ความมุ่งมั่นของหลินซวงเอ๋อร์ ทำให้กงชิงเยวี่ยโกรธมากขึ้นเรื่อย ๆบัดนี้นางมิใคร่ได้แม้แต่เงินทอง เพียงขอให้กงชิงเยวี่ยจงลบชื่อของนางออกจากตระกูล เพื่อให้สะดวกในการตัดสัมพันธ์กับเยี่ยเป่ยเฉิง!เหตุนี้แสดงชัดว่านางไม่ปรารถนาเยี่ยเป่ยเฉิงแม้แต่น้อย!กงชิงเยวี่ยทำหน้าเคร่งเครียด กล่าวด้วยเสียงที่ไม่พอใจว่า "เหตุใด? เจ้าคิดว่าลูกของข้าจะตามราวีเจ้าหรือ?"หลินซวงเอ๋อร์ส่ายหัวพร้อมกล่าวว่า "ไม่กล้าเจ้าค่ะ ท่านอ๋องคือผู้สูงส่งอยู่เหนือเมฆา ข้าเป็นเพียงคนต่ำต้อย ท่านอ๋องจะมาราวีข้าได้อย่างไร"กงชิงเยวี่ยกล่าว "เจ้ารู้เพียงเท่านี้ก็ดีแล้ว! เจ้าจงวางใจเถิด วันนี้ข้าจะลบชื่อของเจ้าออกไป และภายหลังนี้ เจ้าจะมิได้มีความเกี่ยวพันกับลูกข้าอีกต่อไป!""ขอเพียงแต่เจ้าจงอย่ามายุ่งกับลูกของข้าเท่านั้นก็พอ!"หลินซวงเอ๋อร์เอ่ย "ท่านหญิงวางใจเถิด ในครานี้ข้าจะไม่พัวพันกับท่านอ๋องอีกแล้ว"กงชิงเยวี่ยทอดสายตามองนางด้วยความรู้สึกไม่ชอบใจยิ่งขึ้น จึงโบกมือไล่นางออกไปตงเหมยทราบว่ากงชิงเยวี่ยได้เรียกหลินซวงเอ๋อร์ไปกล่าวอะไร เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ตงเหมยจึงแอบรู้สึกสงสารแท้จริงแล้ว สตรี
"กล่าวกันว่าเพื่อให้ซวงเอ๋อร์ได้รักษาอาการเจ็บไข้! แต่ใครจะรู้เล่า? อาจเป็นเพราะต้องการให้เจียงหว่านมีโอกาส อยากจะส่งซวงเอ๋อร์ไป! สรุปแล้ว ซวงเอ๋อร์ถูกท่านอ๋องทำร้ายจิตใจอย่างสาหัส ตอนนี้จึงดึงดันต้องการจากไปเพียงลำพัง!"ไป๋อวี้ถังรู้สึกหวิวในใจ "ทำร้ายจิตใจ? จากไปเพียงลำพัง?"ตงเหมยรีบปิดปากตัวเอง เมื่อครู่นางพูดคำที่ไม่ควรพูดอีกแล้วหลินซวงเอ๋อร์ที่ต้องการออกไปเพียงลำพัง เพราะไม่อยากให้เยี่ยเป่ยเฉิงรู้ว่าตนไปที่ไหน!แต่ไป๋อวี้ถังและเยี่ยเป่ยเฉิงมักจะสนิทกันมาโดยตลอด ใครจะรู้ว่าเขาจะบอกท่านอ๋องเรื่องนี้หรือไม่!เมื่อครุ่นคิดถึงตรงนี้ ตงเหมยอยากตีตัวเองหนักๆ จนทนไม่ไหว จึงรีบชี้แจงว่า "บ่าวพูดผิดไปเจ้าค่ะ"ไป๋อวี้ถังมองตงเหมยอย่างจริงจัง ดูเหมือนต้องการมองทะลุเข้าไปในใจของนางเมื่อถูกไป๋อวี้ถังจ้องมอง ตงเหมยรู้สึกเหมือนความคิดทุกอย่างถูกเปิดเผย ไม่อาจปิดบังได้ จึงรู้สึกหนาวสั่นและหัวเราะแห้งๆ ว่า "ใต้เท้าไป๋ เหตุใดมองบ่าวเช่นนี้? บ่าวกลัวเจ้าค่ะ..."ไป๋อวี้ถังยิ้มมุมปากและเอ่ยอย่างแผ่วเบา "ชนขนมดอกกุ้ยฮัวของเจ้าพัง ข้าจะไปซื้อชุดใหม่ให้เจ้า"ตงเหมยรีบตอบว่า "ไม่ต้องรบกวนใต้เท้
กลางดึกเยี่ยเป่ยเฉิงเปิดประตูห้องเข้าไป พบหลินซวงเอ๋อร์ที่หลับใหลอย่างสนิทวันนี้ เขาได้กราบทูลพระราชาว่าขอหยุดพักยาว โดยมุ่งมั่นว่าจะจัดการสิ่งสำคัญให้เรียบร้อยก่อนจะได้พักผ่อนร่วมกับนางในชนบทเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วย จึงทำให้เขาอยู่ในค่ายทหารนานกว่าปกติเยี่ยเป่ยเฉิงมองดูเงาร่างที่หลับอยู่บนเตียงด้วยสายตาอ่อนโยน เขาเลิกผ้าห่มขึ้นเบา ๆ จากนั้นนอนข้าง ๆ หลินซวงเอ๋อร์ โดยกอดนางจากด้านหลังหลินซวงเอ๋อร์เป็นคนที่นอนหลับไม่สนิท หากมีเสียงเล็กน้อยก็ทำให้นางตกใจตื่นขึ้นได้นางขยับเปลือกตาเบา ๆ พลิกตัวและค่อย ๆ เปิดตามองไป ก็เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงจ้องมองนางอย่างเต็มไปด้วยความรักทันทีที่เห็นเยี่ยเป่ยเฉิง หลินซวงเอ๋อร์มีความรู้สึกอยากจะหันไปอีกทาง เยี่ยเป่ยเฉิงยึดรั้งเอวนางไว้ไม่ให้นางขยับตัวหลินซวงเอ๋อร์ทำอะไรไมได้ จึงจำต้องเงยหน้าขึ้นมองเขาเยี่ยเป่ยเฉิงยิ้มอ่อนหวานและกล่าวว่า "ซวงเอ๋อร์ไม่อยากเห็นข้าหรือ?"หลินซวงเอ๋อร์ตอบ "ท่านอ๋องคิดมากไป ข้าแค่รู้สึกเหนื่อยมากก็เท่านั้น"เยี่ยเป่ยเฉิงกอดนางแน่นขึ้นเหมือนอย่างเคย ใช้มือเบา ๆ ตบหลังหลินซวงเอ๋อร์ ปลอบด้วยเสียงอ่อนโยนว่า "ทั้งหมดนี้เป็น
มาหวนคิดอีกที ที่แท้คือการหลอกลวงทั้งสิ้นโลกนี้ไม่มีคำมั่นสัญญาที่คงอยู่นิรันดร์ ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นเพียงวาทะกรรมของผู้คนเท่านั้นเยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “ใครว่าเชื่อไม่ได้ คำพูดที่ข้าเคยกล่าวต่อซวงเอ๋อร์ ล้วนเป็นจริงทุกคำ สัญญาที่ให้ไว้ ก็ล้วนเป็นความสัตย์จริง” จู่ๆ หลินซวงเอ๋อร์หัวเราะออกมา แต่สักครู่ก็ตามด้วยน้ำตาไหลริน“ข้ายังจดจำ คำสัญญาที่ท่านอ๋องเคยกล่าวไว้ทุกคำ ข้าบอกว่า หากวันใดท่านอ๋องตระบัดสัตย์ ซวงเอ๋อร์จะขอตายแทนท่าน ยินดีตกนรกหมกไหม้แทน แต่จนวันนี้ข้าก็ยังมีชีวิตอยู่”เยี่ยเป่ยเฉิงมักคิดว่าคำพูดนางประโยคนี้มีความนัยแอบแฝง จึงจับใบหน้านางแล้วกล่าวด้วยความเป็นห่วง “ซวงเอ๋อร์พูดอันใด ข้าเคยตระบัดสัตย์เมื่อไหร่กัน ข้าบอกว่าจะรักและปกป้องซวงเอ๋อร์ชั่วชีวิต ข้าพูดคำไหนคำนั้นเสมอ”หลินซวงเอ๋อร์กล่าวทั้งน้ำตา “ใช่เจ้าค่ะ ท่านอ๋องเคยรับปากเช่นนั้น”แต่เขาก็ทำให้นางผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า“ซวงเอ๋อร์...” เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึก พลางกล่าว “เจ้าไม่ได้เรียกข้าว่าท่านพี่นานแล้ว...”หลินซวงเอ๋อร์หันข้างให้เขา เนิ่นนานก่อนจะกล่าวเสียงเบา “สำหรับท่านอ๋องแล้ว นี่เป็นสิ่งส
หลังจากเยี่ยเป่ยเฉิงออกไปแล้ว หลินซวงเอ๋อร์จึงเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดธรรมดา พร้อมหยิบห่อผ้าที่ซ่อนอยู่ใต้เตียงออกมา เตรียมตัวจะจากไปตงเหมยมารอแต่เช้าตรู่แล้ว ครั้นเห็นเยี่ยเป่ยเฉิงออกไป นางจึงเข้ามาในห้องทันทีในยามนี้ หลินซวงเอ๋อร์ได้จัดเก็บสัมภาระเสร็จสิ้น เตรียมตัวออกเดินทางตงเหมยรีบมากอดนางไว้ กล่าวด้วยความอาวรณ์ “ซวงเอ๋อร์ คิดดีแล้วหรือว่าจะไปที่ใด? รอข้าไถ่ตัวได้ จะรีบไปอยู่ด้วยทันที”หลินซวงเอ๋อร์กล่าวตอบ “ตอนนี้ยังไม่ได้คิด แต่แผ่นดินกว้างใหญ่ คงมีที่ให้ข้าได้อยู่บ้าง”ตงเหมยนำขนมกุ้ยฮวาที่ซื้อมาเมื่อวานใส่ในกล่องอาหารใบหนึ่ง พร้อมยื่นให้หลินซวงเอ๋อร์และกล่าว “ไปจากที่นี่แล้ว ต่อไปคงไม่ได้กินของเหล่านี้อีก ข้าตั้งใจซื้อมาให้เจ้า เอาไว้กินระหว่างทางเถิดนะ”หลินซวงเอ๋อร์รับไว้แล้วกล่าวต่อตงเหมย “ขอบใจเจ้ามาก ตงเหมย อุตส่าห์เตรียมของเหล่านี้เพื่อข้าอีก”ตงเหมยขอบตาแดงเรื่อขึ้น นางสูดจมูกเล็กน้อยพลางกล่าว “อย่าเกรงใจเลย เพียงแค่ของกินเล็กน้อยเท่านั้น ไยจึงต้องซาบซึ้งถึงเพียงนี้”หลินซวงเอ๋อร์ตบไหล่ตงเหมย พลางกล่าว “อย่าเสียใจมากนัก เราไม่ได้ตายจากกันเสียหน่อย ถือว่าข
หลินซวงเอ๋อร์ยิ้มๆ พลางกล่าว “เป็นความจริงรึ? เจ้าไม่คิดว่าข้าเพ้อเจ้อหรอกหรือ?”ตงเหมยส่ายหน้า พลางกล่าว “ไม่เลย ตั้งแต่รู้จักเจ้ามา ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เคยพูดโกหก แม้ว่าอาจเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ แต่ข้าก็เชื่อว่าเจ้าพูดจริง”หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกตื้นตันใจยิ่งที่แท้ คนที่ไม่เชื่อนาง สุดท้ายกลับมีแต่เยี่ยเฉิงเป่ยเพียงผู้เดียวหลินซวงเอ๋อร์เก็บงำความขมขื่นในใจไว้ พลางกำชับต่อตงเหมย “เมื่อคืนได้ยินท่านอ๋องบอกว่า ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยหลายคนที่ไม่ได้รับการรักษา แต่เพราะเขาไม่เชื่อข้า เจ้าจงเอาเลือดของข้าไปหาองค์หญิง ให้นางออกหน้า ถือว่าเลือดนี้เป็นยาถอนพิษไปมอบให้แก่ท่านอ๋อง”ตงเหมยมองดูข้อมือที่เต็มไปด้วยบาดแผลของนาง พลางกล่าวด้วยความปวดใจ “หมายความว่า ก่อนหน้านี้ผู้ป่วยโรคระบาดหลายคน ล้วนดื่มเลือดของเจ้าจึงได้หายดีกระนั้นรึ?”หลินซวงเอ๋อร์ยิ้มเจื่อน “ใช่ น่าอัศจรรย์ใช่หรือไม่? ที่เลือดของข้าสามารถรักษาโรคระบาดได้ แต่กลับช่วยตัวเองไม่ได้”ตงเหมยกล่าว “ถ้าเช่นนั้นเจ้ากรีดมาแล้วกี่หน? เสียเลือดไปมากเท่าใด? เจ็บมากหรือไม่?”เมื่อได้ยินดังนี้ หลินซวงเอ๋อร์เกือบร้องไห้ออกมามีหรือจะไม่เจ
เสียงล้อรถค่อยๆ ห่างไกลไปทุกทีท้องฟ้าด้านนอกขาวโพลนจนดูแสบตา หลินซวงเอ๋อร์เลิกผ้าม่านมองดูความคึกคักของเมืองฉางอันเป็นครั้งสุดท้ายคนควบรถม้ายังคงทำหน้าที่ได้ดี พารถม้ามุ่งสู่แผ่นดินที่กว้างใหญ่ขึ้นและในเวลานี้ ความรู้สึกในใจหลินซวงเอ๋อร์รู้สึกสับสนยิ่งอารมณ์อันหลากหลาย มีทั้งอาลัยอาวรณ์ ทั้งความโล่งใจ มากกว่านั้นก็คือการหลุดพ้นจากกันครั้งนี้ ผ่านเขาสูงสายน้ำไกล ทุกสิ่งในเมืองหลวง จะไม่เกี่ยวข้องกับนางอีกรถม้ายังคงวิ่งผ่านถนนที่ทอดยาว จนใกล้จะออกนอกเมือง เสียงกึกกักของฝีเท้าม้าชวนให้รู้สึกง่วงงุนอยู่ไม่น้อย