หลินซวงเอ๋อร์นำน้ำที่มีหยดโลหิตของตนไปให้ฮุ่ยอี๋ดื่มฮุ่ยอี๋นึกว่าเป็นน้ำธรรมดา จึงไม่ได้ผิดสังเกต ดื่มจนหมดถึงรู้สึกว่ามีกลิ่นแปลกๆ ไม่คุ้นชิน“ซวงเอ๋อร์ น้ำนี้ไฉนจึงมีกลิ่นแปลก? ดื่มแล้วคล้ายกับมีกลิ่นคาวเลือด”หลินซวงเอ๋อร์กล่าวตอบ “องค์หญิงคิดมากไปแล้ว เพราะประสาทสัมผัสขององค์หญิงมีปัญหาต่างหาก รออีกสักพักก็คงจะดีขึ้น”“จริงรึ?” ฮุ่ยอี๋แอบมุ่ยปากเล็กน้อย แต่ก็เชื่อคำพูดของหลินซวงเอ๋อร์หลินซวงเอ๋อร์กล่าวต่อ “ตอนนี้องค์หญิงเชิญพักผ่อนได้ ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเอง เชื่อว่าคงไม่ฝันร้ายอีก”ฮุ่ยอี๋ว่านอนสอนง่าย พร้อมเอนกายลงบนเตียง สองตาทรงเมล็ดซิ่งจ้องมองหลินซวงเอ๋อร์เขม็ง“แต่เจ้าก็ไม่ต้องกลัว ถ้าทั่วป๋าจิ่นกล้ามาแตะต้องเจ้า ต่อให้แลกด้วยชีวิต ข้าก็จะปกป้องเจ้าเอง”หลินซวงเอ๋อร์กล่าวตอบ “ข้าไม่กลัวหรอก สิ่งสำคัญตอนนี้ คือเจ้ารีบหายไวๆ ก็พอ”เมื่อได้ยินดังนี้ ฮุ่ยอี๋ก็รู้สึกท้อใจ “แต่ข้าป่วยเป็นโรคระบาด ใครๆ ก็ว่าหมดทางรักษา...”หลินซวงเอ๋อร์กล่าวตอบ “ก็ไม่แน่นัก อาจมีทางรักษาก็เป็นได้ เพียงแต่ต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์”นางไม่กล้ารับรองว่าเลือดของตนจะรักษาฮุ่ยอี๋ได้จริงหรื
นับแต่ต้าหู่ถูกพิษจนล้มป่วย ตงเหมยจึงได้คิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้นางจำได้ว่าก่อนต้าหู่จะไม่สบายนั้น เจียงหว่านกับโม่อวิ๋นได้มาที่เรือนตะวันออกอยู่หลายครั้ง และพอพวกนางกลับไปแล้ว ต้าหู่กับเหมาเหมาและหรงหรงก็ทยอยล้มป่วย...ข้อนี้ทำให้ตงเหมยเกิดความสงสัยเป็นอย่างมากโม่อวิ๋นโกรธจนแทบเต้น “เจ้าอย่าได้กล่าวหาส่งเดช ใครกันที่ทำเรื่องลับๆ ล่อๆ”ตงเหมยกล่าวตอบ “ก่อนต้าหู่จะไม่สบาย มีเพียงเจ้ากับคุณหนูที่มายังเรือนตะวันออก พอพวกเจ้ากลับไปแล้ว ต้าหู่ก็เริ่มป่วย พวกเจ้าเห็นข้าโง่หรืออย่างไร? รอไว้ท่านอ๋องกลับมาเมื่อใด ข้าจะรายงานเรื่องนี้ให้รู้ ดูซิจะมีการลงโทษพวกเจ้าอย่างไร?”โม่อวิ๋นรู้สึกมีเหงื่อซึมในฝ่ามือ แต่ยังแสร้งทำเฉไฉ “คุณหนูเราเป็นหมอมาหลายปี ช่วยคนนับไม่ถ้วน ใครๆ ก็ยกย่องเป็นหมอเทวดาเสียด้วยซ้ำ นางจะไม่มีวันทำเรื่องช่นนั้น”สายตาตงเหมยจับจ้องที่มือสั่นเทาของนาง พลางกล่าวเสียงเย็น “ในเมื่อไม่ได้ทำ แล้วเหตุใดเจ้าต้องกลัวด้วย เหตุใดจึงต้องมือสั่น นั่นแสดงว่ากินปูนร้อนท้อง”คำพูดของตงเหมยเกือบทำให้โม่อวิ๋นเผยพิรุธ นางรู้ดี ตงเหมยจงใจยั่วยุนาง เพราะตงเหมยไม่มีหลัก
เมื่อรู้ว่ายาที่ตัวเองจัดใช้ได้ผล เจียงหว่านรีบนำข่าวนี้บอกแก่เยี่ยเป่ยเฉิงทันที“ท่านอ๋องในที่สุดข้าก็จัดยาดีที่รักษาโรคระบาดออกมาได้แล้ว!”นางตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด ตื่นเต้นจนโถมเข้าไปในอ้อมแขนเยี่ยเป่ยเฉิงครั้นได้ยินข่าวนี้ เยี่ยเป่ยเฉิงอึ้งไปก่อน จากนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นมา และผลักนางออกไปทันทีเจียงหว่านถูกผลักจนรนถอยหลังไปสองสามก้าว ท่าทางนางแข็งทื่อเล็กน้อย ก่อนกล่าวด้วยความอาย “ขอโทษด้วย ข้าตื่นเต้นเกินไปหน่อย จึงลืมตัวไปชั่วขณะ”เยี่ยเป่ยเฉิงปัดชายผ้าตรงที่นางสัมผัส สีหน้ารังเกียจแวบผ่านขึ้นมาบนใบหน้า ก่อนกล่าวด้วยความราบเรียบ “รีบเข้าเรื่อง!”เจียงหว่านกล่าว “ข้าจัดยารักษาโรคระบาดออกมาได้แล้ว ตอนนี้มีทางช่วยพวกชาวบ้านแล้ว!”สำหรับคำพูดของเจียงหว่าน เยี่ยเป่ยเฉิงไม่ตื่นเต้นเลยสักนิดอย่างไรเสีย หลายครั้งก่อนหน้า นางก็ทำให้เขาผิดหวังมากเกินไป เขาจึงส่งคนเดินทางไกลไปเชิญเสิ่นป๋อเหลียงจากแคว้นหลิวมานานแล้วเพียงแต่ แคว้นหลิวค่อนข้างไกล ห่างจากเมืองหลวงพันลี้ การเดินทางไปกลับจึงเสียเวลาไปมากเมื่อได้ยินว่าเจียงหว่านจัดยารักษาออกมาได้แล้ว เยี่ยเป่ยเฉิงจึงมีท่าทางเชื่อครึ่งไ
เจียงหว่านสีหน้าซีดเซียว “ไม่! เจียงหว่านจะไม่แต่งงานออกไป! เจียงหว่านแค่อยากอยู่ข้างกายท่านอ๋อง อยู่เป็นเพื่อนท่านอ๋องตลอดไป…”เยี่ยเป่ยเฉิงพยายามอดทนอย่างมาก ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง “ข้ามีพระชายาอยู่ด้วยก็เพียงพอแล้ว! หากเจ้ายังไม่รู้จักไร้ยางอายเช่นนี้อยู่อีก รังแต่จะทำให้ข้ารู้สึกรังเกียจมากขึ้น!”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “หากรักษาโรคระบาดครั้งนี้ได้สำเร็จ ก้ถือว่าเป็นเกียรตืยศของตระกูลเจียงเจ้า! ส่วนอย่างอื่น ข้าข้าแนะขำเจ้าอย่าได้คิดเพ้อฝัน!”เจียงหว่านกัดริมฝีปากแน่น พลางพยักหน้า และพยายามกล่าวด้วยความอดกลั้น “เจ้าค่ะ เจียงหว่านเข้าใจแล้ว…”นางหยัดกายลุกขึ้นด้วยความหมดอาลัยตายอยาก และเดินออกไปจากกระโจมของเยี่ยเป่ยเฉิงสายลมด้านนอกกระโจมพัดต้องกายนาง ช่างเหน็บหนาวจับใจความเหน็บหนาวเช่นนี้ แล่นมาจากก้นบึ้งสุดหัวใจนางรักเขามาตั้งหลายปี ละทิ้งทุกสิ่งเพื่อเขา และลดศักดิ์ศรีของตัวเองลง ทว่าเขาก็ยังไม่ยอมชายตามองนางเลยสักนิด!นางไม่เข้าใจว่าตัวเองเทียบหลินซวงเอ๋อร์ตรงไหนไม่ได้ ทั้งๆ ที่นางเลิศกว่าหลินซวงเอ๋อร์ทุกอย่าง ดีกว่านางทุกอย่าง… แต่ในใจเขา กลับมีแค่ผู้หญิงคนนั้น…
