ฮูหยินผู้เฒ่าลู่ มีสีหน้าวิตกกังวลขณะที่กล่าวว่า “ข้าจะส่งคนไปหาเดี๋ยวนี้!”ขอเพียงสามารถช่วยหลานชายของนางได้ ไม่ว่าจะเป็นสมุนไพรล้ำค่า หรือต้องจ่ายเงินมากเพียงใด นางก็ไม่สนใจทั้งนั้นอวิ๋นฝูหลิงส่ายศีรษะ “ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ จะไม่ทันเวลาแล้วด้วย โชคดีที่ข้านำติดตัวมา ใช้ของที่ข้านำมาไปก่อนเถอะ”อวิ๋นฝูหลิงแกล้งทำเป็นควานหาในกระเป๋าสะพาย ก่อนจะฉวยโอกาสหยิบโสมซานชีบางส่วนที่เตรียมไว้ทำยาแล้วจากในมิติออกมาหลังจากนั้นก็ยื่นโสมซานชีให้นายท่านหาง เพื่อให้เขานำไปต้มยาอวิ๋นฝูหลิงถามหมอเจิ้งและหมอหาง เพื่อขอให้พวกเขามาช่วยเป็นลูกมือนางหมอเจิ้งกับหมอหางมิได้ใส่ใจว่าต้องเป็นลูกมืออวิ๋นฝูหลิงซึ่งเป็นหมอหญิงไร้ชื่อผู้หนึ่ง จึงตอบรับด้วยความยินดีเห็นพวกหมอซุนมีท่าทีแปลกใจระคนไม่เข้าใจ ทั้งยังมีสายตาดูแคลน ทั้งสองคนก็ลอบเม้มปากเจ้าพวกโง่!เรื่องหายากอย่างการผ่าตัดเปิดท้อง เกรงว่าทั้งชีวิตนี้ยากจะได้เห็นสักคราแน่นอนว่าควรใช้โอกาสนี้ในการสังเกตให้ดี ไม่ต้องพูดถึงว่าจะเรียนได้กี่มากน้อย แค่ได้เพิ่มพูนประสบการณ์ก็นับว่าดีมากแล้ว!ทางด้านอวิ๋นฝูหลิงหยิบเครื่องมือผ่าตัดออกมาจัดวาง และนำไปว
หลังจากจัดการเรียบร้อย อวิ๋นฝูหลิงก็ล้างมือด้วยน้ำร้อน และจับชีพจรของคนไข้อีกคราจากนั้นจึงหันหลังมากล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่าลู่ว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า เลือดหยุดไหลแล้ว อาการของคุณชายน้อยลู่ก็ค่อนข้างคงที่ หลังจากนี้ขอเพียงใส่ใจให้มาก ตราบใดที่บาดแผลไม่อักเสบ ก็นับว่าช่วยชีวิตคนไว้ได้แล้วเจ้าค่ะ”ฮูหยินผู้เฒ่าลู่ดีใจจนหลั่งน้ำตาโดยพลัน ก่อนจะท่องบทสวดไม่หยุด หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งจึงเพิ่งตอบสนอง โดยการคว้ามือของอวิ๋นฝูหลิงไว้พลางกล่าว “ขอบคุณมากแม่นางอวิ๋นที่ช่วยชีวิตหลานชายข้าไว้ ข้ารู้สึกขอบคุณมากจริง ๆ!”ฮูหยินลู่ก็มากล่าวขอบคุณด้านข้างเช่นกันหมอเจิ้งกับคนอื่น ๆ ก็ถือโอกาสมาจับชีพจรของคุณชายน้อยลู่ แม้ชีพจรจะอ่อน แต่คนก็ยังมีชีวิตอยู่จริงๆหมอซุนอดไม่ได้ที่จะพึมพำเสียงเบาว่า “ยามนี้ยังมีชีวิต ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีชีวิตไปตลอด”พวกหมอเจิ้งหาได้สนใจหมอซุนสตรีย่อมอ่อนแอในวงการแพทย์ ก่อนหน้านี้พวกเขาก็สงสัยในทักษะทางการแพทย์ของอวิ๋นฝูหลิง แต่หลังจากได้เห็นอวิ๋นฝูหลิงผ่าเปิดท้องด้วยตาตัวเอง ในใจก็มั่นใจแล้วกล่าวถึงทักษะแพทย์ แต่ไหนแต่ไรก็เป็นการเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุดเสมอ และย่อมมีคนอ
อาศัยจังหวะที่ฮูหยินผู้เฒ่าลู่เตรียมเคลื่อนย้ายคุณชายน้อยลู่กลับไปที่สกุลลู่ อวิ๋นฝูหลิงก็ออกไปเจออวิ๋นจิงมั่วกับลูกพี่อู๋เมื่อมาที่โถงด้านหน้า จึงเพิ่งพบว่าพวกหัวหน้าหมู่บ้านโจวก็มาถึงแล้วเช่นกันก่อนหน้านี้ยามที่อยู่ในเขาเฟิ่งลั่ว คนในหมู่บ้านก็ตามอวิ๋นฝูหลิงมาขุดซานเย่ากับสมุนไพรอื่น ๆ อยู่ไม่น้อยดังนั้นหลังจากขั้นตอนการลงหลักปักฐานเสร็จสิ้นแล้ว ทุกคนก็มาที่สำนักผิงอัน เพราะต้องการนำซานเย่ากับสมุนไพรที่มีมาแลกเปลี่ยนเป็นเงิน เมื่อกลับไปยังสถานที่ที่ลงหลักปักฐาน จะได้ซื้อของได้ก่อนหน้านี้อวิ๋นฝูหลิงไม่มีเวลาถาม ยามนี้หลังจากถามหัวหน้าหมู่บ้านโจว จึงเพิ่งทราบว่าพวกเขาได้ตั้งรกรากอยู่ที่หมู่บ้านซวงหลินในอำเภอชิงหยวนยามที่หัวหน้าหมู่บ้านโจวขายสมุนไพร ก็ได้ถามนายท่านหางมาบ้างแล้วครานี้มีการจัดสรรสถานที่หลายแห่งให้กับผู้ประสบภัย ซึ่งในบรรดานั้นหมู่บ้านซวงหลินนับว่าเป็นสถานที่ที่ดีมาก อยู่ติดภูเขาแม่น้ำ ทั้งยังมีที่ดินอุดมสมบูรณ์ด้วยชาวบ้านส่วนใหญ่ต่างคิดว่าเป็นเพราะโชคดี มีเพียงหัวหน้าหมู่บ้านโจวกับคนส่วนน้อยเท่านั้น ที่คิดว่าพวกเขาหาได้มีอำนาจหรืออิทธิพล ทั้งยังไม่ได้แสดงควา
หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป คนอื่นจะรู้สึกเพียงว่าทักษะแพทย์ของพวกอวิ๋นฝูหลิงทั้งสามคนดีกว่า ดังนั้นสกุลลู่จึงให้ความสำคัญมากกว่าหากมีเพียงหมอเจิ้งกับหมอหางก็แล้วไปเถอะ ในตระกูลของสองคนนี้ล้วนเป็นหมอมาหลายชั่วอายุคน ครอบครัวมีภูมิหลัง แม้แต่เจ้าตัวก็ร่ำเรียนแพทย์มาหลายสิบปี ทักษะแพทย์เป็นที่เลื่องลือในเขตปกครองเจียงหนิงแต่แม่นางอวิ๋นผู้นั้นจะนับเป็นอันใดได้?สตรีผู้หนึ่งซึ่งโผล่มาจากที่ใดไม่ทราบ เพียงแค่มีความเกี่ยวข้องกับนายท่านหางแห่งสำนักผิงอัน และอาศัยทักษะแปลก ๆ ก็คิดว่าจะมาเหยียบหัวเขาได้หรือ?แม้ว่าอวิ๋นฝูหลิงจะใช้วิธีผ่าตัดเปิดท้องช่วยชีวิตคุณชายน้อยลู่ไว้ได้แต่ในสายตาของหมอซุน ฝีมือก็ยังไม่เข้าขั้นแม้แต่น้อยในใจของเขาเดือดดาลมาก ก่อนจะหมุนกายไปเห็นหมออู๋จากสำนักไป๋ฉ่าว หลังจากกลอกตาคราหนึ่ง ก็รีบขึ้นไปคุยกับเขาทันทีสกุลลู่ได้เตรียมห้องสะอาดห้องหนึ่งไว้ตามคำกำชับของอวิ๋นฝูหลิงในห้องมีเพียงเตียงไม้หลังหนึ่ง อีกทั้งในห้องยังรมชางจู๋ไว้แล้วในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ อวิ๋นฝูหลิงเพียงแค่อยากใช้ชางจู๋ฆ่าเชื้อ เพื่อลดโอกาสที่บาดแผลของคุณชายน้อยลู่จะอักเสบหลังจากย้ายคุณชายน้อ
อวิ๋นซานหูน้ำตาไหลพราก ชั่วประเดี๋ยวก็โถมตัวเข้าสู่อ้อมแขนของฮูหยินรองอวิ๋น น้ำเสียงของนางมีแต่ความน้อยเนื้อต่ำใจ“ท่านแม่...”หัวใจฮูหยินรองอวิ๋นเต้นโครมคราม “หน้า หน้าเจ้าไปโดนอันใดมา?”ขนมธรรมเนียมในราชวงศ์ต้าฉีนั้นผ่อนคลายกว่าราชวงศ์ก่อนอยู่บ้าง แม้จะยังมีข้อห้ามระหว่างชายหญิง ทว่ากลับไม่ได้เข้มงวดกวดขันอย่างราชวงศ์ก่อนฉะนั้นยามสตรีออกไปข้างนอก จึงมีน้อยคนนักที่จะสวมใส่หมวกม่านมี่หลีปิดบังโฉมหน้าอวิ๋นซานหูมีนิสัยร่าเริง แต่ไหนแต่ไรก็รำคาญใจที่จะใส่ของอย่างหมวกม่านมี่หลีพวกนี้ ด้วยรังเกียจว่ามันยุ่งยากทว่าในสภาพอากาศร้อนอบอ้าวเช่นนี้ อวิ๋นซานหูถึงกับใส่ผ้าคลุมปิดบังใบหน้าเสียมิดชิดนางจึงรู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติกับใบหน้าของบุตรสาวอวิ๋นซานหูไม่ตอบอันใด เพียงแค่ร้องไห้พลางกล่าว “ท่านพ่อเล่า? ท่านพ่อเล่าเจ้าคะ?”ฮูหยินรองอวิ๋นรีบเรียกคนทันที “เร็วเข้า รีบไปตามนายท่านกลับมาจากสำนักหมอหลวงเร็วเข้า!”ฮูหยินรองอวิ๋นมัวแต่เป็นห่วงบุตรสาวคนเล็ก จนหลงลืมหลานชายที่อยู่ข้างหลังไปชั่วขณะครั้นติงหมิงรุ่ยนึกถึงสภาพบาดแผลบนดวงหน้าของอวิ๋นซานหู เขาจึงนึกตำหนิตัวเองอยู่ในใจแม
ฉะนั้นการที่อยู่ ๆ ได้ยินอวิ๋นซานหูพูดถึงแม่นางอวิ๋นในยามนี้แล้ว อวิ๋นหลิงจือจึงเอ่ยถามซักไซ้ไล่เลียงทันที “ชื่อแซ่เต็ม ๆ ของแม่นางอวิ๋นผู้นั้นว่าอะไรหรือ? ตอนนี้คนผู้นั้นอยู่ที่ใดเล่า? รูปร่างหน้าตาของนางเป็นเช่นไร?”อวิ๋นซานหูกำลังเจ็บปวดรวดร้าว ทันทีที่ได้ยินพี่สาวเอ่ยถามติดต่อกันถึงสามเรื่อง นางถึงกับสับสนมึนงงไม่น้อยเรื่องพวกนี้มันสำคัญตรงไหนกัน?เรื่องละเอียดยิบย่อยพกวนี้มันไม่สำคัญเลยสักนิดสิ่งที่สำคัญที่สุดในยามนี้ก็คือบาดแผลบนใบหน้าของนาง!ครั้นอวิ๋นหลิงจือเห็นสายตาน้อยเนื้อต่ำใจระคนเอาเรื่องของน้องสาวแล้ว นางก็ได้สติทันทีว่ายามนี้มิใช่เวลามาถามเรื่องพวกนี้อีกทั้งในห้องโถงแห่งนี้ยังมีคนรวมกันอยู่เป็นกลุ่มใหญ่เรื่องของแม่นางอวิ๋น ไว้นางค่อยหาโอกาสอื่น ๆ สอบถามรายละเอียดกับน้องสาวเป็นการส่วนตัวคราวอื่นก็ได้“ให้ข้าดูแผลของเจ้าหน่อย”อวิ๋นหลิงจือนั้นพอจะเข้าใจวิชาแพทย์อยู่บ้างเพียงแต่นางสติปัญญาไม่สูงมากนัก กอปรกับไม่ได้สนใจใคร่รู่วิชาแพทย์มากเท่าใด สาเหตุที่นางบีบบังคับให้ตนเองเล่าเรียนวิชาแพทย์ ก็เพราะว่านางพบว่าการรู้วิชาแพทย์นั้นเป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยให้นางเข้
ในฐานะคนที่เคยได้เห็นความคึกคักเจริญรุ่งเรืองของย่านการค้าซีบีดีในยุคปัจจุบันมาแล้ว ความเจริญของเขตปกครองเจียงหนิงนั้นไม่ต่างอะไรกับตัวอำเภอเมืองเล็ก ๆ เลยในสายตาของอวิ๋นฝูหลิงทว่านางก็ยังคงเดินเล่นได้อย่างเบิกบานใจนางจูงมืออวิ๋นจิงมั่ว อวิ๋นจิงมั่วอุ้มลูกเสือน้อยไว้ในอ้อมแขน ส่วนลูกพี่อู๋กับคังหมิงหย่วนก็เดินขนาบอยู่ด้านข้างทั้งสองคนคนสี่คนพร้อมกับเสืออีกหนึ่งตัวเที่ยวเดินเล่น จับจ่ายซื้อของ และกินอาหารเรื่อยไปขณะที่กำลังเดินเล่นกันอย่างสบายใจ จู่ ๆ ลูกพี่อู๋ก็โพล่งเตือนขึ้นมาว่า “แม่นางอวิ๋น ดูเหมือนว่าจะมีคนตามพวกเรามาตลอดทางนะ”อวิ๋นฝูหลิงเองก็รู้สึกได้พอดีกับที่มีตรอกอยู่ข้าง ๆ เส้นหนึ่ง ฝีเท้าของอวิ๋นฝูหลิงจึงเปลี่ยนทิศทาง รีบเดินเลี้ยงเข้าไปในตรอกนั้นคนในชุดสีเทาเดินตามเข้ามาในตรอก ทว่ากลับพบแต่ความว่างเปล่าตรอกแห่งนี้มีเพียงทางออกเดียว ทั้งที่เขาเห็นคนเดินเข้ามาด้านในนี้ชัด ๆ แต่เหตุใดถึงไม่เห็นตัวแล้วเล่า?คนชุดเทามองไปรอบ ๆ ไม่หยุด พร้อมกับที่ได้แต่พิศวงอยู่ในใจทันใดนั้นภาพตรงหน้าก็พร่าเลือน ราวกับมีบางสิ่งบางอย่างโฉบผ่านศีรษะเขาไป ยังไม่ทันที่เขาจะรู้สึกตัว
อวิ๋นฝูหลิงไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำใด นางฟังอีกฝ่ายเงียบ ๆผ่านไปครู่ใหญ่ อวิ๋นฝูหลิงถึงได้กล่าวออกมา“ข้าจำท่านไม่ได้แล้ว ท่านคือใครหรือ?”“หลังจากที่ฝางมามาช่วยชีวิตข้าออกมาจากกองเพลิงได้ เพราะได้รับบาดเจ็บหนัก ความทรงจำบางอย่างของข้าเลยขาด ๆ หาย ๆ ไม่ชัดเจน”แม้ว่าอวิ๋นฝูหลิงจะฟื้นฟูความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมได้มาเป็นส่วนใหญ่แล้ว ทว่ายังมีความทรงจำบางอย่างที่ยังคงเลือนรางไม่ชัดเจนและใจคนนั้นเปลี่ยนง่ายแม้ว่าคนตรงหน้านางจะให้ความรู้สึกคุ้นเคย แต่ในใจของนางก็ยังไม่ละความระแวดระวังบุรุษชุดเทาถึงกับชะงักงัน จากนั้นก็ร้องห่มร้องไห้ออกมายกใหญ่มิน่าสายตาของคุณหนูใหญ่ยามที่มองเขาถึงได้ดูไม่คุ้นเคยขนาดนั้น ที่แท้ก็สูญเสียความทรงจำนี่เองหลายปีมานี้ คุณหนูใหญ่ต้องอยู่ข้างนอกและได้รับความทุกข์ตรมมากเป็นแน่“คุณหนูใหญ่ ข้าน้อยชื่อหลิงโหยวขอรับ”“แต่เดิมข้าน้อยถูกท่านโหวผู้เฒ่าเลือกมาจากชนบท ให้มาเป็นผู้ติดตามของท่านโหวขอรับ”“ข้าน้อยโชคดีนัก ได้เล่าเรียนตำราและวิชาแพทย์กับท่านโหว”“ต่อมาได้รับความไว้วางใจจากนายท่านเหมิงโหว ให้คอยช่วยท่านโหวดูแลจัดการสำนักช่วยชีพขอรับ”......จากคำ
เทียนเฉวียนได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจทันทีว่าท่านอ๋องคิดจะนั่งรอลาภลอยในเมื่อเวินเจาผู้นั้นเป็นนายน้อยเผ่าเยว่ สถานะในเผ่าเยว่ก็ย่อมไม่ธรรมดาหลังจากคนแคว้นเยว่เหล่านั้นรู้ข่าวว่าเวินเจาถูกจับตัวมา จะต้องคิดหาวิธีมาช่วยเขาออกไปเป็นแน่เทียนเฉวียนไปทำตามคำสั่งของเซียวจิ่งอี้ทันทีทว่าหลังจากรอมาสามวัน ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวจากทางด้านเวินเจาแม้แต่น้อยเซียวจิ่งอี้ตระหนักได้ว่าตัวเองเจอคู่ต่อสู้เข้าแล้วราชครูแคว้นเยว่หลบหนีเก่งมาก ทำให้ยามนี้เขารู้สึกจนปัญญาอยู่บ้างหากพูดตามหลักการแล้ว คนแคว้นเยว่เหล่านั้นต้องการฟื้นฟูแคว้น ตัวตนของเวินเจาซึ่งมีสายเลือดราชวงศ์ จึงทำให้พวกเขามีเหตุผลอันชอบธรรมมิเช่นนั้นอาศัยเพียงราชครูผู้นั้น คนแคว้นเยว่ที่เหลือจะเชื่อฟังคำสั่งเขาได้อย่างไร?ทว่าหลังจากผ่านไปนาน คนแคว้นเยว่เหล่านั้นกลับไม่มีท่าทีว่าจะมาช่วยเวินเจาแม้แต่น้อยนี่หมายความว่ามองแผนของเขาออกใช่หรือไม่? หรือคิดว่ายามนี้ไม่ใช่จังหวะที่ดีในการช่วยเหลือ จึงกำลังวางแผนและเฝ้าดูอยู่?หรือคนแคว้นเยว่ยอมแพ้เรื่องนายน้อยเวินเจาผู้นี้แล้ว?เซียวจิ่งอี้คิดไปคิดมา ก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่คนแ
ทหารชั้นผู้น้อยคนนั้นได้กลิ่นเลือดจาง ๆ สายหนึ่งกลิ่นเลือดจางมาก จนแทบไม่ได้กลิ่นแต่เขาเกิดมาพร้อมจมูกที่อ่อนไหวต่อกลิ่น แค่เพียงกลิ่นจาง ๆ ก็สามารถได้กลิ่นเช่นกันทหารชั้นผู้น้อยรีบเดินหลายก้าว ไล่ตามสือจ่างซึ่งเป็นผู้นำไปยามนี้สือจ่างเดินออกมาจากเรือนแล้ว ทหารชั้นผู้น้อยรีบเดินไปตรงหน้าสือจ่าง และกระซิบไม่กี่ประโยคก้นบึ้งในดวงตาของสือจ่างฉายแววประหลาดใจ และหันกลับไปมองลานบ้านด้านหลังในลานบ้าน ชายวัยกลางคนกับหญิงสาวผู้งดงามเห็นว่าในที่สุดทหารก็ตรวจค้นเสร็จแล้ว จึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกใครจะรู้ว่ายังไม่ทันถอนหายใจเสร็จ ประตูเรือนกลับถูกคนพังเปิดเข้ามาอย่างกะทันหันกลุ่มทหารที่เข้ามาตรวจค้นก่อนหน้านี้บุกเข้ามาอีกครั้งชายวัยกลางคนเห็นเช่นนั้นก็ใจเต้นแรง แต่บนใบหน้ากลับยังสงบ และก้าวออกมาด้วยรอยยิ้มคาดไม่ถึงว่าเขายังไม่ทันได้เอ่ยปาก สือจ่างผู้นั้นซึ่งเป็นหัวหน้าก็ผลักเขาไปด้านข้าง ก่อนออกคำสั่งเสียงเคร่งขรึมว่า “ค้นหาทั้งในและนอกเรือนใหม่อีกครั้ง ค้นให้ละเอียด!”ทหารทุกคนตอบรับ และแยกย้ายไปค้นหาอีกครั้งทันทีทหารชั้นผู้น้อยซึ่งประสาทรับกลิ่นไวยืนอยู่ที่เดิม จมูกขยับฟ
“ขอรับ” เทียนซูรับคำสั่งก่อนจะถอยออกไปผ่านไปไม่นาน เทียนซูก็กลับมา“ท่านอ๋อง ผู้ดูแลหอจินอวี้กับพนักงานยืนยันศพกันหมดแล้วขอรับ แน่ใจแล้วว่าเป็นคนที่อยู่ข้างตัวราชครูแคว้นเยว่ผู้นั้น”เซียวจิ่งอี้ใคร่ครวญครู่หนึ่ง ก่อนถามว่า “คนผู้นี้ถูกจับได้ที่ใด?”“ถูกจับที่ตรอกหูลู่ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองขอรับ” เทียนซูตอบกลับเซียวจิ่งอี้กล่าวทันที “ไปเอาแผนที่จินโจวมา”ผ่านไปไม่นาน แผนที่จินโจวก็ถูกแขวนขึ้นเซียวจิ่งอี้เดินไปข้างหน้าแผนที่ หาตำแหน่งตรอกหูลู่บนแผนที่เขายื่นมือออกไปแตะบนแผนที่ หลังจากนั้นก็วงขอบเขตโดยประมาณและกล่าวว่า“ถ่ายทอดคำสั่ง ให้คนไปค้นหาทุกซอกทุกมุมของตรอกหูลู่”คนผู้นั้นที่ถูกจับได้ ย่อมไม่ปรากฏตัวที่ตรอกหูลู่โดยไม่มีสาเหตุบางทีสถานที่ซ่อนตัวของพวกเขา อาจจะอยู่ใกล้ตรอกหูลู่นอกจากนี้คนผู้นั้นที่ถูกจับได้ ยังกัดลิ้นปลิดชีพตัวเอง ไม่ให้ความหวังตัวเองว่าจะมีชีวิตรอดเลย เห็นได้ชัดว่าทำเพื่อปกป้องใครบางคนดูท่าคนรอบกายราชครูแคว้นเยว่ผู้นั้นจะจงรักภักดีเป็นอย่างยิ่งการเดินทางมาจินโจวครั้งนี้ของเขา ไม่แน่คนข้างกายที่พามาอาจจะล้วนเป็นคนสนิททั้งสิ้นหากคนสนิทเห
จิตรกรฝีมือดีเช่นนี้ เหตุใดจึงถูกเซียวจิ่งอี้เชิญไปได้ง่าย ๆยิ่งไปกว่านั้นจิตรกรฝีมือดีเหล่านั้นก็ยังไม่เคยเห็นพวกท่านจอมปราชญ์เหวินมาก่อน เหตุใดจึงสามารถวาดภาพเหมือนจากความว่างเปล่าให้เหมือนพวกเขาโดยสมบูรณ์ได้?นอกจากนี้ท่านจอมปราชญ์เหวินอยู่ที่จินโจวมานานแล้ว แต่ไม่เคยได้ยินว่าในจินโจวมีจิตรกรชื่อดังอันใดเลยตั้งแต่เขาหลบหนีจากหอจินอวี้มาจนถึงตอนนี้ ก็ยังผ่านไปไม่พ้นครึ่งวันเสียด้วยซ้ำภายในระยะเวลาอันสั้นถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงมีคนที่สามารถวาดภาพพวกเขาออกมาได้มากมายเช่นนี้?ในใจท่านจอมปราชญ์เหวินไม่อยากจะเชื่อแต่เห็นผู้ใต้บังคับบัญชาพูดจาหนักแน่น เขาก็ไม่กล้าคิดไปเองมากเกินไปไม่รู้เพราะเหตุใด เขามักรู้สึกว่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเซียวจิ่งอี้ จะมีความแปลกประหลาดมากเสมอบางทีอาจมีคนมากความสามารถอยู่ข้างกายเซียวจิ่งอี้จริง ๆ ซึ่งสามารถวาดภาพเหมือนออกมาได้เหมือนจริงโดยสมบูรณ์ โดยที่อาศัยเพียงคำอธิบายไม่กี่ประโยคยามนี้คนเหล่านี้ที่อยู่ข้างกายเขา ต่างเป็นคนที่เคยปรากฏตัวที่หอจินอวี้หากข้างกายเซียวจิ่งอี้มีจิตรกรฝีมือดีอยู่จริง ๆ เกรงว่าคนเหล่านี้ที่อยู่ข้างกายเขา คงล้วนถูกวาด
ท่านจอมปราชญ์เหวินได้แต่แสร้งทำเป็นผ่านทางมา และรีบพาคนจากไปยามที่ออกมาจากหอจินอวี้ ท่านจอมปราชญ์เหวินก็ถอดหน้ากากออกการสวมหน้ากากเดินบนท้องถนน จะยิ่งดึงดูดความสนใจหลังจากถอดหน้ากาก รูปลักษณ์ของเขาก็ไม่ได้โดดเด่นมากนัก ในฝูงชนจึงแทบไม่มีใครสังเกตเห็นเมื่อคิดว่าแผนการของตนล้มเหลว จนถูกเซียวจิ่งอี้ไล่ล่าราวกับสุนัขไร้บ้านตัวหนึ่ง อีกทั้งนายน้อยเผ่าเยว่เป็นหรือตายก็ไม่อาจรู้ได้ ในใจท่านจอมปราชญ์เหวินจึงหดหู่เป็นอย่างยิ่งเป็นความผิดของเซียวจิ่งอี้!ท่านจอมปราชญ์เหวินรู้สึกราวกับว่าเซียวจิ่งอี้เกิดมาเพื่อเป็นหายนะของเขาเขาวางแผนจัดการเซียวจิ่งอี้หลายครั้ง แต่ก็ถูกอีกฝ่ายหลบเลี่ยงได้ทุกครั้งเมื่อเขาคิดจะฉวยโอกาสสร้างความวุ่นวายให้แคว้นต้าฉี ก็จะถูกเซียวจิ่งอี้ทำลายแผนการเสมอยามนี้เมื่อนึกถึงเซียวจิ่งอี้ ท่านจอมปราชญ์เหวินก็โกรธจนกัดกรามในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ นี้ เขายังไม่มีกำลังที่จะโต้กลับได้รอก่อนเถอะรอให้เขากลับไปที่เมืองหลวง ก็จะสามารถอาศัยอำนาจขององค์ชายสาม จัดการเซียวจิ่งอี้ให้สิ้นซาก!ท่านจอมปราชญ์เหวินกัดฟัน ขณะที่สีหน้ามืดครึ้มผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดท่านจอมป
อวิ๋นฝูหลิงยังจำเรื่องที่เซียวจิ่งอี้ขอให้นางวาดภาพเหมือนได้หลังจากพบเซียวจิ่งอี้ ทั้งสองคนก็ไปยังคุกที่ขังผู้ดูแลกับพนักงานของหอจินอวี้ไว้เมื่อพูดถึงแขกผู้มีเกียรติบนชั้นสามของหอจินอวี้ ผู้ดูแลกับพนักงานของหอจินอวี้ก็ต่างจดจำได้เป็นอย่างดีชั้นสามของหอจินอวี้ ไม่ใช่ว่าใครต่างก็มีสิทธิ์ขึ้นไปได้นี่เป็นอุบายที่หอจินอวี้โยนออกมา เป็นวิธีดึงดูดลูกค้าเพื่อสร้างกำไรแบบหนึ่งผู้ที่สามารถขึ้นไปชั้นสามของหอจินอวี้ได้ หมายความว่าเป็นคนที่มีสถานะและทักษะการพนันสูงแต่กลุ่มของท่านจอมปราชญ์เหวิน กลับเป็นเวินเจาพาขึ้นไปด้วยตัวเองนับตั้งแต่เวินจือเหิงนอนป่วยติดเตียง อำนาจทั้งหมดของสกุลเวินก็ตกไปอยู่ในมือของเวินเจาเวินเจาพาคนไปพักอยู่ที่ชั้นสามของหอจินอวี้ ทั้งยังบอกให้ปรนนิบัติกลุ่มของท่านจอมปราชญ์เหวิน เหล่าคนของหอจินอวี้ย่อมไม่กล้าไม่เชื่อฟังไม่ว่าจะเป็นผู้ดูแลของหอจินอวี้ หรือพนักงาน ยามนี้เมื่อถูกขังอยู่ในคุก ทุกคนก็หวาดกลัวอยู่ตลอดเมื่อเห็นการสืบสวนก่อนหน้านี้ของเซียวจิ่งอี้ คนเหล่านี้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง และออกไปจากคุกโดยเร็ว ทุกคนต่างก็แย่งชิงกันเป็นคนแรกเพราะกล
“พี่สาม ทางด้านเมืองหลวงมีข่าวคราวบ้างหรือไม่?”“พวกท่านปู่โอวหยางคิดค้นเทียบยาใหม่ที่ใช้รักษาผู้ที่ป่วยเพราะขี้ผึ้งทองได้แล้วหรือไม่?”หลังจากค้นพบขี้ผึ้งทอง อวิ๋นฝูหลิงก็ดึงพวกรองเจ้าสำนักโอวหยางกับหมอหลวงจงมาร่วมศึกษาด้วยกัน ทั้งยังเขียนจดหมายส่งให้นายท่านผู้เฒ่าหาง รวมถึงส่งข้อมูลที่เกี่ยวกับชีพจรและการรักษาให้เขาด้วยแม้เมืองหลวงกับจินโจวจะเป็นสถานที่ที่ได้รับผลกระทบจากขี้ผึ้งทองมากที่สุด แต่ก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าที่อื่นจะไม่ได้รับผลกระทบถึงอย่างไรการค้าของแคว้นต้าฉีก็เจริญรุ่งเรืองมาก จากใต้ขึ้นเหนือมีพ่อค้ามากมาย บางทีอาจจะมีคนที่เดินทางระหว่างเมืองหลวงกับจินโจว ซื้อขี้ผึ้งทองติดไปด้วยสองสามกล่องก็เป็นได้อวิ๋นฝูหลิงคิดว่านางออกจากเมืองหลวงมาหลายวันถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าทางด้านเมืองหลวงจะมีความคืบหน้าใหม่อันใดบ้างตั้งแต่อวิ๋นฝูหลิงกลับมาถึงจินโจว ก็ยุ่งอยู่กับการรักษาผู้ป่วยมาโดยตลอด หางซานสุ่ยจึงไม่มีโอกาสได้พูดคุยเป็นการส่วนตัวกับนางตอนนี้เมื่อเห็นว่าอวิ๋นฝูหลิงเป็นฝ่ายถามขึ้นมา หางซานสุ่ยก็นับว่ามีโอกาสแล้วเขาหยิบจดหมายสองสามฉบับออกมาจากในโต๊ะ“จดหมายพวกนี้ถูกส่ง
แม้ว่าราชครูแคว้นเยว่จะหนีไปแล้ว แต่เขาอยู่ที่หอจินอวี้ตั้งหลายวัน จึงมักจะมีช่วงเวลาที่ผ่อนคลายจนเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงแม้เขาจะใช้หน้ากากปิดบังใบหน้าอยู่เสมอ จึงไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่คนรอบตัวเขาทุกคนจะสวมหน้ากากกระมัง?เริ่มต้นไล่ไปจากผู้ใต้บังคับบัญชา บางทีอาจจะค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ก็เป็นได้เซียวจิ่งอี้ตัดสินใจไต่สวนผู้ดูและกับพนักงานเหล่านั้นของหอจินอวี้ยังมีทักษะการวาดภาพเหมือนอันยอดเยี่ยมของอวิ๋นฝูหลิง จะต้องจับพวกปลาซิวปลาสร้อยพวกนั้นได้เป็นแน่แม้ว่ากลุ่มของราชครูแคว้นเยว่จะฉวยโอกาสวางเพลิงเพื่อหนีออกไปจากหอจินอวี้ แต่ประตูเมืองจินโจวก็ปิดอยู่ ยามนี้พวกเขาคงยังซ่อนตัวอยู่ในเมืองนอกจากนี้ มีบางสิ่งที่ต้องจัดการด้วยเช่นกันเซียวจิ่งอี้ยืนอยู่หน้าประตูสำนักผิงอัน หันกลับมามองอวิ๋นฝูหลิงที่กำลังยุ่งคราหนึ่งเพียงชั่วครู่เดียว เขาก็พลิกร่างขึ้นหลังม้า มุ่งตรงไปยังที่ว่าการเมืองจินโจวครึ่งชั่วยามต่อมา มีประกาศใบหนึ่งถูกนำมาติดไว้ที่ประตูที่ว่าการทั้งยังมีคนตีฆ้องจากที่ว่าการ อ่านเนื้อหาในประกาศไปทั่วเมืองประกาศนี้กล่าวถึงอันตรายของขี้ผึ้งทอง
“ข้าอยากจับคนร้ายที่กระทำความผิด ให้ได้แบบคาหนังคาเขา”“แต่ไม่คิดเลยว่าคนผู้นั้นจะโหดเหี้ยมถึงขั้นเสียสติ ตั้งใจวางเพลิงในหอจินอวี้ เพื่อหลบหนีการไล่ล่า”“เป็นเพราะข้าไม่รอบคอบ ทำให้ผู้บริสุทธิ์ทุกคนต้องตกอยู่ในอันตราย”“วันนี้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเพราะเหตุเพลิงไหม้ที่หอจินอวี้ ค่ารักษาและค่ายาข้าจะจ่ายให้เอง”“นอกจากนี้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย จะได้รับห้าตำลึง ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหนักจะได้รับสิบตำลึง”“ได้ยินว่ามีสองคนที่ถูกไฟไหม้จนบาดเจ็บสาหัส สองคนนี้จะได้รับยี่สิบตำลึง”“เงินเหล่านี้ถือเป็นน้ำใจเล็กน้อยจากข้า ที่อยากจะรักษาร่างกายเหล่าผู้บาดเจ็บ”“ข้าจะให้คนนำเงินมามอบให้ในภายหลัง!”ผู้บาดเจ็บทุกคนได้ยินเช่นนั้น ความไม่พอใจที่สุมอยู่ในอกก็หายไปกว่าครึ่งทันทีตอนนี้เมื่อย้อนคิดดูแล้ว เมื่อคืนยามที่หอจินอวี้ถูกปิดล้อม ผู้นำคนนั้นก็บอกว่าทำเพื่อสืบคดีบางอย่างจริง ๆคิดดูอีกครายามนั้นที่เกิดเพลิงไหม้ ทหารเหล่านั้นก็มิได้บังคับขังพวกเขาไว้ในหอจินอวี้ ทว่ากลับรีบเข้ามาในหอเพื่อดับไฟช่วยคนหากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ เกรงว่าพวกเขาคงไม่ใช่แค่ได้รับบาดเจ็บ แต่กว่าครึ่งคงตายตกไปในเหตุเพ