หลินซวงเอ่อร์เริ่มจะง่วงนอนวุ่นวายมาทั้งคืน นางรู้สึกอ่อนล้าเต็มที จึงค่อยๆ ปล่อยผ้าม่านลง ตั้งใจจะหลับตางีบเสียหน่อย แต่จู่ๆ ได้ยินเสียงคุ้นเคยดังขึ้น หลินซวงเอ๋อร์สะดุ้งพร้อมเงยหน้า จึงเห็นร่างสูงสง่าร่างหนึ่งขวางอยู่หน้ารถม้าของนางร่างของเขาย้อนแสงก็จริง แต่ยังแลดูสง่าผ่าเผย สูงโปร่งสะโอดสะอง คล้ายดั่งจันทราสายลม ให้ความรู้สึกสดชื่นสบายตาเมื่อได้พบเห็นชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าคล้ายภาพจำของนางในวัยเยาว์ไม่มีผิดฉีหมิงนั่นเองที่มาอยู่เบื้องหน้ารถม้า“หยุดรถ” หลิน
หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกลำบากใจยิ่ง ความยึดติดของฉีหมิงใกล้จะถึงขั้นคลุ้มคลั่งก็ว่าได้แต่นางก็รู้ดี แม้นางไม่รักเขา ก็ไม่ควรให้เขาเสียเวลาอีกเพื่อให้เขายอมตัดใจโดยสิ้นเชิง หลินซวงเอ๋อร์จำต้องแข็งใจกล่าว “แต่ข้าไม่รักท่าน ข้าไม่ได้รักท่านจริงๆ...”“ไม่ว่าท่านจะทำเพื่อข้าเท่าใด นอกจากซาบซึ้งแล้ว ข้าไม่อาจมีใจให้ท่านได้ เพราะนับแต่แรกมา ข้าก็เห็นท่านเป็นเพียงพี่ชาย”“พี่ฉี ปล่อยข้าไปเถิดนะ โปรดอย่าดื้อแพ่งอีกเลย ข้าขอร้องท่านล่ะ...”ในที่สุดฉีหมิงก็ยอมปล่อยตัวนางเขายืนยิ่งอยู่ตรงหน้า ประหนึ่งหุ่นเชิดที่ไร้จิตวิญญาณที่แท้ ในสมรภูมิแห่งความรักนี้ เขาไม่มีทางแม้จะต่อสู้ช่วงชิงเสียด้วยซ้ำ“แม้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงจะทำผิดต่อเจ้า เจ้าก็ไม่ยอมมองข้ากระนั้นรึ?” สายตาเขาโศกเศร้า แต่ยังคงเต็มไปด้วยความหลงใหล เร่าร้อน และความคาดหวังที่ไม่อาจปล่อยวาง“แม้ข้าจะยอมละทิ้งทุกสิ่ง พาเจ้าไปจากเมืองหลวง เจ้าก็ไม่ยอมอยู่กับข้ากระนั้นรึ?”หลินซวงเอ๋อร์เม้มปาก เงียบไปชั่วขณะหนึ่งฉีหมิงยังคงกล่าวต่อ “ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ใช่คนมากรักหลายใจ แต่แรกมา ข้าก็ปักใจต่อเจ้าผู้เดียว แม้ฝันก็ต้องการแต่งงานกับเจ้า อยู่ร่ว
วันที่เจียงหว่านกำลังจะถูกเนรเทศ ในที่สุดเจียงเช่อก็มาหาถึงหน้าประตูเขาคุกเข่าเบื้องหน้าเยี่ยเป่ยเฉิง เว้าวอนขอเยี่ยเป่ยเฉิงปล่อยเจียงหว่านไปขณะที่เดินทางมา เขารับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วเจียงหว่านลอบวางยาพระชายาเยี่ย ใช้ประชาชนที่ติดโรคทดลองยา เข่นฆ่าคนบริสุทธิ์ ผลาญชีวิตคนดุจผักดุจปลา นับเป็นอาชญากรรมอันชั่วร้ายที่สุด......แต่ไม่ว่าอย่างไร เจียงหว่านก็เป็นน้องสาวเขา เป็นคุณหนูหนึ่งเดียวของตระกูลเจียง เจียงเช่อมิอาจนั่งนิ่งดูดาย ปล่อยให้นางไปตายได้“ขอร้องท่านอ๋องไว้ชีวิตนางเถิด เป็นเพราะข้าตามใจนางจนเสียคน หากท่านอ๋องจะลงโทษ โปรดลงที่เจียงเช่อเถิดพะยะค่ะ”เมื่อเห็นเจียงเช่อ สายตาสิ้นหวังของเจียงหว่านพลันมีประกายความหวังขึ้น“พี่......ท่านพี่ ช่วยข้าด้วย ข้าไม่อยากไปแดนเถื่อน ข้าอยากกลับบ้าน ท่านพี่ช่วยข้าด้วย......”เจียงเช่อขมวดคิ้วเขม็งจ้องเจียงหว่าน สายตาแฝงเร้นด้วยแววเกยีดชังเข้าไส้เขารู้ว่าเจียงหว่านต้องโทษตาย ยามนี้แค่เนรเทศ ถือว่าเมตตามากแล้ว แต่เขาเองก็รู้ว่า สถานที่อย่างแดนเถื่อนนั้น มิใช่สถานที่ที่สตรีตัวคนเดียวจะไปได้ การเนรเทศนางไปที่นั่น เท่ากับส่งนางไปขุมนร
“เลือดของนาง...”เจียงหว่านสีหน้าตกตะลึงตอนนั้น ตอนที่ฮุ่ยอี๋มอบยาถอนพิษใส่ในมือนาง นางเคยเอาทิ้งไว้หลายขวด เดิมทีคิดศึกษาส่วนผสมในนั้น ทว่าด้านในกลับมีส่วนผสมยาเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือเลือดมนุษย์...แรกเริ่ม นางคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล! กระทั่งยามนี้นางถึงได้เชื่อความจริง ส่วนประกอบของยานั้น มีเพียงเลือดมนุษย์จริงๆ! ทั้งยังเป็นเลือดของหลินซวงเอ๋อร์! เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ในที่สุดนางก็เข้าใจ!มิน่า...ตอนนั้น นางใช้ยาปริมาณมาก แต่กลับไม่อาจทำให้หลินซวงเอ๋อร์ถึงตาย! ไม่คิดว่าเลือดของนางจะขจัดพิษในร่างนางโดยมองไม่เห็น...ฮุ่ยอี๋เอ่ย “เจ้ายังมีหน้าพูดว่าไม่ได้ฆ่าคนเป็นผักเป็นปลาอีก! เจียงหว่าน เจ้าลืมแล้วหรือว่าเจ้าวางยาซวงเอ๋อร์อย่างไร? เสด็จอาให้อภัยเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ข้าไม่มีวันเกรงใจเจ้า!”คำพูดนี้สองแง่สองง่าม เห็นชัดว่ากำเย้ยหยันเยี่ยเป่ยเฉิงที่ดึงหมาป่าเจ้าเล่ห์เข้าบ้าน!เยี่ยเป่ยเฉิงตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม ไร้ซึ่งแรงโต้กลับยามนี้ เขามิอาจชำระคืนได้ ซวงเอ๋อร์ของเขาไม่มีวันกลับมาอีกต่อไป!สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้ คือทำให้เจียงหว่านชดใช้อย่างสาสมที่สุด ส่วนตัวเขา ชีวิตที่
เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม สายตาที่มองเจียงหว่านเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง ไม่มีความอ่อนโยนเลยสักนิดเขาอยากฆ่านางตั้งนานแล้ว ที่ปล่อยนางรอดมาจนถึงตอนนี้ ก็แค่อยากให้นางได้รับความทรมานจนตายบัดนี้เห็นนางตกยากเช่นนี้ เยี่ยเป่ยเฉิงกลับรู้สึกว่าบทลงโทษแค่นี้ยังมิพอเจียงหว่านถูกทรมานจนเหมือนตายดีกว่าอยู่มานานแล้ว นางรู้ เยี่ยเป่ยเฉิงไม่มีทางปล่อยนางไปง่ายๆ หลังจากคิดดูแล้ว หากตายด้วยน้ำมือของเยี่ยเป่ยเฉิงได้ ก็คงจะดีกว่าตอนนี้ ที่ดูดซับยาเข้าสู่ร่างกายทุกวัน ถูกฝันร้ายหลอกหลอนทุกคืนสุดท้ายก็ไม่สามารถหนีจากพิษและเสียชีวิตลงได้!อย่างไรก็ตาย มิสู้ให้เยี่ยเป่ยเฉิงจบชีวิตนางด้วยมือเขาเอง!เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางก็ยิ้มเยาะ จงใจกล่าวยั่วยุเขา “เยี่ยเป่ยเฉิง เจ้ามีฝีมือแค่นี้หรือ? แน่จริงก็ฆ่าข้าไปเลยสิ!”“ฆ่าข้าให้มันจบๆ ไปเสีย!”เยี่ยเป่ยเฉิงปรายตามองนาง พลางกล่าวอย่างเย็นชา “ตอนนั้น เจ้าก็ทรมานซวงเอ๋อร์เช่นนี้!”เจียงหว่านกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้วอย่างไร!”“ลูกในท้องนางข้าก็เป็นคนทำร้ายเอง! ร่างกายอ่อนแอแบบนั้นของนางต่อไปจะตั้งครรภ์ไม่ได้อีกแล้ว!”“ที่นางฝันร้ายทุกคืน ก็เป็นข้าที่ทำเอง
หลายสิบปีมานี้ นางทำเรื่องชั่วมานับไม่ถ้วน ทุกเรื่อง นางจิตใจสงบ ไม่เคยรู้สึกผิดเลยมีเพียงเจียงหลิง…มีเพียงการตายของเจียงหลิง ทำให้นางยากจะข่มตานอนได้…ตลอดเวลาที่ผ่านมา ในฐานะคุณหนูรอง เจียงหว่านไม่เป็นที่ชื่นชอบของพ่อแม่มาตลอด พี่ชายก็ยิ่งไม่สนใจนาง ทว่าเจียงหลิงกลับได้รับความรักมากมาย…นางอิจฉาเจียงหลิง และแทบอยากทำให้อีกฝ่ายหายไปจากโลกใบนี้แต่เจียงหลิงกลับรักเอ็นดูนางมาตั้งแต่ต้นจนจบ ปกป้องนาง มอบของที่ดีที่สุดในโลกใบนี้ให้แก่นาง…เจียงหลิงเป็นพี่สาวที่ดีต่อนางที่สุดบนโลกใบนี้…ทว่าที่นางต้องการหาใช่แค่พี่สาวอย่างเดียว นางต้องการความรักของทุกคน นางต้องการให้พ่อแม่ พี่ชายรกนางแค่คนเดียว นางอยากครอบครองของที่ดีที่สุดไว้กับตัวเอง ไม่ใช่รอให้คนอื่นมอบให้!ดังนั้น ในคืนวันหิมะตก นางผลักเจียงหลิงตกน้ำ มองนางจมตายทั้งเป็นอยู่ใต้น้ำ หลังจากนั้นนางก็ติดวันเกิดเวลาเกิดของเจียงหลิงบนตุ๊กตาคุณไสย แทงเธอทุกวัน สวดภาวนาทุกคืน นางต้องการให้เจียงหลิงไม่มีโอกาสได้ผุดได้เกิด ไม่หวนกลับมาตลอดกาล!เพราะมีเพียงแค่ทำแบบนี้ นางถึงจะไม่มีโอกาสแก้แค้นตัวเอง!แต่ทำไม…ทำไมตอนนี้นางถึงยังหาตัวเอง
ยาซึมเข้าสู่ร่างกายติดกันหลายวันทำให้เจียงหว่านค่อยๆ เป็นบ้าในห้องที่ปิดสนิท เจียงหว่านหดตัวอยู่บนพื้นเหมือนดินโคลนตัวนางเหม็นมาก ชุดกระโปรงสีรากบัวเปลี่ยนเป็นสกปรกและเก่าองครักษ์ทำให้เส้นเอ็นมือของนางขาด ตรงบาดแผลถูกทาขี้ผึ้งปิดแผลชั้นแล้วชั้นเล่าแม้ขี้ผึ้งปิดแผลจะเป็นยาสำหรับปกปิด ทว่ากลับมีผลดีต่อการหยุดเลือดบาดแผลแข็งตัวจนกลายเป็นสะเก็ดไปแล้ว เพียงแต่ไม่ได้รับการรักษาที่ดีกว่านี้ แม้จะดีขึ้นก็ยังเหลือรอยแผลเป็นอัปลักษณ์เอาไว้ธูปในห้องไม่เคยลดลงเลยทั้งวัน ประกอบกับกระกระตุ้นของต้นคลีเวีย ความคิดต่ำช้าที่อยู่ในตัวนางแทบจะถูกกระตุ้นออกมาทั้งหมดสองตานางแดงก่ำ ดูฉุนเฉียวไม่น้อย กรีดร้องโวยวายอยู่ในห้อง ประหนึ่งคนบ้าคนหนึ่งองครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าห้องไม่สนใจนางสักนิด ได้แต่ทรมานนางไม่ให้นางตายทุกวันความเคียดแค้นฉายออกมาจากในตาเจียงหว่าน เวลานี้ นางได้ปล่อยว่างความหลงใหลต่อเยี่ยเป่ยเฉิงแล้ว ไม่ว่าจะรักมากขนาดไหนก็แปรเปลี่ยนเป็นความชิงชังเข้ากระดูก“เยี่ยเป่ยเฉิง! ปล่อยข้ากลับไป! ปล่อยข้ากลับไปสิ!”“แน่จริงก็ฆ่าข้าเลยสิ!ฆ่าข้าให้มันจบๆ ! ท่านมีสิทธิ์อะไรมาขังข้าไว้เช่นนี
“ได้ยินว่าพ่อแม่ที่เลี้ยงดูเจ้าเสียไปนานแล้ว แล้วเจ้ากับพี่ชายอยู่มาได้อย่างไร?”“แล้วเหตุใดเจ้าจึงขายตัวไปเป็นบ่าวไพร่? หลายปีมานี้ เจ้าคงผ่านความลำบากมิใช่น้อย เคยถูกใครรังแกหรือไม่?”หลินซวงเอ๋อร์พลันเกิดความขมขื่นในจิตใจเดิมที หากไม่เอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้ นางยังพออดทนได้บ้าง แต่เมื่ออวี๋หว่านหนิงถามขึ้นมา นางก็อดรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเสียมิได้นางเม้มปากพลางจ้องมองนิ้วมือตนเอง น้ำตาเริ่มเอ่อล้น พร้อมหยดแหมะลงหลังมือทีละหยดนางอยู่สบายหรือไม่?นางเคยถามตนเองอยู่เช่นกันหลายปีมานี้ นางผ่านเรื่องราวมากมาย สูญเสียบิดามารดา สูญเสียพี่ชายไป กลายเป็นเด็กกำพร้าที่ไร้ญาติขาดมิตรโดยแท้แต่หากคิดดีๆ ชีวิตนางก็เคยอยู่สุขสบายมาช่วงหนึ่งนั่นคือตอนอยู่กับเยี่ยเป่ยเฉิง นางมีความสุขจริงๆในตอนนั้น เยี่ยเป่ยเฉิงเป็นกำลังใจให้นาง ซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ หาของดีมาให้กิน สอนนางเรียนหนังสือ พาไปเดินเล่นท่องทะเลสาบ ให้ความรักต่อนางอย่างชนิดไร้ผู้เทียบเทียม...ในเวลานั้น นางมีความสุขเหลือล้น เป็นความสุขมากที่สุดในชีวิต แม้แต่ฝันก็ยังเป็นฝันหวาน...แต่ต่อมา ทุกอย่างกลับแปรเปลี่ยน ก่อนหน้านี้เคยสุ
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หลินซวงเอ๋อร์แทบชะงักงันไปที่บั้นเอวนางมีปานแดงรูปเสี้ยวจันทร์จริงๆ ท่านแม่บอกว่า มันมีติดตัวมาตั้งแต่นางเกิด เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่บั้นเอว จึงมีน้อยคนที่จะรู้เรื่องนี้“ท่าน...คือแม่ของข้าจริงหรือ?” หลินซวงเอ๋อร์หัวใจเต้นแรง ขอบตาแดงเรื่อขึ้นอวี๋หว่านหนิงยื่นมือมาจับมือของนางไว้ พลางกล่าวเสียวเศร้า “ซวงเอ๋อร์ ข้าคือแม่เจ้าจริงๆ หลายปีนี้ทำให้เจ้าลำบากนัก...”แม่นมซุนอยู่ด้านข้างพลางกล่าวเสริม “องค์หญิง นางคือเสด็จแม่ของท่านจริงๆ หลายปีมานี้ ฮองเฮาไม่เคยเลิกราในการตามหาท่าน เพียงแต่ภาคกลางกว้างขวางนัก พวกท่านเองก็ข่าวคราวเงียบหาย หลายปีนี้ พวกท่านลำบากก็จริง ฮองเฮาก็ไม่ได้สุขสบายใจ...”หลินซวงเอ๋อร์นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ พลันหันไปมองอวี๋หว่านหนิงแล้วกล่าว “ที่จริง ข้าไม่เคยตำหนิท่านเลย เพียงแต่บางครั้งก็เคยคิด ว่าท่านแม่จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้หรือไม่”“ตอนยังเป็นเด็ก ข้าเคยคาดหวังให้นางมาหาบ้าง แต่พอโตขึ้นก็ไม่เห็นนางมาเสียที ข้าจึงภาวนาให้นางอยู่ดีมีสุขแทน แม้จะไม่ได้พบหน้า แต่ขอให้นางยังมีชีวิตอยู่ เป็นความคิดถึงในใจก็เพียงพอแล้ว...”
อวี๋หว่านหนิงรับเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา พลันเกิดความตื้นตันจนไม่รู้ตอบอย่างไรดีทันใดนั้น แม่นมซุนเดินขึ้นมาพร้อมกล่าว “องค์หญิง ที่นี่คือวังหลวงแห่งเป่ยหรง ฮองเฮาทรงตามหาท่านมานาน ทุ่มแทแรงกายแรงใจไม่น้อยกว่าจะหาพบ...”“องค์หญิง?” หลินซวงเอ๋อร์นึกว่าตนหูฝาดไป “ท่านเรียกข้าอยู่หรือ?”นางกล่าวตอบ “พวกท่านจำคนผิดหรือเปล่า ข้าไม่ใช่องค์หญิง ข้าคือหลินซวงเอ๋อร์ต่างหาก”นางเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้ง เติบโตมาจากชนบทแร้นแค้น เป็นเพียงสาวใช้ต่ำต้อยผู้หนึ่งเท่านั้นองค์หญิงอะไรกัน ยังมีวังเป่ยหรงอีก แล้วใครคือฮองเฮา?พวกนางคงจำคนผิดเป็นแน่แม่นมซุนกล่าวตอบ “ไม่ผิดเจ้าค่ะ ไม่มีผิดแน่นอน ท่านก็คือองค์หญิงของเรา องค์หญิงที่พลัดพรากจากฮองเฮาไป...”หลินซวงเอ๋อร์คล้ายกับยังมึนงงอยู่ ความคิดนางเกิดความสับสน ปวดหัวเป็นอย่างมากแม่นมซุนอธิบายต่อ “สมัยที่อดีตฮ่องเต้สวรรคต ฮ่องเต้องค์ใหม่ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ ราชสำนักเป่ยหรงเกิดความวุ่นวาย ตอนนั้นฮองเฮายังมีฐานะเป็นเพียงพระชายาแห่งรัชทายาท นางเสี่ยงอันตรายให้กำเนิดแฝดชายหญิงคู่หนึ่ง เพื่อปกป้องชีวิตของพวกท่านไว้ จึงให้คนสนิทส่งพวกท่านออก
หลินซวงเอ๋อร์เปลือกตากระตุกเล็กน้อย นางก็อยากตื่น แต่ทำอย่างไรก็ไม่อาจตื่นขึ้นมาหน้าอกคล้ายถูกกรีดจนเป็นแผลเหวอะหวะ เหงื่อเย็นในตัวไหลพราก ลำคอคล้ายถูกงูพิษตัวหนึ่งรัดไว้ ยิ่งรัดก็ยิ่งแน่น จนนางใกล้จะหายใจไม่ออกข้างโสตนั้น ได้ยินเสียงคุ้นหูประเดี๋ยวไกลประเดี๋ยวใกล้ ถัดจากนั้น คล้ายมีมืออ่อนโยนลูบไล้ใบหน้านางเบาๆ“เด็กดี หมดเรื่องแล้ว เจ้าปลอดภัยดีแล้ว รีบตื่นมาเถิด ตื่นมาเร็วเข้า...”หลังจากได้ยินเสียงนั้นชัดเจนมากขึ้น ลำคอที่ถูกรัดแน่นก็ค่อยๆ คลายออก นางลืมตาช้าๆ ภาพเบื้องหน้าจากพร่ามัวจนกลายเป็นชัดเจน สิ่งแรกที่เข้าสู่ม่านตาก็คือม่านคลุมเตียงสีม่วงที่อยู่เหนือศีรษะขึ้นไป คล้ายเป็นภาพฝัน เสมือนเป็นแหยักษ์ที่ถูกเหวี่ยงลงมา เพื่อคลุมตัวนางให้อยู่ตรงกลางเตียงนี้เป็นเตียงที่สวยงาม จนแม้แต่เสาเตียงก็เป็นลวดลายที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน หัวเตียงนอกจากจะแกะสลักลายดอกไม้แล้วยังฝังด้วยหยกเจียระไนงดงามและพลอยล้ำค่าอีกชั่วขณะนั้น นางรู้สึกมึนงงยิ่งนี่มันเป็นที่ไหนกัน?“ซวงเอ๋อร์ เจ้ารู้สึกตัวแล้วรึ?” จนกระทั่งข้างหูได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง นางจำได้ว่าตอนอยู่ในความฝัน ได้ยินเสียงนี้จนคุ