“หลินซวงเอ๋อร์ เจ้าไม่รู้ภาษาคนหรืออย่างไร ข้าบอกให้ไสหัวไป ให้เจ้าออกไปได้ยินหรือไม่”ฮุ่ยอี๋ไม่ยอมรับน้ำที่หลินซวงเอ๋อร์ยื่นส่งให้ พลางกระชากผ้านวมแล้วห่อหุ้มร่างตัวเองมิดชิด จากนั้นก็ซุกตัวไปที่มุมๆ หนึ่ง พยายามรักษาระยะห่างกับหลินซวงเอ๋อร์ไว้“องค์หญิงไม่ต้องกลัว ข้าไม่ไปไหน จะอยู่กับท่านที่นี่ อยู่เป็นเพื่อนท่านเอง” หลินซวงเอ๋อร์ยังคงพูดปลอบนางด้วยความอดทนแสงไฟในห้องดูมืดสลัว ยิ่งฮุ่ยอี๋ไปซุกอยู่ในมุมห้อง ใบหน้าก็ยิ่งดูรางเลือน จนไม่เห็นสีหน้าชัดเจนหลินซวงเอ๋อร์กล่าวเสียงอ่อนโยน “องค์หญิง รีบดื่มน้ำก่อนเถิด ดื่มน้ำแล้วจะช่วยให้อาการดีขึ้น แล้วทุกอย่างก็จะดีขึ้นตาม”พูดพลาง หลินซวงเอ๋อร์ยื่นมือออกไป คิดจะส่งถ้วยน้ำให้แก่ฮุ่ยอี๋ฮุ่ยอี๋ตัวสั่นอย่างแรง สีหน้าแปรเปลี่ยน กลายเป็นดุดันน่ากลัว นางยกมือขึ้นปัดถ้วยน้ำที่หลินซวงเอ๋อร์ยื่นมา เสียงถ้วยตกลงพื้นจนน้ำกระเซ็นไปทั่ว แม้แต่ถ้วยก็แตกละเอียดหลินซวงเอ๋อร์ตกตะลึง ไม่คาดคิดว่าฮุ่ยอี๋จะมีปฏิกิริยารุนแรงถึงเพียงนี้ฮุ่ยอี๋กล่าวเสียงเย็นชา “เจ้าถอยไปห่างๆ ได้ยินหรือไม่”หลินซวงเอ๋อร์ไม่ตอบ พลางก้มตัวลงเก็บเศษกระเบื้องขึ้นมาทีละ
ทันใดนั้น ปราการขวางกั้นคนนอกที่อยู่ในใจของฮุ่ยอี๋ก็พังทลายลง นางรู้สึกคล้ายเห็นแสงสว่างรำไรที่ปลายฟ้า เริ่มมีกลิ่นอายแห่งความหวังใหม่ ฉายออกจากตัวของหลินซวงเอ๋อร์นางไม่เคยร้องไห้เสียใจเช่นนี้มาก่อน ตั้งแต่เล็กจนโต นางเป็นองค์หญิงที่ถูกประคบประหงมโดยผู้คนรอบข้าง มีเพียงครั้งนี้เท่านั้น ที่ร้องไห้ต่อหน้าหลิงซวงเอ๋อร์จนแทบหมดสภาพ...ถัดมา ก็มีมือนิ่มข้างหนึ่งหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาบรรจงซับน้ำตาให้นาง พร้อมได้ยินเสียงปลอบโยนแผ่วเบาอยู่ข้างหูเป็นเสียงที่ทำให้จิตใจนางสงบลงได้อย่างน่าประหลาด“องค์หญิงไม่ต้องกลัว ข้าจะไม่ไปไหน จะอยู่เคียงข้างองค์หญิงเสมอ”ฮุ่ยอี๋ยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้น แม้แต่จะพูดยังตะกุกตะกัก“ซวงเอ๋อร์ ข้ากำลังจะตาย ข้าป่วยเป็นโรคระบาด หมอหลวงบอกว่าหมดทางเยียวยาแล้ว...”“เสด็จพ่อเสด็จแม่ก็ไม่ต้องการข้าอีก พวกเขาจับข้ามาขังไว้ที่นี่ ปล่อยตามบุญตามกรรม...”“ซวงเอ๋อร์ ข้ารู้สึกกลัวมาก ข้าจะตายอย่างอนาถหรือเปล่า ใครๆ ก็บอกว่าโรคนี้น่ากลัว ข้าจะตายในสภาพที่ยับเยิน...”“ข้ายังไม่อยากตาย หรือต่อให้ต้องตายจริง ข้าก็ไม่อยากตายน่าเกลียด ข้าอยากตายอย่างสวยงาม ไม่ต้องการให้เนื
น้ำร้อนถูกเทลงอ่างรวดเร็วจนเต็ม หลินซวงเอ๋อร์ช่วยฮุ่ยอี๋ถอดเอาเสื้อผ้าตัวหนาออกไป พร้อมประคองนางแช่ไปในอ่างอาบน้ำรูปร่างฮุ่ยอี๋สูงกว่าหลินซวงเอ๋อร์ครึ่งศีรษะ น้ำหนักเดิมทีก็มากกว่าอยู่แล้ว แต่ระยะนี้เพราะนางไม่ค่อยได้กินอาหารจึงทำให้ซูบผอมลงมาก จนในที่สุดยังผอมกว่าหลินซวงเอ๋อร์เสียอีกหลังจากถอดเสื้อผ้าแต่ละชั้นออก ฮุ่ยอี๋จึงเห็นทั่วร่างกายเต็มไปด้วยผื่นแดง จนเกิดความรู้สึกเย็นวาบจากปลายเท้าจนขึ้นถึงศีรษะ“ซวงเอ๋อร์ ข้ากำลังจะตายใช่หรือไม่?”ฮุ่ยอี๋นั่งอยู่ในอ่างอาบน้ำ ซึ่งบัดนี้น้ำร้อนปริ่มมาถึงคอหอย ทันทีที่ร่างกายจุ่มลงไป รู้สึกคล้ายมีแมลงนับไม่ถ้วนมากัดแทะร่างอยู่หลินซวงเอ๋อร์กล่าวปลอบใจ “องค์หญิงอย่าได้หวาดกลัว นี่เป็นเพียงอาการของโรคในระยะเริ่มต้น ยังพอมีทางรักษาได้”ฮุ่ยอี๋สูดจมูกจนรู้สึกแสบ พลางถามด้วยความเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “จริงหรือ? แต่เห็นคนอื่นบอกว่า โรคระบาดครั้งนี้รุนแรงนัก ถ้าผื่นแดงเป็นหนองแล้วแตกเมื่อใด ผิวก็จะเริ่มอักเสบ พออักเสบก็จะมีไข้ขึ้นสูง หลังจากนั้นก็คืออวัยวะภายในถูกกัดกินจนตายไป..”เสียงของฮุ่ยอี๋ค่อยๆ เบาลง ร่างกายเริ่มสั่นเทา “ซวงเอ๋อร์ หลายว
หลินซวงเอ๋อร์กล่าว “องค์หญิงก็คือรางวัลที่ดีสำหรับข้าแล้ว ข้าเองก็มีเพื่อนน้อย แค่ได้เป็นเพื่อนกับองค์หญิง สำหรับข้าก็คือรางวัลชิ้นใหญ่ที่สุด”ฮุ่ยอี๋กล่าว “หากเจ้าไม่อยากเป็นท่านหญิงจริง งั้นข้าจะให้ของอื่นแทน ไข่มุกราตรีชอบหรือไม่? นั่นเป็นของขวัญวันเกิดข้าที่เสด็จแม่ประทานให้มา ข้าเก็บรักษาไว้อย่างดี จ้าวชิงชิงเคยมาขอดู ข้ายังไม่ให้ด้วยซ้ำ ข้าจะมอบให้เจ้าดีหรือไม่”หลินซวงเอ๋อร์กล่าวตอบ “ข้าไม่ต้องการ นั่นเป็นของๆ องค์หญิง ข้ารับไม่ได้”ฮุ่ยอี๋กล่าว “เช่นนั้นข้าจะให้เป็นเงินหมื่นตำลึง เงินทองเจ้าต้องชอบแน่”หลินซวงเอ๋อร์กล่าว “ไม่ต้อง สามีข้าก็มีเงินอยู่ ไม่ต้องการเงินจากองค์หญิงอีก”ฮุ่ยอี๋ครุ่นคิดหนัก ปุบปับไม่รู้จะให้สิ่งใดแก่นางดีจู่ๆ หลินซวงเอ๋อร์ได้กล่าวขึ้น “องค์หญิงไม่ต้องให้สิ่งใดทั้งสิ้น สามีข้าเคยสอนว่า ผู้ดีคบกันความสัมพันธ์เย็นชื่นดั่งสายน้ำ ระหว่างสหายจึงไม่ต้องมีของนอกกายมาเชื่อมความสัมพันธ์”ฮุ่ยอี๋ได้ยินดังนี้ พลันรู้สึกคล้ายถูกทุบหัวจนตาสว่างขึ้นเพราะแต่ไหนแต่ไรมา นางคุ้นชินกับการใช้เงินทองและอิทธิพลซื้อใจคน และผู้อื่นมาเข้าหานางก็ล้วนหวังผลประโยชน์ทั้งสิ
หลินซวงเอ๋อร์นำน้ำที่มีหยดโลหิตของตนไปให้ฮุ่ยอี๋ดื่มฮุ่ยอี๋นึกว่าเป็นน้ำธรรมดา จึงไม่ได้ผิดสังเกต ดื่มจนหมดถึงรู้สึกว่ามีกลิ่นแปลกๆ ไม่คุ้นชิน“ซวงเอ๋อร์ น้ำนี้ไฉนจึงมีกลิ่นแปลก? ดื่มแล้วคล้ายกับมีกลิ่นคาวเลือด”หลินซวงเอ๋อร์กล่าวตอบ “องค์หญิงคิดมากไปแล้ว เพราะประสาทสัมผัสขององค์หญิงมีปัญหาต่างหาก รออีกสักพักก็คงจะดีขึ้น”“จริงรึ?” ฮุ่ยอี๋แอบมุ่ยปากเล็กน้อย แต่ก็เชื่อคำพูดของหลินซวงเอ๋อร์หลินซวงเอ๋อร์กล่าวต่อ “ตอนนี้องค์หญิงเชิญพักผ่อนได้ ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเอง เชื่อว่าคงไม่ฝันร้ายอีก”ฮุ่ยอี๋ว่านอนสอนง่าย พร้อมเอนกายลงบนเตียง สองตาทรงเมล็ดซิ่งจ้องมองหลินซวงเอ๋อร์เขม็ง“แต่เจ้าก็ไม่ต้องกลัว ถ้าทั่วป๋าจิ่นกล้ามาแตะต้องเจ้า ต่อให้แลกด้วยชีวิต ข้าก็จะปกป้องเจ้าเอง”หลินซวงเอ๋อร์กล่าวตอบ “ข้าไม่กลัวหรอก สิ่งสำคัญตอนนี้ คือเจ้ารีบหายไวๆ ก็พอ”เมื่อได้ยินดังนี้ ฮุ่ยอี๋ก็รู้สึกท้อใจ “แต่ข้าป่วยเป็นโรคระบาด ใครๆ ก็ว่าหมดทางรักษา...”หลินซวงเอ๋อร์กล่าวตอบ “ก็ไม่แน่นัก อาจมีทางรักษาก็เป็นได้ เพียงแต่ต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์”นางไม่กล้ารับรองว่าเลือดของตนจะรักษาฮุ่ยอี๋ได้จริงหรื
นับแต่ต้าหู่ถูกพิษจนล้มป่วย ตงเหมยจึงได้คิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้นางจำได้ว่าก่อนต้าหู่จะไม่สบายนั้น เจียงหว่านกับโม่อวิ๋นได้มาที่เรือนตะวันออกอยู่หลายครั้ง และพอพวกนางกลับไปแล้ว ต้าหู่กับเหมาเหมาและหรงหรงก็ทยอยล้มป่วย...ข้อนี้ทำให้ตงเหมยเกิดความสงสัยเป็นอย่างมากโม่อวิ๋นโกรธจนแทบเต้น “เจ้าอย่าได้กล่าวหาส่งเดช ใครกันที่ทำเรื่องลับๆ ล่อๆ”ตงเหมยกล่าวตอบ “ก่อนต้าหู่จะไม่สบาย มีเพียงเจ้ากับคุณหนูที่มายังเรือนตะวันออก พอพวกเจ้ากลับไปแล้ว ต้าหู่ก็เริ่มป่วย พวกเจ้าเห็นข้าโง่หรืออย่างไร? รอไว้ท่านอ๋องกลับมาเมื่อใด ข้าจะรายงานเรื่องนี้ให้รู้ ดูซิจะมีการลงโทษพวกเจ้าอย่างไร?”โม่อวิ๋นรู้สึกมีเหงื่อซึมในฝ่ามือ แต่ยังแสร้งทำเฉไฉ “คุณหนูเราเป็นหมอมาหลายปี ช่วยคนนับไม่ถ้วน ใครๆ ก็ยกย่องเป็นหมอเทวดาเสียด้วยซ้ำ นางจะไม่มีวันทำเรื่องช่นนั้น”สายตาตงเหมยจับจ้องที่มือสั่นเทาของนาง พลางกล่าวเสียงเย็น “ในเมื่อไม่ได้ทำ แล้วเหตุใดเจ้าต้องกลัวด้วย เหตุใดจึงต้องมือสั่น นั่นแสดงว่ากินปูนร้อนท้อง”คำพูดของตงเหมยเกือบทำให้โม่อวิ๋นเผยพิรุธ นางรู้ดี ตงเหมยจงใจยั่วยุนาง เพราะตงเหมยไม่มีหลัก
เมื่อรู้ว่ายาที่ตัวเองจัดใช้ได้ผล เจียงหว่านรีบนำข่าวนี้บอกแก่เยี่ยเป่ยเฉิงทันที“ท่านอ๋องในที่สุดข้าก็จัดยาดีที่รักษาโรคระบาดออกมาได้แล้ว!”นางตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด ตื่นเต้นจนโถมเข้าไปในอ้อมแขนเยี่ยเป่ยเฉิงครั้นได้ยินข่าวนี้ เยี่ยเป่ยเฉิงอึ้งไปก่อน จากนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นมา และผลักนางออกไปทันทีเจียงหว่านถูกผลักจนรนถอยหลังไปสองสามก้าว ท่าทางนางแข็งทื่อเล็กน้อย ก่อนกล่าวด้วยความอาย “ขอโทษด้วย ข้าตื่นเต้นเกินไปหน่อย จึงลืมตัวไปชั่วขณะ”เยี่ยเป่ยเฉิงปัดชายผ้าตรงที่นางสัมผัส สีหน้ารังเกียจแวบผ่านขึ้นมาบนใบหน้า ก่อนกล่าวด้วยความราบเรียบ “รีบเข้าเรื่อง!”เจียงหว่านกล่าว “ข้าจัดยารักษาโรคระบาดออกมาได้แล้ว ตอนนี้มีทางช่วยพวกชาวบ้านแล้ว!”สำหรับคำพูดของเจียงหว่าน เยี่ยเป่ยเฉิงไม่ตื่นเต้นเลยสักนิดอย่างไรเสีย หลายครั้งก่อนหน้า นางก็ทำให้เขาผิดหวังมากเกินไป เขาจึงส่งคนเดินทางไกลไปเชิญเสิ่นป๋อเหลียงจากแคว้นหลิวมานานแล้วเพียงแต่ แคว้นหลิวค่อนข้างไกล ห่างจากเมืองหลวงพันลี้ การเดินทางไปกลับจึงเสียเวลาไปมากเมื่อได้ยินว่าเจียงหว่านจัดยารักษาออกมาได้แล้ว เยี่ยเป่ยเฉิงจึงมีท่าทางเชื่อครึ่งไ
เจียงหว่านสีหน้าซีดเซียว “ไม่! เจียงหว่านจะไม่แต่งงานออกไป! เจียงหว่านแค่อยากอยู่ข้างกายท่านอ๋อง อยู่เป็นเพื่อนท่านอ๋องตลอดไป…”เยี่ยเป่ยเฉิงพยายามอดทนอย่างมาก ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง “ข้ามีพระชายาอยู่ด้วยก็เพียงพอแล้ว! หากเจ้ายังไม่รู้จักไร้ยางอายเช่นนี้อยู่อีก รังแต่จะทำให้ข้ารู้สึกรังเกียจมากขึ้น!”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “หากรักษาโรคระบาดครั้งนี้ได้สำเร็จ ก้ถือว่าเป็นเกียรตืยศของตระกูลเจียงเจ้า! ส่วนอย่างอื่น ข้าข้าแนะขำเจ้าอย่าได้คิดเพ้อฝัน!”เจียงหว่านกัดริมฝีปากแน่น พลางพยักหน้า และพยายามกล่าวด้วยความอดกลั้น “เจ้าค่ะ เจียงหว่านเข้าใจแล้ว…”นางหยัดกายลุกขึ้นด้วยความหมดอาลัยตายอยาก และเดินออกไปจากกระโจมของเยี่ยเป่ยเฉิงสายลมด้านนอกกระโจมพัดต้องกายนาง ช่างเหน็บหนาวจับใจความเหน็บหนาวเช่นนี้ แล่นมาจากก้นบึ้งสุดหัวใจนางรักเขามาตั้งหลายปี ละทิ้งทุกสิ่งเพื่อเขา และลดศักดิ์ศรีของตัวเองลง ทว่าเขาก็ยังไม่ยอมชายตามองนางเลยสักนิด!นางไม่เข้าใจว่าตัวเองเทียบหลินซวงเอ๋อร์ตรงไหนไม่ได้ ทั้งๆ ที่นางเลิศกว่าหลินซวงเอ๋อร์ทุกอย่าง ดีกว่านางทุกอย่าง… แต่ในใจเขา กลับมีแค่ผู้หญิงคนนั้น…
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก