“เอาเถอะ น้ำเริ่มเย็นแล้ว เจ้าขึ้นจากน้ำได้แล้ว” กำลังจะถามว่าจะให้นางขึ้นอย่างไร พลันสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนที่รินรดอยู่ใกล้ใบหน้า ร่างเล็กถูกช้อนขึ้นจากน้ำ “ว้าย!” นางร้องอย่างตกใจ ตะลึงจนลืมหายใจ ไม่ทันได้ขัดขืน เขาอุ้มนางเดินกลับไปนั่งบนเตียงแล้ว มือเล็กรีบยกขึ้นปิดบังทรวงอก “ท่านอ๋องออกไปนะ” มือเล็กควานหาผ้าสักผืนหรืออะไรก็ได้ที่พอให้นางได้ซุกซ่อนตัวเอง หลบสายตาร้อนแรงที่จ้องมองนางอยู่ แม้ตอนนี้ตาของนางมองไม่เห็นแต่กลับรู้สึกได้ ร่างเล็กกระถดตัวถอยหนี แต่หูของนางกลับได้ยินเสียงสบถ เสื้อผ้าถูกถอดเหวี่ยงลงพื้น “ท่านจะทำอะไร” “เสื้อผ้าข้าเปียก ถ้าไม่ถอดออกจะเปลี่ยนชุดใหม่ได้อย่างไร” เห็นนางกระถดตัวหนีก็หงุดหงิดนัก ทำท่ารังเกียจไม่อยากเข้าใกล้ ทำตัวเป็นลูกแกะบนแท่นบูชายัญ หญิงสาวรู้สึกได้ว่าเขากำลังเข้ามาหา นางถอยหนีอย่างหวาดกลัว มือเปะปะไปบนที่นอน นางมาผิดทางเสียแล้ว จะหลบกรุ่นไอโทสะของเขาได้อย่างไร หรือเขา...ยังคิดเรื่องกำจัดนางอยู่ บุรุษหนุ่มเจ้าของเรือนกายกำยำเห็นร่างเ
“ท่าน...พูดอีกครั้งได้ไหม”ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึก ผู้หญิงคนนี้ได้คืบจะเอาศอกจริงๆ เขาโน้มหน้าลงไปที่ข้างหู แต่ขบเม้มติ่งหูของนางแทน ทำเอาร่างของนางสั่นระริกขึ้นมาอีกระลอก“ข้าพูดก็ได้...แต่เจ้า...ต้อง...”เสียงครวญหวานดังขึ้นมาอีกระลอก กว่าหญิงสาวจะได้ยินคำบอกรักจากเขาอีกครั้ง นางก็ถูกปลุกเร้าและปรนเปรอจนร่างกายอ่อนแรง เขาฝังตัวเองลึกล้ำในร่างงามที่ร้อนแรงแผดเผาด้วยไฟเสน่หา ปลดปล่อยอารมณ์เร่าร้อนของตนเองจนหมดสิ้น ก่อนเอ่ยคำที่นางต้องการฟังให้ได้ยินเห็นทีว่า ถ้านางอยากได้ยินประโยคนี้ คงต้องแลกกับการถูกเขาเคี่ยวกรำจนหมดเรี่ยวแรง ถ้านางต้องการฟัง เขาก็ยินดีปรนเปรอปรนนิบัติให้นางจนพอใจหรืออาจเป็นตัวเขาเองที่อิ่มเอม. “ปะ..ปล่อย...ปล่อยเถิดเพคะ..” “เจ้าก็อย่าดิ้นนักสิ” “ไม่เอาแล้ว หยุดมือเถิด หม่อมฉันไม่ไหวแล้วนะ” มือแกร่งยึดข้อเท้าหญิงสาวไว้ไม่ยอมปล่อยอย่างที่นางร้องขอ ต่อให้หญิงสาววิงวอนอย่างไรเขาก็ไม่สนใจ ยังคงใช้เข็มเงินสะกิดตุ่มน้ำใสบนเท้าของนาง จัดการล้างแผลใส่ยาให้อย่างเบามือ ปากพร่ำบ่นที่นางไม่ยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดี แม
องค์ชายเฟยเทียนอุ้มนางไปนั่งที่เก้าอี้กลม โดยให้นางนั่งบนตักของเขา ประคองนางให้แผ่นหลังอิงอกอุ่นของตน บนโต๊ะอาหารมีอาหารหลายอย่างล้วนแล้วแต่เป็นของโปรดของว่านหนิงเหมยทั้งนั้น เขารู้จากจื่อเหยี่ยน นางยังไม่แข็งแรงดี แม้นางจะชอบอาหารรสเผ็ด แต่เขาสั่งให้แม่ครัวลดความเผ็ดลงหลายส่วน “จะให้หม่อมฉันนั่งอย่างนี้หรือเพคะ?” นางไม่รู้ว่ารอบข้างมีใครอื่นหรือไม่ จะให้นางนั่งตักเขาแบบนี้ แล้วนางจะกินข้าวได้อย่างไรกัน “ทำไมล่ะ นั่งแบบนี้ข้าจะได้ป้อนข้าวเจ้าถนัดหน่อย” เขาพูดหน้าตาเฉยแล้วหยิบตะเกียบขึ้น “ป้อน?” นางทวนสิ่งที่ได้ยินแล้วส่ายหน้าไปมา “หม่อมฉันมองไม่เห็นมาสี่สิบกว่าวัน แค่กินข้าวเองยังทำได้อยู่เพคะ” “ตอนนั้นเจ้าไม่มีข้าอยู่ข้างกายเช่นนี้ แต่ตอนนี้ข้าอยู่ที่นี่แล้ว ข้าต้องทำหน้าที่ของสามีดูแลภรรยามิให้ขาดตกบกพร่อง มิเช่นนั้นเจ้าไปฟ้องเทพมังกรดินอะไรนั่น ข้ามิลำบากแย่รึ” คิ้วเรียวขมวดมุ่น ไฉนชายผู้นี้พูดจายอกย้อนกลิ้งกลอกนัก เมื่อครู่ยังทำเป็นไม่เกรงกลัวเทพมังกรดิน แต่ตอนนี้เอ่ยถึงเทพราวกับเพื่อนสนิท นั่นเทพมังกรดินที่สา
“โง่จริง” ลาซูสบถหยาบคายอีกหลายคำ ใช้เท้าเขี่ยร่างที่แน่นิ่งไปแล้วเพื่อให้แน่ใจว่านางสิ้นลมไปแล้วจริงๆ กี่ร้อยพี่พันปี กับสิ่งที่เรียกว่าความรัก มนุษย์ก็เป็นเช่นนี้ “ท่านจะไปแล้วรึ” ลาซูเอ่ยถามเมื่อรู้สึกว่าบุรุษที่ยืนอยู่ด้านหลังกำลังจะไป คำพูดของเขาไม่ได้หยุดให้ชายแปลกหน้าผู้มาพร้อมคำแนะนำที่เป็นการชี้ช่องทางให้เขาเข้าใกล้การจัดการผู้ปกครองตุนหวง “ข้าเพียงผ่านมาเห็นชะตากรรมของมนุษย์เท่านั้น” ลาซูมองเงาร่างที่เลือนหายไปราวกับหมอกเช้า เขามาเช่นเดียวกับที่จากไป การเอ่ยถ้อยคำเปิดเผยบางเรื่องราวเหมือนไม่ตั้งใจของเขานั้น ผนวกกับการรายงานความเคลื่อนไหวของรุยหลง ทำให้แผนการโจมตีตุนหวงใกล้แค่เอื้อม กระนั้นลาซูไม่มีเวลาใส่ใจเหนี่ยวรั้งไว้ เขารู้ดีว่าคนติดตามรุยหลงมา แม้ตอนนี้จะยังไม่เห็นคนผู้นั้นแต่ก็ไว้ใจไม่ได้ จึงเร่งรีบออกไปแล้วสั่งให้เด็กในร้านจัดการศพของรุยหลงเพื่อส่งเถ้ากระดูกกลับบ้านเดิมของนางตามคำขอครั้งสุดท้าย กี่ร้อยกี่พันปี มนุษย์ก็เป็นเช่นนี้เสมอมา ในคราวที่ใช้ร่างมนุษย์ เขาผู้เป็นเทพมังกรดินมักร่า
มือเรียวยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่ม ผ่อนลมหายใจอย่างเบื่อหน่าย สามวันมานี้ นางแทบไม่ได้ขยับตัวไกลจากห้องบรรทมขององค์ชายเฟยเทียนเลยสักก้าว แม้ขอร้องเพื่อได้พบเจอผู้อื่นบ้าง แต่ชายผู้นี้ไม่ยอมใจอ่อนกับนางเลยสักนิด นางกำนัลที่ดูแลนางอยู่แม้ดูแลนางอย่างดียิ่งแต่รู้สึกไม่สนิทสนม ไม่พูดคุยหยอกล้อเล่นหัวเหมือนพี่จื่อเหยี่ยนและคนอื่นๆ “นี่มันต่างจากคุกตรงไหนเนี่ย!” บอกว่าไม่หนีก็ไม่เชื่อ นี่ถ้าดวงตาของนางหายดีนะ นางจะไม่นั่งเฉยๆ อยู่ในห้องแบบนี้เป็นแน่ จะว่าไปแล้ว ยาที่องค์ชายเฟยเทียนหมั่นพอกดวงตาให้นางนั้นราวกับยาวิเศษ เพียงแค่ไม่กี่วันก็ไม่บวมและเจ็บอีก อีกไม่กี่วัน นางคงลืมตาได้ปกติเป็นแน่ แม้เคืองโกรธที่ถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ในห้อง แต่พอยกมือแตะผ้าพันแผลที่ปิดดวงตาของนางอยู่ นางก็อดลดมือลงแตะที่แก้มข้างขวาของตนเองไม่ได้ เวลานี้มันเรียบเนียนไร้ร่องรอยแผลเป็นที่เคยอยู่บนหน้านางมาตั้งหกปี เป็นบุรุษผู้นั้นสรรหายาดีมารักษาให้นาง “คุณหนู! คุณหนูขอรับ” หญิงสาวสะดุ้ง หันไปตามทิศทางของเสียงพร้อมรอยยิ้มทันที “จ้าวต้า!” เพราะยังมองไม่เ
“เจ้าจะบอกว่าพระชายาของท่านอ๋องไร้เสน่ห์ดึงดูดเลยหรือไร ไม่หวั่นไหวกับนางบ้างรึ” “ไม่ใช่เช่นนั้น” แม้มองไม่เห็นแต่จับน้ำเสียงยั่วล้อของคนเหล่านี้ได้ “คือว่าข้าอาศัยเล่นหมากล้อมกับนายกองหลี่” ชายผู้นั่งคุกเข่าอยู่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาไม่สนใจยศหรือตำแหน่งมานานแล้ว ใช้ชีวิตเป็นนายกองให้ท้องอิ่มและดูแลคนในการปกครองตามอัตภาพ เขาไม่อยากคิดเรื่องอื่น หากจะถูกลงทัณฑ์ก็ไม่คิดหาข้อแก้ตัวอันใด “หมากล้อม?” ซานม่านหวาทวนคำ แต่ซิ่นเจี่ยงกลับหัวเราะร่า “เจ้าก็โดนนางหลอกให้เล่นหมากล้อมรึ” ซิ่นเจี่ยงก้มมองคนตัวใหญ่ที่นั่งคุกเข่าอยู่ เป็นจังหวะเดียวกับที่หลี่ฟู่จูเงยหน้าขึ้นมอง “เจ้าด้วยรึ?” “โดนนางหลอกให้เล่นหมากล้อมจนข้าแพ้ราบคาบ ต้องพานางออกไปนอกตำหนักตามที่เดิมพันไว้” ซิ่นเจี่ยงพูดขึ้น “นางขอแลกอาหาร” คนโดนล่อลวงด้วยหมากล้อมสองคนหัวเราะขึ้นพร้อมกัน ส่วนคนไม่ได้เล่นหมากล้อมอย่างซานม่านหวาได้แต่ยักไหล่ องค์ชายเฟยเทียนส่ายหน้าไปมา นางช่างหาวิธีเอาตัวรอดได้ดีเสียเหลือเกิน “เอาเป็นว่า
“แต่ถ้า...” มือเล็กเผลอขยุ้มกระโปรง สะกดความกังวลใจไว้ไม่อยู่ “ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าก็จะดูแลเจ้า” เขายื่นมือไปโอบรั้งร่างเล็กเข้ามาไว้ในอ้อมอก “ข้าไม่วันทอดทิ้งเจ้า จะไม่มีวันนั้นเด็ดขาด” ว่านหนิงเหมยขยับใบหน้าคลอเคลียอกกว้างของอีกฝ่ายราวกับตัวเองเป็นลูกแมวน้อย นางได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ อยู่เหนือศีรษะ “เรื่องราชโองการ ท่านอ๋องตัดสินใจอย่างไรเพคะ” มือใหญ่ที่ลูบเส้นผมของนางชะงักไปเล็กน้อย แต่ทำเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ หากเป็นก่อนหน้านี้ ก่อนที่ชีวิตของเขาจะมีเจ้าแมวน้อยซุกซนตัวนี้ เขาคงไม่กังวลอะไรมากนัก แต่เวลานี้ไม่ใช่แล้ว แม้ทหารเหล่านั้นเป็นเสมือนคนในครอบครัวเดียวที่เขามี ทว่าตอนนี้เขามีนางอยู่ข้างกาย จะทำอะไรก็ย่อมเป็นห่วงความปลอดภัยของนาง “เวลานี้เจ้าควรคิดเรื่องรักษาดวงตา อย่าได้ใส่ใจเรื่องอื่น” “หม่อมฉันเป็นชายาของท่านอ๋อง ไม่ให้กังวลได้อย่างไรเพคะ” มีราชโองการ ฮ่องเต้ทรงรับสั่งให้ท่านอ๋องกลับเมืองหลวงเพื่อป้องกันการก่อการกบฏ ปกป้องฮ่องเต้และองค์รัชทายาท เพราะเป็นราชโองการจึงไม่อาจขัดได้
“หม่อมฉันไม่เป็นอะไรเพคะ” ส่ายหน้าเร็วๆ แต่ไม่อาจดึงมือตัวเองออกจากแผงอกของเขาได้ เวลานี้ นางต้องแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น รั้งเวลาให้เขาอยู่ตุนหวงให้นานที่สุด บุรุษหนุ่มเห็นท่าทางหลุกหลิกของนางกับมือไม้ที่เปะปะบนอกของเขาแล้วก็อมยิ้ม แต่เพราะคิดว่านางยังมองไม่เห็นจึงได้แกล้งดึงมือนางที่ทาบอกของเขาไว้ก่อนที่นางจะชักมือกลับ“ท่านอ๋อง...ปะ..ปล่อยเพคะ”“อะไรกัน ข้าเห็นเจ้าลูบไล้แผ่นอกข้าตั้งนาน”“หม่อมฉันเปล่าเสียหน่อย” กลัวว่าจะถูกจับได้จึงเบือนหน้าหนี“เหมยเอ๋อร์...กายของข้าเป็นของเจ้า เจ้าอยากแตะต้องตรงไหน ลูบไล้อย่างไรก็ย่อมได้”เขาชอบนักที่เห็นภรรยาตัวน้อยเขินอาย พวงแก้มแดงจัดลามลงที่ลำคอ เขาอยากเห็นเหลือเกิน เมื่อผิวกายเนียนละเอียดของนางกลายเป็นสีเดียวกับกุหลาบแดง มือใหญ่ตวัดพลิกแผ่วเบา แต่กลับทำให้เสื้อผ้าของนางเลื่อนหลุดออกอย่างง่ายดาย“ท่านอ๋อง!”นี่นางแต่งงานกับโจรราคะหรือไรกัน เอะอะก็จับนางกินอยู่เรื่อย ยิ่งเรื่องปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกจากกายนางนี่ก็ช่างรวดเร็วนัก มือเล็กรวบเสื้อปิดหน้าอกตัวเองไว้ ทำท่าจะลุกออกจากเตียง แต่ถูกแขนของเขารัดเอวรั้งนางกลับไปที่เตียงกว้าง“เจ้าจะไปไหน”“
ลมหายใจของเขามีไว้เพื่อนาง ลมหายใจของนางมีไว้เพื่อ เรื่องย่อ เรื่องราวระหว่างเทพมังกรดิน ฮวงหลง และหญิงสาวเดินดินนามซิ่นฮวา เมื่อโชคชะตาเล่นตลกให้หญิงสาวมองเห็น ‘เทพมังกรดิน’ เขาจำ(ใจ)ต้องปรากฏกายทุกครั้งที่นางเรียกขานนามของเขา ทำให้เทพเซียนชั้นฟ้ากลายเป็นพี่เลี้ยงของเด็กหญิงตัวน้อย จวบจนนางเติบโตเป็นหญิงสาวงามสะพรั่ง กฎสวรรค์ทำให้เขาต้องหักห้ามใจ แต่เพราะนางและเขามีชะตาที่ต้องชดใช้กรรมร่วมกัน และมีเพียง ‘ลมหายใจมังกร’ เท่านั้น ที่จะต่อลมหายใจของนางได้ เส้นทางที่เขาเลือกมิใช่สิ่งที่นางปรารถนา เพียงหนึ่งชาติภพเพื่อให้ใจได้ ‘รัก’ แม้ช่วงเวลานั้นจะแสนสั้น.... นางก็ยินดี จาก ‘ท่อนแขนมังกร’ สู่ ‘ลมหายใจมังกร’ (ท่อนแขนมังกรรุ่นลูก) ‘ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น ข้าจะอยู่ข้างกายท่าน จะไม่มีวันทอดทิ้งท่านอย่างเด็ดขาด’ “แม้ว่าข้าจะกลายเป็นคนอัปลักษณ์ เจ้าก็ยังอยู่เคียงข้างข้าหรือ?” ‘แน่นอน’ นางยืนยันด้วยแววตาใสซื่อ ‘ข้ามิได้รักท่านที่หน้าตา แต่เพราะจิตใจของท่านต่างหากที่ข้าหลงรัก’ “เจ้ารักข้า?” คำสารภาพรักของนางนั้น เขาได้ยินมานับร้อยนับพันครั้งแล้วกระมัง แต่ครั้งนี้ แม้นางไม่ไ
“เช่นนั้นเจ้าไม่ลองมีลูกสาวให้เป็นเพื่อนซิ่นฮวาอีกคนเล่า เด็กๆในตำหนักมีแต่เด็กผู้ชาย ถ้ามีลูกผู้หญิงเพิ่มขึ้นอีกคนก็คงดีไม่น้อย ตอนนี้ซิ่นสือก็สามขวบแล้ว ถ้าเจ้าจะมีลูกอีกสักคนก็...”บุรุษหนุ่มผู้กรำศึกมานับไม่ถ้วนถึงกับสะอึกไปเมื่อเห็นสายตาดุๆ ของภรรยาตัวน้อย“ข้ามิใช่แม่หมูนะ” เหตุใดมาเคี่ยวเข็ญให้นางตั้งท้องขนาดนี้นะ“โธ่! เพราะเห็นเจ้าเป็นภรรยาหนึ่งเดียวของข้าถึงได้ชวนเจ้ามีลูกอีกสักคนหรือสองคนก็ได้” เขาโอบไหล่นางพานางกลับเข้าห้องพัก ปล่อยให้จ้าวต้าอยู่กับลูกชายสองคนของเขา คงเป็นวิธีเบี่ยงเบนความสนใจจากว่านหนิงเหมยให้จ้าวต้าไปรับตัวซิ่นฮวาจากสวนกระจ่างใจจ้าวต้าโคลงศีรษะไปมาแล้วมองเด็กน้อยทั้งสอง แม้ฐานะของเขาต้อยต่ำนัก แต่เขาเสมือนพี่ใหญ่ที่ต้องดูแลเด็กๆ เหล่านี้ เขาถอนหายใจก่อนยิ้มอ่อนโยน จูงมือซิ่นหลิงและอุ้มซิ่นสือไปส่งป้าฮุยเหอก่อนแล้วค่อยไปรับเด็กหญิงแสนซุกซนผู้นั้นเด็กหญิงตัวต้นเรื่องนั่งหน้าบึ้งตึงในศาลาหกเหลี่ยมของสวนกระจ่างใจ ท่านแม่ให้นางนั่งสำนึกผิดอยู่ผู้เดียว แต่กระนั้น นางก็รู้และมั่นใจว่าองครักษ์ของท่านพ่อคอยจับตาดูนางอยู่“เรื่องนิดเดียวเอง ไยท่านแม่ต้องโกรธถึงเ
ชายหนุ่มวัยสิบหกพาเรือนร่างกำยำเดินเข้าไปพร้อมรอยยิ้มประดับใบหน้าคมเข้ม แม้อายุเพียงแค่สิบหกปีแต่เพราะฝึกฝนวรยุทธ์อย่างเข้มงวด ทำให้เขาดูสูงใหญ่กว่าชายหนุ่มวัยเดียวกัน แทบไม่เหลือเค้าโครงเด็กชายผอมกะหร่องที่ค่อยติดตามพระชายาเลยแม้แต่น้อย เพียงร่างสูงเดินเข้าไปในห้องโถง พลันประสาทรับรู้ถึงการพุ่งเข้าใส่ ทว่าเขากลับไม่ปัดป้องหรือหลบหลีก ยอมให้ร่างเล็กโถมเข้าใส่สุดแรงจนเสียหลักหงายหลังล้มลงให้เด็กชายตัวน้อยวัยห้าขวบนั่งทับ “พี่จ้าวต้ากลับมาแล้ว!” มือน้อยของเด็กชายขยุ้มคอเสื้ออีกฝ่าย สีหน้าตื่นเต้นดีใจทั้งที่ไม่เจอกันแค่สามเดือน “คุณชายซิ่นหลิง” ชายหนุ่มหัวเราะขบขันกับท่าทางดีอกดีใจของอีกฝ่าย เพราะรู้ว่าผู้ที่พุ่งเข้ามาเป็นใครจึงยอมให้นั่งทับบนร่างตัวเองเช่นนี้ เขาจับไหล่เด็กชายตัวน้อย ยกตัวขึ้นเพื่อให้ตัวเองลุกขึ้นยืนได้ “พี่จ้าวต้ามาแล้ว ไปช่วยซิ่นฮวาเร็วๆ เข้า” มือน้อยกระตุกมือใหญ่แล้วชี้ไปทางด้านหลังของตำหนักดุจตะวัน “หือ? คุณหนูเป็นอะไรไปขอรับ” เขาถามพลางมองไปตามทิศทางที่นิ้วป้อมๆ ชี้ไป ถ้าคุณหนูตัวน้อยอยู่ที่สวนก
พูดได้แค่นั้นก็อยากจะอาเจียนหรือหาของเปรี้ยวมากิน คราวนี้ฮองไทเฮาอดหัวเราะไม่ได้ ในขณะที่หลานรักอย่างเขากลับรู้สึกอับอายยิ่งนัก เพราะหลบสายตาของผู้เป็นย่าจึงปะทะกับสายตาล้อเลียนขององครักษ์ฝาแฝดทั้งสอง ทำได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างไม่พอใจ ก็ใครใช้ให้เขารักนางมากขนาดนี้กันเล่า เฮ้อ!“เอาเถิดๆ อย่างไรข้าจะเป็นยายแก่หนังเหนียวรอเจ้าพาเหลนและสะใภ้กลับมาเยี่ยมอยู่ที่นี่”องค์ชายเฟยเทียนโค้งตัวอำลาฮองไทเฮา คราวนี้เขาไม่รั้งอยู่นาน ใช้วิชาตัวเบาราวล่องหนหายออกไปจากวังหลวงพร้อมองครักษ์ทั้งสองอย่างรวดเร็ว เพื่อกลับไปดูแลคนที่ทำให้เขาต้องออกอาการแพ้ท้องแทนอยู่อย่างนี้ตุนหวงรถม้ามาหยุดหน้าตำหนักดุจตะวัน หญิงวัยกลางคนโผล่หน้าออกมาจากหน้าต่างรถอย่างไม่มั่นใจนัก จนกระทั่งเห็นเด็กชายที่เคยเลี้ยงดูรีบวิ่งเข้ามาหา นางจึงยิ้มกว้างออกมา“จ้าวต้า”“ป้าฮุยเหอมาแล้ว” จ้าวตารีบไปประคองให้นางลงจากรถม้า ก่อนท่านอ๋องเดินทางไปเมืองหลวงได้สอบถามเขาถึงคนสนิทหญิงรับใช้ที่บ้านเดิม ท่านอ๋องต้องการให้พระชายามีคนคุ้นเคยอยู่ใกล้ๆ คอยช่วยเหลือยามตั้งครรภ์แรก เขาจึงนึกถึงป้าฮุยเหอที่ดูแลเขาและพระชายามาตั้งแต่เกิด แต่เ
ดวงเนตรเบิกกว้างอย่างตกใจ ไม่คิดว่าจะได้ยินโอรสที่ทรงหมางเมินกล่าวออกมาเช่นนี้ จ้องมองบุรุษเบื้องหน้าที่ใบหน้าละม้ายคล้ายกันนัก สิ่งที่ลูกชายพูดออกมานั้นล้วนอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ ทุกครั้งที่มองใบหน้านี้จึงเหมือนมองตนเองในวันวัยเดียวกัน ยามที่เป็นเพียงองค์รัชทายาทก็ราวกับเป็นเพียงหุ่นเชิดให้ใครต่อใครบงการ พยายามอย่างยิ่งให้เป็นที่ยอมรับ ได้รับความรักจากบิดาหรือก็คืออดีตฮ่องเต้องค์ก่อน แม้รู้ว่าสิ่งที่ตนทำไปนั้นไม่ถูกต้อง แต่ไม่อาจแก้ไขอะไรได้สิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในใจ ไม่คิดเลยว่าบุรุษเบื้องหน้าผู้ถอดแบบเขาออกมาแทบทุกกระเบียดนิ้ว จะมองออกจนทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ “สิ่งที่กระหม่อมทำก็เพื่อแผ่นดินมังกรแห่งนี้ ศึกภายในกระหม่อมไม่ขอยุ่งเกี่ยว กระหม่อมมิสนใจว่าผู้ใดต้องการกำจัดกระหม่อม แต่ชีวิตของกระหม่อมขอเพียงได้ปกป้องราษฎรและรักษาแผ่นดินที่แลกมาด้วยหยาดโลหิตและชีวิตทหาร หากกำจัดกระหม่อมไปแล้ว เห็นทีว่าจะไม่เป็นผลดีต่อแผ่นดินนี้”“เจ้ากำลังข่มขู่ข้ากระนั้นรึ” “มิได้ กระหม่อมแค่ต้องการย้ำให้พระบิดาเข้าใจ อย่าได้สิ้นเปลืองสมองมาระแวงกระหม่อม”เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นจิบอีกครั้ง
เทพมังกรดินดูผลงานของตน เฝ้ามองเหล่ามารปีศาจกลับคืนสู่นรกแล้ว จึงกลายร่างเป็นบุรุษเจ้าของเส้นผมสีเงินยวง เดินเข้าไปหาคนทั้งสอง หญิงสาวพลิกตัวใช้ร่างของตนบังร่างของชายที่นางรักไว้ แม้นางรูปร่างเล็ก แต่กางแขนออกเพื่อปกป้องเขา“หนิงเหมย” เขาปรามนาง อยากจะหัวเราะที่เวลานี้มีหญิงสาวตัวเล็กกางแขนปกป้องเขาเต็มที่ ในชีวิตของเขา จะมีใครสักกี่คนที่ยอมอยู่เคียงข้างเช่นนี้ เพียงหนึ่งชีวิตอันแสนสั้น ได้รู้จักรัก หัวใจได้รับความรักก็นับว่ามีค่าและมีเกียรติให้ตายได้อย่างสงบแล้วเป็นนางเท่านั้นที่ทำให้เขาได้เรียนรู้ที่จะรัก ได้สัมผัสความรัก เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว พอแล้วจริงๆ เทพมังกรดินจ้องมองชายหนุ่มหญิงสาวทั้งสองแล้วก็ลอบถอนหายใจ นี่แหละหนา จึงเป็นได้เพียงมนุษย์ไม่อาจละทิ้งอาวรณ์ได้ เขายื่นมือไปใช้เพียงปลายนิ้วแตะน้ำตาของหญิงสาว ว่านหนิงเหมยเบิกตาโต เห็นน้ำตาของตนกลั่นกลายเป็นก้อนกลมเล็กดุจลูกแก้ววาววับลอยเหนือฝ่ามือของเทพมังกรดิน แล้วยื่นไปที่เบื้องหน้าขององค์ชายเฟยเทียน “นี่คือ...” ว่านหนิงเหมยพึมพำ “กลืนมันลงไป” เทพมังกรดินสั่งน้ำเสียงเฉียบขาด องค์ช
“เจ้าเรียกปีศาจได้ ไยข้าจะทำบ้างมิได้” เพื่อชัยชนะ ย่อมทำได้ทุกอย่างไม่ว่าชัยชนะนั้นจะได้มาอย่างไรก็ตาม“เจ้าแลกสิ่งใดกับการเรียกปีศาจออกมา!”แม้เขามีปีศาจมังกรเพลิงอยู่ในท่อนแขนซ้าย แต่เรียกใช้เพียงการศึกครั้งเดียว เมื่อสิบปีก่อนที่เรียกกองทัพทหารปีศาจขึ้นมา กลายเป็นฝันร้ายไปชั่วชีวิต นับแต่นั้น เขาเพียงใช้แค่เกราะปีศาจมังกรเพลิงคุ้มกันกายค่าตอบแทนของทหารปีศาจเหล่านี้คือหายนะไม่สิ้นสุด ความตายที่ไม่อาจประเมินได้อยู่เบื้องหน้า ปีศาจเหล่านี้ล้วนต้องดื่มเลือดฉีกเนื้อกินวิญญาณมนุษย์ ครานั้นปีศาจที่เขาเรียกออกมากัดกินทหารฝ่ายตรงข้าม เศษซากที่เหลือกลายเป็นศพ กองเป็นภูเขาซากศพชวนให้อาเจียนและขนหัวลุก“ข้ามิโง่เช่นเจ้าที่แลกวิญญาณตนเองหรอกนะ” ลาซูแหงนหน้าหัวเราะ ดวงตากลายเป็นสีแดงราวกับย้อมด้วยโลหิต “แต่ข้าแลกด้วยชีวิตผู้คนในตุนหวง เมื่อข้านำกองทัพเข้ายึดครองแผ่นดินของเจ้า ผู้คนของเจ้าก็จะกลายเป็นอาหารอันโอชะให้พวกมันอย่างไรเล่า เมื่อเวลานั้นมาถึง ดินแดนของเจ้าจะมีเพียงผู้คนของข้าเท่านั้นที่เหยียบยืนบนแผ่นดินเปื้อนเลือดแห่งนี้”แม้ไม่ได้ยินเสียงสนทนาของคนทั้งสอง แต่บัดนี้หญิงสาวเข้าใจแล้วว่
นางหวังให้ตัวเองส่งเสียงเตือนให้ดังกว่านี้ แต่เสียงที่เปล่งออกไปเป็นเพียงเสียงแหบแห้งและสั่นเครือ นางรวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลือเพียงน้อยนิด อาภรณ์สีดำขลิบแดงที่นางสวมทำให้ผิวกายของนางแสบร้อน ดวงตาเบิกกว้าง นางเห็นกลุ่มคนบุกเข้าไปกำลังปะทะกับทหารมองโกล “ท่าน...อ๋อง...” เสียงของนางแผ่วเบายิ่งกว่าเสียงของสายลม น้ำตาที่ทนกลั้นกลิ้งร่วงหล่นจากดวงตาเปื้อนแก้ม ขอให้นางได้เพียงส่งเสียง ได้เพียงเตือนเขาก็ยังดี “โอ๊ย!” ว่านหนิงเหมยร้องเสียงหลง หูทั้งสองข้างราวกับมีเสียงปริแตกลั่นดังเปรี๊ยะ! มือที่ถูกมัดทำให้ไม่อาจยกขึ้นมาแตะหูของตนได้ นางเจ็บจนนิ่วหน้า รู้สึกเหมือนมีน้ำไหลออกมาจากหูทั้งสองข้างนางหลับตาพยายามสะกดกลั้นความเจ็บที่ตนได้รับ เสียงหวีดแหลมที่ทำให้หูทั้งสองข้างเจ็บปวด ทำให้นางไม่อาจได้ยินเสียงอื่นใดอีก ในชั่วลมหายใจต่อมา หญิงสาวรู้สึกว่าเชือกที่มัดนางอยู่ถูกตัดขาดอย่างรวดเร็วพร้อมร่างของนางที่ร่วงหล่น เพียงเสี้ยวเวลาอันแสนสั้นและเปราะบาง ยามนั้นนางกลับนึกถึงเมื่อครั้งที่นางตกต้นหลิวอายุเกือบร้อยปีในสวนสี่ฤดูของฮองไทเฮา หัวใจของนางหล่นวูบ
“เจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่” มือเรียวกำแน่น เผลอจิกเล็บกับฝ่ามือของตนเอง เมื่อเห็นอีกฝ่ายตั้งใจฟัง ลาซูจึงเอ่ยขึ้น “สังหารท่านอ๋องอย่างไรเล่า คงมีแต่ท่านเท่านั้นที่จะสังหารผู้ที่ครอบครองพลังปีศาจมังกรเพลิง” ลาซูพูดราวกับเป็นเรื่องธรรมดา “อ้อ! แต่อย่าได้เป็นกังวลไป หากพระชายากลายเป็นม่าย กระหม่อมยินดีรับท่านมาอยู่เคียงข้างอย่างไม่รังเกียจ” ยังไม่ทันสิ้นประโยคดี ฝ่ามือเล็กของหญิงสาวกระทบซีกแก้มของลาซูสุดแรงที่นางมี เพราะคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงหญิงไร้วรยุทธ์จึงไม่หลบหลีกยินดีให้นางตบหน้าเขาเต็มแรง ว่านหนิงเหมยลดมือที่ยกค้างอยู่ลง แสร้งทำเป็นประคองสองมือไว้บนตัก ทว่ามือข้างขวานั้นชาและสั่นระริก หญิงสาวกัดริมฝีปากตนเองไม่ให้แสดงความตื่นตระหนกออกมา ดวงตาเป็นประกายฉายแววเคืองโกรธและจ้องมองอย่างไม่เกรงกลัว “หากมือของข้าต้องเปื้อนเลือด ต้องเป็นเลือดของคนชั่วเช่นเจ้าเท่านั้น! ข้ายินดีตายแต่ไม่ยอมทำร้ายท่านอ๋องเด็ดขาด!” “ดี!” ลาซูหัวเราะเหมือนคนเสียสติ ยื่นมือไปจับข้อมือข้างที่ตบหน้าเขากระชากนางให้ลุกขึ้นพร้อมกับต