ฮ่องเต้จิ่งผิงคิดว่าหากเขาจากเมืองหลวงไปชั่วครั้งชั่วคราวก็ดีถึงอย่างไรการตายของบุตรสาวคนเดียวของจี้ชุนโหว จะว่าไปแล้วก็เกี่ยวข้องกับเขาไม่น้อยหลบลี้เรื่องฉาวโฉ่ไปถึงชายแดนเหนือ พร้อมกับถือโอกาสสั่งสมประชุมการณ์ไปด้วยในตัวผ่านไปสักปีครึ่งค่อยกลับมาใครเล่าจะรู้ว่าเขาไปครานี้ สี่ห้าปีแล้วก็ยังไม่กลับมาเลยสักครั้งทุกครั้งที่ฮ่องเต้จิ่งผิงมีพระราชสาส์นไปรบเร้าให้เขากลับมาเมืองหลวง เขาก็มักจะหาข้ออ้างผัดผ่อนอยู่เรื่อยไปปีนี้เขาตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้ว บอกไปว่าตนเองนั้นอายุได้ห้าสิบพรรษาแล้ว อยากจัดงานเฉลิมพระชนมพรรษาอย่างเอิกเกริกสักครั้ง ให้เขารีบกลับมาอวยพรแก่ตนนั่นล่ะ เซียวจิ่งอี้จึงจะกลับมาเมืองหลวงไหนเลยจะรู้ว่าระหว่างทางกลับถูกคนลอบสังหารเคราะห์ดีที่ยังไม่เป็นอันตรายใด ๆ เดิมทีทหารรักษาพระองค์กับหน่วยกระบี่เงาที่เขาส่งไปควรจะคุ้มกันเซียวจิ่งอี้ให้กลับมายังเมืองหลวง ไหนเลยจะรู้ว่าท้ายที่สุดแล้วกลับนำกลับมาเพียงสาส์นฉบับหนึ่งที่เซียวจิ่งอี้เขียนด้วยมือของคนเองเท่านั้น“ฝ่าบาท มิใช่ว่าอี้อ๋องทรงแจ้งไว้ในสาส์นแล้วหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ ว่าพระองค์ทรงมีกิจที่เจียงโจวให้จัดการเ
ช่วงนี้องค์ชายรองระมัดระวังและถ่อมตนมาโดยตลอดกลัวจะไปข้องเกี่ยวกับเรื่องที่เซียวจิ่งอี้ถูกดักฆ่าที่เจียงโจวแต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่า กลุ่มคนที่เขาส่งไปเจียงโจวและหายตัวไปอีกแล้ว กลับไปลอบสังหารเซียวจิ่งอี้กลางตลาดนี่คือกลัวเขาไม่มีจุดอ่อนหรือ?ไม่ คนของเขาไม่โง่เขลาเช่นนี้!แม้องค์ชายรองไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เมื่อลองพิจารณา ก็คิดได้ว่าในนี้ต้องมีคนเล่นสกปรกแน่ๆองค์ชายรองร้องถูกใส่ร้ายไม่หยุดแต่ฮ่องเต้จิ่งผิงกลับทำหน้าไม่เชื่อหัวใจองค์ชายรองดิ่งวูบ ยิ่งร้องไห้หนักแล้วใครกันแน่ที่อยากใส่ร้ายเขา?องค์ชายรองรู้ดีว่าเรื่องลอบสังหารไม่ใช่ฝีมือคนของเขาแน่นอนแต่คนของเขากลับถูกจับในที่เกิดเหตุลอบสังหารหลักฐานที่หนักแน่นเช่นนี้ ทำให้เขาปฏิเสธไม่ได้แม้ตอนที่คนเหล่านั้นถูกจับก็ล้วนกลายเป็นศพแล้ว แต่ท้ายที่สุดเขาก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากผู้ต้องสงสัยของเรื่องนี้ได้ชั่วขณะองค์ชายรองมีร้อยปากก็ยากจะแก้ต่างจริงๆเขาทำได้เพียงร้องว่าถูกใส่ร้ายอย่างน่าเวทนาไม่หยุด หน้าผากโขกจนมีเลือดไหลแล้ว“องค์ชายรองเซียวจิ่งหลีเข่นฆ่าพี่น้องกันเอง เริ่มกักบริเวณที่จวนหลีอ๋อง ไม่เรียกพบห้ามอ
และเกาโหย่วฝูก็จงรักภักดีต่อฝ่าบาทมาก และยังปิดปากสนิทมาโดยตลอด ย่อมไม่สามารถสอบถามอะไรจากเขาองค์ชายสามโบกมือ สั่งให้คนส่งข่าวออกไปแล้วเขาหันไปมองจอมปราชญ์ชุดขาวที่นั่งอยู่ตรงมุมห้อง สายตาซับซ้อนมากจอมปราชญ์ชุดขาวคนนั้นยกน้ำชาขึ้นมาจิบอย่างสบายๆ คำหนึ่ง ถึงจะเอ่ยปากกล่าว “ตอนนี้องค์ชายสามสามารถเชื่อข้าน้อยได้แล้วกระมัง?”จอมปราชญ์ชุดขาวคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น เขาก็คือท่านจอมปราชญ์เหวินแม้ในใจองค์ชายสามยังมีข้อสงสัย แต่ใบหน้ากลับอ่อนโยนลงและเผยให้เห็นรอยยิ้ม เขากล่าวอย่างสนิทสนม“ไม่ใช่ข้าไม่เชื่อท่านจอมปราชญ์ เพียงแต่สิ่งที่ท่านจอมปราชญ์พูดก่อนหน้านี้มันน่าเหลือเชื่อมาก ทำให้ยากจะเชื่อจริงๆ”ก่อนหน้านี้จอมปราชญ์ชุดขาวถือสิ่งของแทนใจของไทเฮามาเยือน พอเจอกันก็ให้องค์ชายสามไล่คนรับใช้ออกไปให้หมด หลังจากนั้นก็บอกว่าเขาสามารถช่วยองค์ชายสามกำจัดคู่ต่อสู้ ขึ้นครองราชบัลลังก์ถ้าหากองค์ชายสามไม่เชื่อ สามารถนิ่งดูการเปลี่ยนแปลงไปก่อน ไม่นานก็จะมีข่าวขององค์ชายรองกับองค์ชายเจ็ดส่งมา อีกทั้งสำหรับองค์ชายสามแล้ว นี่เป็นข่าวดีแน่นอนขณะที่องค์ชายสามกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย คนในวังก็ส่งข่าวออกมา บ
ท่านจอมปราชญ์เหวินยิ้มเล็กน้อย “ไม่กล้าปิดบังองค์ชาย ก่อนหน้านี้ข้าน้อยคือกุนซือของเจียงโจวอ๋อง”เมื่อองค์ชายสามได้ยินก็ตกใจมาก เซถอยหลังสองก้าว ชนเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ จนเอียงคนคนนี้คือโจรกบฏ!เจียงโจวอ๋องวางแผนกบฏ คนในจวนถูกจับทั้งหมด ใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับเจียงโจวอ๋องไม่รอดคิดไม่ถึงว่ากุนซือคนนี้จะหนีออกมาได้!ชั่วขณะองค์ชายสามตื่นตระหนกเล็กน้อยมองในมุมขององค์ชายสาม เขาไม่ได้รู้สึกดีอะไรกับเสด็จอาเจียงโจวอ๋องที่มีเจตนาก่อกบฏคนนี้ถ้าหากเจียงโจวอ๋องทำสำเร็จจริงๆ ผลประโยชน์ขององค์ชายสามย่อมได้รับความเสียหายอย่างไรก็ตามพ่อแท้ๆ เป็นฮ่องเต้ กับอาแท้ๆ เป็นฮ่องเต้ ย่อมแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเพราะพ่อของเขาเป็นฮ่องเต้ เขาจึงจะเป็นองค์ชาย ถึงจะมีฐานะที่สูงศักดิ์ไม่เช่นนั้น เขาก็เป็นแค่สายเลือดราชวงศ์ทั่วไป ฐานะจะเทียบกับองค์ชายได้อย่างไร?เวลานี้ได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของท่านจอมปราชญ์เหวิน ในใจองค์ชายสามเกิดความระแวงและความไม่ปลื้มหลายส่วนทันที ท่านจอมปราชญ์เหวินกลับไม่ใส่ใจ ยังคงจิบชาอย่างสง่างาม“ถ้าหากท่านกลัว สามารถส่งข้าออกไป ก็นับว่าได้สร้างผลงานต่อหน้าฝ่าบาท!”องค์ชายส
หลังตรอกที่ว่าการมีประตูข้าง สามารถตรงไปยังที่อยู่อาศัยอาจเพราะที่นี่คือที่ว่าการเขตปกครอง ดังนั้นเรียนส่วนหลังจึงใหญ่มาก ดูมีขนาดสองห้องโถงเดินเข้าประตูบุปผาย้อย ก็เห็นหญิงงามอายุสามสิบต้นๆ คนหนึ่งรออยู่หญิงงามท่านนี้ก็คือฮูหยินถังฮูหยินถังได้รับข่าวท่านเจ้าเมืองถังส่งคนมาล่วงหน้าแล้ว นางไม่ได้วางมาดฮูหยินท่านเจ้าเมืองใส่อวิ๋นฝูหลิง และยังมีท่าทีที่สนิทสนมเกรงใจ“ท่านนี้ก็คือแม่นางอวิ๋นกระมัง?”“ได้ยินมานานแล้วว่าเจ้าผ่าท้องช่วยคุณชายน้อยลู่ไว้ ฝีมือการแพทย์ลึกล้ำ ทำให้ผู้คนประหลาดใจนัก”“หลายวันก่อนประลองวิชาแพทย์กับนายท่านซุนของสำนักช่วยชีพ ถึงกับทำให้นายท่านซุนยอมแพ้ในการประลองแล้ว”“น่าเสียดายนัก ข้าไม่ได้เห็นความสง่างามของแม่นางกับตาตัวเอง!”อวิ๋นฝูหลิงเห็นฮูหยินถังรอยยิ้มสดใส ดูเป็นคนตรงๆ จึงประสานมือกล่าวด้วยรอยยิ้มทันที “ฮูหยินลองพาข้าไปดูคุณหนูถังก่อนดีหรือไม่?”นิสัยที่ตรงไปตรงมาของอวิ๋นฝูหลิง ก็ตรงกับนิสัยของฮูหยินถังเช่นกันนางพาอวิ๋นฝูหลิงไปยังเรือนที่คุณหนูถังอยู่ทันทีคุณหนูถังได้รับข่าวแล้ว กำลังรออยู่ในห้องของตัวเองทันทีที่อวิ๋นฝูหลิงเข้าไปในห้อง ก็ม
อวิ๋นฝูหลิงมองออกว่าคุณหนูถังเป็นคนนิสัยค่อนข้างเก็บตัว อาจเพราะเพิ่งเคยถอดเสื้อให้คนตรวจครั้งแรก ร่างกายที่ประหม่าจึงสั่นเล็กน้อยเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเห็นเช่นนี้ ก็หาเรื่องคุยกับนางเบาๆเริ่มตั้งแต่ปีนี้นางอายุเท่าไร เริ่มป่วยตั้งแต่เมื่อไร ป่วยได้อย่างไร จนถึงช่วงนี้กินอะไรบ้าง ทำอะไรบ้าง ถามทุกอย่างภายใต้เสียงที่อ่อนโยนของอวิ๋นฝูหลิง คุณหนูถังจึงค่อยๆ หายประหม่า และตอบคำถามของอวิ๋นฝูหลิงทีละข้อ ระหว่างสนทนา คุณหนูถังถอดเสื้อออกแล้ว อวิ๋นฝูหลิงก็เห็นหน้าอก แขนสองข้าง และหน้าท้องล้วนมีผื่นแดง บางจุดแทบเชื่อมต่อกันเป็นวงขนาดใหญ่อวิ๋นฝูหลิงตรวจดูผื่นแดงเหล่านั้นอย่างละเอียดหนึ่งรอบจึงจะกล่าวถาม “วันที่ท่านเริ่มป่วยกับก่อนป่วยหนึ่งวัน เคยกินของที่พิเศษหรือสัมผัสของที่พิเศษอะไรหรือไม่?”“ก็คือแตกต่างจากวันปกติ ของที่เมื่อก่อนไม่เคยกินหรือเคยสัมผัส”คุณหนูถังครุ่นคิดครู่หนึ่ง ส่ายศีรษะกล่าว “ข้าจำไม่ได้แล้ว”“ผื่นแดงบนร่างกายข้า รักษาได้หรือไม่?” คุณหนูถังน้ำตาคลอเบ้า เห็นได้ชัดว่าทุกผื่นแดงเหล่านี้ทรมานจนใกล้สิ้นหวังแล้วอวิ๋นฝูหลิงกล่าวปลอบใจนางทันที “ไม่ต้องกลัว ท่านเป็นภูมิแพ
อวิ๋นฝูหลิงกล่าว “ย้ายดอกดาวเรืองหม้อออกไปก่อนชั่วคราว อย่าให้คุณหนูถังเข้าใกล้อีก ถ้าหากผื่นหายแล้วไม่กำเริบอีก สาเหตุก็มาจากดอกดาวเรืองหม้อกระถางนี้ ทางที่ดีต่อไปคุณหนูถังอย่าไปสัมผัสอีก”ฮูหยินถังสวดมนต์ทันที “อมิตาภพุทธ ในที่สุดก็หาสาเหตุของโรคได้แล้ว!”ตั้งแต่ลูกสาวมีผื่นแดงตามร่างกาย ฮูหยินถังไม่ใช่ไม่เคยหาหมอมาดูแต่ร่างกายของเด็กผู้หญิง จะให้ผู้ชายที่เป็นคนนอกมาดูได้อย่างไร ดังนั้นหมอผู้ชายจึงทำได้เพียงตรวจชีพจรโดยมีม่านกั้น แล้วฟังนางกับสาวใช้เล่าอาการป่วยหลังจากหมอส่วนใหญ่ตรวจชีพจร ล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไฟในอกลูกสาวแกร่ง ในร่างกายมีลมร้อน ดังนั้นจึงเกิดผื่นแดงดื่มยาดับร้อนเป็นถ้วยๆ แต่ผื่นแดงบนร่างกายลูกสาวกลับไม่เห็นหายดี และยังรุนแรงขึ้นเรื่อยๆอีกทั้งอีกสามเดือนก็จะเป็นวันออกเรือนของลูกสาวแล้ว ฮูหยินถังจึงร้อนใจมากสภาพเช่นนี้ของลูกสาว จะออกเรือนอย่างไร?ถ้าหากว่าที่ลูกเขยมาเห็นผื่นแดงตามใบหน้าและร่างกายของลูกสาว จะไม่ตกใจจนวิ่งหนีหรือ ชีวิตในวันข้างหน้าจะสมบูรณ์ได้อย่างไร?ช่วงนี้ท่านเจ้าเมืองถังกับฮูหยินถังกังวลจนกินไม่ได้นอนไม่หลับบังเอิญวันนั้นท่านเจ้
ฮูหยินถังพยักหน้าให้สามี จากนั้นเอ่ยปากด้วยรอยยิ้ม “แม่นางอวิ๋นสามารถรักษาโรคของลูกได้ จ่ายเทียบยาแล้ว และทาขี้ผึ้งแล้ว อีกไม่กี่วันผื่นก็จะหายไปเอง”ในที่สุดหัวใจของท่านเจ้าเมืองถังก็สงบลงเขากังวลมากเกินไปแล้ว ที่จริงแค่เห็นเมื่อครู่ภรรยาเดินออกมาด้วยรอยยิ้ม ก็รู้แล้วว่าแม่นางอวิ๋นสามารถรักษาโรคของลูกสาวท่านเจ้าเมืองถังรีบประสานมือขอบคุณแม่นางอวิ๋น ทำเอาฮูหยินถังเหลือบมองอวิ๋นฝูหลิงบอกลาท่านเจ้าเมืองถังกับฮูหยินถังสองสามีภรรยาท่านเจ้าเมืองถังส่งอวิ๋นฝูหลิงออกจากประตูด้วยตัวเอง และยังกำชับคนขับรถม้าส่งแม่นางอวิ๋นกลับสวนอิ่งดีๆฮูหยินถังจ่ายค่ารักษาสองเท่า และยังสั่งให้คนเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่หนึ่งส่วน ล้วนถูกขนขึ้นรถม้านานแล้วรอหลังจากอวิ๋นฝูหลิงไปแล้ว ฮูหยินถังสั่งให้คนรับใช้ถอยออกไป จึงจะถามท่านเจ้าเมืองถังอย่างไม่เข้าใจ “แม้แม่นางอวิ๋นฝีมือการแพทย์เลิศล้ำ แต่ก็เป็นแค่สตรีสามัญชน สุภาพหน่อยก็พอแล้ว”“ท่านเป็นถึงเจ้าเมืองขั้นสี่ชั้นเอก มีแต่นางที่ต้องคำนับท่าน นอบน้อมต่อท่าน เหตุใดจึงย้อนกลับมาเป็นท่านที่นอบน้อมต่อนางเช่นนั้น?”ฮูหยินถังแปลกใจตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว รู้สึก
วันงานเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่ คนเกือบทั้งหมู่บ้านล้วนมาร่วมงานแม้ว่าอวิ๋นฝูหลิงจะสร้างเพียงแค่เรือนลานเดียว มีเรือนหลัก พร้อมด้วยเรือนปีกตะวันตกและเรือนปีกตะวันออก กอปรกับห้องครัว ห้องเก็บของ คอกม้าและห้องอื่น ๆ รวม ๆ แล้วก็ได้เจ็ดถึงแปดห้อง แต่ก็นับว่าเป็นบ้านที่มีสง่าราศีเป็นอันดับต้น ๆ ในหมู่บ้านซวงหลินเลยทีเดียวพอถึงเช้าตรู่ ชาวบ้านก็นำของอวยพรมามอบให้ถึงประตูบ้าน แล้วเข้าไปชมบ้านหลังใหม่ของสกุลอวิ๋นห้องต่าง ๆ ล้วนดูเป็นปกติทั่วไป มีเพียงห้องอาบน้ำและห้องครัวเท่านั้นที่แปลกไม่เหมือนใครโดยเฉพาะห้องอาบน้ำ ที่ไม่เพียงมีท่อน้ำที่ตรงออกไปข้างนอกห้อง สามารถเทน้ำที่ผ่านการอาบการใช้ภายในห้องลงในท่อได้โดยตรง ไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงยกน้ำออกไปเททิ้งด้านนอกอีกแล้วเท่านั้นยังมีของกลม ๆ ที่ได้ยินมาว่าเรียกว่าฝักบัวอาบน้ำอยู่ด้วย พอเปิดจุกกั้นออกน้ำร้อนก็จะออกมาทันทีจะล้างเนื้อล้างตัวช่วงหน้าร้อนก็สบายไม่น้อยอีกทั้งส้วมที่ก่อขึ้นจากอิฐสีคราม หลังถ่ายเบาถ่ายหนักก็สามารถราดน้ำลงไปได้เลย ซึ่งมันจะไหลผ่านท่อน้ำไปลงในบ่อเกรอะที่อยู่หลังบ้านชาวบ้านพากันมองด้วยความประหลาดใจ มีบางคนถึงขั้นอดใจเ
หลิงโหยวเป็นผู้ช่วยที่ไม่เลวคนหนึ่งทั้งเข้าใจวิชาแพทย์ ทั้งจงรักภักดีต่อสกุลอวิ๋น ไม่ว่าจะเป็นสวนสมุนไพรหรือโรงปรุงยาล้วนมอบหมายให้เขาดูแลได้เพียงแค่ไม่รู้ว่าเขาจะยินดีหรือไม่หลังอวิ๋นฝูหลิงเจอหลิงโหยว ก็เล่าถึงความคิดนี้ออกไป ทางหลิงโหยวรีบพยักหน้าทันทีพลางกล่าวว่า “ยินดีขอรับ ข้าน้อยย่อมยินดีอยู่แล้วขอรับ!”นับตั้งแต่ที่ได้พบกับอวิ๋นฝูหลิงอีกครั้ง หลิงโหยวก็อยากกลับไปคอยช่วยเหลือทำเรื่องต่าง ๆ อยู่ข้างกายอวิ๋นฝูหลิงยามนี้ได้สมดังปรารถนาแล้ว ย่อมปลื้มปีติเป็นอย่างยิ่งแต่ไหนแต่ไรมา อวิ๋นฝูหลิงล้วนใจกว้างกับเหล่าคนที่อยู่ใต้ปกครอง นางให้เงินเดือนเป็นสองเท่าจากของเดิมแก่หลิงโหยวทันที ส่วนสวัสดิการต่าง ๆ เช่นสินน้ำใจวันตรุษนั้นก็คิดแยกให้อีกต่างหากครั้นพูดคุยกันเป็นที่เรียบร้อย หลิงโหยวจึงกลับไปปรึกษากับครอบครัว เตรียมเก็บเสื้อผ้าต่าง ๆ ไปหมู่บ้านซวงหลินภรรยาของหลิงโหยวถึงแก่กรรมไปนานหลายปีแล้ว เหลือเพียงแค่หลิงเจี๋ยซึ่งเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวเท่านั้นแม้ว่าแต่ก่อนหลิงเจี๋ยจะได้เล่าเรียนหนังสือมานานหลายปี แต่ด้วยสติปัญญามีขีดจำกัด สอบตกในการสอบขุนนางระดับอำเภอหลายต่อหลายคร
คุณหนูถังที่ยืนอยู่ด้านข้างก็มีสีหน้ายินดีและรู้สึกซาบซึ้งใจเช่นกันนางพอใจในการแต่งงานครั้งนี้มาก ด้วยการจัดการของบิดามารดา จึงได้พบกับสามีในอนาคตเป็นการส่วนตัวอยู่สองครั้ง ในใจจึงมีทั้งความคาดหวังและความยินดีของสาวน้อยแต่ทุกสิ่งก็ล้วนถูกทำลายด้วยผื่นแดงบนร่างของนางหากไม่อาจรักษาผื่นแดงให้หายดีได้ จนอีกสามเดือนหลังจากนี้นางต้องไปตบแต่งด้วยสภาพผื่นแดงเต็มร่าง นางก็แทบคิดว่าตายไปเสียจะดีกว่าโชคดีที่ฝันร้ายนี้สิ้นสุดลงแล้วอวิ๋นฝูหลิงกล่าวด้วยรอยยิ้มโดยพลัน “เช่นนั้นก็ขอแสดงความยินดีกับการแต่งงานของคุณหนูถังล่วงหน้า!”คุณหนูถังหน้าแดงด้วยความเขินอาย ก่อนจะยืนขึ้นคำนับอวิ๋นฝูหลิงอย่างจริงจัง “ขอบคุณแม่นางอวิ๋นมากที่ช่วยรักษาผื่นแดงบนร่างของข้าจนหายดี”อวิ๋นฝูหลิงพยุงนาง “ข้าเป็นหมอ เรื่องการรักษาคนย่อมเป็นหน้าที่ของหมอ”อวิ๋นฝูหลิงมองนางพลางกล่าวว่า “ตามเทียบยารักษาผื่นเช่นเดิม แต่กินอีกสองวันก็พอแล้ว”“ข้ายังมีสูตรและขี้ผึ้งดูแลผิวให้งดงามด้วย หลังจากคุณหนูถังใช้แล้ว จะทำให้เป็นเจ้าสาวคนใหม่ที่เปล่งประกายแน่นอน”อวิ๋นฝูหลิงเพิ่งกล่าวจบ ฮูหยินถังก็กล่าวว่า “เช่นนั้นต้องขอบคุณ
เซียวจิ่งอี้อยู่ที่หมู่บ้านซวงหลินต่อวันนั้นที่ประลองวิชาแพทย์ มีเพียงพวกลูกพี่อู๋สี่คนที่เข้าไปในเมือง ดังนั้นตัวตนที่แท้จริงของเซียวจิ่งอี้ นอกจากพวกเขาแล้ว ชาวบ้านคนอื่นจึงยังไม่รู้อวิ๋นฝูหลิงยังกำชับกับพวกลูกพี่อู๋เป็นพิเศษด้วยว่า ไม่ให้พวกเขาบอกเรื่องของเซียวจิ่งอี้กับผู้อื่นส่วนอวิ๋นจิงมั่วยังอายุน้อย ดังนั้นอวิ๋นฝูหลิงกับเซียวจิ่งอี้จึงยังมิได้อธิบายภูมิหลังของเซียวจิ่งอี้ให้เขาฟังด้วยเหตุนี้ที่ผ่านมาอวิ๋นจิงมั่วจึงไม่รู้เรื่องราว รู้เพียงว่าพ่อของเขามีเงินและอำนาจเยอะมาก ซึ่งมากยิ่งกว่าพวกเจ้าหน้าที่ทางการเสียอีกคนในหมู่บ้านแม้จะไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเซียวจิ่งอี้ แต่กลับรู้ว่าเขาคือพ่อแท้ ๆ ของอวิ๋นจิงมั่วยิ่งไปกว่านั้นเห็นว่าเขากิริยาท่าทางเป็นเลิศ ทั้งยังพิถีพิถันเรื่องอาหารและของใช้ในชีวิตประจำวัน จึงพากันคาดเดาตัวตนของเขาลับหลังสิ่งที่ถูกคาดเดามากที่สุด คนส่วนใหญ่ต่างแน่ใจ ว่าเซียวจิ่งอี้เป็นคุณชายจากตระกูลใหญ่ในเมืองเขากับอวิ๋นฝูหลิงตกหลุมรักกัน แต่อวิ๋นฝูหลิงมีฐานะต่ำต้อย จึงไม่ได้รับการยอมรับจากครอบครัวของเซียวจิ่งอี้ดังนั้นทั้งสองคนจึงแอบหนีมาใช้ชีวิ
พวกหัวหน้าหมู่บ้านโจวได้ยินก็ตกตะลึงบทสนทนาแบบเดียวกันนี้ เกิดขึ้นที่บ้านของหู่โถวกับชุนเซิงแม้จะไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับอวิ๋นฝูหลิงและเซียวจิ่งอี้ เหตุใดจู่ ๆ เซียวจิ่งอี้ก็กลายเป็นพ่อที่แท้จริงของอวิ๋นจิงมั่ว แต่ทั้งสามสกุลรวมถึงหัวหน้าหมู่บ้านโจวก็หาใช่ว่าจะไม่มีไหวพริบและกาลเทศะทั้งสามสกุลต่างก็เตือนลูกของตนว่าอย่าพูดเสียงดังไปถึงข้างนอกทว่าไม่จำเป็นที่พวกโจวฉางจี๋จะต้องป่าวประกาศเรื่องนี้ เรื่องที่พวกเขานั่งรถม้าไปเล่นในเมืองกับอวิ๋นจิงมั่ว และนำของขวัญกองหนึ่งกลับมา ก็แพร่กระจายไปทั่วหมู่บ้านแล้วในหมู่บ้านมีผู้คนมากมายที่เฝ้ามองอยู่ จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีคนเห็น ดังนั้นเรื่องนี้จึงมิอาจปิดบังได้มีหลายครอบครัวที่เห็นพวกโจวฉางจี๋ได้รับผลประโยชน์ ก็อิจฉาตาร้อน จนอดไม่ได้ที่จะต่อว่าลูกตัวเองหากลูกตัวเองประจบเก่งเหมือนพวกโจวฉางจี๋ จนได้ไปเล่นกับอวิ๋นจิงมั่ว วันนี้คนที่ได้รับของขวัญย่อมเป็นพวกเขาอวิ๋นฝูหลิงยังไม่รู้เรื่องราว ยามนี้กำลังมองเซียวจิ่งอี้ที่อยู่ตรงหน้า ขณะที่คิ้วขมวดมากขึ้นเซียวจิ่งอี้อธิบายโดยพลันว่า “ข้าจัดการสวนอิ่งเรียบร้อยแล้ว ช่วงนี้ข้าต้อง
“พี่โจวฉางจี๋ พี่ชุนเซิง พี่หู่โถว รีบขึ้นรถเร็ว”อวิ๋นจิงมั่วโผล่ศีรษะออกมาจากรถม้า และโบกมือให้ทั้งสามคนทั้งสามคนที่รออยู่ข้างทางคือโจวฉางจี๋ หู่โถว และชุนเซิงลูกพี่อู๋เห็นเช่นนั้นก็แปลกใจเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นพวกเหยากวงมีท่าทียิ่งเฉย ก็ยังคิดว่าอวิ๋นฝูหลิงรู้เรื่องที่เด็กทั้งสี่คนจะไปที่เมืองแล้วเขากระโดดลงมาจากรถม้าโดยพลัน และอุ้มพวกโจวฉางจี๋ทั้งสามคนขึ้นมาบนรถม้าพวกเหยากวงเห็นการกระทำของลูกพี่อู๋ ก็เข้าใจผิดว่าเรื่องนี้อวิ๋นฝูหลิงอนุญาตแล้วพวกเขาเป็นเพียงผู้น้อย จึงได้แต่ทำตามคำสั่งของเจ้านาย หลีกเลี่ยงการพูดให้มากความ และไม่ก้าวก่ายมากเกินไปความเข้าใจผิดอันยอดเยี่ยมที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้แผนการของอวิ๋นจิงมั่วดำเนินไปได้อย่างราบรื่นเมื่อวานอวิ๋นจิงมั่วได้พบพวกเพื่อน ๆ หลังจากไม่ได้เจอมานาน เมื่อแบ่งขนมและฝักบัวให้ ก็ย่อมอยากอวดชีวิตที่มีความสุขของตนที่สวนอิ่งสิ่งที่อยากโอ้อวดมากที่สุดก็คือ เขามีพ่อแล้ว!ยิ่งไปกว่านั้นพ่อของเขายังเก่งกาจมาก และดีมากด้วย!ดียิ่งกว่าพ่อของพวกโจวฉางจี๋เสียอีก!พวกเพื่อน ๆ ต่างก็แข่งกันพูดว่าพ่อของตัวเองดีที่สุดอีกทั้งยังสงสัยในคำพูดข
ทุกคนต่างก็เป็นเด็กในหมู่บ้าน จู่ ๆ มีองครักษ์เพิ่มขึ้นมา ก็มักจะดูไม่เข้าพวกแต่พวกสวี่ตงมักจะผลัดกันไปดูแลอวิ๋นจิงมั่ว คนในหมู่บ้านจึงล้วนเคยชินกันหมดอวิ๋นฝูหลิงเก็บข้าวของ และไปหาเจิ้งซื่อสะใภ้ใหญ่ของหัวหน้าหมู่บ้านโจวทางด้านสวนสมุนไพรกับโรงปรุงยายังไม่มีข่าวคราว แต่นางกลับสามารถจ้างคนมาทำยาได้ก่อนแล้วเมื่อเจิ้งซื่อได้ฟังความคิดของอวิ๋นฝูหลิง ก็ดีใจเป็นอย่างมากนี่เป็นเรื่องดียิ่งที่สามารถหาเงินได้เจิ้งซื่อกุมมืออวิ๋นฝูหลิง และกล่าวขอบคุณ “แม่นางอวิ๋น ขอบคุณเจ้ามากที่มีเรื่องดี ๆ เช่นนี้แล้วนึกถึงข้า เรื่องนี้ข้าจะทำให้ดีแน่นอน!”อวิ๋นฝูหลิงตบมือของนางเบา ๆ และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเราต่างก็มีมิตรภาพต่อกัน ข้าย่อมไม่ลืมเจ้าแน่นอน”“เจ้าช่วยหาคนที่มีฝีมืออีกสักสามคนหน่อย วันหนึ่งให้ค่าแรงสามสิบอีแปะ”“แต่ข้าขอบอกก่อนว่า ต้องเลือกคนให้รอบคอบ ขอเป็นคนที่มีความสามารถและละเอียดอ่อน”“นี่คือกิจการทำยาของข้า ไม่อาจประมาทได้ หากทำผิดพลาดไป อาจมีคนต้องถึงแก่ชีวิต!”อวิ๋นฝูหลิงรับสมัครคนเป็นครั้งแรก ไม่ได้วางแผนจะรับสมัครมากเกินไป แค่สี่คนก็เพียงพอแล้วลองดูก่อน หากทำงานร่วมกัน
สกุลเฉินทะเลาะกันครั้งใหญ่สะใภ้ใหญ่เฉินพูดตามตรงว่า ทุกคนต่างก็แยกบ้านกันแล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะต้องดูแลคนของบ้านรองที่มากินดื่มอยู่ที่บ้านพวกเขาทุกวันหากเฉินเหล่าต้ายังเป็นห่วงน้องชายกับหลานชาย ก็หย่าขาดกันไปเสีย หลังจากนั้นเขาจะไปกับน้องชายและหลานชายก็ได้เฉินเหล่าต้าได้ยินว่าจะหย่า ก็เงียบลงโดยพลันแม่เฒ่าเฉินเห็นเช่นนั้น ก็ดุด่าเฉินเหล่าต้าว่าโหดเหี้ยมไม่สนใจน้องชายกับหลานชายสะใภ้ใหญ่เฉินเถียงแม่เฒ่าเฉินตามตรง บอกว่าถ้าเป็นห่วงลูกชายคนเล็กกับหลานชายคนโตมากนัก ไม่สู้ไปอยู่กับบ้านรองของนางเลยจะดีกว่าแม่เฒ่าเฉินถูกทำให้พูดไม่ออก และเริ่มร้องไห้โวยวายว่าจะผูกคอตัวเองทว่าครานี้สะใภ้ใหญ่เฉินกลับมีท่าทีแข็งกร้าวกว่าเดิม ไม่สนใจว่าแม่เฒ่าเฉินจะโวยวายใหญ่โตอย่างไร และหันหลังจากไปก่อนเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นหลายครั้ง แม่เฒ่าเฉินก็ยังเป็นห่วงเฉินเหล่าเอ้อร์กับเฉินเสียวเป่าสะใภ้รองเฉินไม่อยู่แล้ว บุรุษที่โตแล้วกับบุรุษที่ยังเล็กไหนเลยจะชำนาญเรื่องการใช้ชีวิต เรื่องอาหารการกินและความเป็นอยู่ก็คงไม่สู้ดีเช่นกันหลังจากนั้นแม่เฒ่าเฉินก็ย้ายไปอยู่กับบ้านรอง บ้านใหญ่ก็มีความกตัญญูให้
เมื่ออวิ๋นจิงมั่วกลับมา เห็นซี่โครงผัดเปรี้ยวหวาน ผักกาดขาวผัดลูกชิ้น และกุ้งผัดซอส ก็รู้วืท่านแม่เป็นคนทำอาหารด้วยตัวเองอวิ๋นจิงมั่วโผเข้าไปในอ้อมกอดของอวิ๋นฝูหลิงอย่างมีความสุข “ท่านแม่ ท่านดีที่สุดเลยขอรับ!”หลายวันมานี้อวิ๋นฝูหลิงยุ่งมากมาโดยตลอด จึงไม่มีเวลาและเรี่ยวแรงมาทำอาหารให้เขากินอวิ๋นจิงมั่วรู้ความจึงไม่ได้รบกวนแม่ แต่ในใจกลับอยากกินอาหารที่แม่ทำเป็นอย่างมากอาหารที่แม่ทำอร่อยที่สุดในใต้หล้า!วันนี้อวิ๋นฝูหลิงก็อารมณ์ดีเช่นกัน คิดว่าไม่ได้ทำอาหารมาหลายวัน จึงทำอาหารมาหลายจานยามนี้เมื่อเห็นท่าทางมีความสุขของอวิ๋นจิงมั่ว อวิ๋นฝูหลิงก็อดไม่ได้ที่จะใคร่ครวญตัวเอง หลายวันมานี้นางละเลยอวิ๋นจิงมั่วไปจริงๆตั้งแต่อวิ๋นจิงมั่วกับเซียวจิ่งอี้รู้จักกันในฐานะพ่อลูก อวิ๋นฝูหลิงก็มักจะให้อวิ๋นจิงมั่วไปอยู่กับเซียวจิ่งอี้ ในขณะที่นางให้ความสนใจอยู่กับเรื่องของตัวเองอวิ๋นฝูหลิงจิ้มจมูกของอวิ๋นจิงมั่ว “ดูดินบนตัวสิ สกปรกเชียว รีบไปล้างเร็ว”อวิ๋นฝูหลิงตักน้ำมาแล้ว ขณะที่อวิ๋นจิงมั่วล้างมือ ก็เล่าเรื่องที่ไปเล่นกับเพื่อนของเขาให้อวิ๋นฝูหลิงฟังอย่างมีความสุข“พวกพี่ฉางจี๋พาข้าไ