผ่อนก่อน ท่านเองก็รีบกลับไปพักผ่อนเถิด!”เซียวจิ่งอี้กอดอวิ๋นฝูหลิงไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง ขยับเข้าใกล้นางพลางกล่าวว่า “ที่นี่คือเรือนหลัก พระชายาไล่ให้สามีออกไปข้างนอก สามียังจะรักษาหน้าได้ที่ไหนกัน?”อวิ๋นฝูหลิงไม่หลงตามคำหลอกล่อของเขา “เมื่อก่อนพวกเราก็แยกห้องนอนกันมาตลอด”“เมื่อก่อนคือเมื่อก่อน ตอนนี้คือตอนนี้ พ
เมื่อชาติก่อนอวิ๋นฝูหลิงไม่เคยเลี้ยงเด็ก ไม่รู้ว่าต้องถึงอายุสักกี่ปีเด็กถึงจะแยกห้องไปนอนคนเดียวได้ แต่ตอนนี้อวิ๋นจิงมั่วยังอายุไม่ถึงขวบก็จะให้เขาไปอยู่เรือนเดี่ยวต่างหากแล้ว นางรู้สึกว่าแบบนี้ออกจะเร็วไปสักหน่อยเซียวจิ่งอี้อธิบาย “สี่ขวบก็มิใช่เด็ก ๆ แล้ว แต่ไหนแต่ไรมาพอเหล่าองค์ชายอายุได้สามขวบก็ย้ายออกจากตำหนักของมารดา ออกไปเลือกตำหนักอยู่เองต่างหาก มีแม่นม หมัวหมัว กับข้าราชบริพารคอยดูแล หากมารดาผู้ให้กำเนิดมียศต่ำหรือฐานะไม่ดี พอเกิดมาก็จะถูกอุ้มไปให้พระสนมคนอื่น ๆ ที่มียศสูงเลี้ยงดูอยู่ใต้บารมี ต่อให้ไม่ถูกนำตัวไป ในเวลาหนึ่งปีก็ไม่ง่ายดายนักกว่าจะได้พบหน้ามารดาผู้ให้กำเนิดสักสองสามครั้ง”“พอหกขวบ ก็ต้องไปเรียนที่สำนักศึกษาหลวง”“การศึกษาของเหล่าราชนิกุลเป็นเช่นนี้มาเนิ่นนานแล้ว ที่ข้าพาจิงมั่วกลับมาก็เพื่ออยากคิดเผื่อเขา มีบางเรื่องที่ต้องเตรียมตัวเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ”อวิ๋นฝูหลิงได้ฟังเช่นนี้ เลยคิดไปว่าที่เซียวจิ่งอี้พูดมาทั้งหมดนี้บางทีอาจจะเป็นประสบการณ์ตอนเด็ก ๆ ของเขาเองก็เป็นได้ นางจึงอดเจ็บปวดใจไม่ได้“ตอนเด็ก ๆ ท่านก็ทำเช่นนี้หรือ?” อวิ๋นฝูหลิงเอ่ยถามเซียวจิ่งอ
“ถึงครานั้นทุกคนอาจจะคิดว่าเพลงกล่อมเด็กเป็นเพียงข่าวลือและไม่น่าเชื่อถือ”“หากเป็นเช่นนั้น ทุกสิ่งที่พวกเราทำไปมิใช่ว่าสูญเปล่าหรือขอรับ?”อวิ๋นฝูหลิงลูบแขนเสื้อ พลางกล่าวว่า “ไม่ต้องรีบร้อน จะตีงูต้องตีให้ตรงจุดอ่อน!”“ต้องลงดาบครั้งแรกที่ใด ข้าคิดไว้ในใจแล้ว”หลิงโหยวเห็นอวิ๋นฝูหลิงมีแผนการในใจแล้ว ก็ไม่พูดสิ่งใดให้มากความอีกอวิ๋นฝูหลิงมองพวกลูกพี่อู๋ และกล่าวว่า “ท่านลุงหลิง พวกลูกพี่อู๋ทั้งสามคนฝากท่านดูแลด้วย”หลิงโหยวรู้ว่าในมืออวิ๋นฝูหลิงมีคนที่ใช้งานได้ไม่มาก นอกจากพวกลูกพี่อู๋ ที่เหลือทั้งหมดก็ล้วนเป็นลูกน้องของอี้อ๋อง“คุณหนูใหญ่โปรดอย่ากังวล ข้าจะฝึกฝน ให้พวกเขาประสบความสำเร็จในเร็ววัน จะได้สามารถช่วยเหลือคุณหนูใหญ่ได้”อวิ๋นฝูหลิงพยักหน้า ก่อนจะกล่าวกับพวกลูกพี่อู๋ “ท่านลุงหลิงเป็นผู้ติดตามของพ่อข้า ยามนั้นก็เคยดูแลกิจการของสำนักช่วยชีพแทนท่านพ่อ เขาเป็นผู้ช่วยที่ยอดเยี่ยมของพ่อข้า”“พวกเจ้าควรเรียนรู้จากเขาให้ดี ในอนาคตพวกเจ้าจะได้เป็นเถ้าแก่ใหญ่ที่ดูแลกิจการเอง หรือกลายเป็นคนใช้ที่ทำได้เพียงวิ่งทำธุระให้ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับตัวพวกเจ้าเอง!”อวิ๋นฝูหลิงถือว่าพวกลู
อวิ๋นฝูหลิงในฐานะพระชายาอี้อ๋อง หลังจากได้รับการทำความเคารพจากเหล่าคนใช้ของจวนอี้อ๋อง ก็กลับไปที่เรือนหลักกับเซียวจิ่งอี้เทียนเฉวียนที่กลับมาพอดีกล่าวว่า “พระชายา พวกผู้ดูแลหลิงกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ยามที่อวิ๋นฝูหลิงเตรียมตัวกลับเข้าเมืองหลวง ก็ส่งพวกหลิงโหยวให้พาคนล่วงหน้ามาก่อน เพื่อทำธุระบางอย่างให้นางที่เมืองหลวงยามนี้หลิงโหยวกลับมา คาดว่าคงทำธุระเสร็จแล้วอวิ๋นฝูหลิงพูดกับเซียวจิ่งอี้เล็กน้อย ก่อนจะไปเจอคนที่สวนดอกไม้หลังจากหลิงโหยวทักทาย ก็รายงานว่า “คุณหนูใหญ่ ข้าซื้อร้านค้าที่ท่านให้ข้าไปซื้อมาหมดแล้วขอรับ นี่คือโฉนดที่ดินขอรับ”กล่าวจบ หลิงโหยวก็ยื่นโฉนดที่ดินสามฉบับให้อวิ๋นฝูหลิงรับมาดู ทั้งสามร้านต่างซื้อมาตามที่นางต้องการ“ทำดีมาก!”อวิ๋นฝูหลิงเก็บโฉนดที่ดิน ก่อนจะถามอีกคราว่า “เพลงกล่อมเด็กที่ข้าให้คนไปร้องเผยแพร่ในเมือง ได้ผลเป็นเช่นไรบ้าง?”เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หลิงโหยวก็อดไม่ได้ที่จะผุดรอยยิ้มขึ้นมา“เพลงกล่อมแพร่กระจายไปทุกตรอกซอกซอยในเมืองหลวงแล้วขอรับ ยามนี้ทุกคนต่างก็รู้แล้วว่าอวิ๋นกานซงมิใช่สายเลือดของสกุลอวิ๋น แต่เป็นลูกนอกสมรสซึ่งเกิดจากลูกเขยสกุลอว
เดิมทีทายาทคือเครื่องมือที่องค์ชายใช้ในการช่วงชิงบัลลังก์เดิมเซียวจิ่งอี้ก็ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทอยู่แล้ว ยามนี้ยังมีทายาทอีก เช่นนั้นตำแหน่งก็จะยิ่งมั่นคงขึ้นมิใช่หรือ?ทว่าทายาทกลับเป็นจุดอ่อนขององค์ชายสามตั้งแต่เขาแต่งงานมาจนถึงตอนนี้ มีเพียงพระราชธิดาสามคนเท่านั้น จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีพระราชโอรสเลยเซียวจิ่งอี้กลับชิงมีพระราชโอรสก่อนเขาเสียแล้วแล้วจะไม่ให้องค์ชายสามร้อนใจได้อย่างไร?ยามนี้เองท่านจอมปราชญ์เหวินก็กล่าวว่า “องค์ชายสามอย่าทรงร้อนใจไปเลยพ่ะย่ะค่ะ ความผิดถูกโยนไปให้องค์ชายรองแล้ว ต่อให้เขาจะยังมีชีวิตอยู่ ก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับพวกเราพ่ะย่ะค่ะ”“ไม่อาจวางยาสังหารเขาได้ ช่างน่าเสียดายจริง ๆ แต่หลังจากนี้ต้องมีโอกาสอีกเป็นแน่”“ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนอยากให้เขาตายตั้งมากมาย เหตุใดพระองค์จึงไม่นั่งดูการต่อสู้จากด้านบนเฉย ๆ เล่าพ่ะย่ะค่ะ?”แววตาขององค์ชายสามสว่างวาบขึ้นมา “เจ้าหมายถึงเสด็จพี่ใหญ่หรือ?”ตามกฎเกณฑ์ผู้สืบทอดล้วนเป็นโอรสคนโต ในเมื่อไม่มีโอรสกับฮองเฮา ดังนั้นฮ่องเต้จิ่งผิงจึงยังไม่มีผู้สืบทอดตามกฎเกณฑ์ดังนั้นสถานะองค์ชายใหญ่ จึงทำให้ได้เปรียบมาต
เซียวจิ่งอี้เห็นสีหน้าเคร่งขรึมของอวิ๋นฝูหลิง ก็พูดด้วยเช่นกันว่า “ใช่พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ ช่วงบ่ายเสวยแตงหอมมากเกินไปแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้จิ่งผิงเป็นผู้ที่ชอบกิน แต่ปกติมักจะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ แม้แต่การกินก็ยังถูกจำกัดไว้ไม่เกินสามมื้อหากเขากินของที่ชอบมากเกินไปหน่อย ก็จะถูกทุกคนเตือนวันนี้เป็นโอกาสที่หาได้ยาก จึงฉวยจังหวะที่อ้างว่าอวิ๋นจิงมั่วชอบกิน ในการกินแตงหอมเพิ่มอีกหลายชิ้นเมื่อเห็นอวิ๋นฝูหลิงกับเซียวจิ่งอี้พูดถึงเรื่องนี้ ฮ่องเต้จิ่งผิงก็หาได้สนใจมากนัก มิใช่ว่าแค่กินแตงหอมมากกว่าเดิมไม่กี่ชิ้นหรือ จะเป็นเรื่องใหญ่อันใดกัน?เขาโบกพระหัตถ์อย่างไม่ยี่หระ พลางตรัสอย่างขอไปที “เข้าใจแล้ว”เซียวจิ่งอี้ยังไม่วางใจ หลังจากเกาโหย่วฝูมาส่งพวกเขาออกจากตำหนักจื่อเฉิน ก็กำชับกับเขาว่า “เกากงกง หลังจากนี้อย่าลืมเตือนเสด็จพ่อให้เรียกโอวหยางย่วนมาตรวจร่างกายด้วย อย่าให้เสด็จพ่อเป็นหวัด”เกาโหย่วฝูโค้งคำนับพลางตอบรับ “กระหม่อมทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”หลังจากเซียวจิ่งอี้ออกไป เกาโหย่วฝูก็กลับมาที่ตำหนักจื่อเฉิน และหาโอกาสเอ่ยว่า “ฝ่าบาท ไม่เรียกโอวหยางย่วนมาสักคราหรือพ่ะย่ะค่ะ?”ฮ่อง
อวิ๋นฝูหลิงมีสีหน้าประหลาดใจ “ฝ่าบาทหมายความว่า ทรงไม่คัดค้านแล้วหรือเพคะ?”ฮ่องเต้จิ่งผิงโบกมือ “ไทเฮามีคำสั่งลงมาแล้ว สถานะก็ถูกกำหนดไว้แล้ว ข้าย่อมไม่อาจขัดไทเฮาได้”“ขอบพระทัยฝ่าบาทเป็นอย่างยิ่งเพคะ!”อวิ๋นฝูหลิงลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ดูเหมือนจะผ่านอุปสรรคนี้ไปได้แล้ว“ข้าจำได้ว่าบิดาของเจ้าเป็นหมอที่ไม่มีใครเทียบได้ ยามนั้นช่วงการล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วง เขาตายไปเพราะพยายามช่วยชีวิตคน”“พ่อแม่ของเจ้ามีเจ้าเป็นบุตรีเพียงคนเดียว ยามนั้นข้ามอบตำแหน่งท่านหญิงแห่งหย่งหนิงให้เจ้า ทั้งยังรับปากว่าหากในอนาคตมีลูกชาย จะเลือกคนหนึ่งให้มาสืบทอดตำแหน่งจี้ชุนโหว”“ตั้งแต่บิดาของเจ้าจากไป รายงานการมอบตำแหน่งจี้ชุนโหว ข้าระงับมันเอาไว้มาโดยตลอด”“ยามนี้เจ้ามีบุตรชายแล้ว ทั้งยังใช้สกุลอวิ๋น แต่เขาก็เป็นบุตรชายคนโตของอี้เอ๋อร์ด้วย และอี้เอ๋อร์ก็ได้ยื่นฎีกาขอให้แต่งตั้งเขาเป็นซื่อจื่อแล้ว”“เจ้าคิดว่าอย่างไร?”อวิ๋นฝูหลิงรู้สึกซาบซึ้งใจต่อฮ่องเต้จิ่งผิงจากใจจริงหากมิใช่เพราะเขาระงับการสืบทอดตำแหน่งของอวิ๋นกานซงไว้ ตำแหน่งจี้ชุนโหวคงถูกอวิ๋นกานซงสืบทอดไปแล้วจริง ๆ และการจะขับไล่อวิ๋นกานซงออ
อย่างไรก็ตามอำนาจของเครือญาติภายนอกกลับแข็งแกร่งเกินไป ทั้งยังซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้นการเคลื่อนไหวเพียงคราเดียวยังส่งผลกระทบต่อทุกส่วนด้วยด้วยเหตุนี้ ฮ่องเต้จิ่งผิงจึงปวดเศียรเวียนเกล้าเป็นอย่างยิ่งหากเซียวจิ่งอี้ตบแต่งกับอวิ๋นฝูหลิง ในอนาคตก็ย่อมไม่เหมือนเขา ที่ถูกรบกวนจากเครือญาติภายนอกอวิ๋นฝูหลิงพักผ่อนอยู่ในห้องข้างกับอวิ๋นจิงมั่วได้ครู่หนึ่ง ก็เห็นเกาโหย่วฝูเข้ามาบอกว่า “คุณหนูใหญ่อวิ๋น ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้ไปเข้าเฝ้า”อวิ๋นฝูหลิงเตรียมใจสำหรับเรื่องนี้มานานแล้วด้วยสถานะของนางกับอวิ๋นจิงมั่วหากอยากได้การยอมรับจากฮ่องเต้จิ่งผิง ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายดายถึงเพียงนั้นความยินดีก่อนหน้านี้ ก็เป็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น“รบกวนเกากงกงแล้ว” อวิ๋นฝูหลิงลุกขึ้น ก่อนจะมองไปยังอวิ๋นจิงมั่วที่หลับอยู่เกาโหย่วฝูกล่าวโดยพลัน “คุณหนูใหญ่อวิ๋นโปรดวางใจ ข้าหลวงจะคอยดูแลซื่อจื่อน้อยเอง”อวิ๋นจิงมั่วเป็นลูกชายของเซียวจิ่งอี้ อีกทั้งที่นี่ยังอยู่ภายในตำหนักจื่อเฉิน จึงไม่ต้องกังวลปัญหาเรื่องความปลอดภัยอวิ๋นฝูหลิงพยักหน้า ก่อนจะตามเกาโหย่วฝูออกจากห้องข้างไปอวิ๋นฝูหลิงมา
“ข้าลงโทษพี่รองของเจ้าโดยการกักตัวไว้แล้ว ขังเขาไว้สักระยะก่อน เขาจะได้ไม่ก่อเรื่องโง่ ๆ อีก”“ในจดหมายของเจ้าที่บอกว่าการลอบสังหาร อาจจะเกี่ยวข้องกับชาวแคว้นเยว่ ข้าสั่งให้คนไปตรวจสอบแล้ว”“หากเป็นพวกชาวแคว้นเยว่ที่หลงเหลืออยู่คิดจะสร้างปัญหาจริง ๆ ข้าจะไม่ปล่อยไปแน่นอน”เซียวจิ่งอี้กล่าวว่า “คนเหล่านั้นที่คิดจะลอบสังหารกระหม่อมมีสัญลักษณ์รูปพระจันทร์เสี้ยวอยู่บนร่าง นี่คือสัญลักษณ์ของคนเผ่าเยว่ จึงเป็นสาเหตุที่กระหม่อมสงสัยว่าคนแคว้นเยว่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังพ่ะย่ะค่ะ”“เพียงแต่ในยามนั้นแคว้นเยว่ถูกทำลาย และคนในราชวงศ์เยว่ก็ถูกสังหารจนสิ้นแล้ว สกุลเยว่จึงแทบไม่เหลือชิ้นดี”“ลูกไม่อาจรู้ได้ว่าผู้ใดคือคนที่บงการอยู่เบื้องหลัง และมีจุดประสงค์อันใดพ่ะย่ะค่ะ?”“หรือพวกเขาต้องการคิดจะฟื้นฟูแคว้นกลับมาพ่ะย่ะค่ะ?”“แค่มดแมลงฝูงหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องกังวล” ฮ่องเต้จิ่งผิงตบไหล่ของเซียวจิ่งอี้ และเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างกะทันหัน“ในจดหมายเจ้าบอกว่าต้องการตบแต่งกับอวิ๋นฝูหลิง เจ้าจริงจังหรือ?”เซียวจิ่งอี้คุกเข่าพลางกล่าวว่า “ลูกได้พบนางอีกครั้งอย่างไม่คาดฝันที่เจียงโจว และตกหลุมรักนางพ่ะย่ะ