ตอนที่ 15 ลับลมคมใน [1]
“ข้าจะรอเจ้า..” แม้จะตอบบุรุษผู้นี้ออกไปด้วยเสียงเข้มแข็งและหนักแน่น แต่ใจส่วนที่ลึกที่สุดของนางแล้วนั้น กลับไม่รู้เลยว่าคำว่าจะกลับไปของจ๋ายเฉินฉีนั้นคือเมื่อใด ไป๋ซูเซียวมองตามหลังของเฉินฉีด้วยสายตาที่ไม่อาจจะคาดเดาความหมายได้ จนร่างของเจ้าจิ้งจอกขาวนั้นหายไปจนพ้นสายตา
เซิงเซียนหยุน
“เป็นอย่างไรบ้าง.. เจ้าเจอเสี่ยวจ๋ายหรือไม่” เสียงหวานละมุนของเหมยซินซู
เซียนบุปผาหนึ่งเดียวแห่งยอดเขาเซิงเซียนหยุน เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ทั้งกังวลและตื่นเต้น เมื่อเห็นว่าสหายซูเซียวนั้นเดินทางกลับมาถึงป่าท้อเมื่อครู่ เมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อน ซินซูได้ไหว้วานให้จิ้งจอกขาวเก้าหางหางแดงอย่างเธอนั้น ไปตามหาจิ้งจอกขาวเก้าหางหางฟ้าที่ถูกพายุประหลาดพัดหล่นหายไปเมื่อหลายวันก่อน เธอค่อนข้างมั่นใจ ว่าหากตกลงไปจากป่าท้อนั้นย่อมลงไปโลกมนุษย์เป็นแน่ แต่เมื่อมานั่งตระหนักว่าแล้วเหตุใดเสี่ยวจ๋ายถึงยังไม่กลับมานางก็อดเป็นห่วงไม่ได้
“เจอแล้ว.. เจ้าเลิกเป็นห่วงได้แล้ว” ซูเซียวเอ่ยตอบสหายซินซูด้วยท่าทางไร้อารมณ์อย่างเห็นได้ชัดว่านางนั้นอารมณ์ไม่ค่อยจะดีนัก ซินซูจึงทำเพียงมองสหายผู้นี้อย่างเงียบเชียบ มองดูนางที่เดินตรงไปนั่งใต้ต้นท้อสวรรค์ที่ออกดอกออกผลสะพรั่งต้นประจำของนาง และเพียงแค่พริบตาเดียว ไหสุราดอกท้อมากมายที่เหมยซินซูนั้นหมักฝังไว้ใต้ต้นก็ถูกนำขึ้นมาวางตรงหน้านางอย่างรวดเร็ว
“เจอแล้ว.. แล้วเหตุใดเจ้ายังดูกลัดกลุ้มใจเช่นนี้” เหมยซินซูเดินเข้ามาใกล้ ปรายตามองสหายตัวน้อยที่ดูอารมณ์เสียไม่เลิกรา สลับกับไหสุราแสนรักที่หมักไว้หลายร้อยปี ที่ถูกซูเซียวนั้นกระดกเข้าปากอย่างต้องการระบายอารมณ์
“ไม่มีอะไร ข้าแค่..” เจ้าจิ้งจอกน้อยชะงักเสียงและไม่ได้เอ่ยอะไรต่อจากนั้น มือเล็กของนางยกไหสุรากระดกเข้าปากไหแล้วไหเล่าด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่น ก่อนจะปรายตามามองหน้าเหมยซินซูที่ยังนั่งจ้องใบหน้าของเธอไม่ละสายตา
“เจ้า.. จะดื่มด้วยกันหรือไม่" ไป๋ซูเซียวยื่นไหสุราไปด้านหน้าอย่างลืมตัว นั่นยิ่งทำให้เซียนน้อยอย่างเหมยซินซูนั้นรีบปฏิเสธนางอย่างทันควันอย่างไม่ต้องคิด
เหมยซินซูเซียนบุปผาอายุไม่กี่หมื่นปีอย่างเธอนั้น ทำเพียงแค่หมักสุราจากดอกท้อไปวัน ๆ เพราะเธอคือเซียนบุปผาองค์สุดท้ายของยอดเขาเซิงเซียนหยุน มีหน้าที่ปกปักรักษาป่าท้อแห่งนี้ตามบัญชาสวรรค์อย่างมหาเทพเทียนวั่ง ถนัดเรื่องการบ่มสุราแม้ว่าเธอนั้นจะไม่เคยลองแตะมันเลยสักครั้ง นั่นเรียกได้ว่าฝีมือช่างร้ายกาจและมีชื่อเสียงในแดนสวรรค์เป็นอย่างมาก และเรื่องที่เธอนั้นจะไม่ดื่มสุรานั่นเป็นเรื่องที่ไป๋ซูเซียวเองก็รู้ดี
“ข้าจะลงไปถงอวิ๋นเมิ่งสักหลายวัน เจ้า..อยู่เล่นคนเดียวได้หรือไม่” เหมยซินซูเอ่ยปากถามสหายด้วยความรู้สึกพะว้าพะวัง เพราะสหายผู้นี้ของเธอนั้นช่างอารมณ์ไม่แน่ไม่นอน ฉุนเฉียวแล้วยิ่งตอนนี้อารมณ์ของนางยิ่งไม่ดีเช่นนี้ด้วยแล้ว
“เจ้าไปเถอะ.. ข้าโดดเดี่ยวจนชินแล้ว” จิ้งจอกขาวหันมายิ้มเศร้าให้เธอก่อนจะกระดกเหล้าอีกไหเข้าปากอย่างรวดเร็ว แล้วสลายหายวับกลับเข้าไปยังถ้ำของตน
“เจ้าสองตัวนี้นี่ทะเลาะกันอีกแล้วเป็นแน่” เหมยซินซูส่ายหน้าให้กับสหายตัวน้อยทั้งสอง กวาดสายตามองกองสุราที่ตัวเองบ่มมานานหลายปี ก่อนจะร่ายมนตร์เพื่อเก็บกวาดพื้นที่ตรงนี้จนสะอาดราวกับว่าไม่เคยมีสิ่งใดว่างไว้มาก่อน
“ทะเลาะกันทีไร.. ไหสุราของข้าย่อมได้ออกโรงทุกครา.. แล้วก็คงเป็นข้าที่ต้องตามเก็บทุกที”
จวนแม่ทัพใหญ่
ฟิ้ว! ฉึก!
เพราะความแปลกที่แปลกถิ่น ทำให้หลี่เฟยหลงนั้นมิเคยนอนหลับไปสนิทเสียเท่าใดนัก ดวงตากลมโตลืมขึ้นมองผ่านความมืดหันไปตามเสียงที่ได้ยิน แม้นจะเบาหวิวราวสายลม แต่เธอได้ยินชัดเจนว่านั่นเป็นเสียงสิ่งของที่ทะลุหน้าต่างเข้ามาเป็นแน่ เธอเบือนหน้าไปตามเสียงนั้นทั้งยังหรี่สายตามองในความมืดอย่างต้องการหาเจ้าของเสียงนั้น
เฟยหลงหรี่ตามองไปยังโต๊ะเล็กข้างหัวเตียงผ่านแสงสีเหลืองนวลจากดวงจันทร์ เห็นลูกธนูดอกหนึ่งปักอยู่บนนั้นอย่างลึกลับ เธอจ้องมองลูกดอกนั้นอย่างพิจารณาให้ถี่ถ้วน จนมั่นใจว่าเธอนั้นเห็นส่วนปลายของลูกดอกมีกระดาษม้วนมัดติดไว้ราวกับมันคือลูกดอกส่งสาส์นลับอย่างไรอย่างนั้น
หลี่เฟยหลงดันตัวเองให้ลุกขึ้นมานั่งตรง สายตาคมกริบมองซ้ายมองขวาผ่านความมืด มองย้อนไปตามทิศทางที่มาของลูกดอกนี้อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เธอนั้นจะตัดสินใจเอื้อมมือไปดึงลูกดอกนี้มาไว้ในมือ เรียวนิ้วเล็กดึงกระดาษที่น่าสงสัยนั้นขึ้นมาอ่านอย่างนึกสงสัย
เธอนั้นยังพอมีโชคอยู่บ้าง ที่กระดาษแผ่นนี้เป็นการเขียนอักษรจากพู่กันที่มีสอนในยุคสมัยปัจจุบัน นั่นจึงทำให้เธออ่านข้อความในกระดาษแผ่นเล็กนั้นได้โดยง่าย ‘งานที่ข้าสั่งเจ้าไปเรียบร้อยดีแล้วใช่หรือไม่.. เพ่ยเพ่ย’
เฟยหลงลองพิจารณาดูจากลายมือที่เขียนแล้วนั้น ค่อนข้างสวยงามเป็นระเบียบ ประดุจว่าผ่านการคัดและฝึกฝนมาเป็นเวลานาน หากมองจากมุมมองของเธอแล้ว ผู้ที่เขียนกระดาษแผ่นนี้ต้องเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงหรือตำแหน่งอยู่ไม่น้อย
และการที่คนผู้นั้นไม่ระบุที่มาของตน นั่นยิ่งทำให้เธอนั้นสงสัยเพิ่มเข้าไปอีกไม่น้อย เหตุใดถึงมีคนส่งกระดาษที่กำกวมแผ่นหนึ่งมาให้เธอในยามนี้ หรือจะเป็นเพียงการส่งที่ผิดพลาด แต่ถ้าหากเป็นเช่นนั้นแล้วคนผู้นี้ต้องการส่งหาผู้ใดในเรือนหลังนี้กันแน่ และงานที่ให้ไปทำนี่คือเรื่องอันใด
“นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน” เฟยหลงนั่งนิ่งอย่างครุ่นคิด แต่ไม่ว่าเธอนั้นจะคิดอย่างไรก็คิดไม่ตกเลยสักนิด เธอเลือกที่จะเก็บกระดาษแผ่นนั้นยัดไว้ในห่อผ้าของตน ก่อนจะนำลูกดอกไปปักไว้ตามเดิม
แม้นว่าเธอนั้นจะไม่ได้รู้สึกตกใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่มากมายนัก แต่ในใจเธอกลับรับรู้ได้ว่า ที่จวนสกุลเจิงแห่งนี้ไม่ค่อยปลอดภัยเสียเท่าใด
ที่นี่เป็นถึงจวนของแม่ทัพใหญ่ แต่เหตุใดยังมีการลอบเข้ามาก่อเรื่องเช่นนี้ได้โดยง่ายเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่คิดได้ในตอนนี้คงเป็นเพียง หากไม่ใช่ว่าการคุ้มกันของที่นี่อ่อนแอ ก็ต้องเป็นผู้ที่นำจดหมายนี้มานั้นรู้ทุกการเคลื่อนไหวของที่นี่อย่างแน่นอน
เมื่อเรื่องราวทั้งหมดนี้ทำให้เธอนั้นคิดไม่ตก จึงทำได้เพียงแค่ต้องข่มตาให้หลับลงเพียงเท่านั้น หลี่เฟยหลงใช้ความพยายามเป็นอย่างมากราวกับว่าเธอนั้นกำลังแบกโลกทั้งใบ ไม่ว่าจะลองเอนกายนอนราบบนเตียงแต่สายตาก็ยังคงจ้องมองเพดานผ่านความมืดด้วยหัวใจที่ไม่สงบ ถึงแม้นว่าจะไม่ได้รู้สึกถึงอันตรายแต่สิ่งที่น่าประหลาดใจกลับมีมากมายเต็มไปหมด เวลาผ่านไปนานกว่าสองชั่วยามเห็นจะได้ ที่เธอนั้นยังคงนอนลืมตากวาดมองไปรอบห้องอยู่เช่นนั้น
“เฮ้อ!”
ตอนที่ 16 ลับลมคมใน [2]และเพราะความไม่สบายใจที่สุมอยู่ในอกนั้น ทำให้หลี่เฟยหลงต้องดันตัวเองลุกให้ขึ้นมาอีกครั้ง ใบหน้าหวานเบือนไปจ้องยังประตูหน้าห้องพักอย่างชั่งใจ เธอใช้เวลานั่งจ้องประตูนั้นอยู่เกือบหนึ่งเค่อ สลับกับปรายตามามองยังโต๊ะข้างเตียงอย่างคิดหนักเอาการดวงตาสีน้ำตาลเข้มจ้องมองลูกดอกที่ยังคงปักอยู่ข้างโต๊ะไม้ ก่อนจะเอื้อมมือไปแตะมันอย่างเบามือพร้อมทั้งดึงมันออกมาห่อด้วยผ้าผืนบาง เมื่อรู้สึกว่าหากอยู่เช่นนี้อย่างไรจิตใจก็ไร้ทางที่จะสงบ เฟยหลงจึงตัดสินใจก้าวสองเท้าของเธอย่องอย่างเชื่องช้าราวกับว่าเธอนั้นเป็นโจรย่องเบามายังประตูหน้าห้องพัก เธอเอียงหน้าใช้หูแนบบานไม้เพื่อฟังเสียงของด้านนอก เมื่อเธอไม่ได้ยินเสียงอื่นใดนอกจากความสงัด มือเรียวยกขึ้นมาก่อนจะใช้มันดันประตูไม้บานนั้นให้เปิดออกอย่างเบามือที่สุดใบหน้าหวานยื่นออกมาด้านนอกห้องเพียงเล็กน้อย เธอหรี่สายตากวาดมองซ้ายมองขวาก่อนจะยกยิ้มมุมปากอย่างชอบใจ ในเมื่อด้านนอกห้องพักนั้นไม่มีใครในบริเวณนี้ หลี่เฟยหลงจึงรีบก้าวเท้าออกจากห้องพักอย่างเร็วที่สุด ทำทุกอย่างด้วยความเงียบเชียบพร้อมทั้งปิดประตูห้องลงอย่างเบามือเธอยกสองมือขึ้นม
ตอนที่ 17 โรงน้ำชาหม่าเถา [1]โรงน้ำชาหม่าเถา“เจ้าดื่มสุราได้หรือไม่” เจียอวี่เอ่ยถามหลังจากที่เขานั้นพาเธอเดินมาหยุดหน้าโรงน้ำชามีชื่อ“หม่าเถา..” หลี่เฟยหลงแหงนใบหน้าขึ้น อ่านป้ายชื่อของโรงน้ำชาหลังนี้ ก่อนจะพยักหน้าให้เจียอวี่สองเท้าก้าวเดินตามสหายเข้าไปด้านใน ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างของที่นี่ไม่ต่างจากในซีรีส์ที่เธอดูเลยสักนิด หลี่เฟยหลงกวาดสายตามองโดยรอบอย่างตื่นตา เมื่อกำลังนึกสนุกคิดว่าตนเองนั้นกำลังอยู่ในซีรีส์เรื่องหนึ่งที่เธอมีโอกาสได้เป็นนักแสดง ทั้งสองเดินผ่านโถงกลางร้านที่มีผู้เฒ่าหนวดขาวท่าทางจะใจดี กำลังนั่งเล่านิทานอย่างออกรสออกชาติ เพราะความอยากรู้อยากเห็น ทำให้สายตาของเธอนั้นจดจ้องผู้เฒ่านั้นอย่างนึกสนใจในเรื่องราวที่เขาเล่าขาน“เจ้าอยากฟังงั้นหรือ.. เช่นนั้นเราไปนั่งด้านบนดีหรือไม่” เจียอวี่หันมาเอ่ยถามเธอด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เมื่อเห็นว่าเฟยหลงนั้นหยุดเดิน พร้อมทั้งยังยืนมองไปที่นักเล่านิทานอย่างไม่ละสายตา“อืม..” แม้ว่าเธอนั้นจะยังไม่ละสายตาจากชายชราผู้นั้น แต่สองเท้าของเธอกลับยังคงก้าวเดินตามเจียอวี่ไม่ห่างปึก!“โอ๊ย!”แต่อาจเป็นเพราะว่าเธอนั้นจะขาสั้นไปนิดทำให
ตอนที่ 18 โรงน้ำชาหม่าเถา [2] ใบหน้าที่หงิกงอของเจ้าจิ้งจอกเก้าหาง แสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจเป็นอย่างมาก และคาดว่าเสียงของเสี่ยวจ๋ายนั้นน่าจะดังเกินพอดี เพราะเพียงแค่คำพูดของเขาเอ่ยขึ้นมานั้น สายตาของผู้ร่ำสุราทั้งหลายในโรงน้ำชาแห่งนี้ได้ปรายตาขึ้นมาจ้องมองพวกเราทั้งสามเป็นตาเดียวเพราะความคุกรุ่นในสายตาของสหายทั้งหลายที่จ้องมองมานั้น เพียงพอให้ตัวของเสี่ยวจ๋ายเริ่มที่จะสังเกตได้ เพราะทันทีที่ทุกสายตาจ้องมาที่พวกเราเจ้าจิ้งจอกตัวนี้ได้เงยหน้าขึ้นจากโต๊ะช้า ๆ พร้อมทั้งปรายตามองไปรอบโรงน้ำชานี้กระอักกระอ่วน“เฮ้ย!” แต่สิ่งที่สร้างความสงสัยให้กับพวกเขาทั้งสอง ก็คงจะเป็นเจ้าจิ้งจอกสีขาวตัวนี้เพราะเหตุใดเขาถึงได้สะดุ้งตกใจจนทั้งสองเริ่มเห็นหางของเขาด้านหลังราง ๆ“เสี่ยวจ๋าย! เก็บหางของเจ้าเดี๋ยวนี้นะ!” หลี่เฟยหลงที่ตกใจเกรงว่าเรื่องที่เจ้าจิ้งจอกน้อยนี้ไม่ใช่มนุษย์จะแตกออกไป เธฮรีบโยนจอกสุราลงโต๊ะอย่างไม่นึกเสียดายใช้มือทั้งสองไปจับหางทั้งเก้าของเขากดไว้แน่นและตัวของเสี่ยวจ๋ายนั้นคงจะตกใจอยู่ไม่น้อยเช่นกัน เขาหันตามเสียงของเฟยหลงไปมองหางสีขาวนุ่มฟูพร้อมทั้งสะบัดมันเก็บเข้าที่อย่างรวดเร็ว
ตอนที่ 1 ความฝัน (1)ในค่ำคืนที่มีพายุฝนกระหน่ำโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย หลี่เฟยหลง นักเขียนนิยายมีชื่อเจ้าของนามปากกา โหวเมี่ยนเถียว เธอตกอยู่ในห้วงฝันอยู่หลายฉาก ถึงบทในนิยายเรื่องใหม่ล่าสุดที่ตัวเองนั้นกำลังแต่งมาจนใกล้จะถึงครึ่งเรื่องแล้วราวกับว่าตัวของเธอนั้นกำลังเข้าไปเป็นผู้กำกับบทนิยายนั้น เฟยหลงฝันถึงฉากที่หลี่เฟยหลงยังเขียนบรรยายไว้ได้ไม่จบดี ก่อนจะเห็นภาพที่มีหญิงสาวนักปรุงยาผู้หนึ่ง ที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับตัวของเธอยิ่งนัก“เอ๊ะ? นั่นใคร.. ทำไมหน้าตาเธอเหมือนกับเราแบบนี้ละ”หญิงสาวผู้นั้นเดินทางเข้าเฝ้าฮ่องเต้เพื่อนำยาที่นางปรุงเสร็จขึ้นถวายแก่พระองค์ที่พำนักอยู่ในห้องทรงงาน เฟยหลงยังคงจดจ้องตั้งใจมองภาพที่เห็นทั้งหมดที่ลอยอยู่ในหัวของเธอราวกับว่าตัวเธอนั้นกำลังดูภาพยนตร์3มิติ'พระองค์ทรงดื่มยาเถิดเพคะ''แม่นางเจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร''พระสนมทรงมีคำสั่งให้หม่อมฉันนำโอสถมาถวายฮ่องเต้เพคะ''อืม.. ขอบใจเจ้ามาก เจ้าวางไว้ตรงนั้นก่อน''พระสนมทรงรับสั่งหม่อมฉันไว้ว่าต้องให้พระองค์ทรงดื่มให้หม่อมฉันเห็นเพคะ พระสนมทรงเป็นห่วงพระองค์มากเพื่อให้อาการป่วยของพระองค์จะได้ดีขึ้นเพคะ’เ
ตอนที่ 2 ความฝัน (2)เฟยหลงพึมพำพรางครุ่นคิด เกรงว่าความฝันนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องในนิยายของเธอที่แต่งขึ้น เพราะเธอมั่นใจว่าการจัดวางตัวละครนั้นเธอจัดให้ฮองเฮาและสนมรัก ช่วยเหลือกันและเป็นวังหลังที่ดี แต่ทำไมในความฝันนี้กลับแปลกประหลาดไปหมดราวกับว่าตัวละครในนี้กำลังมีชีวิตเป็นของตัวเองเฟยหลงยังคงฝันต่อเนื่องทั้งอย่างนั้น โดยที่ตัวของเธอเองก็ไม่รู้เลยว่าเธออยู่ส่วนไหนของความฝันกันแน่ ไร้ซึ่งตัวตน ไร้ซึ่งรูปร่าง แต่กลับมองเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้น“หรือเพราะเราเครียดและกดดันกับนิยายเรื่องนี้กันนะ จิตใต้สำนึกถึงพาให้ฝันประหลาดแบบนี้”ยังไม่ทันที่เธอจะได้ใช้ความคิดไปมากกว่านั้น ภาพในห้วงฝันได้ตัดกลับมายังกระท่อมหลังน้อย หญิงผู้นี้ยังคงง่วนอยู่กับตำรายา และเหมือนสวรรค์จะรู้ว่าเมื่อจิตใจของเฟยหลงใคร่รู้ว่าแม่นางผู้นี้กำลังทำอะไรอยู่กันแน่ก็เป็นดั่งใจนึกทุกประการ ทุกอย่างเกิดขึ้นราวกับว่าเธอนั้นเป็นกล้องที่กำลังถ่ายวิดีโอและซูมเข้าซูมออกได้ตามใจ ราวกับเธอสามารถควบคุมความฝันนี้ได้อย่างอิสระอย่างไรอย่างนั้น“ฝันคืนนี้จะว่าไปก็สนุกดีแหะ”แม่นางผู้นั้นยังคงนั่งปรุงยาหลากหลายชนิด บางหม้อแม่นางปรุงแล
ตอนที่ 3 เกิดอะไรขึ้น (1)เสียงสายฟ้าที่ฟาดลงมาจนดังสนั่นหวั่นไหว แสงสว่างวาบจนแสบตา ราวกับว่าดวงตานั้นกำลังถูกไอร้อนจากหม้อหม่าล่าสายพานที่ชอบกินพวยพุ่งใส่จนเกือบจะมืดบอด เป็นเหตุให้เฟยหลงสะดุ้งตื่นจากความฝันนั้น ฝันที่เธอกำลังงุนงงและปะติดปะต่อเรื่องราวที่เห็น ก่อนจะขยับเปลือกตาขึ้นมากะพริบถี่รอบดวงตาสวยยังสัมผัสได้ถึงความแสบร้อน ราวกับว่ามันพึ่งผ่านการร้องไห้หนักมาหมาด ๆ เฟยหลงพยายามใช้สายตาของตนโฟกัสไปรอบกาย ทั้งที่รอบกายของเธอในตอนนี้นั้นมีเพียงความมืดมิด ก่อนจะนึกบางอย่างออกรู้สึกว่าช่วงก่อนหน้านี้เธอจะฝันถึงเรื่องราวอะไรสักอย่าง แต่เมื่อเค้นสมองมากเท่าไหร่กลับนึกออกเพียงไม่กี่อย่าง“หญิงสาว..กระท่อม.. ฮองเฮา.. ฮ่องเต้.. สนม.. แล้วอะไรอีกนะ”เฟยหลงนอนจ้องมองความมืดสนิทอย่างนึกประหลาด ห้องนอนของเธอมืดสนิทเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ไม่มีแม้แต่แสงสว่างจากโคมไฟที่หัวเตียงที่เปิดเป็นประจำ ไม่มีแสงไฟจากโน๊ตบุ๊คเครื่องโปรดที่มักจะอยู่บนเตียงไม่เคยห่างเธอดันตัวเองให้ลุกขึ้นอย่างยากลำบากมือไม้ปัดป่ายไปรอบตัว แต่สัมผัสแรกที่เธอได้รับมันกลับเป็นความแข็งของเตียงไม้ที่ไม่คุ้นเคย ซึ่งแน่นอ
ตอนที่ 4 เกิดอะไรขึ้น (2)เฟยหลงใช้มือลูบแก้มของตัวเองป้อย ๆหากที่นี่คือสถานที่ในความฝันก่อนหน้านี้จริง ย่อมต้องมีหญิงผู้นั้นอยู่ที่นี่เป็นแน่ เมื่อคิดได้ดังนั้นสองเท้าจึงขยับก้าวเดินอย่างระวัง สองตาเริ่มมองซ้ายเหล่ขวาหาหญิงผู้นั้น แต่ไม่ว่าเธอจะมองหาตรงไหน เดินจนรอบกระท่อมเพียงไร กลับไม่พบบุคคลหรือสิ่งมีชีวิตอื่นที่อยู่ในบริเวณนี้เลยสักนิดสองเท้าขยับเดินไปรอบตัวกระท่อมอีกครั้งอย่างพิจารณา บรรยากาศที่รับรู้ได้ มีทั้งเย็นและชื้นชวนขนลุกพิกล เธอมองรอบผ่านความสว่างที่มีเพียงโคมไฟเก่าที่จะดับแหล่มิดับแหล่หลี่เฟยหลงใช้มือสั่นเทา นั้นยื่นไปดันประตูอีกบานให้เปิดออก สายตาคู่คมของเธอปะทะเข้ากับความมืดที่เรียกได้ว่ามืดสนิท ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าท้องฟ้าในคืนนี้มืดมิดน่ากลัวเพียงใด ด้านนอกนั้นโปรยปรายและปกคลุมไปด้วยฝนเม็ดโตที่กระหน่ำตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย“ฝนตกหนักขนาดนี้เลย.. แล้วนี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย”ยังไม่ทันที่มือของเธอจะดึงประตูบานนั้นมาปิด ท้องฟ้าที่ไม่ได้มีทีท่าว่าจะผ่าหรือส่งเสียงคำราม บัดนี้กลับสว่างวาบก่อนจะดังเปรี้ยงปร้างในชนิดที่ว่ารับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนของอากาศโดยรอบเปรี๊ยง!!
ตอนที่ 5 หมอยาจำเป็น (1)ถึงแม้ว่าเฟยหลงจะงุนงงกับการกระทำของตัวเอง แต่เธอนั้นก็สามารถจัดการเปลื้องผ้าของชายผู้นี้จนอยู่ในสภาพที่เปลือยเปล่าไปเสียแล้วดวงตาทั้งสองหลับปี๋ คลุมท่อนล่างของเขาเอาไว้ด้วยผ้าคลุมผืนใหญ่ เช็ดล้างคราบน้ำฝน คราบเลือดของชายผู้นี้จนสะอาด หาชุดที่คาดว่าใหญ่พอมาสวมให้ก่อนที่ภาพด้านหน้าที่เห็นนั้นจะติดตาไปมากกว่านี้สิ่งที่เฟยหลงเห็นในแวบแรกนั้นคือ บนร่างกายของชายผู้นี้ไร้รอยขีดข่วน เดาได้ว่าน่าจะไม่ใช่แม่ทัพ ทหาร หรือโจรป่าใจโฉด พิจารณาจากผิวพรรณดูคล้ายจะผ่านการบำรุงดูแลมาเป็นอย่างดี นั่นคือชายผู้นี้อาจจะเป็นเพียงจอมเสเพล ที่ดื่มเหล้าเคล้านารีกะมั้ง จะมีก็เพียงรอยแผลใหม่ที่เพิ่งใช้ผ้าทำความสะอาดไปเมื่อสักครู่สองสามรอยเท่านั้นหลังจากเช็ดตัวเขาเรียบร้อย พร้อมทั้งจัดการสวมชุดที่หามาได้เท่าที่มีในกระท่อมหลังนี้ให้เขาแล้ว เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเธอยังไม่ได้ทำแผล เฟยหลงหลับตาลงหายใจเข้าออกเป็นจังหวะ เริ่มตั้งสติของตัวเองให้นิ่งขึ้น ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดผ้าเพื่อดูบาดแผลนั้นอีกครั้งอย่างใจไม่สู้ดีนัก“ยุบหนอพองหนอ”“แผลลึกขนาดนี้ ไปทำอะไรที่ไหนมาเนี่ย”หมับ!“เอ๊ะ”“เจ้าเป็นใ
ตอนที่ 18 โรงน้ำชาหม่าเถา [2] ใบหน้าที่หงิกงอของเจ้าจิ้งจอกเก้าหาง แสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจเป็นอย่างมาก และคาดว่าเสียงของเสี่ยวจ๋ายนั้นน่าจะดังเกินพอดี เพราะเพียงแค่คำพูดของเขาเอ่ยขึ้นมานั้น สายตาของผู้ร่ำสุราทั้งหลายในโรงน้ำชาแห่งนี้ได้ปรายตาขึ้นมาจ้องมองพวกเราทั้งสามเป็นตาเดียวเพราะความคุกรุ่นในสายตาของสหายทั้งหลายที่จ้องมองมานั้น เพียงพอให้ตัวของเสี่ยวจ๋ายเริ่มที่จะสังเกตได้ เพราะทันทีที่ทุกสายตาจ้องมาที่พวกเราเจ้าจิ้งจอกตัวนี้ได้เงยหน้าขึ้นจากโต๊ะช้า ๆ พร้อมทั้งปรายตามองไปรอบโรงน้ำชานี้กระอักกระอ่วน“เฮ้ย!” แต่สิ่งที่สร้างความสงสัยให้กับพวกเขาทั้งสอง ก็คงจะเป็นเจ้าจิ้งจอกสีขาวตัวนี้เพราะเหตุใดเขาถึงได้สะดุ้งตกใจจนทั้งสองเริ่มเห็นหางของเขาด้านหลังราง ๆ“เสี่ยวจ๋าย! เก็บหางของเจ้าเดี๋ยวนี้นะ!” หลี่เฟยหลงที่ตกใจเกรงว่าเรื่องที่เจ้าจิ้งจอกน้อยนี้ไม่ใช่มนุษย์จะแตกออกไป เธฮรีบโยนจอกสุราลงโต๊ะอย่างไม่นึกเสียดายใช้มือทั้งสองไปจับหางทั้งเก้าของเขากดไว้แน่นและตัวของเสี่ยวจ๋ายนั้นคงจะตกใจอยู่ไม่น้อยเช่นกัน เขาหันตามเสียงของเฟยหลงไปมองหางสีขาวนุ่มฟูพร้อมทั้งสะบัดมันเก็บเข้าที่อย่างรวดเร็ว
ตอนที่ 17 โรงน้ำชาหม่าเถา [1]โรงน้ำชาหม่าเถา“เจ้าดื่มสุราได้หรือไม่” เจียอวี่เอ่ยถามหลังจากที่เขานั้นพาเธอเดินมาหยุดหน้าโรงน้ำชามีชื่อ“หม่าเถา..” หลี่เฟยหลงแหงนใบหน้าขึ้น อ่านป้ายชื่อของโรงน้ำชาหลังนี้ ก่อนจะพยักหน้าให้เจียอวี่สองเท้าก้าวเดินตามสหายเข้าไปด้านใน ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างของที่นี่ไม่ต่างจากในซีรีส์ที่เธอดูเลยสักนิด หลี่เฟยหลงกวาดสายตามองโดยรอบอย่างตื่นตา เมื่อกำลังนึกสนุกคิดว่าตนเองนั้นกำลังอยู่ในซีรีส์เรื่องหนึ่งที่เธอมีโอกาสได้เป็นนักแสดง ทั้งสองเดินผ่านโถงกลางร้านที่มีผู้เฒ่าหนวดขาวท่าทางจะใจดี กำลังนั่งเล่านิทานอย่างออกรสออกชาติ เพราะความอยากรู้อยากเห็น ทำให้สายตาของเธอนั้นจดจ้องผู้เฒ่านั้นอย่างนึกสนใจในเรื่องราวที่เขาเล่าขาน“เจ้าอยากฟังงั้นหรือ.. เช่นนั้นเราไปนั่งด้านบนดีหรือไม่” เจียอวี่หันมาเอ่ยถามเธอด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เมื่อเห็นว่าเฟยหลงนั้นหยุดเดิน พร้อมทั้งยังยืนมองไปที่นักเล่านิทานอย่างไม่ละสายตา“อืม..” แม้ว่าเธอนั้นจะยังไม่ละสายตาจากชายชราผู้นั้น แต่สองเท้าของเธอกลับยังคงก้าวเดินตามเจียอวี่ไม่ห่างปึก!“โอ๊ย!”แต่อาจเป็นเพราะว่าเธอนั้นจะขาสั้นไปนิดทำให
ตอนที่ 16 ลับลมคมใน [2]และเพราะความไม่สบายใจที่สุมอยู่ในอกนั้น ทำให้หลี่เฟยหลงต้องดันตัวเองลุกให้ขึ้นมาอีกครั้ง ใบหน้าหวานเบือนไปจ้องยังประตูหน้าห้องพักอย่างชั่งใจ เธอใช้เวลานั่งจ้องประตูนั้นอยู่เกือบหนึ่งเค่อ สลับกับปรายตามามองยังโต๊ะข้างเตียงอย่างคิดหนักเอาการดวงตาสีน้ำตาลเข้มจ้องมองลูกดอกที่ยังคงปักอยู่ข้างโต๊ะไม้ ก่อนจะเอื้อมมือไปแตะมันอย่างเบามือพร้อมทั้งดึงมันออกมาห่อด้วยผ้าผืนบาง เมื่อรู้สึกว่าหากอยู่เช่นนี้อย่างไรจิตใจก็ไร้ทางที่จะสงบ เฟยหลงจึงตัดสินใจก้าวสองเท้าของเธอย่องอย่างเชื่องช้าราวกับว่าเธอนั้นเป็นโจรย่องเบามายังประตูหน้าห้องพัก เธอเอียงหน้าใช้หูแนบบานไม้เพื่อฟังเสียงของด้านนอก เมื่อเธอไม่ได้ยินเสียงอื่นใดนอกจากความสงัด มือเรียวยกขึ้นมาก่อนจะใช้มันดันประตูไม้บานนั้นให้เปิดออกอย่างเบามือที่สุดใบหน้าหวานยื่นออกมาด้านนอกห้องเพียงเล็กน้อย เธอหรี่สายตากวาดมองซ้ายมองขวาก่อนจะยกยิ้มมุมปากอย่างชอบใจ ในเมื่อด้านนอกห้องพักนั้นไม่มีใครในบริเวณนี้ หลี่เฟยหลงจึงรีบก้าวเท้าออกจากห้องพักอย่างเร็วที่สุด ทำทุกอย่างด้วยความเงียบเชียบพร้อมทั้งปิดประตูห้องลงอย่างเบามือเธอยกสองมือขึ้นม
ตอนที่ 15 ลับลมคมใน [1]“ข้าจะรอเจ้า..” แม้จะตอบบุรุษผู้นี้ออกไปด้วยเสียงเข้มแข็งและหนักแน่น แต่ใจส่วนที่ลึกที่สุดของนางแล้วนั้น กลับไม่รู้เลยว่าคำว่าจะกลับไปของจ๋ายเฉินฉีนั้นคือเมื่อใด ไป๋ซูเซียวมองตามหลังของเฉินฉีด้วยสายตาที่ไม่อาจจะคาดเดาความหมายได้ จนร่างของเจ้าจิ้งจอกขาวนั้นหายไปจนพ้นสายตาเซิงเซียนหยุน“เป็นอย่างไรบ้าง.. เจ้าเจอเสี่ยวจ๋ายหรือไม่” เสียงหวานละมุนของเหมยซินซูเซียนบุปผาหนึ่งเดียวแห่งยอดเขาเซิงเซียนหยุน เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ทั้งกังวลและตื่นเต้น เมื่อเห็นว่าสหายซูเซียวนั้นเดินทางกลับมาถึงป่าท้อเมื่อครู่ เมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อน ซินซูได้ไหว้วานให้จิ้งจอกขาวเก้าหางหางแดงอย่างเธอนั้น ไปตามหาจิ้งจอกขาวเก้าหางหางฟ้าที่ถูกพายุประหลาดพัดหล่นหายไปเมื่อหลายวันก่อน เธอค่อนข้างมั่นใจ ว่าหากตกลงไปจากป่าท้อนั้นย่อมลงไปโลกมนุษย์เป็นแน่ แต่เมื่อมานั่งตระหนักว่าแล้วเหตุใดเสี่ยวจ๋ายถึงยังไม่กลับมานางก็อดเป็นห่วงไม่ได้“เจอแล้ว.. เจ้าเลิกเป็นห่วงได้แล้ว” ซูเซียวเอ่ยตอบสหายซินซูด้วยท่าทางไร้อารมณ์อย่างเห็นได้ชัดว่านางนั้นอารมณ์ไม่ค่อยจะดีนัก ซินซูจึงทำเพียงมองสหายผู้นี้อย่างเงียบเชียบ
ตอนที่ 14 ดินแดนแคว้นฉวาง [2] “อาอวี่.. เจ้าพักที่นี่งั้นหรือ” เพราะเธอจำได้ว่าในนิยายของเธอ จวนแห่งนี้คือจวนของแม่ทัพใหญ่เจิงเถาฮ่วน เหตุใดเจียอวี่ถึงพามาที่นี่และเหตุใดเจียอวี่ถึงรู้จักแม่ทัพเจิง หรือว่าที่นี่จะเพียงแค่ชื่อคล้ายกัน อาจจะไม่ใช่แม่ทัพเจิงดั่งในนิยายนั่นก็เป็นได้“นี่คือจวนของท่านพ่อข้า.. แม่ทัพเจิง.. เจิงเถาฮ่วน เจ้าเคยได้ยินนามนี้หรือไม่” เจียอวี่พูดขึ้นด้วยความภูมิใจ สายตา น้ำเสียง แสดงออกถึงความภูมิใจอย่างเห็นได้ชัด“แม่ทัพเจิงเถาฮ่วน.. คือท่านพ่อเจ้างั้นหรือ” แปลก แต่กลับเป็นเรื่องจริง เธอจำได้อย่างดีว่าในนิยายที่เธอแต่งนั้น แม่ทัพใหญ่เจิงเถาฮ่วนไม่มีครอบครัว ไม่ยุ่งสตรี นั่นยิ่งไร้บุตร เหตุใดถึง..“เจ้าอาจจะไม่เคยได้ยินแต่ไม่เป็นไร.. พวกเราเข้าไปด้านในกันก่อนเถอะ” เจียอวี่เอ่ยขึ้นพร้อมทั้งพาอ้อมไปยังโรงเลี้ยงม้า ก่อนจะพากันเดินเข้ามาในจวน“คุณชายรองกลับมาแล้วหรือขอรับ” เสียงของชายที่มีใบหน้าหล่อเหลา สะอาดสะอ้าน แต่การแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ค่อนข้างจะธรรมดาไปเสียหน่อย เดาว่าน่าจะเป็นบ่าวรับใช้ในจวนเป็นแน่“ข้ากลับมาแล้ว.. เจ้าช่วยบอกคนเตรียมห้องพักให้สหายของข้าสัก
ตอนที่ 13 ดินแดนแคว้นฉวาง [1]“เมื่อครู่.. เถ้าแก่นั้นพูดว่าม้าสามตัว.. เราออกไปดูก่อนกันก่อนดีหรือไม่” เมื่อเห็นด้วยกับคำพูดของเสี่ยวจ๋าย พวกเขาทั้งสามจึงตัดสินใจลองเปิดประตูนั้นอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้มันกลับถูกเปิดออกอย่างง่ายดาย ราวกับที่แห่งนี้เป็นโรงเตี๊ยมธรรมดาแห่งหนึ่งเมื่อทั้งสามออกมาได้แล้วนั้น ด้านหน้าปรากฏม้าที่ถูกผูกไว้กับต้นไม้สามตัว เจียอวี่เดินเข้าไปตรวจสอบเมื่อเห็นว่าม้าทั้งสามไม่ได้มีกลไก อาคม หรือความผิดปกติใด พวกเขาทั้งหมดพร้อมใจกันหันกลับไปเพื่อที่จะขอบคุณเถ้าแก่โรงเตี๊ยม ก็ต้องยืนนิ่งงันราวกับว่าฝันไป เพราะพื้นที่ตรงนั้นกลับว่างเปล่าราวกับว่าไม่เคยมีโรงเตี๊ยมหลังนั้นมาก่อน“อะไรกันเนี่ย” เฟยหลงยิ่งเพิ่มความสงสัยไม่หาย เธอยืนมองพื้นที่ว่างเปล่านั้นด้วยความรู้สึกไม่อยากเชื่อสายตา ก่อนนี้ตรงนี้มีโรงเตี๊ยมเป็นเรื่องจริง อาหารที่กินก็เรื่องจริง เธอยกมือขึ้นมาลูบหน้าผากมนของตัวเอง ทั้งเจ็บและโนเป็นเรื่องจริง ม้าสามตัวเบื้องหน้าก็เรื่องจริง“ไปได้แล้ว” และยังคงเป็นเจียอวี่ที่ส่งเสียงเรียกให้เธอหลุดจากภวังค์นั้น เธอมองพื้นที่โดยรอบอีกครั้งอย่างนึกสงสัยแต่ก็เพียงแค่นั้น เพร
ตอนที่ 12 พวกข้าไม่มีเงิน“ไหนเจ้าบอกว่าไม่ไกลมิใช่หรือ.. เหตุใดหมู่บ้านที่เจ้าว่ายังไม่ถึงเสียที” เสี่ยวจ๋ายหันไปถามเจียอวี่ พร้อมทั้งสลับมองใบหน้าที่ไร้อารมณ์ของหลี่เฟยหลง ที่คล้ายกับว่าเธอนั้นเดินด้วยท่าทางที่แสนจะสบาย ไม่ได้แสดงอาการเหน็ดเหนื่อยออกมาเลยแม้แต่น้อย“เจ้าบ่นเช่นนี้.. ข้ากำลังคิดว่าเจ้าเหนื่อยนะเจ้าจิ้งจอก” และเพราะสหายตัวน้อยนี้ช่างน่าหยอกเย้า เจียอวี่ได้ที่จึงหยุดนิ่งไม่ได้ขยับ พร้อมทั้งหันไปมองใบหน้าของเสี่ยวจ๋ายที่ทำหน้าหงิกงออย่างไม่ค่อยจะสบอารมณ์“ข้าไม่ได้เหนื่อย!” แต่เพราะคำพูดที่น่าจะทิ่มแทงหัวใจจึงทำให้จิ้งจอกน้อยอย่างเสี่ยวจ๋ายนั้นสะบัดหน้าหนี ก่อนจะหันขวับมามองที่หลี่เฟยหลงนิ่งอย่างมีความหมาย“เพ่ยเพ่ย.. เจ้าขี่หลังข้าดีหรือไม่” จิ้งจอกน้อยเอ่ยถามสหายซึ่งเป็นสตรีเพียงนางเดียวอย่างอ่อนโยน “ข้าไม่เหนื่อย” แต่เมื่อได้ยินคำตอบของเธอแล้วนั้น เสี่ยวจ๋ายที่มองหน้าเธฮไม่กะพริบได้แสยะยิ้มจนกว้างออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ หลี่เฟยหลงมองหน้าเจ้าจิ้งจอกหัวขาวตัวนี้อย่างชั่งใจ“เช่นนั้น~ ข้าแปลงกายเป็นจิ้งจอกตัวน้อยน่ารักให้เจ้าอุ้มดีหรือไม่.. ขนของข้านั้นนุ่มมาก.. ตัวก็เล็ก
ตอนที่ 11 การเดินทางของสามเกลอ“เจ้าจิ้งจอก!” เจียอวี่ทำหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อสายตาแต่ก็ใช้เวลาเพียงไม่นาน เพราะต่อมาชายผู้นั้นรีบจ้ำอ้าวเดินลงมายังข้างลำธารที่มีเสี่ยวจ๋ายร่างมนุษย์ยืนอยู่ด้วยความเร็วแสง สองขายาวที่น่ายำเกรงเดินลงมาหยุด มองซ้ายแลขวาจับเสี่ยวจ๋ายหัวสำรวจทุกพื้นที่“เจ้านี่เป็นตัวประหลาดหรือเป็นสิ่งใดกัน”“ข้ามิใช่ตัวประหลาด เจ้าดู!นี่หางของข้าของแท้แน่นอน และข้าเป็นถึงเพื่อนเล่นของเหมยซินซูแห่งป่าท้อเชียวนะ” เสี่ยวจ๋ายเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้น หางทั้งหมดที่มีเริ่มกระดิกดุ๊กดิ๊กอย่างน่ารักน่าชัง“หนึ่ง..สอง..สาม..สี่..” เจียอวี่ขยับนิ้วนับหางของเสี่ยวจ๋ายด้วยความรู้สึกตื่นเต้น แบบเด็กน้อยที่เห็นของเล่นชิ้นใหม่“เก้าหาง ไม่ต้องนับ!” เสี่ยวจ๋ายสะบัดหางทั้งเก้าโชว์อย่างโอ้อวด ภูมิใจ ใบหน้าเชิดขึ้นพร้อมทั้งลอยหน้าลอยตาอย่างน่าหมั่นไส้“เจ้าพูดได้ แล้วเหตุใดเจ้าไม่พูดตั้งแต่แรก” เจียอวี่ยืดตัวเต็มความสูง เท้าเอวจ้องหน้ามองเสี่ยวจ๋ายอย่างหาเรื่อง“ก็ข้าแค่ไม่อยากเสวนากับคนอย่างเจ้า” แต่มีหรือเจ้าจิ้งจอกอย่างเขาจะกลัว เพราะทันทีที่เจียอวี่ยืดตัวเท้าเอว เสี่ยวจ๋ายเองก็ทำท่าเ
ตอนที่ 10 จิ้งจอกน้อยกลายร่าง“ที่เหลือเจ้าทำ”"ทำ.. ทำอะไร” เฟยหลงหันไปถามเจียอวี่ด้วยความไม่เข้าใจ“ปลานี่ ข้าหามาให้เจ้าแล้ว.. เจ้าก็ควรปรุงมันให้ข้ากินดีหรือไม่” เจียอวี่ชี้นิ้วไปที่ปลาที่เขาเพิ่งไปหามาได้ช้า ๆ“ข้า.. ข้าทำไม่เป็น” เธอเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาเจียอวี่ได้ยินเช่นนั้นได้แต่นิ่งเงียบ ปลาที่ได้มาถูกทิ้งลงตามแรงโน้มถ่วงของโลก เฟยหลงที่เห็นท่าทางหมดอาลัยตายอยากนั้นรู้สึกเสียใจเป็นยิ่งนัก เธอตัดสินใจลุกขึ้นยืนด้วยความเร็ว ตามมาด้วยสายตาของจิ้งจอกน้อยที่มองเธออย่างมีความหวัง“ต.. แต่แค่ปลาย่างก็พอจะได้อยู่”แม้แต่เธอเองก็แทบจะไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองจะเอ่ยออกไปแบบนี้ หลี่เฟยหลงสาวน้อยที่วัน ๆ เอาแต่แต่งนิยายกับสั่งเดลิเวอรี่กำลังจะมาย่างปลาให้ใครไม่รู้กินงั้นหรือ แต่ไหน ๆ ก็เห็นแก่ที่เขาพยายามไปหาปลามาให้เจ้าเสี่ยวจ๋ายแล้วกัน การย่างปลาให้ก็ไม่เท่าไหร่หรอก.. มั้ง“เสี่ยวจ๋ายเจ้าอยากกินปลาสด หรือปลาย่าง” เฟยหลงหันไปถามเจ้าจิ้งจอกน้อย2 ชั่วยามผ่านไป“มาแล้ว” เธอเดินถือไม้ที่มีปลาย่างตัวสีดำเกรียม ยื่นให้เจียอวี่ด้วยใบหน้าที่ตื่นเต้น ก่อนจะยื่นให้จิ้งจอกน้อยหนึ่งตัว แล