หลินซวงเอ๋อร์มองท้องฟ้า เห็นว่าเวลาไม่เช้าแล้ว วันนี้ไม่ว่าอย่างไรก็คงไปไม่ได้แล้ว จึงกล่าว “เจ้าค่ะ”เพียงแค่คืนเดียวเท่านั้น นางคงทนได้เยี่ยเป่ยเฉิงประคองใบหน้านาง พินิจมองนางอย่างละเอียด กล่าวว่า “ซวงเอ๋อร์ยิ้มหน่อยได้หรือไม่? ขอเพียงทำให้เจ้ามีความสุข จะให้ข้าทำอะไรก็ย่อมได้”ในอดีต ทุกการกระทำของเขาล้วนสั่นสะเทือนหัวใจนาง ทำให้ความสุขทุกข์ของนางปรากฏบนใบหน้า ความรักนับหมื่นพันสะสมอยู่ที่หางตาแต่ตอนนี้ เขาเอาอกเอาใจเพียงใด นางก็ไม่ยอมยิ้มให้เขาสักครั้งเยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกหวั่นใจ เขารู้สึกว่าระหว่างทั้งสอง ราวกับมีบางสิ่งค่อยๆ สูญหายไป ยิ่งเขาพยายามยึดไว้ สิ่งนั้นก็ยิ่งจางหายไปเร็วขึ้น“ซวงเอ๋อร์ยังโกรธอยู่ใช่หรือไม่? โกรธที่เมื่อวานข้าพูดเสียงดังกับเจ้า?”“ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าขอโทษเจ้า ข้าแค่โมโหจนมืดบอดไปชั่วขณะ ข้าจะไม่พูดเสียงดังกับเจ้าอีกแล้ว”หลินซวงเอ๋อร์ส่ายหน้า ไม่ว่าเขาจะทำอะไรตอนนี้ นางก็ไม่รู้สึกอะไรแล้วความเศร้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือหัวใจที่ตายด้าน ที่แท้ก็เป็นความรู้สึกเช่นนี้เยี่ยเป่ยเฉิงยิ้ม “ข้ารู้อยู่แล้ว ซวงเอ๋อร์ของข้า นิสัยดีที่สุด จะไม่โกรธสามีไปนาน”
ตงเหมยก้าวเข้าไปกอดหลินซวงเอ๋อร์ แทบจะร้องไห้พูดไม่ออก “ซวงเอ๋อร์ ข้ารู้ว่าใจเจ้าทุกข์ หลายวันมานี้ เรื่องระหว่างเจ้ากับท่านอ๋อง ข้าเห็นทั้งหมด ท่านอ๋องผิดต่อเจ้า”หลินซวงเอ๋อร์ส่ายหน้า “ไม่ใช่ เป็นข้าเองที่หาเรื่องทุกข์ใส่ตัว พวกนางพูดถูก ข้าฐานะต่ำต้อย จริงๆ แล้วไม่คู่ควรกับเขา...บัดนี้ เขาส่งข้ากลับชนบท ก็นับว่ายังให้เกียรติข้า”ตงเหมยกล่าว “ล้วนเป็นเพราะเจียงหว่านคอยก่อเรื่อง นับแต่นางมาที่นี่ ท่านอ๋องก็เปลี่ยนไป...”แม้หลินซวงเอ๋อร์ตั้งใจจะปล่อยวางทุกสิ่ง แต่พอได้ยินคำพูดของตงเหมย หัวใจก็ยังเจ็บราวถูกเข็มทิ่มแทงใช่แล้วเขาเปลี่ยนไปนับแต่เจียงหว่านมาถึง เขาก็เปลี่ยนไปที่แท้ ไม่ใช่นางคิดมากไป แม้แต่ตงเหมียยังมองออก แล้วนางจะไม่รู้สึกได้อย่างไร?“ไม่โทษเขาหรอก” หลินซวงเอ๋อร์ยิ้มขื่น “ใจคนย่อมเปลี่ยนแปลง ชาตินี้ ใครจะรักคนๆ เดียวไปตลอดกาลเล่า?”ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเป็นเยี่ยเป่ยเฉิงผู้สูงส่ง!แต่ก่อนนางเคยเตือนตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ให้ใจอ่อนกับเขา ให้รู้จักฐานะตัวเอง รักเขาเท่ากับตกลงในเหวลึกไม่มีวันกลับแต่นางลืมบทเรียนอันเจ็บปวด ยอมอ่อนข้อครั้งแล้วครั้งเล่า ลดมาต
จากนั้น นางนึกอะไรขึ้นได้ จึงกล่าวเพิ่ม “ท่านอ๋องอารมณ์ร้าย หากเขาถาม เจ้าก็บอกว่าของพวกนี้ ข้าเอาไปทั้งหมด เขาก็จะไม่โทษเจ้า”ตงเหมยพูดอย่างเศร้าใจ “เจ้าไปแล้ว ข้าจะทำอย่างไร ซวงเอ๋อร์ เจ้าพาข้าไปด้วยเถิด”หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกปวดใจ จริงๆ แล้วนางก็อาลัยตงเหมยมาก นับแต่เข้าจวนมา ตงเหมยปฏิบัติต่อนางเหมือนพี่น้องแท้ๆ บัดนี้นางจากไป ไม่รู้ว่าเมื่อใดจะได้พบกันอีกแต่หลินซวงเอ๋อร์รู้ว่า การจากไปครั้งนี้ นางจะไม่กลับมาอีก“ตงเหมยเจ้าช่างโง่นัก ข้าจะกลับชนบท ไม่ใช่ไปสุขสบาย เจ้าไปด้วยก็มีแต่ความลำบาก ไม่มีข้อดีอื่นใด สู้อยู่ในจวนนี้ อย่างน้อยก็มีข้าวกิน มีเสื้อผ้าอุ่นๆ ใส่”ตงเหมยกล่าว “แต่เจ้าปักผ้าเป็นไม่ใช่หรือ? พวกเราสามารถพึ่งพาตัวเองได้ เราอาจเช่าร้าน ทำมาหากิน ยังดีกว่าอยู่ที่นี่คอยเกรงใจผู้อื่น”หลินซวงเอ๋อร์เงียบไปครู่หนึ่งใช่แล้ว นางลืมความตั้งใจแรกไปได้อย่างไรนางเคยพูดว่า ความปรารถนาสูงสุดของนาง คือเก็บเงินให้พอไถ่ตัวออกจากจวน แล้วไปเช่าร้าน ทำการค้าเล็กๆ น้อยๆ เลี้ยงปากท้อง...แต่หลังจากรักเยี่ยเป่ยเฉิง ในใจในตานางมีแต่เขา ความสุขทุกข์ของเขาคือสิ่งที่นางใส่ใจที่สุดนางมั
เก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว หลินซวงเอ๋อร์ก็ไปที่ลาน ไปดูเหมาเหมา หรงหรง ต้าหู่ และจี๋เฟิงเป็นครั้งสุดท้ายต้าหู่เห็นนางก็ดีใจ นอนลงกับพื้นเผยท้องน้อยออกมาประจบหลินซวงเอ๋อร์นั่งยองๆ ลูบท้องนุ่มๆ ของมันหลังจากหายป่วย ต้าหู่ก็กินจุขึ้น ท้องที่เคยผอมลงก็กลับมาอวบอ้วนอีกครั้งหลินซวงเอ๋อร์ลูบหัวมัน กำชับ “ต้าหู่ เจ้าต้องว่านอนสอนง่ายนะ หลังจากข้าไปแล้ว เจ้าก็ต้องกินข้าวดีๆ”ต้าหู่ไม่เข้าใจคำพูดของนาง เพียงแต่เอาหัวมาถูไถที่เท้านางไม่หยุดหลินซวงเอ๋อร์ไปดูเหมาเหมาและหรงหรงกระต่ายทั้งสองตัวอ้วนท้วนขึ้น อีกตัวหนึ่งท้องใหญ่ผิดปกติ ดูท่าจะตั้งท้อง อีกไม่นานคงจะออกลูกมาทั้งครอกน่าเสียดายที่หลินซวงเอ๋อร์ไม่มีโอกาสได้เห็นแล้วนางใส่หญ้าแห้งและแครอทไว้ในรังกระต่ายมากมาย แล้วไปดูจี๋เฟิงเป็นครั้งสุดท้ายนี่เป็นม้าที่เยี่ยเป่ยเฉิงให้นาง ตัวเตี้ย ท่าทางซื่อๆ นิสัยอ่อนโยน และเข้าใจความรู้สึกคนที่สุดหลินซวงเอ๋อร์ชอบมันมากแต่คราวนี้ นางพามันไปด้วยไม่ได้ทุกสิ่งที่เยี่ยเป่ยเฉิงให้ นางไม่อยากเอาไป มันไม่ได้เป็นของนางตั้งแต่แรกพอเห็นหลินซวงเอ๋อร์ จี๋เฟิงก็ดีใจวิ่งวนเป็นวงกลม พอหลินซวงเอ๋อร์เ
นางมิอาจช่วยเหลืออันใดเขาได้เลย แต่อย่างน้อย ในภายหน้านางจะมิได้เป็นภาระแก่เขาอีกต่อไปกงชิงเยวี่ยกลับมิคิดที่จะปล่อยนางไปโดยง่าย หลินซวงเอ๋อร์ยิ่งเงียบขรึม กงชิงเยวี่ยก็ยิ่งรู้สึกว่าตนมีเหตุผลเหนือกว่า"เจ้าช่างอ่อนแอจนเกินงาม! มิพอยังทำร้ายเยี่ยเอ๋อร์อีกด้วย!""หลินซวงเอ๋อร์! ข้าว่าที่เจ้าเป็นเช่นนี้มิใช่เพราะป่วยไข้เสียกระไร แต่เป็นเพราะเจ้าคลุ้มคลั่งจนสิ้นสติไปแล้วต่างหาก!"หลินซวงเอ๋อร์กล่าวเบา ๆ ว่า "ข้าขอโทษ ข้ามิได้ตั้งใจ"นางมิเคยคิดจะทำร้ายเขาเลย เพียงแต่ในยามนั้นนางเองก็ไม่อาจบอกได้ว่าตนเป็นอันใดไป เสมือนว่าความคิดขุ่นมัวและมืดมิดในจิตใจครอบงำเพียงกระหายปลิดชีพผู้คน เมื่อกลับมาสู่ความสงบก็นึกสลดใจนักอย่างน้อย เขามิได้รับบาดเจ็บถึงจุดสำคัญหาไม่เช่นนั้นแม้จะจากไปแล้ว จิตใจนางก็คงมิอาจสงบสุขได้"คำขอโทษเพียงคำเดียวแล้วก็จบงั้นหรือ?" กงชิงเยวี่ยกล่าวด้วยความขึ้งโกรธ "เยี่ยเอ๋อร์ต้องบาดเจ็บเพราะเจ้าถึงสองคราแล้ว! คราครั้งแรกเจ้าทำเขาเกือบตาย หากมิใช่เพราะเจียงหว่านเข้าไปช่วยนางไว้ ข้าคงให้เจ้าไปตายตามไปแล้ว!"หลินซวงเอ๋อร์ยังคงกล่าวเพียงคำเดิม "ข้าขอโทษ"กงชิงเยวี่ยกล่า
ความมุ่งมั่นของหลินซวงเอ๋อร์ ทำให้กงชิงเยวี่ยโกรธมากขึ้นเรื่อย ๆบัดนี้นางมิใคร่ได้แม้แต่เงินทอง เพียงขอให้กงชิงเยวี่ยจงลบชื่อของนางออกจากตระกูล เพื่อให้สะดวกในการตัดสัมพันธ์กับเยี่ยเป่ยเฉิง!เหตุนี้แสดงชัดว่านางไม่ปรารถนาเยี่ยเป่ยเฉิงแม้แต่น้อย!กงชิงเยวี่ยทำหน้าเคร่งเครียด กล่าวด้วยเสียงที่ไม่พอใจว่า "เหตุใด? เจ้าคิดว่าลูกของข้าจะตามราวีเจ้าหรือ?"หลินซวงเอ๋อร์ส่ายหัวพร้อมกล่าวว่า "ไม่กล้าเจ้าค่ะ ท่านอ๋องคือผู้สูงส่งอยู่เหนือเมฆา ข้าเป็นเพียงคนต่ำต้อย ท่านอ๋องจะมาราวีข้าได้อย่างไร"กงชิงเยวี่ยกล่าว "เจ้ารู้เพียงเท่านี้ก็ดีแล้ว! เจ้าจงวางใจเถิด วันนี้ข้าจะลบชื่อของเจ้าออกไป และภายหลังนี้ เจ้าจะมิได้มีความเกี่ยวพันกับลูกข้าอีกต่อไป!""ขอเพียงแต่เจ้าจงอย่ามายุ่งกับลูกของข้าเท่านั้นก็พอ!"หลินซวงเอ๋อร์เอ่ย "ท่านหญิงวางใจเถิด ในครานี้ข้าจะไม่พัวพันกับท่านอ๋องอีกแล้ว"กงชิงเยวี่ยทอดสายตามองนางด้วยความรู้สึกไม่ชอบใจยิ่งขึ้น จึงโบกมือไล่นางออกไปตงเหมยทราบว่ากงชิงเยวี่ยได้เรียกหลินซวงเอ๋อร์ไปกล่าวอะไร เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ตงเหมยจึงแอบรู้สึกสงสารแท้จริงแล้ว สตรี
"กล่าวกันว่าเพื่อให้ซวงเอ๋อร์ได้รักษาอาการเจ็บไข้! แต่ใครจะรู้เล่า? อาจเป็นเพราะต้องการให้เจียงหว่านมีโอกาส อยากจะส่งซวงเอ๋อร์ไป! สรุปแล้ว ซวงเอ๋อร์ถูกท่านอ๋องทำร้ายจิตใจอย่างสาหัส ตอนนี้จึงดึงดันต้องการจากไปเพียงลำพัง!"ไป๋อวี้ถังรู้สึกหวิวในใจ "ทำร้ายจิตใจ? จากไปเพียงลำพัง?"ตงเหมยรีบปิดปากตัวเอง เมื่อครู่นางพูดคำที่ไม่ควรพูดอีกแล้วหลินซวงเอ๋อร์ที่ต้องการออกไปเพียงลำพัง เพราะไม่อยากให้เยี่ยเป่ยเฉิงรู้ว่าตนไปที่ไหน!แต่ไป๋อวี้ถังและเยี่ยเป่ยเฉิงมักจะสนิทกันมาโดยตลอด ใครจะรู้ว่าเขาจะบอกท่านอ๋องเรื่องนี้หรือไม่!เมื่อครุ่นคิดถึงตรงนี้ ตงเหมยอยากตีตัวเองหนักๆ จนทนไม่ไหว จึงรีบชี้แจงว่า "บ่าวพูดผิดไปเจ้าค่ะ"ไป๋อวี้ถังมองตงเหมยอย่างจริงจัง ดูเหมือนต้องการมองทะลุเข้าไปในใจของนางเมื่อถูกไป๋อวี้ถังจ้องมอง ตงเหมยรู้สึกเหมือนความคิดทุกอย่างถูกเปิดเผย ไม่อาจปิดบังได้ จึงรู้สึกหนาวสั่นและหัวเราะแห้งๆ ว่า "ใต้เท้าไป๋ เหตุใดมองบ่าวเช่นนี้? บ่าวกลัวเจ้าค่ะ..."ไป๋อวี้ถังยิ้มมุมปากและเอ่ยอย่างแผ่วเบา "ชนขนมดอกกุ้ยฮัวของเจ้าพัง ข้าจะไปซื้อชุดใหม่ให้เจ้า"ตงเหมยรีบตอบว่า "ไม่ต้องรบกวนใต้เท้
กลางดึกเยี่ยเป่ยเฉิงเปิดประตูห้องเข้าไป พบหลินซวงเอ๋อร์ที่หลับใหลอย่างสนิทวันนี้ เขาได้กราบทูลพระราชาว่าขอหยุดพักยาว โดยมุ่งมั่นว่าจะจัดการสิ่งสำคัญให้เรียบร้อยก่อนจะได้พักผ่อนร่วมกับนางในชนบทเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วย จึงทำให้เขาอยู่ในค่ายทหารนานกว่าปกติเยี่ยเป่ยเฉิงมองดูเงาร่างที่หลับอยู่บนเตียงด้วยสายตาอ่อนโยน เขาเลิกผ้าห่มขึ้นเบา ๆ จากนั้นนอนข้าง ๆ หลินซวงเอ๋อร์ โดยกอดนางจากด้านหลังหลินซวงเอ๋อร์เป็นคนที่นอนหลับไม่สนิท หากมีเสียงเล็กน้อยก็ทำให้นางตกใจตื่นขึ้นได้นางขยับเปลือกตาเบา ๆ พลิกตัวและค่อย ๆ เปิดตามองไป ก็เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงจ้องมองนางอย่างเต็มไปด้วยความรักทันทีที่เห็นเยี่ยเป่ยเฉิง หลินซวงเอ๋อร์มีความรู้สึกอยากจะหันไปอีกทาง เยี่ยเป่ยเฉิงยึดรั้งเอวนางไว้ไม่ให้นางขยับตัวหลินซวงเอ๋อร์ทำอะไรไมได้ จึงจำต้องเงยหน้าขึ้นมองเขาเยี่ยเป่ยเฉิงยิ้มอ่อนหวานและกล่าวว่า "ซวงเอ๋อร์ไม่อยากเห็นข้าหรือ?"หลินซวงเอ๋อร์ตอบ "ท่านอ๋องคิดมากไป ข้าแค่รู้สึกเหนื่อยมากก็เท่านั้น"เยี่ยเป่ยเฉิงกอดนางแน่นขึ้นเหมือนอย่างเคย ใช้มือเบา ๆ ตบหลังหลินซวงเอ๋อร์ ปลอบด้วยเสียงอ่อนโยนว่า "ทั้งหมดนี้เป็น
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก