ปีนั้นอวิ๋นกานซงอยากครอบครองสินทรัพย์ของจวนโหวและสำนักช่วยชีพใจจะขาด ทั้งครอบครัวสมรู้ร่วมคิดกันวางแผนร้าย วางยาอวิ๋นฝูหลิงด้วยอยากจะทำให้ชื่อเสียงของนางต้องเสื่อมเสีย ใครจะรู้เล่าว่าจะเกิดเหตุการณ์จับพลัดจับผลูไปมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับองค์ชายเจ็ดเข้าอวิ๋นกานซงกลัวว่าอวิ๋นฝูหลิงจะใช้เรื่องนี้ปีนป่ายเข้าไปอยู่ในราชวงศ์ แล้วพอตรวจสอบหาความจริงได้ก็จะมาแก้แค้นพวกเขา จึงคิดเผานางให้ตายอยู่ในกองเพลิงเสียเลยเคราะห์ดีที่แม่นมของนางเป็นคนฉลาดเฉียบแหลม หลังรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล ก็พานางหนีออกมาทันทีครั้นนายท่านผู้เฒ่าหางได้ฟังจนจบก็เดือดพล่านขึ้นมาทันทีทันใด เขากัดฟันกรอดด้วยความโกรธเกรี้ยว “ไอ้เด็กนั่นมันกล้าดีอย่างไร!”นายท่านหางและท่านหมอหางเองก็มีสีหน้าโกรธเกรี้ยวนายท่านผู้เฒ่าหางตำหนิตนเองว่า “ต้องโทษข้า ตอนนั้นหลังจากที่ท่านพ่อท่านแม่ของเจ้าตายจากไป ไม่ควรปล่อยให้เจ้าอยู่ที่จวนโหว แล้วให้คนเจ้าคนสับปลับจิตใจโหดเหี้ยมนั่นเลี้ยงดูเลย”“หากมีศิษย์พี่ศิษย์น้องอย่างพวกเราหลายครอบครัวคอยเลี้ยงดูเจ้า คงไม่เกิดเรื่องเช่นนี้แน่!”“ตอนนั้นเขาสาบานเป็นมั่นเป็นเหมาะ พวกเราเองก็เห็นว่าเข
นายท่านผู้เฒ่าหางพูดจบ ก็หันไปมองอวิ๋นฝูหลิง “ทางเจ้าเองคงมีแผนการอะไรอยู่แล้วกระมัง?”อวิ๋นฝูหลิงพยักหน้า “ข้าต้องทวงคืนจวนจี้ชุนโหวกับสำนักช่วยชีพกลับมาให้ได้ รวมถึงของพวกนั้นที่ท่านพ่อท่านแม่ทิ้งไว้ให้ข้าด้วย!”นายท่านผู้เฒ่าหางว่า “ควรทำแล้วละ เจ้าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงคนเดียวของท่านอาจารย์ ทั้งสำนักช่วยชีพและจวนจี้ชุนโหวล้วนเป็นของเจ้าอยู่แต่เดิมอยู่แล้ว!”เดิมทีนายท่านหางและท่านหมอหางยังไม่รู้เรื่องราวนักครั้นยามนี้ได้ยินนายท่านผู้เฒ่าหางพูดออกมาเช่นนี้แล้ว จึงได้รู้ว่าอวิ๋นกานซงนั้นมิใช่เลือดเนื้อเชื้อไขที่แท้จริงของสกุลอวิ๋น แต่เป็นบุตรที่เกิดจากสตรีนอกจวนกับท่านปู่ที่แต่งเข้าสกุลอวิ๋นของอวิ๋นฝูหลิงภายหลังจากที่เข้ามาในจวนจี้ชุนโหวแล้ว ท่านย่าของอวิ๋นฝูหลิงไม่ได้ทำให้เรื่องราวใหญ่โตด้วยเห็นแก่ความรักความผูกพันฉันสามีภรรยาจะอย่างไรจวนโหวก็มีทายาทสืบสกุลแล้ว ถือว่าทำกุศลด้วยการเลี้ยงดูคนนอกเพิ่มอีกสักคน ให้เขาได้มีข้าวกินก็เท่านั้นเรื่องนี้มีเพียงคนที่ใกล้ชิดกับสกุลอวิ๋นเท่านั้นที่ล่วงรู้ฉะนั้นในสายตาของคนนอกแล้ว ล้วนเข้าใจว่าอวิ๋นกานซงเป็นบุตรชายคนที่สองของสกุลอ
“การประชุมใหญ่แวดวงแพทย์จะจัดขึ้นทุก ๆ ยี่สิบปี และทุกครั้งจะจัดขึ้นในวันที่สิบเดือนสิบ ซึ่งกินระยะเวลาหนึ่งเดือน”“ปีนี้ก็ตรงกับปีที่ต้องจัดการประชุมใหญ่แวดวงแพทย์พอดิบพอดี”“แพทย์ทั่วหล้าล้วนเคารพนับถือสกุลอวิ๋น ท่านหมอมีชื่อมีแซ่ทุกคนล้วนรู้สึกเป็นเกียรติยิ่งเมื่อได้รับเทียบเชิญการประชุมของสกุลอวิ๋น”“จะว่าไป การประชุมใหญ่แวดวงแพทย์คราวก่อนก็ได้บิดาเจ้าเป็นผู้จัด เพียงแค่ชั่วพริบตาก็ผ่านไปยี่สิบปีแล้ว”“ข้าว่า การประชุมใหญ่แวดวงแพทย์ในครั้งนี้นับเป็นโอกาสอันดี ที่เจ้าจะใช้ฐานะผู้นำตระกูลสกุลอวิ๋นมาเปิดเผยตัวตนของเจ้าต่อหน้าผู้คนในแวดวงแพทย์อย่างเป็นทางการ”“เพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่ตัวเอง ทั้งยังได้เปิดโปงโฉมหน้าที่แท้จริงของอวิ๋นกานซงต่อหน้าเหล่าแพทย์ทั่วหล้า ห้ามมิให้เขาได้อ้างชื่อสกุลอวิ๋นได้อีก!”อวิ๋นฝูหลิงขบคิด นางคิดว่าบางที่การประชุมใหญ่แวดวงแพทย์ในครานี้อาจจะเป็นโอกาสที่นางตามหามาตลอดก็เป็นได้จู่ ๆ นายท่านหางก็โพล่งขึ้นมาว่า “ข้าได้ฟังข่าวลือมา ว่ากันว่าการประชุมใหญ่แวดวงแพทย์ครานี้ อวิ๋นกานซงจะเป็นคนออกหน้าจัดด้วยตัวเอง”นายท่านผู้เฒ่าหางเผยสีหน้าหยามเหยียด“เข
ทันทีที่อวิ๋นจิงมั่วเห็นอวิ๋นฝูหลิง ก็รีบพุ่งเข้าไปหาราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่ลูกน้อย ๆ ทันที“ท่านแม่ ทำไมท่านถึงกลับมาดึกเช่นนี้?”เซียวจิ่งอี้กล่าวขึ้นมาข้าง ๆ ว่า “เขารอเจ้าอยู่ตลอด รอให้เจ้ากลับมากินมื้อเย็นด้วยกัน”อวิ๋นฝูหลิงลูบแก้มอวิ๋นจิงมั่ว “ขอโทษนะ วันนี้แม่มีกิจนิดหน่อย เลยกลับมาดึก”อวิ๋นจิงมั่วกอดขาอวิ๋นฝูหลิงไว้ ส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “ไม่เป็นไรขอรับ ท่านแม่มีกิจต้องทำ มั่วมั่วรอท่านแม่ได้”เซียวจิ่งอี้สั่งให้บ่าวรับใช้ตั้งสำรับกระทั่งอวิ๋นฝูหลิงกลับมาจากล้างหน้าล้างตาและผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า อาหารทั้งหลายก็ตั้งอยู่บนโต๊ะเรียบร้อยแล้วหลังกินข้าว อวิ๋นฝูหลิงไปเดินย่อยอาหารกับอวิ๋นจิงมั่วที่ลานเรือนไม่รู้ว่าเซียวจิ่งอี้ตามมาตอนไหน เขากล่าวกับอวิ๋นฝูหลิงว่า “สกุลหางมีชื่อเสียงไม่เลว นายท่านผู้เฒ่าหางเองก็เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับน้ำใจไมตรียิ่งผู้หนึ่ง”“หากเจ้าอยากร่วมมือกับสกุลหางทวงคืนของของสกุลอวิ๋นกลับมา สกุลหางก็นับว่าเป็นกำลังที่มีประโยชน์จริง ๆ ”“แต่ก็ไม่อาจเชื่อใจคนสกุลหางได้ทั้งหมด ให้เชื่อแค่เจ็ดส่วน แล้วเผื่อใจไว้อีกสามส่วนพอ หากวันข้างหน้าเกิดการเปลี่ยนแป
“ท่านแม่ ข้าอยากไปพายเรือ”อวิ๋นฝูหลิงไม่เงยหน้าขึ้นมองสักนิด “ให้ท่านพ่อเจ้าไปเป็นเพื่อนสิ!”อวิ๋นจิงมั่วหมุนตัววิ่งไปหาเซียวจิ่งอี้ “ท่านพ่อ ท่านไปพายเรือเป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่?”“เมื่อวานนี้ข้าเห็นว่าตรงนั้นมีบ่อน้ำใหญ่มาก ๆ ข้าอยากไปเล่นน้ำ!”เทียนเฉวียนกล่าวขึ้นมาได้อย่างประจวบเหมาะ “เมื่อวานนี้นายน้อยเห็นว่าในสวนมีทะเลสาบอยู่แห่งหนึ่ง อีกทั้งในทะเลสาบยังปลูกดอกบัวเอาไว้ ตอนนี้ก็เป็นช่วงเก็บฝักบัวพอดีขอรับ”เซียวจิ่งอี้สนใจทันที “เช่นนั้นพ่อก็จะไปพายเรือเก็บฝักบัวกับเจ้า”อวิ๋นจิงมั่วกระโดดโลดเต้นดีอกดีใจ “ดีเหลือเกิน!”อวิ๋นฝูหลิงเงยหน้าแล้วกำชับไปว่า “สวมหมวกฟางให้เรียบร้อย ระวังอย่างให้แดดเผาหน้า”แสงแดดช่วงหน้าร้อนนั้นค่อนข้างแรง ฉะนั้นก่อนหน้านี้อวิ๋นฝูหลิงเลยให้จางซานมู่สานหมวกฟางไว้หลายใบ เอาไว้สวมใส่บังแดดยามที่ต้องออกนอกบ้านยุคสมัยนี้ไม่มีครีมกันแดด ทำได้เพียงใช้ขอเช่นนี้มาบังแดดไปแทนอวิ๋นฝูหลิงพูดกับเซียวจิ่งอี้ขึ้นมาอีกว่า “บาดแผลของท่านห้ามให้โดดน้ำ ยามพาจิงมั่วไปเที่ยวเล่นก็ระวังหน่อย”มีเซียวจิ่งอี้พร้อมด้วยองครักษ์กลุ่มใหญ่ไปด้วย อวิ๋นฝูหลิงจึงไม่ได้กั
ครั้นเซียวจิ่งอี้ได้ฟัง ก็ไม่ได้สร้างความลำบากใจแก่ท่านเจ้าเมืองถังแต่อย่างใดเขากล่าวกับบ่าวรับใช้ข้างกาย “ไปแจ้งแม่นางอวิ๋นที”“หากแม่นางอวิ๋นยอมพบ ก็พาท่านเจ้าเมืองถังไปพบนาง”พูดจบก็หันไปมองท่านเจ้าเมืองถัง “แม่นางอวิ๋นจะยอมไปตรวจโรคหรือไม่นั้น ก็ต้องดูว่าท่านเจ้าเมืองมาขอร้องให้รักษาด้วยใจจริงแค่ไหน!”ท่านเจ้าเมืองถังได้ยินแบบนั้นแล้วถึงกับสะดุ้งโหยงเขาได้ยินมานานแล้วว่า อี้อ๋องปฏิบัติต่อแม่นางอวิ๋นผู้นี้ไม่ธรรมดา วันนี้เขามาเชิญคนถึงที่ ย่อมไม่กล้ากระทำการไม่ให้เกียรติทว่าพอเขาได้ยินความพูดเช่นนี้ของเซียวจิ่งอี้ เขาจึงรีบวางตำแหน่งของแม่นางอวิ๋นให้สูงส่งยิ่งขึ้นไปอีกหากแม่นางอวิ๋นผู้นี้เป็นที่ต้องพระทัยของอี้อ๋องจริง เช่นนั้นไม่แน่ว่าวันข้างหน้านางอาจจะเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วราวติดปีก มีเกียรติสูงส่งเกินพรรณนาก็เป็นได้!ท่านเจ้าเมืองถังรับคำด้วยอย่าวเคารพนบนอบขณะที่เขากำลังจะถอยออกมา จู่ ๆ ก็มีเสียงของเด็กน้อยดังโพล่งเข้ามาจากทางทะเลสาบ“ท่านพ่อ ท่านลุงจ้าวสามเก็บฝักบัวให้ข้าเยอะมากเลย!”“ท่านพ่อ ท่านรีบมาเร็ว ๆ เข้า!”ท่านเจ้าเมืองถังได้ยินเช่นนั้นก็หันไปมองตาม
ฮ่องเต้จิ่งผิงคิดว่าหากเขาจากเมืองหลวงไปชั่วครั้งชั่วคราวก็ดีถึงอย่างไรการตายของบุตรสาวคนเดียวของจี้ชุนโหว จะว่าไปแล้วก็เกี่ยวข้องกับเขาไม่น้อยหลบลี้เรื่องฉาวโฉ่ไปถึงชายแดนเหนือ พร้อมกับถือโอกาสสั่งสมประชุมการณ์ไปด้วยในตัวผ่านไปสักปีครึ่งค่อยกลับมาใครเล่าจะรู้ว่าเขาไปครานี้ สี่ห้าปีแล้วก็ยังไม่กลับมาเลยสักครั้งทุกครั้งที่ฮ่องเต้จิ่งผิงมีพระราชสาส์นไปรบเร้าให้เขากลับมาเมืองหลวง เขาก็มักจะหาข้ออ้างผัดผ่อนอยู่เรื่อยไปปีนี้เขาตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้ว บอกไปว่าตนเองนั้นอายุได้ห้าสิบพรรษาแล้ว อยากจัดงานเฉลิมพระชนมพรรษาอย่างเอิกเกริกสักครั้ง ให้เขารีบกลับมาอวยพรแก่ตนนั่นล่ะ เซียวจิ่งอี้จึงจะกลับมาเมืองหลวงไหนเลยจะรู้ว่าระหว่างทางกลับถูกคนลอบสังหารเคราะห์ดีที่ยังไม่เป็นอันตรายใด ๆ เดิมทีทหารรักษาพระองค์กับหน่วยกระบี่เงาที่เขาส่งไปควรจะคุ้มกันเซียวจิ่งอี้ให้กลับมายังเมืองหลวง ไหนเลยจะรู้ว่าท้ายที่สุดแล้วกลับนำกลับมาเพียงสาส์นฉบับหนึ่งที่เซียวจิ่งอี้เขียนด้วยมือของคนเองเท่านั้น“ฝ่าบาท มิใช่ว่าอี้อ๋องทรงแจ้งไว้ในสาส์นแล้วหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ ว่าพระองค์ทรงมีกิจที่เจียงโจวให้จัดการเ
ช่วงนี้องค์ชายรองระมัดระวังและถ่อมตนมาโดยตลอดกลัวจะไปข้องเกี่ยวกับเรื่องที่เซียวจิ่งอี้ถูกดักฆ่าที่เจียงโจวแต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่า กลุ่มคนที่เขาส่งไปเจียงโจวและหายตัวไปอีกแล้ว กลับไปลอบสังหารเซียวจิ่งอี้กลางตลาดนี่คือกลัวเขาไม่มีจุดอ่อนหรือ?ไม่ คนของเขาไม่โง่เขลาเช่นนี้!แม้องค์ชายรองไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เมื่อลองพิจารณา ก็คิดได้ว่าในนี้ต้องมีคนเล่นสกปรกแน่ๆองค์ชายรองร้องถูกใส่ร้ายไม่หยุดแต่ฮ่องเต้จิ่งผิงกลับทำหน้าไม่เชื่อหัวใจองค์ชายรองดิ่งวูบ ยิ่งร้องไห้หนักแล้วใครกันแน่ที่อยากใส่ร้ายเขา?องค์ชายรองรู้ดีว่าเรื่องลอบสังหารไม่ใช่ฝีมือคนของเขาแน่นอนแต่คนของเขากลับถูกจับในที่เกิดเหตุลอบสังหารหลักฐานที่หนักแน่นเช่นนี้ ทำให้เขาปฏิเสธไม่ได้แม้ตอนที่คนเหล่านั้นถูกจับก็ล้วนกลายเป็นศพแล้ว แต่ท้ายที่สุดเขาก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากผู้ต้องสงสัยของเรื่องนี้ได้ชั่วขณะองค์ชายรองมีร้อยปากก็ยากจะแก้ต่างจริงๆเขาทำได้เพียงร้องว่าถูกใส่ร้ายอย่างน่าเวทนาไม่หยุด หน้าผากโขกจนมีเลือดไหลแล้ว“องค์ชายรองเซียวจิ่งหลีเข่นฆ่าพี่น้องกันเอง เริ่มกักบริเวณที่จวนหลีอ๋อง ไม่เรียกพบห้ามอ
เทียนเฉวียนคุกเข่าขานรับทันทีเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเห็นว่าเทียนเฉวียนมีงานต้องไปทำที่หัวเมือง จึงอนุญาตให้เขาไปด้วยแล้วหลังจากเข้าประตูเมืองหัวเมือง รถม้าแล่นไปยังด้านหลังของที่ว่าการเมื่อคนเฝ้าประตูเห็นอวิ๋นฝูหลิงมาเยี่ยม ก็สั่งให้คนไปรายงานที่เรือนส่วนหลังทันทีผ่านไปครู่หนึ่ง หมัวมัวข้างกายฮูหยินถังก็มารับด้วยตัวเองหมัวมัวท่านหนีแซ่หยวน เป็นหมัวมัวสินเดิมของฮูหยินถัง ได้รับความไว้วางใจจากฮูหยินถังมากฮูหยินถังให้นางมาต้อนรับอวิ๋นฝูหลิง เพียงพอที่จะเห็นได้ว่าให้ความสำคัญต่ออวิ๋นฝูหลิงหยวนหมัวมัวมีใบหน้าที่กลม เห็นคนก็ยิ้มทันที ดูเป็นกันเองมาก“ฮูหยินดีใจมากเมื่อรู้ว่าแม่นางอวิ๋นมา เดิมทีอยากมาต้อนรับท่านด้วยตัวเอง แต่บังเอิญร้านชีเฉี่ยวมาส่งวัสดุผ้า แล้วก็เครื่องประดับที่คุณหนูสั่งทำ”“ดังนั้นฮูหยินจึงให้บ่าวมาต้อนรับแทนนางก่อน อีกเดี๋ยวฮูหยินก็ตามมา”“หวังว่าแม่นางอวิ๋นจะไม่ถือสา!”หยวนหมัวมัวพูดได้น่าฟัง อวิ๋นฝูหลิงก็ย่อมกล่าวอย่างเกรงใจ“ฮูหยินถังเกรงใจเกินไปแล้ว”ผ่านไปครู่หนึ่ง คนทั้งกลุ่มก็ไปถึงห้องโถงหลักมีสาวใช้ยกน้ำชามาให้อวิ๋นฝูหลิงนั่งจิบไปแล้วสองคำ ฮูหยินถ
หลังจากกินข้าวที่บ้านสกุลอวิ๋น นายท่านผู้เฒ่าหางกับนายท่านหางก็กล่าวอำลาจากไปแล้วอวิ๋นฝูหลิงกับสกุลหางบรรลุข้อตกลงเรื่องความร่วมมือเกี่ยวกับโรงปรุงยาในสองวัน ทางสกุลหางส่งคนมาสร้างโรงปรุงยาที่หมู่บ้านซวงหลินสถานที่สร้างก็คือที่ดินรกร้างที่อวิ๋นฝูหลิงสนใจก่อนหน้านี้ที่ดินรกร้างผืนนั้นอยู่ภายใต้ชื่อของอวิ๋นฝูหลิง อวิ๋นฝูหลิงออกที่ดินออกเทียบยา สกุลหางรับผิดชอบค่าก่อสร้าง รวมถึงการดำเนินงานกับการขายยาลูกกลอนของโรงปรุงยา ช่วงนี้หัวหน้าหมู่บ้านโจวเรียกได้ว่าสีหน้าเบิกบาน อารมณ์ดีมากก่อนหน้านี้พวกเขาเพิ่งมาถึงหมู่บ้านซวงหลิน ไม่คุ้นเคยกับสถานที่และคน เขาไปทำความคุ้นเคยกับหมู่บ้านโดยรอบด้วยรอยยิ้ม ต่อไปมีเรื่องอะไรจะได้ช่วยเหลือกันและกันใครจะคิดว่าหมู่บ้านโดยรอบหาว่าหมู่บ้านซวงหลินของพวกเขาเป็นสถานที่อัปมงคล จึงไม่อยากไปมาหาสู่กับพวกเขาเมื่อนานวันเข้า หัวหน้าหมู่บ้านโจวก็ไม่อยากไปเสนอหน้าให้พวกเขาดูถูกอีก พวกเขาก็ไม่เคยคิดอยากจะไปประจบใครด้วยเหตุนี้ปกติจึงไปมาหาสู่กับหัวหน้าเขตเท่านั้น อย่างไรก็ตามหัวหน้าเขตดูแลเรื่องที่ดินแทบนี้ การเก็บภาษี เกณฑ์แรงงาน และเรื่องอื่นๆ ที่ต้อง
อวิ๋นฝูหลิงคิดว่านายท่านผู้เฒ่าหางเพิ่งมาครั้งแรก อย่างไรก็ต้องต้อนรับสักมื้อภายใต้การขอให้อยู่ต่อของอวิ๋นฝูหลิง นายท่านผู้เฒ่าหางทำได้เพียงอยู่ต่อแล้วอวิ๋นฝูหลิงไปดูที่ห้องครัวแวบหนึ่ง พบว่าในบ้านมีเนื้อไก่เป็ดปลาครบทุกอย่าง ตัดสินใจว่าตอนเที่ยงตนจะเข้าครัวทำอาหารด้วยตัวเองบังเอิญกับเวลานี้เซียวจิ่งอี้พาอวิ๋นจิงมั่วกลับมาแล้วร่างกายของทั้งสองเปียกปอน และยังมีโคลนติดเสื้อเซียวจิ่งอี้มือข้างหนึ่งถือถังไม้ มืออีกข้างจูงอวิ๋นจิงมั่วเมื่ออวิ๋นจิงมั่วเข้าไปในเรือนสกุลอวิ๋น ก็ตะโกนเสียงดังอย่างมีความสุข “ท่านแม่ ข้ากับท่านพ่อจับปลาได้เยอะมาก ตอนเที่ยงย่างปลากิน!”หลายวันนี้เซียวจิ่งอี้เป็นคนพาอวิ๋นจิงมั่วเล่น ไม่ใช่ขึ้นเขาล่าสัตว์ก็ลงน้ำจับปลา หรือไม่ก็ขี่ม้าฝึกกระบี่ และบางครั้งยังพาอวิ๋นจิงมั่วอ่านหนังสืออวิ๋นจิงมั่วมีความสุขทั้งวันอวิ๋นฝูหลิงเห็นอวิ๋นจิงมั่วมีความสุข นางก็ดีใจเช่นกันอายุของอวิ๋นจิงมั่ว กำลังอยู่ในช่วงวัยเล่นซน นางอยากให้อวิ๋นจิงมั่วมีวัยเด็กที่มีความสุขแต่ว่าเป็นเซียวจิ่งอี้ที่ทำให้อวิ๋นฝูหลิงประหลาดใจเล็กน้อยเดิมทีนางคิดว่าเขาที่เป็นองค์ชาย ไม่พูดถ
“ถ้าหากโรงปรุงยาสามารถเปิดต่อไป สำหรับคนในหมู่บ้าน ก็มีอาชีพมากขึ้นหนึ่งอย่าง หลายครอบครัวสามารถมีชีวิตที่ดีขึ้น”“ถ้าหากท่านปู่หางยินดีร่วมทำการค้าโรงปรุงยานี้กับข้า ข้าออกเทียบยาของยาลูกกลอนเอง ส่วนทางโรงปรุงยาให้สกุลหางดูแล”“พวกเราแบ่งผลกำไรคนละครึ่ง แต่ข้ามีเงื่อนไขหนึ่งข้อ โรงปรุงยานี้ต้องสร้างในหมู่บ้านซวงหลิน การหาคนงานก็ต้องพิจารณาชาวบ้านของหมู่บ้านซวงหลินก่อน”พลันนายท่านผู้เฒ่าหางลูบเครายิ้ม “เจ้าเด็กคนนี้ จิตใจดีจริงๆ!”“ข้าทำเพื่อทุกคน ทุกคนทำเพื่อข้า” อวิ๋นฝูหลิงจิบชาคำหนึ่ง กล่าวหัวเราะแหะๆนายท่านผู้เฒ่าหางครุ่นคิดในใจครู่หนึ่ง รู้สึกว่าคำพูดนี้ค่อนข้างมีปรัชญา สายตาที่มองไปทางอวิ๋นฝูหลิงยิ่งชื่นชมแล้วนายท่านหางกล่าวถามอย่างอมยิ้ม “ศิษย์น้องอวิ๋นเชื่อใจพวกเราเช่นนี้ ไม่กลัวพวกเราเหมือนสกุลเซี่ย ได้เทียบยาจากศิษย์น้องอวิ๋น วันข้างหน้าก็ไปทำการค้าของตัวเองหรือ?”อวิ๋นฝูหลิงเงยหน้ามองนายท่านหาง กล่าวด้วยรอยยิ้ม “นั่นย่อมเป็นเพราะเชื่อใจ!”“ไม่ว่าจะเป็นท่านปู่หาง หรือพี่ใหญ่หาง พี่สามหาง ล้วนเป็นคนดี”“อีกอย่างนะ สกุลหางกับข้าเป็นศิษย์สำนักเดียวกัน พวกเราล้วนเป็นค
สมุนไพรในยุคสมัยนี้ส่วนใหญ่แล้วมักเติบโตอยู่ในป่า ดังนั้นจึงเกิดอาชีพอย่างนักเก็บสมุนไพรอาชีพนี้ขึ้นมาตระกูลนักเก็บสมุนไพรหลายตระกูลจึงร่วมมือกับตระกูลแพทย์ ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่ายตอนแรกสกุลเซี่ยก็เป็นเช่นนี้แต่เดิมสกุลเซี่ยเป็นเพียงสกุลเล็ก ๆ ธรรมดาสกุลหนึ่ง ได้เป็นสหายกับจี้ชุนโหวผู้เฒ่า หลังจากนั้นยังร่วมมือกันปลูกสมุนไพร สกุลเซี่ยถึงได้ค่อย ๆ มั่งมีและรุ่งเรืองขึ้นมาทว่าโลกใบนี้ล้วนมีคนเช่นนี้อยู่เสมอ คนที่เพียงแค่ยอมร่วมทุกข์ แต่ไม่ยอมให้ร่วมสุขด้วยทันทีที่ร่ำรวยมีเงินทอง ความคิดก็แปรเปลี่ยนไม่เหมือนเก่าก่อนอีกต่อไปทันทีที่นายท่านผู้เฒ่าหางพูดถึงสกุลเซี่ย น้ำเสียงไม่ดีเลยสักนิด“พอสกุลนั้นร่ำรวย ใจก็ยิ่งละโมบหนัก ไม่พอใจกับส่วนแบ่งกำไรที่เคยคุยกับปู่ทวดของเจ้าไว้เมื่อครั้งแรกๆ”“คิดว่าคนที่คอยดูแลสวนสมุนไพรล้วนมีแต่คนของสกุลพวกเขาทั้งสิ้น เป็นพวกเขาที่ลงแรงให้เยอะกว่า พวกเขาควรจะได้ส่วนแบ่งมากกว่า ไม่ใช่ได้ส่วนแบ่งที่เท่า ๆ กันทั้งสองฝ่าย”“แล้วพวกเขาก็ไม่เคยคิดนี่ ว่าหากไม่มีท่านปู่ทวดของเจ้า ลำพังแค่พวกเขาจะปลูกดอกสายน้ำผึ้งกับสะระแหน่ออกมาได้หรือ?”“หลังจากนั้
สมุนไพรชุดแรกในสวนสมุนไพร อวิ๋นฝูหลิงเลือกมาเพียงไม่กี่ชนิดที่ปลูกขึ้นง่ายและตายยากอย่าง ดอกสายน้ำผึ้ง สะระแหน่ โสมซานชี เก๋ากี้ เป็นต้นอวิ๋นฝูหลิงคัดเลือกกำลังคนจากชาวบ้านที่อยากทำงานออกมาอีกจำนวนหนึ่ง ให้พวกเขาลงนามในหนังสือสัญญา เพื่อจ้างคนเหล่านี้ให้คอยดูแลสวนสมุนไพรอวิ๋นฝูหลิงแจ้งไว้แต่เนิ่น ๆ ว่าหากใครปลูกสมุนไพรออกมาได้ดี พอถึงช่วงเก็บเกี่ยวก็จะมีเงินปูนบำเหน็จให้เพิ่มครึ่งส่วนมีสิ่งตอบแทนล่อตาล่อใจอยู่เช่นนี้ ชาวบ้านที่ลงนามในหนังสือสัญญาก็ไม่มีใครกล้าทำตัวหย่อนยาน มองต้นอ่อนสมุนไพรพวกนั้นราวกับเป็นบุตรของตนเอง ทะนุถนอมรักใคร่เป็นที่สุดก่อนหน้านี้นายท่านหางเห็นว่าอวิ๋นฝูหลิงมาหาเมล็ดพันธุ์สมุนไพรจากเขา ยังคิดอยู่เลยว่านางอยากจะปลูกเล่น ๆ เท่านั้นถึงอย่างไรสมุนไพรนั้นใช่ว่าจะปลูกกันได้ง่าย ๆ ในยุคของราชวงศ์ต้าฉีนั้นมีหลายครอบครัวที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ ครอบครัวที่ปลูกสมุนไพรรอดมาเป็นต้นได้นั้นก็น้อยนิดยิ่งนักแถมสมุนไพรที่พวกนั้นปลูกรอดเป็นต้นได้ก็มีแต่ชนิดที่ปลูกง่ายอยู่ง่ายไม่กี่ชนิดเท่านั้นดังนั้นพอรู้ว่าอวิ๋นฝูหลิงรังสรรค์สวนสมุนไพรขึ้นมาได้แห่งหนึ่ง ไม่เพียงแต
อวิ๋นฝูหลิงพูดไปพลาง ๆ จึงพูดข้อกำหนดการจ้างงานกับหัวหน้าหมู่บ้านโจวไปด้วยเขาลูกทางเหนือของหมู่บ้านที่นางซื้อไว้ลูกนั้น กอปรกับเขาและที่ดินที่เซียวจิ่งอี้มอบให้นางในวันนี้ อวิ๋นฝูหลิงวางแผนไว้ว่าจะจ้างคนให้มาบุกเบิกที่แล้วปลูกสมุนไพรจะปลูกพันธุ์ที่รอดเป็นต้นง่าย และมีช่วงเวลาเก็บเกี่ยวสั้น ๆ ก่อนส่วนโรงปรุงยา เทียบยาที่นางปรุงขึ้นนั้นย่อมต้องเก็บเป็นความลับ ไว้ถึงคราวที่นางต้องเดินทาง หากหาคนที่น่าไว้วางใจมารับช่วงต่อไม่ได้ จะเปิดโรงปรุงยาต่อไปก็ไม่ดีนักถึงอย่างไรโรงปรุงยาชั่วคราวในยามนี้ก็มีพวกเจิ้งซื่อคอยช่วยดูแล และอวิ๋นฝูหลิงยังอยู่ที่หมู่บ้านซวงหลินอีกหนึ่งเดือน หนึ่งเดือนนี้ ช่วงหนึ่งเดือนนี้ก็ทำเช่นนี้ไปก่อนอีกทั้งทางฝั่งนายท่านหางก็เร่งเร้าจะเอายาลูกกลอนแล้วด้วยระหว่างนี้นางจะออกไปหาคน จะลองดูว่ามีคนที่เหมาะมารับช่วงต่อหรือไม่หากหาคนที่เหมาะจะมารับช่วงต่อได้ถือเป็นการดียิ่ง แต่หากหาไม่ได้ก็เอาไว้ค่อยว่ากันอีกทีช่วงครึ่งบ่าย หัวหน้าหมู่บ้านโจวจึงตีฆ้องร้องป่าวให้ชาวบ้านทั้งหลายไปรวมตัวกันที่ลานนวดข้าวหน้าทางเจ้าหมู่บ้านกระทั่งประกาศเรื่องที่อวิ๋นฝูหลิงจะสร้างสว
อวิ๋นฝูหลิงอดยิ้มออกมาไม่ได้ ในเมื่อวันนี้เซียวจิ่งอี้เปิดอกพูดออกมาแล้ว เช่นนั้นนางก็ถือโอกาสพูดให้กระจ่างแจ้งไปด้วยแล้วกัน“ท่านอยากแต่งงานกับข้าจริง ๆ หรือเพราะอยากมอบฐานะอันชอบธรรมให้จิงมั่ว ถึงได้อยากแต่งงานกับข้ากันแน่?”เซียวจิ่งอี้มองเข้าไปในดวงตาของอวิ๋นฝูหลิง กล่าวออกมาอยากจริงใจว่า “สำหรับข้าแล้ว จิงมั่วนับเป็นเรื่องน่ายินดีที่ไม่เคยคิดฝันมาก่อนจริง แต่หากว่าข้าอยากให้เขากลับสู่สกุล คืนสู่ฐานะที่ถูกต้อง ข้ายังมีวิธีการอีกมากมาย”“ที่ข้าอยากแต่งงานกับเจ้าและให้เจ้ามาเป็นพระชายาของข้า เป็นเพราะข้ามีใจรักเจ้าเท่านั้น ไม่มีเรื่องอื่นใดทั้งสิ้น”“ชั่วชีวิตหลังจากนี้ ขอแค่เจ้ายอมอยู่เคียงข้าง มีกันและกัน ใช้ชีวิตร่วมกันกับข้าจนผมขาว!”แม้ว่าอวิ๋นฝูหลิงไม่เชื่อในความรักลึกซึ้งของพวกราชนิกุล ทว่าความซื่อตรงและอบอุ่นของเซียวจิ่งอี้ในยามนี้ กลับทำให้หัวใจนางเต้นไม่เป็นส่ำนางชอบเซียวจิ่งอี้นางแน่ใจ ว่านางหลงรักเซียวจิ่งอี้เข้าแล้วก่อนหน้านี้นางมัวแต่กังวล ไม่ยอมเผชิญหน้าตรง ๆ กับความรู้สึกนี้ทว่ายามนี้เซียวจิ่งอี้เป็นฝ่ายเดินเข้ามาหานางหนึ่งก้าวแล้ว นางเองก็บังเกิดความกล้า
อวิ๋นฝูหลิงไม่อยากประสบเหตุการณ์อย่างคุณชายน้อยลู่เช่นนั้นดังนั้นตลอดเส้นทางนี้ นางเลยไม่สนใจว่าจะขายหน้าหรือไม่ กอดเซียวจิ่งอี้แน่นให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อยเกียรติศักดิ์ศรีจะยิ่งใหญ่แค่ไหน ก็เทียบไม่ได้กับคุณค่าของชีวิตหรอกนะ!เซียวจิ่งอี้กำบังเหียนไว้ พลางยกยิ้มน้อยๆไม่นานนัก เซียวจิ่งอี้จึงรั้งอาชาให้หยุดฝีเท้าอวิ๋นฝูหลิงมองไปรอบ ๆ เล็กน้อย ถึงได้เห็นว่าพวกเขากำลังอยู่ที่ตีนเขาฝั่งบูรพาของหมู่บ้านซวงหลิน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านซวงหลินเท่าไรเซียวจิ่งอี้ลงจากหลังม้าก่อน จากนั้นจึงอุ้มอวิ๋นฝูหลิงลงมาอวิ๋นฝูหลิงพูดขึ้นด้วยความฉงน “ท่านพาข้ามาที่นี่ทำไม?”เซียวจิ่งอี้มิได้ตอบ ทำเพียงกอบกุมมือของอวิ๋นฝูหลิงไว้แล้วกล่าวว่า “ขึ้นไปดูบนเขากัน”อวิ๋นฝูหลิงดีดดิ้นสะบัดมืออยู่หลายครั้งก็ไม่หลุด จึงได้แต่ปล่อยให้เขาทำตามใจชอบไปลักษณะภูเขาลูกนี้ของหมู่บ้านซวงหลินไม่เหมือนกับเขาเฟิ่งลั่ว ทั้งยังไม่ได้สูงชันดูอันตราย และดูสลับซับซ้อนอย่างเขาเฟิ่งลั่วที่นี่เรียกว่าภูเขา แต่ในความจริงแล้วก็เป็นเพียงเนินเขาเล็ก ๆ ที่สูงเหนือระดับน้ำทะเลสองถึงสามร้อยเมตรเท่านั้นฉะนั้นไม่นานนัก ท