หากไม่ใช่ว่าเขามีอุบายอยู่บ้าง ทั้งยังพึ่งพิงต้นไม้ใหญ่อย่างไทเฮาแล้วละก็ เกรงว่าเขาคงจะถูกขับออกจากสำนักหมอหลวงไปนานแล้วทว่าวันเวลาที่เขาได้อยู่ในสำนักหมอหลวงนั้น กลับไม่ได้ดีสักเท่าไรแม้ว่าฝีมือการรักษาของเขาจะไม่เลวนัก แต่จวบจนวันนี้ก็ยังเป็นเพียงแค่หมอหลวงขั้นสี่เท่านั้นเหนือขึ้นไปข้างบนยังมีขุนเขาใหญ่สามลูกอย่างสำนักหลักพร้อมกับสำนักซ้ายขวาคอยกดทับระหว่างนั้นมีโอกาสให้ได้เลื่อนขั้นอยู่หลายครั้ง ทว่าโอกาสเหล่านั้นล้วนไม่เคยมาถึงเขาสักคราช่วงนี้เขาได้ยินข่าวไม่เป็นทางการมาว่า เจ้าสำนักเซียวอายุมากแล้ว คิดจะเกษียณราชการกลับบ้านเดิมหากเจ้าสำนักเซียวเกษียณตัว รองเจ้าสำนักซ้ายขวาทั้งสองคนนั้นล้วนจับจ้องตำแหน่งเจ้าสำนักตาเป็นมันไม่ว่าใครในสองคนนั้นจะได้ขึ้นเป็นเจ้าสำนัก ตำแหน่งรองเจ้าสำนักก็ว่างลงหนึ่งตำแหน่งอยู่ดีนายท่านรองอวิ๋นรู้จักตนดี จากคุณสมบัติในยามนี้ของเขา หากจะเป็นเจ้าสำนักนั้นคงไม่อาจได้รับการยอมรับ แต่กับตำแหน่งรองเจ้าสำนักแล้ว เขาก็พอจะพยายามยื้อแย่งมาได้อยู่เขาอยู่ในสำนักหมอหลวงมานานหลายปีเช่นนี้ ก็ควรจะได้เลื่อนขั้นกับเขาบ้างหากยามนี้ เขามีตำราแพทย์กับ
เดิมทีอวิ๋นฝูหลิงคิดเอาไว้ว่า หากเที่ยงแล้วคุณชายน้อยสกุลลู่ยังไม่ฟื้น นางก็จะทำการฝังเข็มให้ใครเล่าจะรู้ว่ายังไม่ทันถึงเที่ยงวัน คุณชายน้อยก็ตื่นขึ้นมาแล้วครั้นเห็นคุณชายน้อยลู่ได้สติ ฮูหยินผู้เฒ่าลู่และฮูหยินใหญ่ลู่ถึงกับดีใจจนหลั่งน้ำตาตอนที่คุณชายน้อยลู่เพิ่งฟื้นคืนสติขึ้นมายังคงมึนงงอยู่บ้าง ทว่าไม่นานนักก็จำได้ว่าตนเองตกลงมาจากหลังม้า แล้วถูกม้าเหยียบเขาคิดว่าตนเองคงสิ้นชีพอย่างไม่ต้องสงสัยเลยนี่เขาตายแล้ว? ที่นี่คือขุนนรก? เหตุใดท่านย่ากับท่านแม่ถึงอยู่ที่นี่ด้วย?แสงแดดส่องลอดเข้ามาจากนอกหน้าต่าง ช่วงท้องก็รู้สึกแน่นขนัดทั้งยังเจ็บมากคุณชายน้อยลู่ค่อย ๆ ได้สติว่า ตนเองน่าจะยังไม่ตายเขายังไม่ตาย!ฮูหยินผู้เฒ่าลู่กับฮูหยินใหญ่ลู่เห็นว่าหลังคุณชายน้อยลู่ได้สติกลับมาแล้ว ทว่าตัวคนกลับมีท่าทางทึ่มทื่อเสียนี่นี่คงไม่ใช่ว่าตกจากหลังม้าแล้วหัวจะทึบไปด้วยกระมัง?“ท่านหมอ ท่านหมอ พวกท่านรีบเข้ามาดูทีว่าหลานชายข้าเป็นอะไรไป?” ฮูหยินผู้เฒ่าลู่ทั้งตื่นตระหนกทั้งเป็นกังวลฝั่งอวิ๋นฝูหลิงรวมสามคนรีบสาวเท้าเข้าไปดูทันทีคนหนึ่งคลำชีพจร คนหนึ่งตรวจดูดวงตาและลิ้น คนหนึ่งเคยถ
ก่อนกลับหมู่บ้านซวงหลิน อวิ๋นฝูหลิงตั้งใจแวะไปหาหลิงโหยวทั้งสองคุยกันอยู่พักใหญ่หลังจากส่งหลิงโหยวไปแล้ว อวิ๋นฝูหลิงก็ไปหานายท่านหางสองวันที่อยู่หัวเมือง นายท่านหางดูแลพวกเขาอย่างดี ตอนนี้นางจะไปแล้ว ย่อมต้องไปบอกลานายท่านหางนายท่านหางอยากคุยเรื่องเชิญนางมาเป็นหมอที่สำนักผิงอันนานแล้ว เพียงแต่สองวันนี้อวิ๋นฝูหลิงยุ่งอยู่กับทางคุณชายน้อยลู่ นายท่านหางจึงไม่ได้รบกวนนางในตอนนั้น ตอนนี้เห็นอวิ๋นฝูหลิงมาบอกลา นายท่านหางก็รู้แล้วว่าอาการของคุณชายน้อยลู่คงที่แล้วถูกนางช่วยไว้จริงๆ ด้วย!นายท่านหางยิ่งตื่นเต้นแล้ว รู้สึกโชคดีที่ตนมีวิสัยทัศน์ คบหากับอวิ๋นฝูหลิงตั้งแต่ก่อนหน้านี้ปัจจุบัน เรื่องที่อวิ๋นฝูหลิงผ่าท้องคุณชายน้อยลู่ ได้แพร่กระจายไปทั่วเขตปกครองเจียงหนิงและในแวดวงการแพทย์แล้วแม้ไม่ใช่ทุกคนที่ยอมรับฝีมือการแพทย์ของอวิ๋นฝูหลิง แต่คนที่อยากแลกเปลี่ยนความรู้หรือท้าประลองนางกลับมีไม่น้อยเพราะนายท่านหางเป็นคนแนะนำอวิ๋นฝูหลิง ดังนั้นจึงมีคนมาหานายท่านหางไม่น้อยที่มีทั้งมาหาข่าวจากเขา และมีทั้งอยากขอให้อวิ๋นฝูหลิงช่วยรักษาโดยผ่านเขาทางนายท่านหางช่วยอวิ๋นฝูหลิงปฏิเสธไปก
ภาพเห็ดหลินจือที่อยู่บนนั้น คล้ายภาพที่อยู่บนป้ายหยกของนางมากนางไม่ได้ถามความสัมพันธ์ระหว่างสกุลหางและสกุลอวิ๋นกับนายท่านหางผู้คนส่วนใหญ่บนโลกนี้ ล้วนแสวงหาผลประโยชน์ถ้าหากนางเป็นเพียงผู้หญิงอ่อนแอที่ตัวคนเดียว แม้นางเป็นคุณหนูใหญ่ของสกุลอวิ๋น แต่จะมีสักกี่คนที่ช่วยนางอย่างจริงใจมีแค่ฐานะคุณหนูใหญ่สกุลอวิ๋นยังไม่พอนางต้องมีความสามารถที่ทำให้ผู้คนมองนางสูงขึ้นมีความสามารถที่สามารถยืนหยัดบนโลกใบนี้มีต้นทุนที่ทำให้ผู้คนยินดีติดตามและยืนข้างนางและการรับรักษาผู้ป่วยเดือนละสามครั้ง แต่เฉพาะอาการป่วยที่ซับซ้อน คือก้าวแรงของนาง สถานะของสกุลอวิ๋นในแวดวงการแพทย์สูงมากหลิงโหยวสามารถรู้ตัวตนของนางจากศาสตร์ฝังเข็มสกุลอวิ๋น วันข้างหน้าก็ใช่ว่าผู้อื่นจะไม่รู้อยู่ในแวดวงการแพทย์เช่นเดียวกัน เกรงว่าข่าวจะไปถึงหูของครอบครัวอวิ๋นกานซงในไม่ช้าก็เร็วเมื่อตัวตนถูกเปิดเผย เกรงว่าพวกเขาไม่ละเว้นนางแน่แม้อวิ๋นฝูหลิงไม่กลัวคนต่ำช้าเจ้าเล่ห์กลุ่มนั้น แต่ก็หวังว่าก่อนจะถึงตอนนั้น จะสามารถสั่งสมกำลังให้มากขึ้น เพิ่มโอกาสชนะให้มากขึ้นหลังออกจากสำนักผิงอัน อวิ๋นฝูหลิงเปิดโหมดการซื้อ เดินซ
หลังจากเซียวจิ่งอี้เห็นภาพเหมือน มีความรู้สึกเหมือนเรื่องราวสิ้นสุดแล้ว“เป็นอย่างที่ข้าคิดจริงๆ!”“นางคือคุณหนูใหญ่จวนจี้ชุนโหว!”“ที่แท้อวิ๋นจิงมั่วคือลูกชายแท้ๆ ของข้า”“มิน่าเล่า ทันทีที่ข้าเจอเด็กคนนั้น ก็รู้สึกใกล้ชิดและชอบนัก…”เดิมทีเทียนเฉวียนยังรู้สึกประหลาดใจ เหตุใดจู่ๆ นายท่านของตนจึงจะตรวจสอบคุณหนูใหญ่สกุลอวิ๋นของจวนจี้ชุนโหวกระทั่งเห็นภาพเหมือนนี้ เขาจึงจะเข้าใจที่แท้แม่นางอวิ๋นคือคุณหนูใหญ่สกุลอวิ๋นเช่นนั้นลูกชายของแม่นางอวิ๋น ก็คือลูกแท้ๆ ของนายท่านเทียนเฉวียนโน้มกายกล่าวแสดงความยินดีทันที “ขอแสดงความยินดีกับนายท่าน!”“ไม่แปลกใจที่ผู้น้อยรู้สึกว่า หน้าตาของคุณชายน้อยกับนายท่านคล้ายกันมาโดยตลอด ที่แท้เขาคือนายน้อย”สีหน้าที่เย็นชามาโดยตลอดของเซียวจิ่งอี้ เวลานี้แฝงไปด้วยความอบอุ่น ราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิละลายน้ำแข็ง“เตรียมรถม้า ข้าจะไปหมู่บ้านซวงหลินตอนนี้!”เซียวจิ่งอี้ไม่ได้ตื่นเต้นเช่นนี้มานานมากแล้วผู้หญิงที่เข้ามาในใจเขาโดยไม่รู้ตัวคนนั้น คือพระชายาที่ถูกหลักธรรมนองคลองธรรมของเขาเด็กที่น่ารักและทำให้หัวใจเขาละลายคนนั้น คือลูกแท้ๆ ของเขาพวกเขาร
“ตอนที่พวกเรามา หัวหน้าเขตไช่ได้รับข่าวแล้ว ตั้งใจมารอที่ข้างทาง เพื่อต้อนรับพวกเราเข้าหมู่บ้าน และยังแนะนำสถานการณ์ของหมู่บ้านโดยรอบกับอำเภอชิงหยวนให้พวกเรา”“เขาดูเป็นคนดี มีน้ำใจ”“เดิมทีหมู่บ้านแห่งนี้มีคนอยู่ แบ่งพื้นที่ไว้หมดแล้ว หัวหน้าเขตไช่ก็เลยแบ่งที่ให้พวกเราตามครัวเรือนที่มีอยู่โดยตรง”“แต่ที่นี่ทรุดโทรมเกินไป บ้านไม่สามารถอยู่อาศัย ทุกคนทำได้เพียงสร้างใหม่เองแล้ว”ตลอดทางที่อวิ๋นฝูหลิงมา ก็เห็นชาวบ้านมากมายกำลังสร้างเพิงง่ายๆ ที่ลานบ้านโชคดีที่ตอนนี้เป็นหน้าร้อน อากาศอบอ้าว อยู่ในเพิงชั่วคราวไม่เป็นอะไรขณะคุยกัน ก็มาถึงเรือนหลังหนึ่งจางซานมู่กับสวี่ตงที่กำลังเก็บกวาดอยู่ในลานบ้านได้ยินเสียง เงยหน้าก็เห็นอวิ๋นฝูหลิง บนใบหน้าเผยให้เห็นความดีใจทันที“แม่นางอวิ๋น ท่านกลับมาแล้ว!”“นี่เป็นบ้านที่แบ่งให้ท่าน พวกเรากำลังเก็บกวาดอยู่เลย!”อวิ๋นฝูหลิงกวาดมองหนึ่งรอบ พบว่าเรือนหลังนี้ใหญ่กว่าเรือนที่เดินผ่านมาเล็กน้อย แม้ตัวบ้านทรุดโทรม แต่สร้างจากอิฐเขียว หลังคาก็เป็นกระเบื้องเขียวดูหรูหรากว่าเรือนหลังอื่นอวิ๋นฝูหลิงกล่าว “เหตุใดจึงแบ่งที่นี่ให้ข้า?”หัวหน้าหมู่บ้
“แม่นางอวิ๋น เจ้า…เจ้าจะไล่พวกเราไป?” ลูกพี่อู๋เบิกตากว้าง รู้สึกรับไม่ได้เล็กน้อยจางซานมู่ยิ่งคุกเข่าลง “แม่นางอวิ๋น พวกเราติดตามเจ้าด้วยความจริงใจนะ”สวี่ตง “ได้โปรดอย่าไล่พวกเราไปเลย!”คังหมิงหย่วนตาแดงเล็กน้อย “แม่นางอวิ๋น พวกเรากลับตัวกลับใจแล้วจริงๆ โปรดรับพวกเราไว้เถอะ!”อวิ๋นฝูหลิงมองคนทั้งสี่ที่คุกเข่าเรียงเป็นแถว ก่ายหน้าผากอย่างหมดหนทางตอนนั้นนางใช้ยาพิษข่มขู่รับสี่คนนี้ไว้เป็นแผนชั่วคราว แค่อยากให้พวกเขาทำงานหนักๆ ให้ตัวเองปัจจุบันตั้งรกรากในสถานที่แห่งใหม่แล้ว นางก็ไม่จำเป็นต้องจับพวกเขามาใช้แรงงานให้ตัวเองอีกแล้วอีกทั้งตลอดทางที่อยู่ร่วมกัน ที่จริงเนื้อแท้ของพวกเขาสี่คนไม่ได้เลวร้าย ปัจจุบันมีบ้านและที่ที่ราชสำนักแบ่งให้ วันข้างหน้าแค่ขยันหน่อย อาศัยลำแข้งของตัวเอง ชีวิตของพวกเขาก็จะดีขึ้นเรื่อยๆคิดไม่ถึงว่าอวิ๋นฝูหลิงคืนอิสระให้พวกเขา คนกลุ่มนี้กลับไม่เอาด้วยอวิ๋นฝูหลิงคิดแล้วคิดอีก รู้สึกว่าหาลูกจ้างสองสามคนก็ดีเช่นกันต่อไปยังมีงานให้นางทำอีกเยอะแยะ ต้องใช้คนแน่นอน ใช้คนแปลกหน้าไม่สู้ใช้คนรู้จักพวกลูกพี่อู๋ทำงานมาได้สักระยะแล้ว นับว่าผ่านช่วงทดลองงานแ
อวิ๋นฝูหลิงเดินไปที่หน้าเรือน เอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้น?”เมื่อพ่อของหู่โถวที่ถือท่อนไม้ได้ยินเสียงอวิ๋นฝูหลิง ก็หยุดลงกล่าวทันที “แม่นางอวิ๋น มีคนกลุ่มหนึ่งมาที่หมู่บ้านของพวกเรา บอกว่าเขาชอบที่ดินผืนนี้ ให้พวกเราย้ายออกไปทั้งหมด”“หลังจากหัวหน้าหมู่บ้านได้รับข่าว ก็เรียกทุกคนไปที่ทางเข้าหมู่บ้าน เพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น”“นี่เป็นที่ที่ราชสำนักแบ่งให้พวกเรา ทำไมต้องย้ายออกด้วย?”พ่อของหู่โถวกล่าวจบ ก็พาทุกคนมุ่งหน้าไปยังทางเข้าหมู่บ้านแล้วอวิ๋นฝูหลิงขมวดคิ้วเบาๆ สั่งลูกพี่อู๋ดูอวิ๋นจิงมั่วให้ดี ส่วนนางรีบไปที่ทางเข้าหมู่บ้านเพิ่งไปถึงทางเข้าหมู่บ้าน ก็เห็นคนสวมชุดสีดำ มือถือดาบและกระบี่ ท่าทางเหมือนผู้คุ้มกันเรือนสิบกว่าคนตรงกลางของผู้คุ้มกันกลุ่มนี้ เป็นชายร่างอ้วนหูใหญ่ แต่งตัวหรูหรา มือถือพัดพับทั่วร่างของชายคนนี้ เต็มไปด้วยกลิ่นอายนักเลงเจ้าถิ่นที่ชั่วร้ายผู้คุ้มกันข้างกายของเขาโยนเงินลงพื้นสองก้อน กล่าวเสียงดัง“ที่ดินผืนนี้ ถูกใจนายน้อยของเราแล้ว!”“นี่เป็นเงินช่วยเหลือที่นายน้อยของเราให้พวกเจ้า”“ให้เวลาพวกเจ้าย้ายออกจากที่นี่ทั้งหมดภายในสองวัน ไม่เช่นนั้นอย่าโทษพวกเ
เมื่ออวิ๋นฝูหลิงเห็นว่าไม่สามารถล้วงข้อมูลของคนที่อยู่เบื้องหลัง กับทำให้นักฆ่าคนนี้ล้มเลิกความคิดที่จะฆ่านาง ทำได้เพียงเปลี่ยนแผนแล้ว“เช่นนั้นก็ได้”“ถ้าหากวันนี้จะตายในมือของเจ้าจริงๆ สามารถสะสางบัญชีแค้นนี้ ข้าก็นอนตายตาหลับแล้ว!”อวิ๋นฝูหลิงถอนหายใจทีหนึ่ง กล่าวอย่างเศร้าๆนักฆ่าคนนั้นมองอวิ๋นฝูหลิงแวบหนึ่งเสื้อตรงหน้าอกของอวิ๋นฝูหลิงถูกเลือดย้อมจนเป็นสีแดงแล้ว ดูอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง เหมือนสามารถตายได้ทุกเมื่อเขามั่นใจว่าเมื่อครู่ตอนแทงอวิ๋นฝูหลิงไม่ได้ออมมือ อีกทั้งกระบี่ก็แทงใส่หน้าอกโดนกระบี่ของเขา ต้องตายอย่างไร้ข้อกางขาแน่ๆถือโอกาสตอนที่อวิ๋นฝูหลิงยังไม่สิ้นใจ รีบทำเรื่องให้เสร็จดีกว่าสิบเท่าของราคา งานที่เงินดีเช่นนี้หาไม่ได้ง่ายๆทำงานนี้สำเร็จ เงินที่ได้มาเพียงพอสำหรับชีวิตที่เหลือของเขาแล้ว เขาก็สามารถวางมือ ไม่ต้องเป็นนักฆ่าอีกแล้วหลังจากมั่นใจว่าอวิ๋นฝูหลิงไม่เป็นภัยอีก นักฆ่าคนนั้นก็ล้วงหนังสือจ้างวานฉบับหนึ่งออกจากหน้าอก โน้มกายยื่นหายอวิ๋นฝูหลิง“ลงนามหนังสือสัญญาฉบับนี้และจ่ายเงินเสร็จ การจ้างวานนี้ก็จะมีผลทันที ต่อให้อยู่สุดหล้าฟ้าเขียว ข้าก็จะช่วยเ
พริบตาที่ตัวรถรถม้าแตกเป็นชิ้นๆ อวิ๋นฝูหลิงแทบสัมผัสได้ถึงปราณกระบี่ของอีกฝ่ายอีกฝ่ายเป็นถึงยอดฝีมือ เหตุใดต้องฆ่านางกันนะ?อวิ๋นฝูหลิงฉงนงงงวยในใจ ทว่าตอนนี้กลับไม่ใช่เวลาคิดเรื่องนี้หลังจากตัวรถแตกเป็นชิ้นๆ โดยรอบอวิ๋นฝูหลิงไม่มีอะไรบดบังแล้ว นางอยู่ในสายตาของมือลอบสังหารทันทีมือลอบสังหารสองคนที่ไล่ตามชูกระบี่ขึ้น โจมตีมาทางอวิ๋นฝูหลิงทว่าการเคลื่อนไหวของอวิ๋นฝูหลิงเร็วกว่าพวกเขาฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้วอวิ๋นฝูหลิงเหนี่ยวไกหน้าม้า ยิงออกไปพร้อมกันสามดอกมือลอบสังหารที่อยู่ใกล้คนนั้น ถูกลูกดอกหน้าไม้ยิงทะลุหัวใจในพริบตาเมื่ออีกคนเห็นสหายตาย การโจมตีของกระบี่ที่พุ่งมาทางอวิ๋นฝูหลิงยิ่งดุดันแล้วที่อวิ๋นฝูหลิงสามารถยิงมือลอบสังหารคนนั้นตายได้ก่อนหน้านี้ ล้วนอาศัยพริบตาที่ตัวรถรถม้าแตกอย่างเหนือความคาดหมายระยะห่างของทั้งสองฝ่ายในเวลานี้ยังคงอยู่ใกล้กันมาก หน้าไม้ไม่สามารถใช้ข้อได้เปรียบของมันอีกต่อไปอวิ๋นฝูหลิงตัดสินใจทิ้งหน้าไม้ เปลี่ยนมาใช้มีดสั้นแทนอวิ๋นฝูหลิงเชื่อว่าสามารถสู้ด้วยฝีมือที่ได้จากการขัดเกลาในโลกวิบัติใครจะรู้ว่าเมื่อปะทะกัน นางก็รู้แล้วว่าตัวเองไม่ใช่คู่ต่อ
แม้ครอบครัวของคนที่พวกเขาสามีภรรยาเลือกให้ลูกสาวไม่ซับซ้อน แต่ก็ยังต้องรอบครอบไว้ก่อนฮูหยินถังตัดสินใจอบรมคุณหนูถังเกี่ยวกับการอยู่ร่วมกับครอบครัวสามีหลังแต่งงานกะทันหัน แล้วค่อยสอนนางเกี่ยวกับหลักการการเข้าสังคม หลังอวิ๋นฝูหลิงออกจากสกุลถัง ก็เดินซื้อของในหัวเมืองครู่หนึ่ง ก็กลับหมู่บ้านซวงหลินแล้วลูกพี่อู๋ขับรถม้าตรงหน้ารถ โดยมีเทียนเฉวียนนั่งอยู่ข้างๆอวิ๋นฝูหลิงกับเหยากวงนั่งอยู่ในรถนายบ่าวสี่คนมีพูดมีหัวเราะตลอดทาง ทำให้การเดินทางไม่น่าเบื่อตอนที่เดินทางมาได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ สีหน้าเทียนเฉวียนก็เคร่งขรึมฉับพลัน มือขวาจับกระบี่สั้นที่อยู่ตรงเอวเขางอนิ้วมือข้างซ้าย เคาะบนตัวรถสองทีเมื่อเหยากวงได้ยินสัญญาณลับ ก็กำกระบี่คู่กายในมือแน่นทันที สีหน้าเย็นชา ราวกับเตรียมพร้อมรอกระบี่ออกจากฝักอวิ๋นฝูหลิงก็รู้สึกถึงความผิดปกติเช่นกัน แต่ยังไม่ทันได้ถามอะไร รถม้าก็จอดลงกะทันหันอวิ๋นฝูหลิงเซไปข้างหน้าตามแรงเฉื่อย จากนั้นก็ได้ยินเสียงอาวุธกระทบกันดังขึ้นอย่างต่อเนื่องสีหน้าอวิ๋นฝูหลิงเปลี่ยนฉับพลัน เมื่อเลิกม่านมองออกไปข้างนอก ก็เห็นเทียนเฉวียนกำลังสู้กับผู้อื่นแบบหนึ่งต่อสี่
เครื่องประดับอัญมณีเหล่านี้เก็บไว้ในมิติของอวิ๋นฝูหลิงมาโดยตลอดและยังเป็นเพราะครั้งนี้อวิ๋นฝูหลิงจะเตรียมของขวัญแต่งงานให้คุณหนูถัง จึงค้นของออกมาจากมิตินางเลือกไปเลือกมาท่ามกลางกองอัญมณี สุดท้ายเลือกสร้อยข้อมือเพชรเส้นนี้เครื่องประดับของยุคนี้ใช้เงินกับทองเป็นหลัก ที่ล้ำค่ากว่านี้หน่อยก็เป็นเครื่องประดับหยก นอกจากนี้ยังมีไข่มุก ปะการัง และรวมถึงพลอยต่างๆเพชรในยุคนี้หายากมากดังนั้นเมื่อนำสร้อยข้อมือเพชรเส้นนี้ของอวิ๋นฝูหลิงออกมา ทำเอาฮูหยินถังกับคุณหนูถังตะลึงโดยตรงเดิมทีอวิ๋นฝูหลิงคิดว่าสกุลถังมีอิทธิพลและเงินทอง มอบพวกเครื่องเงิน เครื่องทอง และเครื่องหยกมันธรรมดาเกินไป จึงตัดสินใจมอบเครื่องประดับเพชรในมิติของอวิ๋นฝูหลิงมีเครื่องประดับเพชรหลายชุด นางรู้สึกว่าให้เป็นชุดสะดุดตาเกินไป จึงได้เลือกเอาแค่สร้อยข้อมือออกมาหนึ่งเส้นแต่เมื่อเห็นปฏิกิริยาของฮูหยินถังกับคุณหนูถัง ต่อให้เป็นเพียงสร้อยข้อมือเพชรเส้นเดียว ในสายตาของพวกนางก้อนล้ำค่าและไม่ธรรมดาอย่างมากอวิ๋นฝูหลิงกล่าวกับคุณหนูถังด้วยรอยยิ้ม “นี่คือเพชร เป็นอัญมณีชนิดหนึ่ง”“มันเป็นของที่ข้าได้มาโดยบังเอิญ วันนี้นำม
เทียนเฉวียนคุกเข่าขานรับทันทีเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเห็นว่าเทียนเฉวียนมีงานต้องไปทำที่หัวเมือง จึงอนุญาตให้เขาไปด้วยแล้วหลังจากเข้าประตูเมืองหัวเมือง รถม้าแล่นไปยังด้านหลังของที่ว่าการเมื่อคนเฝ้าประตูเห็นอวิ๋นฝูหลิงมาเยี่ยม ก็สั่งให้คนไปรายงานที่เรือนส่วนหลังทันทีผ่านไปครู่หนึ่ง หมัวมัวข้างกายฮูหยินถังก็มารับด้วยตัวเองหมัวมัวท่านหนีแซ่หยวน เป็นหมัวมัวสินเดิมของฮูหยินถัง ได้รับความไว้วางใจจากฮูหยินถังมากฮูหยินถังให้นางมาต้อนรับอวิ๋นฝูหลิง เพียงพอที่จะเห็นได้ว่าให้ความสำคัญต่ออวิ๋นฝูหลิงหยวนหมัวมัวมีใบหน้าที่กลม เห็นคนก็ยิ้มทันที ดูเป็นกันเองมาก“ฮูหยินดีใจมากเมื่อรู้ว่าแม่นางอวิ๋นมา เดิมทีอยากมาต้อนรับท่านด้วยตัวเอง แต่บังเอิญร้านชีเฉี่ยวมาส่งวัสดุผ้า แล้วก็เครื่องประดับที่คุณหนูสั่งทำ”“ดังนั้นฮูหยินจึงให้บ่าวมาต้อนรับแทนนางก่อน อีกเดี๋ยวฮูหยินก็ตามมา”“หวังว่าแม่นางอวิ๋นจะไม่ถือสา!”หยวนหมัวมัวพูดได้น่าฟัง อวิ๋นฝูหลิงก็ย่อมกล่าวอย่างเกรงใจ“ฮูหยินถังเกรงใจเกินไปแล้ว”ผ่านไปครู่หนึ่ง คนทั้งกลุ่มก็ไปถึงห้องโถงหลักมีสาวใช้ยกน้ำชามาให้อวิ๋นฝูหลิงนั่งจิบไปแล้วสองคำ ฮูหยินถ
หลังจากกินข้าวที่บ้านสกุลอวิ๋น นายท่านผู้เฒ่าหางกับนายท่านหางก็กล่าวอำลาจากไปแล้วอวิ๋นฝูหลิงกับสกุลหางบรรลุข้อตกลงเรื่องความร่วมมือเกี่ยวกับโรงปรุงยาในสองวัน ทางสกุลหางส่งคนมาสร้างโรงปรุงยาที่หมู่บ้านซวงหลินสถานที่สร้างก็คือที่ดินรกร้างที่อวิ๋นฝูหลิงสนใจก่อนหน้านี้ที่ดินรกร้างผืนนั้นอยู่ภายใต้ชื่อของอวิ๋นฝูหลิง อวิ๋นฝูหลิงออกที่ดินออกเทียบยา สกุลหางรับผิดชอบค่าก่อสร้าง รวมถึงการดำเนินงานกับการขายยาลูกกลอนของโรงปรุงยา ช่วงนี้หัวหน้าหมู่บ้านโจวเรียกได้ว่าสีหน้าเบิกบาน อารมณ์ดีมากก่อนหน้านี้พวกเขาเพิ่งมาถึงหมู่บ้านซวงหลิน ไม่คุ้นเคยกับสถานที่และคน เขาไปทำความคุ้นเคยกับหมู่บ้านโดยรอบด้วยรอยยิ้ม ต่อไปมีเรื่องอะไรจะได้ช่วยเหลือกันและกันใครจะคิดว่าหมู่บ้านโดยรอบหาว่าหมู่บ้านซวงหลินของพวกเขาเป็นสถานที่อัปมงคล จึงไม่อยากไปมาหาสู่กับพวกเขาเมื่อนานวันเข้า หัวหน้าหมู่บ้านโจวก็ไม่อยากไปเสนอหน้าให้พวกเขาดูถูกอีก พวกเขาก็ไม่เคยคิดอยากจะไปประจบใครด้วยเหตุนี้ปกติจึงไปมาหาสู่กับหัวหน้าเขตเท่านั้น อย่างไรก็ตามหัวหน้าเขตดูแลเรื่องที่ดินแทบนี้ การเก็บภาษี เกณฑ์แรงงาน และเรื่องอื่นๆ ที่ต้อง
อวิ๋นฝูหลิงคิดว่านายท่านผู้เฒ่าหางเพิ่งมาครั้งแรก อย่างไรก็ต้องต้อนรับสักมื้อภายใต้การขอให้อยู่ต่อของอวิ๋นฝูหลิง นายท่านผู้เฒ่าหางทำได้เพียงอยู่ต่อแล้วอวิ๋นฝูหลิงไปดูที่ห้องครัวแวบหนึ่ง พบว่าในบ้านมีเนื้อไก่เป็ดปลาครบทุกอย่าง ตัดสินใจว่าตอนเที่ยงตนจะเข้าครัวทำอาหารด้วยตัวเองบังเอิญกับเวลานี้เซียวจิ่งอี้พาอวิ๋นจิงมั่วกลับมาแล้วร่างกายของทั้งสองเปียกปอน และยังมีโคลนติดเสื้อเซียวจิ่งอี้มือข้างหนึ่งถือถังไม้ มืออีกข้างจูงอวิ๋นจิงมั่วเมื่ออวิ๋นจิงมั่วเข้าไปในเรือนสกุลอวิ๋น ก็ตะโกนเสียงดังอย่างมีความสุข “ท่านแม่ ข้ากับท่านพ่อจับปลาได้เยอะมาก ตอนเที่ยงย่างปลากิน!”หลายวันนี้เซียวจิ่งอี้เป็นคนพาอวิ๋นจิงมั่วเล่น ไม่ใช่ขึ้นเขาล่าสัตว์ก็ลงน้ำจับปลา หรือไม่ก็ขี่ม้าฝึกกระบี่ และบางครั้งยังพาอวิ๋นจิงมั่วอ่านหนังสืออวิ๋นจิงมั่วมีความสุขทั้งวันอวิ๋นฝูหลิงเห็นอวิ๋นจิงมั่วมีความสุข นางก็ดีใจเช่นกันอายุของอวิ๋นจิงมั่ว กำลังอยู่ในช่วงวัยเล่นซน นางอยากให้อวิ๋นจิงมั่วมีวัยเด็กที่มีความสุขแต่ว่าเป็นเซียวจิ่งอี้ที่ทำให้อวิ๋นฝูหลิงประหลาดใจเล็กน้อยเดิมทีนางคิดว่าเขาที่เป็นองค์ชาย ไม่พูดถ
“ถ้าหากโรงปรุงยาสามารถเปิดต่อไป สำหรับคนในหมู่บ้าน ก็มีอาชีพมากขึ้นหนึ่งอย่าง หลายครอบครัวสามารถมีชีวิตที่ดีขึ้น”“ถ้าหากท่านปู่หางยินดีร่วมทำการค้าโรงปรุงยานี้กับข้า ข้าออกเทียบยาของยาลูกกลอนเอง ส่วนทางโรงปรุงยาให้สกุลหางดูแล”“พวกเราแบ่งผลกำไรคนละครึ่ง แต่ข้ามีเงื่อนไขหนึ่งข้อ โรงปรุงยานี้ต้องสร้างในหมู่บ้านซวงหลิน การหาคนงานก็ต้องพิจารณาชาวบ้านของหมู่บ้านซวงหลินก่อน”พลันนายท่านผู้เฒ่าหางลูบเครายิ้ม “เจ้าเด็กคนนี้ จิตใจดีจริงๆ!”“ข้าทำเพื่อทุกคน ทุกคนทำเพื่อข้า” อวิ๋นฝูหลิงจิบชาคำหนึ่ง กล่าวหัวเราะแหะๆนายท่านผู้เฒ่าหางครุ่นคิดในใจครู่หนึ่ง รู้สึกว่าคำพูดนี้ค่อนข้างมีปรัชญา สายตาที่มองไปทางอวิ๋นฝูหลิงยิ่งชื่นชมแล้วนายท่านหางกล่าวถามอย่างอมยิ้ม “ศิษย์น้องอวิ๋นเชื่อใจพวกเราเช่นนี้ ไม่กลัวพวกเราเหมือนสกุลเซี่ย ได้เทียบยาจากศิษย์น้องอวิ๋น วันข้างหน้าก็ไปทำการค้าของตัวเองหรือ?”อวิ๋นฝูหลิงเงยหน้ามองนายท่านหาง กล่าวด้วยรอยยิ้ม “นั่นย่อมเป็นเพราะเชื่อใจ!”“ไม่ว่าจะเป็นท่านปู่หาง หรือพี่ใหญ่หาง พี่สามหาง ล้วนเป็นคนดี”“อีกอย่างนะ สกุลหางกับข้าเป็นศิษย์สำนักเดียวกัน พวกเราล้วนเป็นค
สมุนไพรในยุคสมัยนี้ส่วนใหญ่แล้วมักเติบโตอยู่ในป่า ดังนั้นจึงเกิดอาชีพอย่างนักเก็บสมุนไพรอาชีพนี้ขึ้นมาตระกูลนักเก็บสมุนไพรหลายตระกูลจึงร่วมมือกับตระกูลแพทย์ ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่ายตอนแรกสกุลเซี่ยก็เป็นเช่นนี้แต่เดิมสกุลเซี่ยเป็นเพียงสกุลเล็ก ๆ ธรรมดาสกุลหนึ่ง ได้เป็นสหายกับจี้ชุนโหวผู้เฒ่า หลังจากนั้นยังร่วมมือกันปลูกสมุนไพร สกุลเซี่ยถึงได้ค่อย ๆ มั่งมีและรุ่งเรืองขึ้นมาทว่าโลกใบนี้ล้วนมีคนเช่นนี้อยู่เสมอ คนที่เพียงแค่ยอมร่วมทุกข์ แต่ไม่ยอมให้ร่วมสุขด้วยทันทีที่ร่ำรวยมีเงินทอง ความคิดก็แปรเปลี่ยนไม่เหมือนเก่าก่อนอีกต่อไปทันทีที่นายท่านผู้เฒ่าหางพูดถึงสกุลเซี่ย น้ำเสียงไม่ดีเลยสักนิด“พอสกุลนั้นร่ำรวย ใจก็ยิ่งละโมบหนัก ไม่พอใจกับส่วนแบ่งกำไรที่เคยคุยกับปู่ทวดของเจ้าไว้เมื่อครั้งแรกๆ”“คิดว่าคนที่คอยดูแลสวนสมุนไพรล้วนมีแต่คนของสกุลพวกเขาทั้งสิ้น เป็นพวกเขาที่ลงแรงให้เยอะกว่า พวกเขาควรจะได้ส่วนแบ่งมากกว่า ไม่ใช่ได้ส่วนแบ่งที่เท่า ๆ กันทั้งสองฝ่าย”“แล้วพวกเขาก็ไม่เคยคิดนี่ ว่าหากไม่มีท่านปู่ทวดของเจ้า ลำพังแค่พวกเขาจะปลูกดอกสายน้ำผึ้งกับสะระแหน่ออกมาได้หรือ?”“หลังจากนั้