“ท่านพี่…ท่านจะไปไหนหรือ?” หลินซวงเอ๋อร์ขวางเขาไว้อย่างลืมตัวเยี่ยเป่ยเฉิงชะงักฝีเท้า เขาไม่ได้หันกลับมา แต่เลือกที่จะหันหลังให้นาว เสียงราบเรียบแฝงไปด้วยความเย็นชาไปหลายส่วน“ไปห้องหนังสือ!”“เราจะคุยกันดีๆ ไม่ได้เลยหรือ?” มือน้อยของหลินซวงเอ๋อร์จับชายเสื้อของเขาไว้แน่น ไม่ง่ายเลยกว่านางจะโน้มน้าวตัวเองได้ ปล่อยวางความรู้สึกทุกอย่าง และคุยเรื่องขัดแย้งระหว่างพวกเขาสองคนกับเขาอย่างสงบใจนางรู้สึกว่าหากไม่คุยกันให้ชัดเจนวันนี้ ความขัดแย้งระหว่างพวกเขาก็จะยิ่งบานปลายขึ้นเรื่อยๆแต่เหมือนเยี่ยเป่ยเฉิงจะไม่อยากคุยเรื่องพวกนี้กับนางยามนี้เขามีโทสะอยู่เต็มเปี่ยมไร้ที่ระบายเขาไม่อยากจะคิดเลย ช่วงเวลานั้นที่เขาไม่อยู่ เกิดอะไรขึ้นระหว่างนางกับไป๋อวี้ถังบ้าง!นอกจากในภาพพวกนั้นแล้ว ยังมีการกระทำที่เกินเลยไปกว่านี้อีกหรือไม่…เขาควรถามเธอไปตรงๆ …แต่ไม่รู้ทำไม พอคำพูดมาถึงปาก เขาก็ถามมันออกมาไม่ได้!เขาเหมือนกับไม่มีความกล้าจะรู้เรื่องเหล่านี้ แม้กระทั่งกลัวที่จะเผชิญหน้าต่อหน้านาง…อย่างไรเสีย ในใจเขา ไป๋อวี้ถังคือสามีในฝันของสตรีทุกคน เขาใส่ใจอบอุ่น สูงส่งมีอำนาจ สะอาดบริสุทธิ์ หน
ความเจ็บปวดแล่นเข้าสู่หัวใจดังกระแสน้ำก็ไม่ปาน มิอาจหยุดยั้งได้สุดท้าย นางฝืนทนไม่ไหว กระอักเลือดออกมาการกระอักเลือดออกมาครั้งนี้ แรงเฮือกสุดท้ายในตัวหลินซวงเอ๋อร์ถูกสูบไปจนหมด และล้มพับไปกับพื้นบนพื้นเย็นมาก นางนอนอยู่บนพื้นทั้งอย่างนั้น จวบจนครึ่งค่อนคืน ร่างกายถึงค่อยๆ มีแรงขึ้นมาเล็กน้อยนางหยัดกายลุกขึ้นอย่างยากลำบาก แล้วเดินไปที่เตียงที่ละก้าวใจยังคงเจ็บปวด นางล้วงเอาขวดแก้วออกมา เทยาเม็ดออดมาสองสามเม็ด เอาใส่ปากแล้วกลืนมันลงไป ถึงได้รู้สึกว่าดีขึ้นไปมามุมเปื้อนไปด้วยคราบเลือด นางยกชายกระโปรงขึ้นมา เช็ดด้วยมือที่สั่นเทามองเลือดที่เปื้อนบนกระโปรง ใจของนางเหน็บหนาวลงไปกว่าครึ่งนางคิดว่าตัวเองใกล้จะหายแล้ว แต่ทำไม…อาการนี้ถึงได้กำเริบรุนแรงขึ้น…หลินซวงเอ๋อร์กล่าวปลอบตัวเองด้วยเสียงอันสั่นเทา “ห้ามโกรธ ต้องรีบมีความสุขขึ้นมา แบบนี้อาการจะได้ดีขึ้น”แต่ยิ่งนางควบคุม น้ำตาก็ยิ่งไหลพรั่งพรูออกมาราวกับว่านางรู้สึกว่ามีภูเขาลูกใหญ่ระเบิดพังลงมาอยู่ในใจเยี่ยเป่ยเฉิงละทิ้งนางแล้ว แม้แต่คำอธิบายก็ไม่อยากฟังนางพูดเขาชอบท่าทางของนาง นางเคยเห็นกับตา ดังนั้น ท่าทีที่เขาละ
มือที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าห่มค่อยๆ กำแน่น หลินซวงเอ๋อร์พยายามระงับความรู้สึกสุดแรง“ทำไม? เจียงหว่าน! ข้าไปทำอะไรให้เจ้า!”“เจ้าว่าอย่างไรล่ะ?” เจียงหว่านกล่าวอย่างยิ้มเยาะ “เจ้ามักรู้สึกว่าข้ากำลังทำลายความสัมพันธ์ระหว่างพวกเจ้าสองคน ความจริงแล้วเจ้าเคยคิดบ้างไหม ว่าแกคือนังสารเลวที่เข้ามาเป็นมือที่สามคนนั้น!”“ข้าไม่ใช่!”หลินซวงเอ๋อร์โต้กลับนางไม่เคยคิดจะเข้าไปเป็นมือที่สามของใคร เป็นเยี่ยเป่ยเฉิงสัญญากับนางมาตลอด บอกว่าทั้งชีวิตนี้จะชอบนางคนเดี๋ยว เป็นเขาที่ตื๊อนาง ให้นางแต่งงานกับเขา ก็เป็นเขาอยากแต่ง และรับปากนางไม่ว่าเมื่อไหร่ก็จะปกป้องนาง เจียงหว่านกล่าว “ข้ารู้จักท่านอ๋องมาตั้งแต่น้อย เราสองคนรักกัน และกำหนดการแต่งงานไว้นานแล้ว พ่อข้าตายก็เพื่อช่วยเขา! ท่านอ๋องเคยบอกกับพ่อข้าว่าจะดูแลข้าไปตลอดชีวิต”นางชี้หน้าด่าหลินซวงเอ๋อร์ “เป็นแก! หลินซวงเอ๋อร์! เป็นเพราะการปรากฏตัวกะทันหันของแกทำให้ท่านอ๋องเปลี่ยนความคิด!หากไม่ใช่เพราะแกใช้อุบายน่าละอายท่านอ๋องจะลืมสัญญาที่ให้ไว้กับข้าได้อย่างไร!”“ดังนั้นเจ้าเลยทำร้ายข้า วางยาข้า แถมยังทำร้ายลูกข้าด้วยหรือ?” มือของหลินซวงเอ๋อร์สั่นเทาเ
นางถึงขั้นทำร้ายเยี่ยเป่ยเฉิงไปแล้วจริงๆ...นางทำร้ายเยี่ยเป่ยเฉิงไปได้อย่างไร...“ซวงเอ๋อร์...เจ้าเป็นอะไรไปกันแน่?” เยี่ยเป่ยเฉิงกุมบาดแผล มองนางด้วยแววตาสับสนเจียงหว่านข้างๆเอ่ย “ท่านอ๋อง แม่นางซวงเอ๋อร์สติฟั่นเฟือน อาการกำเริบขึ้นอีกแล้ว...”“ข้าเปล่า...ท่านพี่ ข้ามิได้อาการกำเริบ ข้ามิได้ตั้งใจทำร้ายท่าน เพราะเจียงหว่าน เจียงหว่านทำร้ายลูกข้า นางยังวางยา นางยอมรับเองกับปาก...” หลินซวงเอ๋อร์อธิบายไปคนละทิศไม่สอดคล้องเจียงหว่านเอ่ย “น้องซวงเอ๋อร์ เจ้าป่วยหนักแล้ว เจ้าเห็นภาพหลอนแล้ว ซ้ำยังพูดจาเหลวไหลอีกแล้ว”“ข้าเปล่า! เจียงหว่าน คนที่พูดจาเหลวไหลคือเจ้า! ข้าไม่ได้ป่วย!” หลินซวงเอ๋อร์จับมือเยี่ยเป่ยเฉิงไว้ ราวกับกำลังจับฟางเส้นสุดท้ายของชีวิตไว้ “ท่านเชื่อข้าได้ไหม? เจียงหว่านทำร้ายข้าจริงๆ นางคือต้นตอของทุกอย่าง ข้าขอร้องล่ะ ท่านเชื่อข้า ได้ไหม...”แค่เยี่ยเป่ยเฉิงเชื่อนางก็พอแล้ว...“เสวียนอู่!” เยี่ยเป่ยเฉิงมองหลินซวงเอ๋อร์ด้วยสายตาสับสน ตะโกนเรียกเสวียนอู่ข้างนอก “ตามหมอหลวงมา!”หลินซวงเอ๋อร์ค่อยๆปล่อยมือจากเยี่ยเป่ยเฉิง นางเดินถอยหลังไม่หยุดด้วยจิตใจแหลกสลาย “ท่านไม
หมอหลวงยังไม่มา เยี่ยเป่ยเฉิงอุ้มหลินซวงเอ๋อร์มาไว้บนเตียงมุมปากนางเต็มไปด้วยคราบเลือด ทำให้ใบหน้าซีดเซียวยิ่งกว่าเดิมเยี่ยเป่ยเฉิงเช็ดคราบเลือดมุมปากนางด้วยมือสั่นระริก แต่ไม่ว่าจะเช็ดอย่างไรก็เช็ดไม่สะอาดในมือเขาเต็มไปด้วยเลือด ไม่เพียงเช็ดไม่สะอาด แต่กลับทำให้ใบหน้านางเปรอะยิ่งกว่าเดิมเยี่ยเป่ยเฉิงบัดแขนเสื้อมาดหมายเช็ดให้นาง ทว่าเขาคงลืมไปว่าไหล่ของตนก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน ทั้งแขนเสื้อจึงชุ่มไปด้วยเลือด ทว่าเหมือนเขาไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด กระทั่งเจียงหว่านเอ่ยเตือนขึ้นข้างๆ “ท่านอ๋อง ท่านพันแผลให้ตัวเองก่อนเถิด”“ไปให้พ้น!” เยี่ยเป่ยเฉิงไม่แม้แต่มองเจียงหว่าน ยังคงเช็ดหน้าตาให้หลินซวงเอ๋อร์ต่อเจียงหว่านกำปลายเสื้อแน่น กัดปากเอ่ยต่อ “ท่านอ๋อง ข้ามิได้ตามทำร้ายน้องซวงเอ๋อร์จริงๆ เมื่อครู่ข้าเดินผ่านมา ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวในห้องนอน ข้ากลัวว่านางจะทำร้ายตัวเอง จึงคิดเข้ามาดู แต่ใครเล่าจะรู้ว่านางอาการกำเริบอีก ทั้งยังไม่ระวังทำร้ายท่าน...”“เจ้าหุบปากสักที!” เยี่ยเป่ยเฉิงหยัดกายยืน ปรี่เข้ามาบีบคอนางทันใด กดนางไว้บนบานประตูสายตาเขาดุร้ายน่าสะพรึงกลัวสุดขีด “ซวงเอ๋อ
คนบนเตียงไม่มีการตอบสนอง นางหลับตาสนิท ราวกับไร้ลมหายใจเยี่ยเป่ยเฉิงกุมมือนางไว้ในอุ้งมือของเขา พบว่ามือของนางเย็นเฉียบ ไร้ไออุ่นแม้แต่น้อยเขากุมปลายนิ้วอันเย็นเฉียบของนางแน่น ในลำคอกลืนกลั้นความเจ็บปวดที่ไร้เสียง“เหตุใดจึงเย็นเช่นนี้...ซวงเอ๋อร์ หนาวใช่หรือไม่?”คนบนเตียงยังคงไม่ตอบสนองต่อเขา ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรก็ตามเยี่ยเป่ยเฉิงประคองมือนาง วางไว้บนอกของตนเพื่อให้ความอบอุ่น แต่ไม่ว่าจะพยายามเพียงใดก็ไม่อาจทำให้อุ่นขึ้นได้แสงอาทิตย์ส่องผ่านหน้าต่างตกกระทบใบหน้านาง ทว่ากลับทำให้ผิวพรรณนางขาวซีดดั่งดอกไม้ ทั้งร่างราวกับถูกน้ำค้างแข็งเกาะเยี่ยเป่ยเฉิงโอบกอดนางแน่น สายใยในใจตึงเครียดราวกับจะขาดในชั่วขณะถัดไปโชคดีที่หมอหลวงมาถึงทันเวลาเมื่อเห็นหมอหลวงมาถึง เยี่ยเป่ยเฉิงไม่สนใจบาดแผลของตน สั่งให้หมอหลวงช่วยชีวิตหลินซวงเอ๋อร์ให้ได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดหมอหลวงไม่ทันได้คำนับ รีบวางหีบยาลง แล้วจับชีพจรหลินซวงเอ๋อร์เยี่ยเป่ยเฉิงยืนอยู่ข้างๆ หัวใจบีบรัดแน่น“นางเป็นอย่างไรบ้าง?”หมอหลวงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ทูลท่านอ๋อง พระชายาได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ ทำให้โทสะพลุ่งพล
หลินซวงเอ๋อร์หลับตาลงอย่างอ่อนล้า นางขยับริมฝีปาก ในที่สุดก็เอ่ยประโยคหนึ่งออกมา แต่ก็ยังคงเป็นประโยคเดิม “เป็นเพราะเจียงหว่านทำร้ายข้า...”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวเสียงนุ่ม “ยาของเจียงหว่าน ข้าได้ให้หมอหลวงตรวจสอบอีกครั้งแล้ว ยาของนางไม่มีปัญหา ซวงเอ๋อร์เกลียดนาง ข้าก็ได้ไล่นางไปแล้ว ต่อไปก็จะไม่ให้นางปรากฏตัวต่อหน้าเจ้าอีก”“ข้าต้องการเพียงให้นางชดใช้ด้วยชีวิต ท่านอ๋องไม่อาจสังหารนางได้จริงหรือ?” หลินซวงเอ๋อร์ค่อยๆ เงยหน้า สบดวงตาที่เต็มไปด้วยความรักลึกซึ้งคู่นั้น ชั่วขณะหนึ่งรู้สึกเพียงความพร่าเลือนดวงตาคู่นี้ของเขาช่างหลอกลวงนัก ทำให้นางหลงเชื่อครั้งแล้วครั้งเล่าว่า เขารักนางแต่ตอนนี้ นางจะไม่หลงเชื่อเขาอีกแล้วเห็นเขาไม่พูดอะไร หลินซวงเอ๋อร์มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะ “ช่างเถอะ...” นางถอนหายใจลึก ความหวังสุดท้ายที่มีต่อเขาในใจก็สิ้นสุดลงเชื่อหรือไม่เชื่อ สำหรับนางดูเหมือนไม่สำคัญอีกต่อไป“ท่านอ๋องไม่เชื่อก็ช่างเถอะ” นางเงยหน้ามองเรือนอวิ๋นซวน ที่นี่บรรจุความทรงจำมากมายของนาง แต่เมื่อคิดดูให้ดี ดูเหมือนความทรงจำที่เจ็บปวดจะมีมากกว่าที่แท้ นกกระจอกบินขึ้นกิ่งไม้ ก็ไม่อาจกลายเป
หลินซวงเอ๋อร์มองท้องฟ้า เห็นว่าเวลาไม่เช้าแล้ว วันนี้ไม่ว่าอย่างไรก็คงไปไม่ได้แล้ว จึงกล่าว “เจ้าค่ะ”เพียงแค่คืนเดียวเท่านั้น นางคงทนได้เยี่ยเป่ยเฉิงประคองใบหน้านาง พินิจมองนางอย่างละเอียด กล่าวว่า “ซวงเอ๋อร์ยิ้มหน่อยได้หรือไม่? ขอเพียงทำให้เจ้ามีความสุข จะให้ข้าทำอะไรก็ย่อมได้”ในอดีต ทุกการกระทำของเขาล้วนสั่นสะเทือนหัวใจนาง ทำให้ความสุขทุกข์ของนางปรากฏบนใบหน้า ความรักนับหมื่นพันสะสมอยู่ที่หางตาแต่ตอนนี้ เขาเอาอกเอาใจเพียงใด นางก็ไม่ยอมยิ้มให้เขาสักครั้งเยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกหวั่นใจ เขารู้สึกว่าระหว่างทั้งสอง ราวกับมีบางสิ่งค่อยๆ สูญหายไป ยิ่งเขาพยายามยึดไว้ สิ่งนั้นก็ยิ่งจางหายไปเร็วขึ้น“ซวงเอ๋อร์ยังโกรธอยู่ใช่หรือไม่? โกรธที่เมื่อวานข้าพูดเสียงดังกับเจ้า?”“ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าขอโทษเจ้า ข้าแค่โมโหจนมืดบอดไปชั่วขณะ ข้าจะไม่พูดเสียงดังกับเจ้าอีกแล้ว”หลินซวงเอ๋อร์ส่ายหน้า ไม่ว่าเขาจะทำอะไรตอนนี้ นางก็ไม่รู้สึกอะไรแล้วความเศร้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือหัวใจที่ตายด้าน ที่แท้ก็เป็นความรู้สึกเช่นนี้เยี่ยเป่ยเฉิงยิ้ม “ข้ารู้อยู่แล้ว ซวงเอ๋อร์ของข้า นิสัยดีที่สุด จะไม่โกรธสามีไปนาน”
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก