ในฐานะคนที่เคยได้เห็นความคึกคักเจริญรุ่งเรืองของย่านการค้าซีบีดีในยุคปัจจุบันมาแล้ว ความเจริญของเขตปกครองเจียงหนิงนั้นไม่ต่างอะไรกับตัวอำเภอเมืองเล็ก ๆ เลยในสายตาของอวิ๋นฝูหลิงทว่านางก็ยังคงเดินเล่นได้อย่างเบิกบานใจนางจูงมืออวิ๋นจิงมั่ว อวิ๋นจิงมั่วอุ้มลูกเสือน้อยไว้ในอ้อมแขน ส่วนลูกพี่อู๋กับคังหมิงหย่วนก็เดินขนาบอยู่ด้านข้างทั้งสองคนคนสี่คนพร้อมกับเสืออีกหนึ่งตัวเที่ยวเดินเล่น จับจ่ายซื้อของ และกินอาหารเรื่อยไปขณะที่กำลังเดินเล่นกันอย่างสบายใจ จู่ ๆ ลูกพี่อู๋ก็โพล่งเตือนขึ้นมาว่า “แม่นางอวิ๋น ดูเหมือนว่าจะมีคนตามพวกเรามาตลอดทางนะ”อวิ๋นฝูหลิงเองก็รู้สึกได้พอดีกับที่มีตรอกอยู่ข้าง ๆ เส้นหนึ่ง ฝีเท้าของอวิ๋นฝูหลิงจึงเปลี่ยนทิศทาง รีบเดินเลี้ยงเข้าไปในตรอกนั้นคนในชุดสีเทาเดินตามเข้ามาในตรอก ทว่ากลับพบแต่ความว่างเปล่าตรอกแห่งนี้มีเพียงทางออกเดียว ทั้งที่เขาเห็นคนเดินเข้ามาด้านในนี้ชัด ๆ แต่เหตุใดถึงไม่เห็นตัวแล้วเล่า?คนชุดเทามองไปรอบ ๆ ไม่หยุด พร้อมกับที่ได้แต่พิศวงอยู่ในใจทันใดนั้นภาพตรงหน้าก็พร่าเลือน ราวกับมีบางสิ่งบางอย่างโฉบผ่านศีรษะเขาไป ยังไม่ทันที่เขาจะรู้สึกตัว
อวิ๋นฝูหลิงไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำใด นางฟังอีกฝ่ายเงียบ ๆผ่านไปครู่ใหญ่ อวิ๋นฝูหลิงถึงได้กล่าวออกมา“ข้าจำท่านไม่ได้แล้ว ท่านคือใครหรือ?”“หลังจากที่ฝางมามาช่วยชีวิตข้าออกมาจากกองเพลิงได้ เพราะได้รับบาดเจ็บหนัก ความทรงจำบางอย่างของข้าเลยขาด ๆ หาย ๆ ไม่ชัดเจน”แม้ว่าอวิ๋นฝูหลิงจะฟื้นฟูความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมได้มาเป็นส่วนใหญ่แล้ว ทว่ายังมีความทรงจำบางอย่างที่ยังคงเลือนรางไม่ชัดเจนและใจคนนั้นเปลี่ยนง่ายแม้ว่าคนตรงหน้านางจะให้ความรู้สึกคุ้นเคย แต่ในใจของนางก็ยังไม่ละความระแวดระวังบุรุษชุดเทาถึงกับชะงักงัน จากนั้นก็ร้องห่มร้องไห้ออกมายกใหญ่มิน่าสายตาของคุณหนูใหญ่ยามที่มองเขาถึงได้ดูไม่คุ้นเคยขนาดนั้น ที่แท้ก็สูญเสียความทรงจำนี่เองหลายปีมานี้ คุณหนูใหญ่ต้องอยู่ข้างนอกและได้รับความทุกข์ตรมมากเป็นแน่“คุณหนูใหญ่ ข้าน้อยชื่อหลิงโหยวขอรับ”“แต่เดิมข้าน้อยถูกท่านโหวผู้เฒ่าเลือกมาจากชนบท ให้มาเป็นผู้ติดตามของท่านโหวขอรับ”“ข้าน้อยโชคดีนัก ได้เล่าเรียนตำราและวิชาแพทย์กับท่านโหว”“ต่อมาได้รับความไว้วางใจจากนายท่านเหมิงโหว ให้คอยช่วยท่านโหวดูแลจัดการสำนักช่วยชีพขอรับ”......จากคำ
ความทะเยอทะยานและความโฉดชั่วของบัณฑิตผู้นั้น เผยโฉมออกมาจนหมดเปลือกบุตรสาวของท่านโหวผู้เฒ่ามีนิสัยอ่อนแอ ทว่าซื่อจื่อน้อยนั้นถูกเลี้ยงดูภายใต้เงาของท่านโหวผู้เฒ่ามาตั้งแต่เด็ก จึงฉลาดเฉลียวไม่เป็นรองใคร จะบีบบังคับเขาก็ไม่ง่ายนักอีกทั้งเส้นสายและสินทรัพย์ของท่านโหวผู้เฒ่าทั้งหมดทั้งมวลล้วนอยู่ในมือของซื่อจื่อน้อยบัณฑิตผู้นั้นอาศัยว่าตนเองเป็นบิดาผู้ให้กำเนิด คิดอยากเป็นเจ้านายของจวนจี้ชุนโหว เช่นนี้ช่างเป็นความคิดเพ้อเจ้อไร้สาระเหลือเกินในมือของซื่อจื่อน้อยมีทั้งคนทั้งเงินทอง จึงบีบคั้นบัณฑิตผู้นั้นและบุตรนอกจวนไว้ ทั้งยังเอาชีวิตของบุตรนอกจวนมาบังคับขู่เข็ญ ให้บัณฑิตผู้นั้นทำตนเป็นนายท่านผู้เฒ่าของเขาไปอย่างเงียบ ๆ อย่าได้ริอ่านไร้สาระกับของที่ไม่ใช้ของตนเมื่อท่านโหวผู้เฒ่าจากไป ซื่อจื่อก็สืบช่วงต่อบรรดาศักดิ์ พระราชโองการแต่งตั้งจี้ชุนโหวคนใหม่ประกาศลงมาอย่างรวดเร็วไม่นานนักบัณฑิตนั้นก็ทำตัวสงบเสงี่ยมประพฤติตนดีภายใต้การกดดันของจี้ชุนโหวคนใหม่ส่วนบุตรสาวของท่านโหวผู้เฒ่านั้นก็ได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง เพราะเรื่องที่สามีไปร่วมคลุกคลีกับสตรีอื่น ทั้งยังให้กำเนิดบุ
เดิมทีนายท่านรองอวิ๋นก็มีความคิดที่จะกำจัดเขาเช่นกัน แต่หลิงโหยวนั้นฉลาดเฉียบแหลม พาครอบครัวออกไปจากเมืองหลวงแล้วเขาอาศัยวิชาแพทย์ที่ได้ร่วมเรียนกับจี้ชุนโหวเมื่อหลายปีก่อน ไปเป็นหมออยู่ในสำนักแพทย์แห่งหนึ่งในเขตปกครองเจียงหนิงยามนี้คุณชายน้อยสกุลลู่ได้รับบาดเจ็บ หมอมีชื่อแม้จะเล็กน้อยแทบจะทั่วทั้งเขตปกครองเจียงหนิงล้วนถูกสกุลลู่ตามตัวด้วยเหตุนี้ หลิงโหยวจึงได้เห็นอวิ๋นฝูหลิงที่เรือนหลังของสำนักผิงอันภายหลังจากนั้นเขาจำนางได้จากศาสตร์ฝังเข็มสกุลอวิ๋นที่อวิ๋นฝูหลิงใช้“ท่าทางคุณหนูใหญ่จะเติบโตขึ้นมากว่าเมื่อก่อนนะขอรับ”“รูปโฉมละม้ายคล้ายคลึงกับฮูหยิน ทั้งยังเหมือนกับท่านโหว”“วิชาแพทย์ก็ยิ่งเก่งกาจเหมือนอย่างท่านโหวผู้เฒ่ามากขอรับ”“หากท่านโหวผู้เฒ่า ท่านโหวและฮูหยินที่อยู่ในปรโลกได้รับรู้ ได้ทราบว่าสกุลอวิ๋นมีผู้สืบทอด จะต้องดีใจมากแน่ขอรับ!”พูดไปพูดมา หลิงโหยวก็อดร้องไห้ออกมาไม่ได้พวกเขาทั้งครอบครัวได้รับความเมตตาใหญ่หลวงจากท่านโหวผู้เฒ่า ถึงได้มีที่ทางให้ใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุขท่านโหวปฏิบัติกับเขาดียิ่ง สอนให้เขาอ่านตำราเล่าเรียนวิชาแพทย์ พอเห็นว่าบุตรชายของเขามีสต
อวิ๋นฝูหลิงหยิบป้ายอาญาสิทธิ์แผ่นนั้นออกมาจากมิติป้ายอาญาสิทธิ์นี้แกะสลักขึ้นจากหยกมันแพะทั้งแผ่น บริเวณด้านล่างมีลวดลายแปลกตาซึ่งลวดลายแปลกตานี้ วันนี้อวิ๋นฝูหลิงได้เห็นผ่านตาจากป้ายเหนือประตูสำนักช่วยชีพยามที่ไปเดินเที่ยวเล่นแล้วเดินผ่านสำนักช่วยชีพแต่เดิมอวิ๋นฝูหลิงไม่เข้าใจว่าลวดลายนั้นคืออะไร ทว่าพอวันนี้หยิบป้ายขึ้นมาดูอีกครั้ง นางก็เข้าใจได้ทันทีว่าลวดลายนี้เป็นการนำเห็ดหลินจือ โสม บัวหิมะและเขาอ่อนกวาง สี่ตัวยาล้ำค่าและมีชื่อมาประกอบกันราวกับอวิ๋นฝูหลิงนึกอะไรบางอย่างออก นางนำป้ายไม้ที่นายท่านหางมอบให้ออกมา บนป้ายไม้สลักลายเห็ดหลินจือเอาไว้นางจำได้ว่าเหนือประตูสำนักผิงอันก็มีลายเห็ดหลินจือซึ่งปู่ทวดของนางผู้นั้น ช่วงที่ดำรงเป็นจี้ชุนโหวแรก ๆ เคยรับศิษย์ไว้สี่คนเป็นไปได้หรือไม่ว่าตัวยาทั้งสี่จากในลวดลายนี้ พอแยกแล้วจะสื่อถึงศิษย์ทั้งสี่ของเขา?หรือว่าสกุลหางของสำนักผิงอัน จะมีความเกี่ยวข้องกับสกุลอวิ๋นเช่นนี้?อวิ๋นฝูหลิงพลิกเล่นป้ายหยกในมือ สายตาของนางมืดครึ้มผ่านไปครู่ใหญ่ นางถึงได้เก็บป้ายหยกกลับเข้าไปอย่างระมัดระวังเดิมทีหยกมันแพะใหญ่ขนาดนี้ก็ราคาสูงลิ่วอ
ต้องวิ่งวุ่นจนถึงยามดึกถึงจะปรุงโอสถพรรณหยกสำหรับกำจัดรอยแผลขึ้นมาได้ จากนั้นจึงทายาให้อวิ๋นซานหูแม้จะทาโอสถพรรณหยกแล้ว ทว่านายท่านรองอวิ๋นกลับยังคงเป็นกังวลด้วยบาดแผลของอวิ๋นซานหูสาหัสเกินไป แม้จะมีโอสถพรรณหยก แต่อยากจะให้รอยแผลเป็นหายไปเป็นปลิดทิ้งนั้นเกรงว่าจะไม่ง่ายดายนักนายท่านรองอวิ๋นตัดสินใจแล้วว่าคืนนี้จะไปพลิกดูตำราแพทย์ที่ห้องตำรา จะลองหาดูว่ามีวิธีกำจัดรอยแผลที่ดีกว่านี้หรือไม่ขณะที่กำลังพลิกดูตำราแพทย์ เขาก็อดนึกถึงตำราแพทย์และศาสตร์ฝังเข็มที่จี้ชุนโหวผู้เฒ่าทิ้งไว้ขึ้นมาไม่ได้ได้ยินมาว่าจี้ชุนโหวผู้เฒ่าเรียบเรียงตำราขึ้นมาจากความรู้ทั้งหมดที่ตนมี ไม่เพียงบันทึกโรคและวิธีการรักษาต่าง ๆ ที่เขาประสบพบเจอมาชั่วชีวิต แต่ยังบันทึกสูตรเทียบยาไว้มากมายนับไม่ถ้วนไม่แน่ว่าในตำราแพทย์นั่นอาจจะมีเทียบยาที่สามารถรักษารอยแผลเป็นอยู่ก็ได้น่าเสียดายก็แต่ ตอนนั้นที่กำจัดนางเด็กหน้าเหม็นนั่น ไม่ได้ขนของต่าง ๆ ออกมาด้วยแล้วก็ไม่รู้ด้วยว่านางเด็กหน้าเหม็นนั่นเอาของไปซุกซ่อนไว้ที่ใดกันแน่!นายท่านรองอวิ๋นเคียดแค้นอยู่ในใจใครจะรู้ว่าอวิ๋นหลิงจือจะมาพบในยามดึกสงัด นางมาบอกข่าว
หากไม่ใช่ว่าเขามีอุบายอยู่บ้าง ทั้งยังพึ่งพิงต้นไม้ใหญ่อย่างไทเฮาแล้วละก็ เกรงว่าเขาคงจะถูกขับออกจากสำนักหมอหลวงไปนานแล้วทว่าวันเวลาที่เขาได้อยู่ในสำนักหมอหลวงนั้น กลับไม่ได้ดีสักเท่าไรแม้ว่าฝีมือการรักษาของเขาจะไม่เลวนัก แต่จวบจนวันนี้ก็ยังเป็นเพียงแค่หมอหลวงขั้นสี่เท่านั้นเหนือขึ้นไปข้างบนยังมีขุนเขาใหญ่สามลูกอย่างสำนักหลักพร้อมกับสำนักซ้ายขวาคอยกดทับระหว่างนั้นมีโอกาสให้ได้เลื่อนขั้นอยู่หลายครั้ง ทว่าโอกาสเหล่านั้นล้วนไม่เคยมาถึงเขาสักคราช่วงนี้เขาได้ยินข่าวไม่เป็นทางการมาว่า เจ้าสำนักเซียวอายุมากแล้ว คิดจะเกษียณราชการกลับบ้านเดิมหากเจ้าสำนักเซียวเกษียณตัว รองเจ้าสำนักซ้ายขวาทั้งสองคนนั้นล้วนจับจ้องตำแหน่งเจ้าสำนักตาเป็นมันไม่ว่าใครในสองคนนั้นจะได้ขึ้นเป็นเจ้าสำนัก ตำแหน่งรองเจ้าสำนักก็ว่างลงหนึ่งตำแหน่งอยู่ดีนายท่านรองอวิ๋นรู้จักตนดี จากคุณสมบัติในยามนี้ของเขา หากจะเป็นเจ้าสำนักนั้นคงไม่อาจได้รับการยอมรับ แต่กับตำแหน่งรองเจ้าสำนักแล้ว เขาก็พอจะพยายามยื้อแย่งมาได้อยู่เขาอยู่ในสำนักหมอหลวงมานานหลายปีเช่นนี้ ก็ควรจะได้เลื่อนขั้นกับเขาบ้างหากยามนี้ เขามีตำราแพทย์กับ
เดิมทีอวิ๋นฝูหลิงคิดเอาไว้ว่า หากเที่ยงแล้วคุณชายน้อยสกุลลู่ยังไม่ฟื้น นางก็จะทำการฝังเข็มให้ใครเล่าจะรู้ว่ายังไม่ทันถึงเที่ยงวัน คุณชายน้อยก็ตื่นขึ้นมาแล้วครั้นเห็นคุณชายน้อยลู่ได้สติ ฮูหยินผู้เฒ่าลู่และฮูหยินใหญ่ลู่ถึงกับดีใจจนหลั่งน้ำตาตอนที่คุณชายน้อยลู่เพิ่งฟื้นคืนสติขึ้นมายังคงมึนงงอยู่บ้าง ทว่าไม่นานนักก็จำได้ว่าตนเองตกลงมาจากหลังม้า แล้วถูกม้าเหยียบเขาคิดว่าตนเองคงสิ้นชีพอย่างไม่ต้องสงสัยเลยนี่เขาตายแล้ว? ที่นี่คือขุนนรก? เหตุใดท่านย่ากับท่านแม่ถึงอยู่ที่นี่ด้วย?แสงแดดส่องลอดเข้ามาจากนอกหน้าต่าง ช่วงท้องก็รู้สึกแน่นขนัดทั้งยังเจ็บมากคุณชายน้อยลู่ค่อย ๆ ได้สติว่า ตนเองน่าจะยังไม่ตายเขายังไม่ตาย!ฮูหยินผู้เฒ่าลู่กับฮูหยินใหญ่ลู่เห็นว่าหลังคุณชายน้อยลู่ได้สติกลับมาแล้ว ทว่าตัวคนกลับมีท่าทางทึ่มทื่อเสียนี่นี่คงไม่ใช่ว่าตกจากหลังม้าแล้วหัวจะทึบไปด้วยกระมัง?“ท่านหมอ ท่านหมอ พวกท่านรีบเข้ามาดูทีว่าหลานชายข้าเป็นอะไรไป?” ฮูหยินผู้เฒ่าลู่ทั้งตื่นตระหนกทั้งเป็นกังวลฝั่งอวิ๋นฝูหลิงรวมสามคนรีบสาวเท้าเข้าไปดูทันทีคนหนึ่งคลำชีพจร คนหนึ่งตรวจดูดวงตาและลิ้น คนหนึ่งเคยถ
เทียนเฉวียนได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจทันทีว่าท่านอ๋องคิดจะนั่งรอลาภลอยในเมื่อเวินเจาผู้นั้นเป็นนายน้อยเผ่าเยว่ สถานะในเผ่าเยว่ก็ย่อมไม่ธรรมดาหลังจากคนแคว้นเยว่เหล่านั้นรู้ข่าวว่าเวินเจาถูกจับตัวมา จะต้องคิดหาวิธีมาช่วยเขาออกไปเป็นแน่เทียนเฉวียนไปทำตามคำสั่งของเซียวจิ่งอี้ทันทีทว่าหลังจากรอมาสามวัน ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวจากทางด้านเวินเจาแม้แต่น้อยเซียวจิ่งอี้ตระหนักได้ว่าตัวเองเจอคู่ต่อสู้เข้าแล้วราชครูแคว้นเยว่หลบหนีเก่งมาก ทำให้ยามนี้เขารู้สึกจนปัญญาอยู่บ้างหากพูดตามหลักการแล้ว คนแคว้นเยว่เหล่านั้นต้องการฟื้นฟูแคว้น ตัวตนของเวินเจาซึ่งมีสายเลือดราชวงศ์ จึงทำให้พวกเขามีเหตุผลอันชอบธรรมมิเช่นนั้นอาศัยเพียงราชครูผู้นั้น คนแคว้นเยว่ที่เหลือจะเชื่อฟังคำสั่งเขาได้อย่างไร?ทว่าหลังจากผ่านไปนาน คนแคว้นเยว่เหล่านั้นกลับไม่มีท่าทีว่าจะมาช่วยเวินเจาแม้แต่น้อยนี่หมายความว่ามองแผนของเขาออกใช่หรือไม่? หรือคิดว่ายามนี้ไม่ใช่จังหวะที่ดีในการช่วยเหลือ จึงกำลังวางแผนและเฝ้าดูอยู่?หรือคนแคว้นเยว่ยอมแพ้เรื่องนายน้อยเวินเจาผู้นี้แล้ว?เซียวจิ่งอี้คิดไปคิดมา ก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่คนแ
ทหารชั้นผู้น้อยคนนั้นได้กลิ่นเลือดจาง ๆ สายหนึ่งกลิ่นเลือดจางมาก จนแทบไม่ได้กลิ่นแต่เขาเกิดมาพร้อมจมูกที่อ่อนไหวต่อกลิ่น แค่เพียงกลิ่นจาง ๆ ก็สามารถได้กลิ่นเช่นกันทหารชั้นผู้น้อยรีบเดินหลายก้าว ไล่ตามสือจ่างซึ่งเป็นผู้นำไปยามนี้สือจ่างเดินออกมาจากเรือนแล้ว ทหารชั้นผู้น้อยรีบเดินไปตรงหน้าสือจ่าง และกระซิบไม่กี่ประโยคก้นบึ้งในดวงตาของสือจ่างฉายแววประหลาดใจ และหันกลับไปมองลานบ้านด้านหลังในลานบ้าน ชายวัยกลางคนกับหญิงสาวผู้งดงามเห็นว่าในที่สุดทหารก็ตรวจค้นเสร็จแล้ว จึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกใครจะรู้ว่ายังไม่ทันถอนหายใจเสร็จ ประตูเรือนกลับถูกคนพังเปิดเข้ามาอย่างกะทันหันกลุ่มทหารที่เข้ามาตรวจค้นก่อนหน้านี้บุกเข้ามาอีกครั้งชายวัยกลางคนเห็นเช่นนั้นก็ใจเต้นแรง แต่บนใบหน้ากลับยังสงบ และก้าวออกมาด้วยรอยยิ้มคาดไม่ถึงว่าเขายังไม่ทันได้เอ่ยปาก สือจ่างผู้นั้นซึ่งเป็นหัวหน้าก็ผลักเขาไปด้านข้าง ก่อนออกคำสั่งเสียงเคร่งขรึมว่า “ค้นหาทั้งในและนอกเรือนใหม่อีกครั้ง ค้นให้ละเอียด!”ทหารทุกคนตอบรับ และแยกย้ายไปค้นหาอีกครั้งทันทีทหารชั้นผู้น้อยซึ่งประสาทรับกลิ่นไวยืนอยู่ที่เดิม จมูกขยับฟ
“ขอรับ” เทียนซูรับคำสั่งก่อนจะถอยออกไปผ่านไปไม่นาน เทียนซูก็กลับมา“ท่านอ๋อง ผู้ดูแลหอจินอวี้กับพนักงานยืนยันศพกันหมดแล้วขอรับ แน่ใจแล้วว่าเป็นคนที่อยู่ข้างตัวราชครูแคว้นเยว่ผู้นั้น”เซียวจิ่งอี้ใคร่ครวญครู่หนึ่ง ก่อนถามว่า “คนผู้นี้ถูกจับได้ที่ใด?”“ถูกจับที่ตรอกหูลู่ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองขอรับ” เทียนซูตอบกลับเซียวจิ่งอี้กล่าวทันที “ไปเอาแผนที่จินโจวมา”ผ่านไปไม่นาน แผนที่จินโจวก็ถูกแขวนขึ้นเซียวจิ่งอี้เดินไปข้างหน้าแผนที่ หาตำแหน่งตรอกหูลู่บนแผนที่เขายื่นมือออกไปแตะบนแผนที่ หลังจากนั้นก็วงขอบเขตโดยประมาณและกล่าวว่า“ถ่ายทอดคำสั่ง ให้คนไปค้นหาทุกซอกทุกมุมของตรอกหูลู่”คนผู้นั้นที่ถูกจับได้ ย่อมไม่ปรากฏตัวที่ตรอกหูลู่โดยไม่มีสาเหตุบางทีสถานที่ซ่อนตัวของพวกเขา อาจจะอยู่ใกล้ตรอกหูลู่นอกจากนี้คนผู้นั้นที่ถูกจับได้ ยังกัดลิ้นปลิดชีพตัวเอง ไม่ให้ความหวังตัวเองว่าจะมีชีวิตรอดเลย เห็นได้ชัดว่าทำเพื่อปกป้องใครบางคนดูท่าคนรอบกายราชครูแคว้นเยว่ผู้นั้นจะจงรักภักดีเป็นอย่างยิ่งการเดินทางมาจินโจวครั้งนี้ของเขา ไม่แน่คนข้างกายที่พามาอาจจะล้วนเป็นคนสนิททั้งสิ้นหากคนสนิทเห
จิตรกรฝีมือดีเช่นนี้ เหตุใดจึงถูกเซียวจิ่งอี้เชิญไปได้ง่าย ๆยิ่งไปกว่านั้นจิตรกรฝีมือดีเหล่านั้นก็ยังไม่เคยเห็นพวกท่านจอมปราชญ์เหวินมาก่อน เหตุใดจึงสามารถวาดภาพเหมือนจากความว่างเปล่าให้เหมือนพวกเขาโดยสมบูรณ์ได้?นอกจากนี้ท่านจอมปราชญ์เหวินอยู่ที่จินโจวมานานแล้ว แต่ไม่เคยได้ยินว่าในจินโจวมีจิตรกรชื่อดังอันใดเลยตั้งแต่เขาหลบหนีจากหอจินอวี้มาจนถึงตอนนี้ ก็ยังผ่านไปไม่พ้นครึ่งวันเสียด้วยซ้ำภายในระยะเวลาอันสั้นถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงมีคนที่สามารถวาดภาพพวกเขาออกมาได้มากมายเช่นนี้?ในใจท่านจอมปราชญ์เหวินไม่อยากจะเชื่อแต่เห็นผู้ใต้บังคับบัญชาพูดจาหนักแน่น เขาก็ไม่กล้าคิดไปเองมากเกินไปไม่รู้เพราะเหตุใด เขามักรู้สึกว่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเซียวจิ่งอี้ จะมีความแปลกประหลาดมากเสมอบางทีอาจมีคนมากความสามารถอยู่ข้างกายเซียวจิ่งอี้จริง ๆ ซึ่งสามารถวาดภาพเหมือนออกมาได้เหมือนจริงโดยสมบูรณ์ โดยที่อาศัยเพียงคำอธิบายไม่กี่ประโยคยามนี้คนเหล่านี้ที่อยู่ข้างกายเขา ต่างเป็นคนที่เคยปรากฏตัวที่หอจินอวี้หากข้างกายเซียวจิ่งอี้มีจิตรกรฝีมือดีอยู่จริง ๆ เกรงว่าคนเหล่านี้ที่อยู่ข้างกายเขา คงล้วนถูกวาด
ท่านจอมปราชญ์เหวินได้แต่แสร้งทำเป็นผ่านทางมา และรีบพาคนจากไปยามที่ออกมาจากหอจินอวี้ ท่านจอมปราชญ์เหวินก็ถอดหน้ากากออกการสวมหน้ากากเดินบนท้องถนน จะยิ่งดึงดูดความสนใจหลังจากถอดหน้ากาก รูปลักษณ์ของเขาก็ไม่ได้โดดเด่นมากนัก ในฝูงชนจึงแทบไม่มีใครสังเกตเห็นเมื่อคิดว่าแผนการของตนล้มเหลว จนถูกเซียวจิ่งอี้ไล่ล่าราวกับสุนัขไร้บ้านตัวหนึ่ง อีกทั้งนายน้อยเผ่าเยว่เป็นหรือตายก็ไม่อาจรู้ได้ ในใจท่านจอมปราชญ์เหวินจึงหดหู่เป็นอย่างยิ่งเป็นความผิดของเซียวจิ่งอี้!ท่านจอมปราชญ์เหวินรู้สึกราวกับว่าเซียวจิ่งอี้เกิดมาเพื่อเป็นหายนะของเขาเขาวางแผนจัดการเซียวจิ่งอี้หลายครั้ง แต่ก็ถูกอีกฝ่ายหลบเลี่ยงได้ทุกครั้งเมื่อเขาคิดจะฉวยโอกาสสร้างความวุ่นวายให้แคว้นต้าฉี ก็จะถูกเซียวจิ่งอี้ทำลายแผนการเสมอยามนี้เมื่อนึกถึงเซียวจิ่งอี้ ท่านจอมปราชญ์เหวินก็โกรธจนกัดกรามในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ นี้ เขายังไม่มีกำลังที่จะโต้กลับได้รอก่อนเถอะรอให้เขากลับไปที่เมืองหลวง ก็จะสามารถอาศัยอำนาจขององค์ชายสาม จัดการเซียวจิ่งอี้ให้สิ้นซาก!ท่านจอมปราชญ์เหวินกัดฟัน ขณะที่สีหน้ามืดครึ้มผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดท่านจอมป
อวิ๋นฝูหลิงยังจำเรื่องที่เซียวจิ่งอี้ขอให้นางวาดภาพเหมือนได้หลังจากพบเซียวจิ่งอี้ ทั้งสองคนก็ไปยังคุกที่ขังผู้ดูแลกับพนักงานของหอจินอวี้ไว้เมื่อพูดถึงแขกผู้มีเกียรติบนชั้นสามของหอจินอวี้ ผู้ดูแลกับพนักงานของหอจินอวี้ก็ต่างจดจำได้เป็นอย่างดีชั้นสามของหอจินอวี้ ไม่ใช่ว่าใครต่างก็มีสิทธิ์ขึ้นไปได้นี่เป็นอุบายที่หอจินอวี้โยนออกมา เป็นวิธีดึงดูดลูกค้าเพื่อสร้างกำไรแบบหนึ่งผู้ที่สามารถขึ้นไปชั้นสามของหอจินอวี้ได้ หมายความว่าเป็นคนที่มีสถานะและทักษะการพนันสูงแต่กลุ่มของท่านจอมปราชญ์เหวิน กลับเป็นเวินเจาพาขึ้นไปด้วยตัวเองนับตั้งแต่เวินจือเหิงนอนป่วยติดเตียง อำนาจทั้งหมดของสกุลเวินก็ตกไปอยู่ในมือของเวินเจาเวินเจาพาคนไปพักอยู่ที่ชั้นสามของหอจินอวี้ ทั้งยังบอกให้ปรนนิบัติกลุ่มของท่านจอมปราชญ์เหวิน เหล่าคนของหอจินอวี้ย่อมไม่กล้าไม่เชื่อฟังไม่ว่าจะเป็นผู้ดูแลของหอจินอวี้ หรือพนักงาน ยามนี้เมื่อถูกขังอยู่ในคุก ทุกคนก็หวาดกลัวอยู่ตลอดเมื่อเห็นการสืบสวนก่อนหน้านี้ของเซียวจิ่งอี้ คนเหล่านี้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง และออกไปจากคุกโดยเร็ว ทุกคนต่างก็แย่งชิงกันเป็นคนแรกเพราะกล
“พี่สาม ทางด้านเมืองหลวงมีข่าวคราวบ้างหรือไม่?”“พวกท่านปู่โอวหยางคิดค้นเทียบยาใหม่ที่ใช้รักษาผู้ที่ป่วยเพราะขี้ผึ้งทองได้แล้วหรือไม่?”หลังจากค้นพบขี้ผึ้งทอง อวิ๋นฝูหลิงก็ดึงพวกรองเจ้าสำนักโอวหยางกับหมอหลวงจงมาร่วมศึกษาด้วยกัน ทั้งยังเขียนจดหมายส่งให้นายท่านผู้เฒ่าหาง รวมถึงส่งข้อมูลที่เกี่ยวกับชีพจรและการรักษาให้เขาด้วยแม้เมืองหลวงกับจินโจวจะเป็นสถานที่ที่ได้รับผลกระทบจากขี้ผึ้งทองมากที่สุด แต่ก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าที่อื่นจะไม่ได้รับผลกระทบถึงอย่างไรการค้าของแคว้นต้าฉีก็เจริญรุ่งเรืองมาก จากใต้ขึ้นเหนือมีพ่อค้ามากมาย บางทีอาจจะมีคนที่เดินทางระหว่างเมืองหลวงกับจินโจว ซื้อขี้ผึ้งทองติดไปด้วยสองสามกล่องก็เป็นได้อวิ๋นฝูหลิงคิดว่านางออกจากเมืองหลวงมาหลายวันถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าทางด้านเมืองหลวงจะมีความคืบหน้าใหม่อันใดบ้างตั้งแต่อวิ๋นฝูหลิงกลับมาถึงจินโจว ก็ยุ่งอยู่กับการรักษาผู้ป่วยมาโดยตลอด หางซานสุ่ยจึงไม่มีโอกาสได้พูดคุยเป็นการส่วนตัวกับนางตอนนี้เมื่อเห็นว่าอวิ๋นฝูหลิงเป็นฝ่ายถามขึ้นมา หางซานสุ่ยก็นับว่ามีโอกาสแล้วเขาหยิบจดหมายสองสามฉบับออกมาจากในโต๊ะ“จดหมายพวกนี้ถูกส่ง
แม้ว่าราชครูแคว้นเยว่จะหนีไปแล้ว แต่เขาอยู่ที่หอจินอวี้ตั้งหลายวัน จึงมักจะมีช่วงเวลาที่ผ่อนคลายจนเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงแม้เขาจะใช้หน้ากากปิดบังใบหน้าอยู่เสมอ จึงไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่คนรอบตัวเขาทุกคนจะสวมหน้ากากกระมัง?เริ่มต้นไล่ไปจากผู้ใต้บังคับบัญชา บางทีอาจจะค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ก็เป็นได้เซียวจิ่งอี้ตัดสินใจไต่สวนผู้ดูและกับพนักงานเหล่านั้นของหอจินอวี้ยังมีทักษะการวาดภาพเหมือนอันยอดเยี่ยมของอวิ๋นฝูหลิง จะต้องจับพวกปลาซิวปลาสร้อยพวกนั้นได้เป็นแน่แม้ว่ากลุ่มของราชครูแคว้นเยว่จะฉวยโอกาสวางเพลิงเพื่อหนีออกไปจากหอจินอวี้ แต่ประตูเมืองจินโจวก็ปิดอยู่ ยามนี้พวกเขาคงยังซ่อนตัวอยู่ในเมืองนอกจากนี้ มีบางสิ่งที่ต้องจัดการด้วยเช่นกันเซียวจิ่งอี้ยืนอยู่หน้าประตูสำนักผิงอัน หันกลับมามองอวิ๋นฝูหลิงที่กำลังยุ่งคราหนึ่งเพียงชั่วครู่เดียว เขาก็พลิกร่างขึ้นหลังม้า มุ่งตรงไปยังที่ว่าการเมืองจินโจวครึ่งชั่วยามต่อมา มีประกาศใบหนึ่งถูกนำมาติดไว้ที่ประตูที่ว่าการทั้งยังมีคนตีฆ้องจากที่ว่าการ อ่านเนื้อหาในประกาศไปทั่วเมืองประกาศนี้กล่าวถึงอันตรายของขี้ผึ้งทอง
“ข้าอยากจับคนร้ายที่กระทำความผิด ให้ได้แบบคาหนังคาเขา”“แต่ไม่คิดเลยว่าคนผู้นั้นจะโหดเหี้ยมถึงขั้นเสียสติ ตั้งใจวางเพลิงในหอจินอวี้ เพื่อหลบหนีการไล่ล่า”“เป็นเพราะข้าไม่รอบคอบ ทำให้ผู้บริสุทธิ์ทุกคนต้องตกอยู่ในอันตราย”“วันนี้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเพราะเหตุเพลิงไหม้ที่หอจินอวี้ ค่ารักษาและค่ายาข้าจะจ่ายให้เอง”“นอกจากนี้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย จะได้รับห้าตำลึง ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหนักจะได้รับสิบตำลึง”“ได้ยินว่ามีสองคนที่ถูกไฟไหม้จนบาดเจ็บสาหัส สองคนนี้จะได้รับยี่สิบตำลึง”“เงินเหล่านี้ถือเป็นน้ำใจเล็กน้อยจากข้า ที่อยากจะรักษาร่างกายเหล่าผู้บาดเจ็บ”“ข้าจะให้คนนำเงินมามอบให้ในภายหลัง!”ผู้บาดเจ็บทุกคนได้ยินเช่นนั้น ความไม่พอใจที่สุมอยู่ในอกก็หายไปกว่าครึ่งทันทีตอนนี้เมื่อย้อนคิดดูแล้ว เมื่อคืนยามที่หอจินอวี้ถูกปิดล้อม ผู้นำคนนั้นก็บอกว่าทำเพื่อสืบคดีบางอย่างจริง ๆคิดดูอีกครายามนั้นที่เกิดเพลิงไหม้ ทหารเหล่านั้นก็มิได้บังคับขังพวกเขาไว้ในหอจินอวี้ ทว่ากลับรีบเข้ามาในหอเพื่อดับไฟช่วยคนหากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ เกรงว่าพวกเขาคงไม่ใช่แค่ได้รับบาดเจ็บ แต่กว่าครึ่งคงตายตกไปในเหตุเพ