“ซวงเอ๋อร์…ซวงเอ๋อร์เจ้ารีบมาดูเร็ว ผื่นแดงบนตัวข้าหายไปหมดแล้วใช่ไหม?”หลินซวงเอ๋อร์รีบเดินไปอยู่ข้างๆ ฮุ่ยอี๋ แล้วเลิกเสื้อของนางขึ้น พบว่าผื่นแดงบนตัวนาวหายไปหมดแล้วจริงๆ หลินซวงเอ๋อร์อดดีใจไม่ได้ รีบให้จื่อหลันไปเชิญหมอหลวงมาไม่นานจื่อหลันก็พาหมอหลวงมา หมอหลวงยืนลังเลอยู่หน้าประตูไม่กล้าเข้ามาหลินซวงเอ๋อร์ยืนอยู่หน้าประตูคุยกับหมอหลวง “หากท่านหมอกลัว ก็ตรวจอยู่ที่หน้าประตูก็ได้”หมอหลวงซาบซึ้งอย่างมาก และตั้งใจจะตรวจฮุ่ยอี๋อยู่ตรงหน้าประตูจริงหลินซวงเอ๋อร์แง้มประตูออก พอให้ฮุ่ยอี๋ยื่นมือออกมาได้พอดีหมอหลวงเห็นผื่นแดงบนแขนนางหายไปหมดแล้ว ก็อดตกใจไม่ได้หลังจากที่เขาตรวจอย่างละเอียดแล้ว ก็พูดไม่ออกอยู่นานด้วยอารามตกตะลึง“นี่…นี่มันมหัศจรรย์นัก…”ใจฮุ่ยอี๋บีบแน่น รีบสอบถาม “เป็นอย่างไร? เจ้ารีบว่ามาสิ!”หมอหลวงพูดจาสะเปะสะปะด้วยความตื่นเต้น “ไม่คิดเลยว่าอาการขององค์หญิงจะดีขึ้นอย่างน่าประหลาด…กระหม่อมจะไปกราบทูลฝ่าบาทและพระสนมเดี๋ยวนี้พะย่ะค่ะ…”ฮุ่ยอี๋เหม่อลอยอยู่เนิ่นนาน จวบจนหลินซวงเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างเรียกนาง ฮุ่ยอี๋ถึงได้สติกลับมา“ซวงเอ๋อร์…ข้าไม่ได้ฟังผิดไปใ
หลินซวงเอ๋อร์พยักหน้า “เจ้าค่ะ”หลังจากสงบลงแล้ว ถึงได้ถามในสิ่งที่สงสัยในใจออกมา“แต่ข้าไม่เข้าใจเหตุใดเลือดของเจ้าถึงรักษาโรคได้?”หลินซวงเอ๋อร์กล่าว “ไม่รู้สิ หม่อมฉันเดาว่า อาจเป็นเพราะข้าทานยามากมายมาตั้งแต่เด็ก ก่อนหน้านี้ก็ถูกงูดำหางไหม้กัดไปทีหนึ่ง และด้วยความบังเอิญ ในเลือดของข้าอาจมีบางอย่างรักษาโรคนี้ได้”คิดอยู่ครู่หนึ่ง แม้จะรู้สึกคาดไม่ถึง ทว่ากลับเชื่อวาจาของหลินซวงเอ๋อร์ นางมองหลินซวงเอ๋อร์ ก่อนกล่าวด้วยความหมายลึกซึ้ง “หากเป็นอย่างที่เจ้าว่า เลือดของเจ้าช่างเป็นยาดีจริงๆ …”หลินซวงเอ๋อร์กล่าว “ในเมื่อพระองค์หายแล้ว หม่อมฉันก็ไม่ขออยู่ที่นี่เป็นเพื่อนพระองค์แล้ว หม่อมฉันจะไปหาสามีหม่อมฉันอยากใช้เลือดตัวเองไปรักษาผู้คนที่ติดโรคระบาดเหล่านั้น”“ไม่ได้!”รีบขวางนางไว้หลินซวงเอ๋อร์มองด้วยความสงสัย “ทำไมหรือ?”กล่าว “เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือ? หากให้คนทั้งใต้หล้ารู้ว่าเลือดของเจ้าแก้พิษได้ ทั้งตัวเจ้านี้เกรงว่าคงถูกหลายคนโหยหาแล้ว!”หลินซวงเอ๋อร์อธิบาย“ไม่ใช่้เพคะ เลือดของหม่อมฉันไม่สามารถแก้พิษหลากหลายชนิดได้ เพียงแค่รักษาโรคระบาดได้เท่านั้น องค์หญิงเข้าใจผิดแ
เจียงหว่านตามเยี่ยเป่ยเฉิงเข้าวังไปด้วย นางอยากรู้ โรคระบาดที่แม้แต่นางยังรักษาไม่หาย ยังมีใครเก่งกว่านางอีก!ไม่นานทั้งสองก็มาถึงวัง ณ เวลานี้ประตูใหญ่ตำหนักหลวนเฟิ่งปิดสนิท หมอหลวงในวังเดินตามกันออกมาจากข้างในทีละคนฮ่องเต้โยกย้ายหมอหลวงในวังทุกคนมาตรวจชีพจรให้ฮุ่ยอี๋ หลังได้เสียงตอบกลับเป็นคำเดียวกัน ฮ่องเต้ก็ด,่งใจในที่สุดทุกคนต่างใคร่รู้ โรคระบาดของฮุ่ยอี๋ดีขึ้นได้อย่างไร ฮุ่ยอี๋บอกแค่เพียงว่าหลินซวงเอ๋อร์หาท่านหมออวิ๋นโหยวจากนอกวังมาและให้ยาแก่นาง ผื่นแดงบนตัวนางก็หายไปหมดอย่างน่าอัศจรรย์ฮุ่ยอี๋ว่าด้วยท่าทางจริงจัง แม้ทุกคนจะสงสัย กระนั้นก็ไม่ถามอะไรมากอีก อย่างไรเสีย เรื่องเร่งด่วนตอนนี้คือกำจัดโรคระบาดนี้ให้สิ้น ในเวลานี้เอง มีขันทีมาแจ้งว่า เยี่ยเป่ยเฉิงมารอเข้าเฝ้าอยู่นอกตำหนักฮ่องเต้มีสีหน้าไม่พอใจข่าวผู้ป่วยแตกตื่นแพร่มาถึงหูทั่วป๋าจิ่นนานแล้ว ทั่วป๋าจิ่นจึงใช้โอกาสนี้ร่วมมือกับเหล่าขุนนางตำหนิเยี่ยเป่ยเฉิงอย่างหนักต่อหน้าฝ่าบาทเยี่ยเป่ยเฉิงเคลื่อนย้ายผู้ติดเชื้อโดยไม่ได้รับอนุญาต และเกือบจะปล่อยให้ผู้ติดเชื้อหลบหนี ทำให้ผู้คนในเมืองฉางอานตกอยู่ในอันตราย! เหตุ
“โชคดีที่เสด็จอาย้ายพวกชาวบ้านที่รอดมาได้ได้ทันเวลา พระเจ้าไม่ได้พวกเขาตาย เสด็จพ่อมิควรตำหนิเสด็จอา ทว่าควรตบรางวัลให้ถึงจะถูกเพคะ! ”ขณะกล่าว ฮุ่ยอี๋ก็เจือจางเลือดที่นางเตรียมไว้ด้วยน้ำ แล้วแบ่งใส่ขวดสีขาวหลายขวด นางกล่าวกับฮ่องเต้ว่า “เสด็จพ่อดูสิ นี่คือยาดีที่หลินซวงเอ๋อร์หามาด้วยตวามยากลำบาก ในเมื่อเสด็จอามาแล้ว ก็ให้ท่านแบ่งยานี้ไปให้ผู้ป่วยดื่ม เมื่อดื่มยานี้แล้ว โรคระบาดก็จัดการได้แล้ว…”วาจาที่ฮุ่ยอี๋กล่าว ได้ระงับโทสะของฮ่องเต้ไว้ได้ในที่สุดภายใต้อำนาจและผลประโยชน์ ฮ่องเต้มิได้ตำหนิโทษเยี่ยเป่ยเฉิง ทว่าฟังความเห็นของฮุ่ยอี๋ ให้เยี่ยเป่ยเฉิงนำยารักษาไปช่วยผู้ป่วยที่รอดชีวิตอยู่เจียงหว่านเข้าวังไปพร้อมกับเยี่ยเป่ยเฉิง ครั้นเห็นฮุ่ยอี๋ดีขึ้นแล้วจริงๆ เจียงหว่านก็รู้สึกตกตะลึงอย่างมากนางอดถามขึ้นมาไม่ได้ “หม่อมฉันขอถามสักหน่อย องคืหญิงอาการดีขึ้นได้อย่างไรเพคะ?”ฮุ่ยอี๋เหลือบมองนางอย่างเรียบเฉย “ข้าบอกแล้ว ท่านหมออวิ๋นโหยวจ่ายยาให้ข้า! ข้าดื่มแล้วจึงดีขึ้น!”เจียงหว่านสืบถามต่อ “ขอมิบังอาจถามท่านหมออวิ๋นโหยวไหนหรือเพคะ วิชาแพทย์ถึงได้เก่งกาจเพียงนี้! เจียงหว่านอยากสอบถา
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก