เดิมทีอวิ๋นฝูหลิงคิดเอาไว้ว่า หากเที่ยงแล้วคุณชายน้อยสกุลลู่ยังไม่ฟื้น นางก็จะทำการฝังเข็มให้ใครเล่าจะรู้ว่ายังไม่ทันถึงเที่ยงวัน คุณชายน้อยก็ตื่นขึ้นมาแล้วครั้นเห็นคุณชายน้อยลู่ได้สติ ฮูหยินผู้เฒ่าลู่และฮูหยินใหญ่ลู่ถึงกับดีใจจนหลั่งน้ำตาตอนที่คุณชายน้อยลู่เพิ่งฟื้นคืนสติขึ้นมายังคงมึนงงอยู่บ้าง ทว่าไม่นานนักก็จำได้ว่าตนเองตกลงมาจากหลังม้า แล้วถูกม้าเหยียบเขาคิดว่าตนเองคงสิ้นชีพอย่างไม่ต้องสงสัยเลยนี่เขาตายแล้ว? ที่นี่คือขุนนรก? เหตุใดท่านย่ากับท่านแม่ถึงอยู่ที่นี่ด้วย?แสงแดดส่องลอดเข้ามาจากนอกหน้าต่าง ช่วงท้องก็รู้สึกแน่นขนัดทั้งยังเจ็บมากคุณชายน้อยลู่ค่อย ๆ ได้สติว่า ตนเองน่าจะยังไม่ตายเขายังไม่ตาย!ฮูหยินผู้เฒ่าลู่กับฮูหยินใหญ่ลู่เห็นว่าหลังคุณชายน้อยลู่ได้สติกลับมาแล้ว ทว่าตัวคนกลับมีท่าทางทึ่มทื่อเสียนี่นี่คงไม่ใช่ว่าตกจากหลังม้าแล้วหัวจะทึบไปด้วยกระมัง?“ท่านหมอ ท่านหมอ พวกท่านรีบเข้ามาดูทีว่าหลานชายข้าเป็นอะไรไป?” ฮูหยินผู้เฒ่าลู่ทั้งตื่นตระหนกทั้งเป็นกังวลฝั่งอวิ๋นฝูหลิงรวมสามคนรีบสาวเท้าเข้าไปดูทันทีคนหนึ่งคลำชีพจร คนหนึ่งตรวจดูดวงตาและลิ้น คนหนึ่งเคยถ
ก่อนกลับหมู่บ้านซวงหลิน อวิ๋นฝูหลิงตั้งใจแวะไปหาหลิงโหยวทั้งสองคุยกันอยู่พักใหญ่หลังจากส่งหลิงโหยวไปแล้ว อวิ๋นฝูหลิงก็ไปหานายท่านหางสองวันที่อยู่หัวเมือง นายท่านหางดูแลพวกเขาอย่างดี ตอนนี้นางจะไปแล้ว ย่อมต้องไปบอกลานายท่านหางนายท่านหางอยากคุยเรื่องเชิญนางมาเป็นหมอที่สำนักผิงอันนานแล้ว เพียงแต่สองวันนี้อวิ๋นฝูหลิงยุ่งอยู่กับทางคุณชายน้อยลู่ นายท่านหางจึงไม่ได้รบกวนนางในตอนนั้น ตอนนี้เห็นอวิ๋นฝูหลิงมาบอกลา นายท่านหางก็รู้แล้วว่าอาการของคุณชายน้อยลู่คงที่แล้วถูกนางช่วยไว้จริงๆ ด้วย!นายท่านหางยิ่งตื่นเต้นแล้ว รู้สึกโชคดีที่ตนมีวิสัยทัศน์ คบหากับอวิ๋นฝูหลิงตั้งแต่ก่อนหน้านี้ปัจจุบัน เรื่องที่อวิ๋นฝูหลิงผ่าท้องคุณชายน้อยลู่ ได้แพร่กระจายไปทั่วเขตปกครองเจียงหนิงและในแวดวงการแพทย์แล้วแม้ไม่ใช่ทุกคนที่ยอมรับฝีมือการแพทย์ของอวิ๋นฝูหลิง แต่คนที่อยากแลกเปลี่ยนความรู้หรือท้าประลองนางกลับมีไม่น้อยเพราะนายท่านหางเป็นคนแนะนำอวิ๋นฝูหลิง ดังนั้นจึงมีคนมาหานายท่านหางไม่น้อยที่มีทั้งมาหาข่าวจากเขา และมีทั้งอยากขอให้อวิ๋นฝูหลิงช่วยรักษาโดยผ่านเขาทางนายท่านหางช่วยอวิ๋นฝูหลิงปฏิเสธไปก
ภาพเห็ดหลินจือที่อยู่บนนั้น คล้ายภาพที่อยู่บนป้ายหยกของนางมากนางไม่ได้ถามความสัมพันธ์ระหว่างสกุลหางและสกุลอวิ๋นกับนายท่านหางผู้คนส่วนใหญ่บนโลกนี้ ล้วนแสวงหาผลประโยชน์ถ้าหากนางเป็นเพียงผู้หญิงอ่อนแอที่ตัวคนเดียว แม้นางเป็นคุณหนูใหญ่ของสกุลอวิ๋น แต่จะมีสักกี่คนที่ช่วยนางอย่างจริงใจมีแค่ฐานะคุณหนูใหญ่สกุลอวิ๋นยังไม่พอนางต้องมีความสามารถที่ทำให้ผู้คนมองนางสูงขึ้นมีความสามารถที่สามารถยืนหยัดบนโลกใบนี้มีต้นทุนที่ทำให้ผู้คนยินดีติดตามและยืนข้างนางและการรับรักษาผู้ป่วยเดือนละสามครั้ง แต่เฉพาะอาการป่วยที่ซับซ้อน คือก้าวแรงของนาง สถานะของสกุลอวิ๋นในแวดวงการแพทย์สูงมากหลิงโหยวสามารถรู้ตัวตนของนางจากศาสตร์ฝังเข็มสกุลอวิ๋น วันข้างหน้าก็ใช่ว่าผู้อื่นจะไม่รู้อยู่ในแวดวงการแพทย์เช่นเดียวกัน เกรงว่าข่าวจะไปถึงหูของครอบครัวอวิ๋นกานซงในไม่ช้าก็เร็วเมื่อตัวตนถูกเปิดเผย เกรงว่าพวกเขาไม่ละเว้นนางแน่แม้อวิ๋นฝูหลิงไม่กลัวคนต่ำช้าเจ้าเล่ห์กลุ่มนั้น แต่ก็หวังว่าก่อนจะถึงตอนนั้น จะสามารถสั่งสมกำลังให้มากขึ้น เพิ่มโอกาสชนะให้มากขึ้นหลังออกจากสำนักผิงอัน อวิ๋นฝูหลิงเปิดโหมดการซื้อ เดินซ
หลังจากเซียวจิ่งอี้เห็นภาพเหมือน มีความรู้สึกเหมือนเรื่องราวสิ้นสุดแล้ว“เป็นอย่างที่ข้าคิดจริงๆ!”“นางคือคุณหนูใหญ่จวนจี้ชุนโหว!”“ที่แท้อวิ๋นจิงมั่วคือลูกชายแท้ๆ ของข้า”“มิน่าเล่า ทันทีที่ข้าเจอเด็กคนนั้น ก็รู้สึกใกล้ชิดและชอบนัก…”เดิมทีเทียนเฉวียนยังรู้สึกประหลาดใจ เหตุใดจู่ๆ นายท่านของตนจึงจะตรวจสอบคุณหนูใหญ่สกุลอวิ๋นของจวนจี้ชุนโหวกระทั่งเห็นภาพเหมือนนี้ เขาจึงจะเข้าใจที่แท้แม่นางอวิ๋นคือคุณหนูใหญ่สกุลอวิ๋นเช่นนั้นลูกชายของแม่นางอวิ๋น ก็คือลูกแท้ๆ ของนายท่านเทียนเฉวียนโน้มกายกล่าวแสดงความยินดีทันที “ขอแสดงความยินดีกับนายท่าน!”“ไม่แปลกใจที่ผู้น้อยรู้สึกว่า หน้าตาของคุณชายน้อยกับนายท่านคล้ายกันมาโดยตลอด ที่แท้เขาคือนายน้อย”สีหน้าที่เย็นชามาโดยตลอดของเซียวจิ่งอี้ เวลานี้แฝงไปด้วยความอบอุ่น ราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิละลายน้ำแข็ง“เตรียมรถม้า ข้าจะไปหมู่บ้านซวงหลินตอนนี้!”เซียวจิ่งอี้ไม่ได้ตื่นเต้นเช่นนี้มานานมากแล้วผู้หญิงที่เข้ามาในใจเขาโดยไม่รู้ตัวคนนั้น คือพระชายาที่ถูกหลักธรรมนองคลองธรรมของเขาเด็กที่น่ารักและทำให้หัวใจเขาละลายคนนั้น คือลูกแท้ๆ ของเขาพวกเขาร
“ตอนที่พวกเรามา หัวหน้าเขตไช่ได้รับข่าวแล้ว ตั้งใจมารอที่ข้างทาง เพื่อต้อนรับพวกเราเข้าหมู่บ้าน และยังแนะนำสถานการณ์ของหมู่บ้านโดยรอบกับอำเภอชิงหยวนให้พวกเรา”“เขาดูเป็นคนดี มีน้ำใจ”“เดิมทีหมู่บ้านแห่งนี้มีคนอยู่ แบ่งพื้นที่ไว้หมดแล้ว หัวหน้าเขตไช่ก็เลยแบ่งที่ให้พวกเราตามครัวเรือนที่มีอยู่โดยตรง”“แต่ที่นี่ทรุดโทรมเกินไป บ้านไม่สามารถอยู่อาศัย ทุกคนทำได้เพียงสร้างใหม่เองแล้ว”ตลอดทางที่อวิ๋นฝูหลิงมา ก็เห็นชาวบ้านมากมายกำลังสร้างเพิงง่ายๆ ที่ลานบ้านโชคดีที่ตอนนี้เป็นหน้าร้อน อากาศอบอ้าว อยู่ในเพิงชั่วคราวไม่เป็นอะไรขณะคุยกัน ก็มาถึงเรือนหลังหนึ่งจางซานมู่กับสวี่ตงที่กำลังเก็บกวาดอยู่ในลานบ้านได้ยินเสียง เงยหน้าก็เห็นอวิ๋นฝูหลิง บนใบหน้าเผยให้เห็นความดีใจทันที“แม่นางอวิ๋น ท่านกลับมาแล้ว!”“นี่เป็นบ้านที่แบ่งให้ท่าน พวกเรากำลังเก็บกวาดอยู่เลย!”อวิ๋นฝูหลิงกวาดมองหนึ่งรอบ พบว่าเรือนหลังนี้ใหญ่กว่าเรือนที่เดินผ่านมาเล็กน้อย แม้ตัวบ้านทรุดโทรม แต่สร้างจากอิฐเขียว หลังคาก็เป็นกระเบื้องเขียวดูหรูหรากว่าเรือนหลังอื่นอวิ๋นฝูหลิงกล่าว “เหตุใดจึงแบ่งที่นี่ให้ข้า?”หัวหน้าหมู่บ้
“แม่นางอวิ๋น เจ้า…เจ้าจะไล่พวกเราไป?” ลูกพี่อู๋เบิกตากว้าง รู้สึกรับไม่ได้เล็กน้อยจางซานมู่ยิ่งคุกเข่าลง “แม่นางอวิ๋น พวกเราติดตามเจ้าด้วยความจริงใจนะ”สวี่ตง “ได้โปรดอย่าไล่พวกเราไปเลย!”คังหมิงหย่วนตาแดงเล็กน้อย “แม่นางอวิ๋น พวกเรากลับตัวกลับใจแล้วจริงๆ โปรดรับพวกเราไว้เถอะ!”อวิ๋นฝูหลิงมองคนทั้งสี่ที่คุกเข่าเรียงเป็นแถว ก่ายหน้าผากอย่างหมดหนทางตอนนั้นนางใช้ยาพิษข่มขู่รับสี่คนนี้ไว้เป็นแผนชั่วคราว แค่อยากให้พวกเขาทำงานหนักๆ ให้ตัวเองปัจจุบันตั้งรกรากในสถานที่แห่งใหม่แล้ว นางก็ไม่จำเป็นต้องจับพวกเขามาใช้แรงงานให้ตัวเองอีกแล้วอีกทั้งตลอดทางที่อยู่ร่วมกัน ที่จริงเนื้อแท้ของพวกเขาสี่คนไม่ได้เลวร้าย ปัจจุบันมีบ้านและที่ที่ราชสำนักแบ่งให้ วันข้างหน้าแค่ขยันหน่อย อาศัยลำแข้งของตัวเอง ชีวิตของพวกเขาก็จะดีขึ้นเรื่อยๆคิดไม่ถึงว่าอวิ๋นฝูหลิงคืนอิสระให้พวกเขา คนกลุ่มนี้กลับไม่เอาด้วยอวิ๋นฝูหลิงคิดแล้วคิดอีก รู้สึกว่าหาลูกจ้างสองสามคนก็ดีเช่นกันต่อไปยังมีงานให้นางทำอีกเยอะแยะ ต้องใช้คนแน่นอน ใช้คนแปลกหน้าไม่สู้ใช้คนรู้จักพวกลูกพี่อู๋ทำงานมาได้สักระยะแล้ว นับว่าผ่านช่วงทดลองงานแ
อวิ๋นฝูหลิงเดินไปที่หน้าเรือน เอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้น?”เมื่อพ่อของหู่โถวที่ถือท่อนไม้ได้ยินเสียงอวิ๋นฝูหลิง ก็หยุดลงกล่าวทันที “แม่นางอวิ๋น มีคนกลุ่มหนึ่งมาที่หมู่บ้านของพวกเรา บอกว่าเขาชอบที่ดินผืนนี้ ให้พวกเราย้ายออกไปทั้งหมด”“หลังจากหัวหน้าหมู่บ้านได้รับข่าว ก็เรียกทุกคนไปที่ทางเข้าหมู่บ้าน เพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น”“นี่เป็นที่ที่ราชสำนักแบ่งให้พวกเรา ทำไมต้องย้ายออกด้วย?”พ่อของหู่โถวกล่าวจบ ก็พาทุกคนมุ่งหน้าไปยังทางเข้าหมู่บ้านแล้วอวิ๋นฝูหลิงขมวดคิ้วเบาๆ สั่งลูกพี่อู๋ดูอวิ๋นจิงมั่วให้ดี ส่วนนางรีบไปที่ทางเข้าหมู่บ้านเพิ่งไปถึงทางเข้าหมู่บ้าน ก็เห็นคนสวมชุดสีดำ มือถือดาบและกระบี่ ท่าทางเหมือนผู้คุ้มกันเรือนสิบกว่าคนตรงกลางของผู้คุ้มกันกลุ่มนี้ เป็นชายร่างอ้วนหูใหญ่ แต่งตัวหรูหรา มือถือพัดพับทั่วร่างของชายคนนี้ เต็มไปด้วยกลิ่นอายนักเลงเจ้าถิ่นที่ชั่วร้ายผู้คุ้มกันข้างกายของเขาโยนเงินลงพื้นสองก้อน กล่าวเสียงดัง“ที่ดินผืนนี้ ถูกใจนายน้อยของเราแล้ว!”“นี่เป็นเงินช่วยเหลือที่นายน้อยของเราให้พวกเจ้า”“ให้เวลาพวกเจ้าย้ายออกจากที่นี่ทั้งหมดภายในสองวัน ไม่เช่นนั้นอย่าโทษพวกเ
อวิ๋นฝูหลิงคิดว่าคนคนนี้มีภูมิหลังที่ใหญ่โตอะไรเสียอีก คิดไม่ถึงว่าเป็นแค่ลูกนายอำเภอปลัดอำเภออยู่ใต้นายอำเภอ ถือเป็นผู้มีอำนาจอันดับสองของที่ว่าการอำเภอ แต่แตกต่างกับนายอำเภอที่เป็นขุนนางจริงๆ โดยผ่านการสอบขุนนาง ตำแหน่งนี้ไม่นับเป็นขุนนาง ถือว่าเป็นแค่เจ้าหน้าที่นายอำเภอสามารถเลื่อนตำแหน่งด้วยอายุงานแต่ปลัดอำเภอกลับไม่เหมือนกัน นอกจากสร้างผลงานใหญ่ หรือมีเหตุอันสมควรที่ไม่ปกติ ไม่เช่นนั้นปลัดอําเภอยากจะเลื่อนตำแหน่งเป็นนายอำเภอแม้ห่างกันแค่ก้าวเดียว แต่ปลัดอำเภอส่วนใหญ่อยู่จนแก่ตาย ก็เป็นได้แค่ปลัดอำเภออีกทั้งเมื่อไรที่เป็นเจ้าหน้าที่ ลูกหลานในตระกูลล้วนไม่มีสิทธิ์สอบขุนนาง เทียบเท่ากับตัดเส้นทางอนาคตแต่ข้อดีของการเป็นเจ้าหน้าที่คือ ลูกสามารถสืบทอดตำแหน่งบิดา ไม่เหมือนกับขุนนางที่ต้องผ่านการเรียนอย่างตรากตรํา ไล่สอบจากระดับย่วนซื่อ[1] ถึงเตี้ยนซื่อ[2] ขึ้นไปทีละขั้น จึงจะสามารถเป็นขุนนางดังนั้นเจ้าหน้าเล็กๆ ในที่ว่าการส่วนใหญ่ ล้วนเป็นงูเจ้าถิ่นถ้าหากนายอำเภอไม่มีความสามารถ ถึงขั้นอาจถูกงูเจ้าถิ่นเหล่านี้พลิกกลับมาควบคุมคุณชายของตระกูลปลัดอำเภอท่านนี้อวดดีเช่นนี้ เก
เทียนเฉวียนได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจทันทีว่าท่านอ๋องคิดจะนั่งรอลาภลอยในเมื่อเวินเจาผู้นั้นเป็นนายน้อยเผ่าเยว่ สถานะในเผ่าเยว่ก็ย่อมไม่ธรรมดาหลังจากคนแคว้นเยว่เหล่านั้นรู้ข่าวว่าเวินเจาถูกจับตัวมา จะต้องคิดหาวิธีมาช่วยเขาออกไปเป็นแน่เทียนเฉวียนไปทำตามคำสั่งของเซียวจิ่งอี้ทันทีทว่าหลังจากรอมาสามวัน ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวจากทางด้านเวินเจาแม้แต่น้อยเซียวจิ่งอี้ตระหนักได้ว่าตัวเองเจอคู่ต่อสู้เข้าแล้วราชครูแคว้นเยว่หลบหนีเก่งมาก ทำให้ยามนี้เขารู้สึกจนปัญญาอยู่บ้างหากพูดตามหลักการแล้ว คนแคว้นเยว่เหล่านั้นต้องการฟื้นฟูแคว้น ตัวตนของเวินเจาซึ่งมีสายเลือดราชวงศ์ จึงทำให้พวกเขามีเหตุผลอันชอบธรรมมิเช่นนั้นอาศัยเพียงราชครูผู้นั้น คนแคว้นเยว่ที่เหลือจะเชื่อฟังคำสั่งเขาได้อย่างไร?ทว่าหลังจากผ่านไปนาน คนแคว้นเยว่เหล่านั้นกลับไม่มีท่าทีว่าจะมาช่วยเวินเจาแม้แต่น้อยนี่หมายความว่ามองแผนของเขาออกใช่หรือไม่? หรือคิดว่ายามนี้ไม่ใช่จังหวะที่ดีในการช่วยเหลือ จึงกำลังวางแผนและเฝ้าดูอยู่?หรือคนแคว้นเยว่ยอมแพ้เรื่องนายน้อยเวินเจาผู้นี้แล้ว?เซียวจิ่งอี้คิดไปคิดมา ก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่คนแ
ทหารชั้นผู้น้อยคนนั้นได้กลิ่นเลือดจาง ๆ สายหนึ่งกลิ่นเลือดจางมาก จนแทบไม่ได้กลิ่นแต่เขาเกิดมาพร้อมจมูกที่อ่อนไหวต่อกลิ่น แค่เพียงกลิ่นจาง ๆ ก็สามารถได้กลิ่นเช่นกันทหารชั้นผู้น้อยรีบเดินหลายก้าว ไล่ตามสือจ่างซึ่งเป็นผู้นำไปยามนี้สือจ่างเดินออกมาจากเรือนแล้ว ทหารชั้นผู้น้อยรีบเดินไปตรงหน้าสือจ่าง และกระซิบไม่กี่ประโยคก้นบึ้งในดวงตาของสือจ่างฉายแววประหลาดใจ และหันกลับไปมองลานบ้านด้านหลังในลานบ้าน ชายวัยกลางคนกับหญิงสาวผู้งดงามเห็นว่าในที่สุดทหารก็ตรวจค้นเสร็จแล้ว จึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกใครจะรู้ว่ายังไม่ทันถอนหายใจเสร็จ ประตูเรือนกลับถูกคนพังเปิดเข้ามาอย่างกะทันหันกลุ่มทหารที่เข้ามาตรวจค้นก่อนหน้านี้บุกเข้ามาอีกครั้งชายวัยกลางคนเห็นเช่นนั้นก็ใจเต้นแรง แต่บนใบหน้ากลับยังสงบ และก้าวออกมาด้วยรอยยิ้มคาดไม่ถึงว่าเขายังไม่ทันได้เอ่ยปาก สือจ่างผู้นั้นซึ่งเป็นหัวหน้าก็ผลักเขาไปด้านข้าง ก่อนออกคำสั่งเสียงเคร่งขรึมว่า “ค้นหาทั้งในและนอกเรือนใหม่อีกครั้ง ค้นให้ละเอียด!”ทหารทุกคนตอบรับ และแยกย้ายไปค้นหาอีกครั้งทันทีทหารชั้นผู้น้อยซึ่งประสาทรับกลิ่นไวยืนอยู่ที่เดิม จมูกขยับฟ
“ขอรับ” เทียนซูรับคำสั่งก่อนจะถอยออกไปผ่านไปไม่นาน เทียนซูก็กลับมา“ท่านอ๋อง ผู้ดูแลหอจินอวี้กับพนักงานยืนยันศพกันหมดแล้วขอรับ แน่ใจแล้วว่าเป็นคนที่อยู่ข้างตัวราชครูแคว้นเยว่ผู้นั้น”เซียวจิ่งอี้ใคร่ครวญครู่หนึ่ง ก่อนถามว่า “คนผู้นี้ถูกจับได้ที่ใด?”“ถูกจับที่ตรอกหูลู่ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองขอรับ” เทียนซูตอบกลับเซียวจิ่งอี้กล่าวทันที “ไปเอาแผนที่จินโจวมา”ผ่านไปไม่นาน แผนที่จินโจวก็ถูกแขวนขึ้นเซียวจิ่งอี้เดินไปข้างหน้าแผนที่ หาตำแหน่งตรอกหูลู่บนแผนที่เขายื่นมือออกไปแตะบนแผนที่ หลังจากนั้นก็วงขอบเขตโดยประมาณและกล่าวว่า“ถ่ายทอดคำสั่ง ให้คนไปค้นหาทุกซอกทุกมุมของตรอกหูลู่”คนผู้นั้นที่ถูกจับได้ ย่อมไม่ปรากฏตัวที่ตรอกหูลู่โดยไม่มีสาเหตุบางทีสถานที่ซ่อนตัวของพวกเขา อาจจะอยู่ใกล้ตรอกหูลู่นอกจากนี้คนผู้นั้นที่ถูกจับได้ ยังกัดลิ้นปลิดชีพตัวเอง ไม่ให้ความหวังตัวเองว่าจะมีชีวิตรอดเลย เห็นได้ชัดว่าทำเพื่อปกป้องใครบางคนดูท่าคนรอบกายราชครูแคว้นเยว่ผู้นั้นจะจงรักภักดีเป็นอย่างยิ่งการเดินทางมาจินโจวครั้งนี้ของเขา ไม่แน่คนข้างกายที่พามาอาจจะล้วนเป็นคนสนิททั้งสิ้นหากคนสนิทเห
จิตรกรฝีมือดีเช่นนี้ เหตุใดจึงถูกเซียวจิ่งอี้เชิญไปได้ง่าย ๆยิ่งไปกว่านั้นจิตรกรฝีมือดีเหล่านั้นก็ยังไม่เคยเห็นพวกท่านจอมปราชญ์เหวินมาก่อน เหตุใดจึงสามารถวาดภาพเหมือนจากความว่างเปล่าให้เหมือนพวกเขาโดยสมบูรณ์ได้?นอกจากนี้ท่านจอมปราชญ์เหวินอยู่ที่จินโจวมานานแล้ว แต่ไม่เคยได้ยินว่าในจินโจวมีจิตรกรชื่อดังอันใดเลยตั้งแต่เขาหลบหนีจากหอจินอวี้มาจนถึงตอนนี้ ก็ยังผ่านไปไม่พ้นครึ่งวันเสียด้วยซ้ำภายในระยะเวลาอันสั้นถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงมีคนที่สามารถวาดภาพพวกเขาออกมาได้มากมายเช่นนี้?ในใจท่านจอมปราชญ์เหวินไม่อยากจะเชื่อแต่เห็นผู้ใต้บังคับบัญชาพูดจาหนักแน่น เขาก็ไม่กล้าคิดไปเองมากเกินไปไม่รู้เพราะเหตุใด เขามักรู้สึกว่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเซียวจิ่งอี้ จะมีความแปลกประหลาดมากเสมอบางทีอาจมีคนมากความสามารถอยู่ข้างกายเซียวจิ่งอี้จริง ๆ ซึ่งสามารถวาดภาพเหมือนออกมาได้เหมือนจริงโดยสมบูรณ์ โดยที่อาศัยเพียงคำอธิบายไม่กี่ประโยคยามนี้คนเหล่านี้ที่อยู่ข้างกายเขา ต่างเป็นคนที่เคยปรากฏตัวที่หอจินอวี้หากข้างกายเซียวจิ่งอี้มีจิตรกรฝีมือดีอยู่จริง ๆ เกรงว่าคนเหล่านี้ที่อยู่ข้างกายเขา คงล้วนถูกวาด
ท่านจอมปราชญ์เหวินได้แต่แสร้งทำเป็นผ่านทางมา และรีบพาคนจากไปยามที่ออกมาจากหอจินอวี้ ท่านจอมปราชญ์เหวินก็ถอดหน้ากากออกการสวมหน้ากากเดินบนท้องถนน จะยิ่งดึงดูดความสนใจหลังจากถอดหน้ากาก รูปลักษณ์ของเขาก็ไม่ได้โดดเด่นมากนัก ในฝูงชนจึงแทบไม่มีใครสังเกตเห็นเมื่อคิดว่าแผนการของตนล้มเหลว จนถูกเซียวจิ่งอี้ไล่ล่าราวกับสุนัขไร้บ้านตัวหนึ่ง อีกทั้งนายน้อยเผ่าเยว่เป็นหรือตายก็ไม่อาจรู้ได้ ในใจท่านจอมปราชญ์เหวินจึงหดหู่เป็นอย่างยิ่งเป็นความผิดของเซียวจิ่งอี้!ท่านจอมปราชญ์เหวินรู้สึกราวกับว่าเซียวจิ่งอี้เกิดมาเพื่อเป็นหายนะของเขาเขาวางแผนจัดการเซียวจิ่งอี้หลายครั้ง แต่ก็ถูกอีกฝ่ายหลบเลี่ยงได้ทุกครั้งเมื่อเขาคิดจะฉวยโอกาสสร้างความวุ่นวายให้แคว้นต้าฉี ก็จะถูกเซียวจิ่งอี้ทำลายแผนการเสมอยามนี้เมื่อนึกถึงเซียวจิ่งอี้ ท่านจอมปราชญ์เหวินก็โกรธจนกัดกรามในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ นี้ เขายังไม่มีกำลังที่จะโต้กลับได้รอก่อนเถอะรอให้เขากลับไปที่เมืองหลวง ก็จะสามารถอาศัยอำนาจขององค์ชายสาม จัดการเซียวจิ่งอี้ให้สิ้นซาก!ท่านจอมปราชญ์เหวินกัดฟัน ขณะที่สีหน้ามืดครึ้มผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดท่านจอมป
อวิ๋นฝูหลิงยังจำเรื่องที่เซียวจิ่งอี้ขอให้นางวาดภาพเหมือนได้หลังจากพบเซียวจิ่งอี้ ทั้งสองคนก็ไปยังคุกที่ขังผู้ดูแลกับพนักงานของหอจินอวี้ไว้เมื่อพูดถึงแขกผู้มีเกียรติบนชั้นสามของหอจินอวี้ ผู้ดูแลกับพนักงานของหอจินอวี้ก็ต่างจดจำได้เป็นอย่างดีชั้นสามของหอจินอวี้ ไม่ใช่ว่าใครต่างก็มีสิทธิ์ขึ้นไปได้นี่เป็นอุบายที่หอจินอวี้โยนออกมา เป็นวิธีดึงดูดลูกค้าเพื่อสร้างกำไรแบบหนึ่งผู้ที่สามารถขึ้นไปชั้นสามของหอจินอวี้ได้ หมายความว่าเป็นคนที่มีสถานะและทักษะการพนันสูงแต่กลุ่มของท่านจอมปราชญ์เหวิน กลับเป็นเวินเจาพาขึ้นไปด้วยตัวเองนับตั้งแต่เวินจือเหิงนอนป่วยติดเตียง อำนาจทั้งหมดของสกุลเวินก็ตกไปอยู่ในมือของเวินเจาเวินเจาพาคนไปพักอยู่ที่ชั้นสามของหอจินอวี้ ทั้งยังบอกให้ปรนนิบัติกลุ่มของท่านจอมปราชญ์เหวิน เหล่าคนของหอจินอวี้ย่อมไม่กล้าไม่เชื่อฟังไม่ว่าจะเป็นผู้ดูแลของหอจินอวี้ หรือพนักงาน ยามนี้เมื่อถูกขังอยู่ในคุก ทุกคนก็หวาดกลัวอยู่ตลอดเมื่อเห็นการสืบสวนก่อนหน้านี้ของเซียวจิ่งอี้ คนเหล่านี้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง และออกไปจากคุกโดยเร็ว ทุกคนต่างก็แย่งชิงกันเป็นคนแรกเพราะกล
“พี่สาม ทางด้านเมืองหลวงมีข่าวคราวบ้างหรือไม่?”“พวกท่านปู่โอวหยางคิดค้นเทียบยาใหม่ที่ใช้รักษาผู้ที่ป่วยเพราะขี้ผึ้งทองได้แล้วหรือไม่?”หลังจากค้นพบขี้ผึ้งทอง อวิ๋นฝูหลิงก็ดึงพวกรองเจ้าสำนักโอวหยางกับหมอหลวงจงมาร่วมศึกษาด้วยกัน ทั้งยังเขียนจดหมายส่งให้นายท่านผู้เฒ่าหาง รวมถึงส่งข้อมูลที่เกี่ยวกับชีพจรและการรักษาให้เขาด้วยแม้เมืองหลวงกับจินโจวจะเป็นสถานที่ที่ได้รับผลกระทบจากขี้ผึ้งทองมากที่สุด แต่ก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าที่อื่นจะไม่ได้รับผลกระทบถึงอย่างไรการค้าของแคว้นต้าฉีก็เจริญรุ่งเรืองมาก จากใต้ขึ้นเหนือมีพ่อค้ามากมาย บางทีอาจจะมีคนที่เดินทางระหว่างเมืองหลวงกับจินโจว ซื้อขี้ผึ้งทองติดไปด้วยสองสามกล่องก็เป็นได้อวิ๋นฝูหลิงคิดว่านางออกจากเมืองหลวงมาหลายวันถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าทางด้านเมืองหลวงจะมีความคืบหน้าใหม่อันใดบ้างตั้งแต่อวิ๋นฝูหลิงกลับมาถึงจินโจว ก็ยุ่งอยู่กับการรักษาผู้ป่วยมาโดยตลอด หางซานสุ่ยจึงไม่มีโอกาสได้พูดคุยเป็นการส่วนตัวกับนางตอนนี้เมื่อเห็นว่าอวิ๋นฝูหลิงเป็นฝ่ายถามขึ้นมา หางซานสุ่ยก็นับว่ามีโอกาสแล้วเขาหยิบจดหมายสองสามฉบับออกมาจากในโต๊ะ“จดหมายพวกนี้ถูกส่ง
แม้ว่าราชครูแคว้นเยว่จะหนีไปแล้ว แต่เขาอยู่ที่หอจินอวี้ตั้งหลายวัน จึงมักจะมีช่วงเวลาที่ผ่อนคลายจนเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงแม้เขาจะใช้หน้ากากปิดบังใบหน้าอยู่เสมอ จึงไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่คนรอบตัวเขาทุกคนจะสวมหน้ากากกระมัง?เริ่มต้นไล่ไปจากผู้ใต้บังคับบัญชา บางทีอาจจะค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ก็เป็นได้เซียวจิ่งอี้ตัดสินใจไต่สวนผู้ดูและกับพนักงานเหล่านั้นของหอจินอวี้ยังมีทักษะการวาดภาพเหมือนอันยอดเยี่ยมของอวิ๋นฝูหลิง จะต้องจับพวกปลาซิวปลาสร้อยพวกนั้นได้เป็นแน่แม้ว่ากลุ่มของราชครูแคว้นเยว่จะฉวยโอกาสวางเพลิงเพื่อหนีออกไปจากหอจินอวี้ แต่ประตูเมืองจินโจวก็ปิดอยู่ ยามนี้พวกเขาคงยังซ่อนตัวอยู่ในเมืองนอกจากนี้ มีบางสิ่งที่ต้องจัดการด้วยเช่นกันเซียวจิ่งอี้ยืนอยู่หน้าประตูสำนักผิงอัน หันกลับมามองอวิ๋นฝูหลิงที่กำลังยุ่งคราหนึ่งเพียงชั่วครู่เดียว เขาก็พลิกร่างขึ้นหลังม้า มุ่งตรงไปยังที่ว่าการเมืองจินโจวครึ่งชั่วยามต่อมา มีประกาศใบหนึ่งถูกนำมาติดไว้ที่ประตูที่ว่าการทั้งยังมีคนตีฆ้องจากที่ว่าการ อ่านเนื้อหาในประกาศไปทั่วเมืองประกาศนี้กล่าวถึงอันตรายของขี้ผึ้งทอง
“ข้าอยากจับคนร้ายที่กระทำความผิด ให้ได้แบบคาหนังคาเขา”“แต่ไม่คิดเลยว่าคนผู้นั้นจะโหดเหี้ยมถึงขั้นเสียสติ ตั้งใจวางเพลิงในหอจินอวี้ เพื่อหลบหนีการไล่ล่า”“เป็นเพราะข้าไม่รอบคอบ ทำให้ผู้บริสุทธิ์ทุกคนต้องตกอยู่ในอันตราย”“วันนี้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเพราะเหตุเพลิงไหม้ที่หอจินอวี้ ค่ารักษาและค่ายาข้าจะจ่ายให้เอง”“นอกจากนี้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย จะได้รับห้าตำลึง ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหนักจะได้รับสิบตำลึง”“ได้ยินว่ามีสองคนที่ถูกไฟไหม้จนบาดเจ็บสาหัส สองคนนี้จะได้รับยี่สิบตำลึง”“เงินเหล่านี้ถือเป็นน้ำใจเล็กน้อยจากข้า ที่อยากจะรักษาร่างกายเหล่าผู้บาดเจ็บ”“ข้าจะให้คนนำเงินมามอบให้ในภายหลัง!”ผู้บาดเจ็บทุกคนได้ยินเช่นนั้น ความไม่พอใจที่สุมอยู่ในอกก็หายไปกว่าครึ่งทันทีตอนนี้เมื่อย้อนคิดดูแล้ว เมื่อคืนยามที่หอจินอวี้ถูกปิดล้อม ผู้นำคนนั้นก็บอกว่าทำเพื่อสืบคดีบางอย่างจริง ๆคิดดูอีกครายามนั้นที่เกิดเพลิงไหม้ ทหารเหล่านั้นก็มิได้บังคับขังพวกเขาไว้ในหอจินอวี้ ทว่ากลับรีบเข้ามาในหอเพื่อดับไฟช่วยคนหากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ เกรงว่าพวกเขาคงไม่ใช่แค่ได้รับบาดเจ็บ แต่กว่าครึ่งคงตายตกไปในเหตุเพ