ตงเหมยพาหมอเข้าจวนมาด้วยความรวดเร็วหมอผู้นี้เป็นชายชราวัยหกสิบปีเศษ มีอาชีพรักษาสัตว์เลี้ยงในครัวเรือน ไม่ว่าเป็นโรคร้ายแรงหรือไม่ หนักหนาสาหัสเพียงไหนก็ล้วนผ่านมาทั้งสิ้น ตงเหมยจึงตั้งใจไปเชิญเขามาดูตงเหมยบอกเล่าอาการของต้าหู่และเหมาเหมา หรงหรงให้ท่านหมอได้ฟังท่านหมอฟังอาการแล้วพลางก้มตัวลง ตรวจดูร่างกายของต้าหู่อย่างถี่ถ้วน“เป็นไปได้อย่างไรกัน” ท่านหมอมีสีหน้าครุ่นคิดหนักหลินซวงเอ๋อร์เห็นเข้าก็รู้สึกจิตใจไม่สู้ดี “ทำไมหรือเจ้าคะท่านหมอ มันป่วยเป็นโรคอะไร”ท่านหมอส่ายศีรษะ พร้อมลุกขึ้นยืนและกล่าว“เสือตัวนี้อาจกินอาหารบางอย่างผิดไป เป็นสิ่งที่มีพิษ จึงทำลายถูกอวัยวะภายในของมัน”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าตงเหมย ทั้งคู่ต่างสบตากันหลินซวงเอ๋อร์กล่าว “แต่มันกินอาหารเหมือนกันทุกวัน จะมีพิษได้อย่างไร?”ท่านหมอครุ่นคิดครู่หนึ่ง จึงได้กล่าวต่อ “อาหารบางชนิดมีฤทธิ์ต้านกัน แม้ว่าจะกินเพียงอย่างเดียว ก็อาจเกิดผลที่เป็นพิษได้”หลินซวงเอ๋อร์กล่าว “ถ้าเช่นนั้นแล้วจะทำอย่างไรดี? ท่านหมอพอมีวิธีรักษาหรือไม่เจ้าคะ”ท่านหมอกล่าว “แม้ข้าจะรักษาสัตว์มานานปี แต่ก็ไม่ใช่เทวดามาจุติ เสือตัวนี้ป่
ท่านหมอกล่าว “หมู่นี้แม่นางได้กินยาอะไรบ้างหรือไม่?”หลินซวงเอ๋อร์กล่าวตอบ “มีเจ้าค่ะ ในจวนจะมีหมอคนหนึ่ง ทำหน้าที่คอยปรุงยาบำรุงให้ข้าโดยเฉพาะ”ท่านหมอกล่าว “ขอข้าดูยานี้หน่อยได้หรือไม่?”“ย่อมได้แน่นอน” หลินซวงเอ๋อร์พยักหน้าไปทางตงเหมย ตงเหมยเข้าใจความหมาย พลางรีบไปห้องปรุงยานำตัวยาออกมายาเหล่านี้ล้วนเป็นสูตรที่เจียงหว่านปรุงให้นางด้วยตนเอง และบอกว่ารักษาผลข้างเคียงของโรคได้ดีนักท่านหมอเปิดห่อยาออก พร้อมเกลี่ยยาให้กระจายตัว และหยิบตัวยาแต่ละชนิดขึ้นมาพิจารณาเขาเพ่งดูละเอียดมาก หากเจอยาที่ต้องสงสัย ยังมีการดมกลิ่นเพื่อให้แน่ใจหลินซวงเอ๋อร์ถาม “ยาเหล่านี้มีอะไรผิดปกติหรือไม่เจ้าคะ?”ท่านหมอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พลางกล่าวตอบ “ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ล้วนเป็นยาดีในการบำรุงประสาท ไม่มีผลต่อการทำงานของหัวใจ”“อาจเป็นเพราะ...” ท่านหมอครุ่นคิดก่อนตอบ “อาจเพราะแม่นางมีสุขภาพอ่อนแอ จึงไม่อาจต้านฤทธิ์ยาได้กระมัง”เมื่อเห็นหมอกล่าวเช่นนี้ หลินซวงเอ๋อร์จึงไม่อยากคิดมากอีก นางหันไปมองต้าหู่อีกครั้งพร้อมกล่าววิงวอน “เสือตัวนี้เป็นสัตว์เลี้ยงตัวโปรดของสามีข้า ท่านหมอลองหาวิธีช่วยเหลืออีกหน่
จวบจนยามเย็น โม่อวิ๋นจึงมาหาเจียงหว่านที่ค่ายทหารเจียงหว่านอยู่ในค่ายกำลังปรุงยาถอนพิษตัวใหม่อยู่โม่อวิ๋นเดินมาใกล้นาง พร้อมช่วยบดยาให้ด้วยความชำนาญงาน“เป็นอย่างไรบ้าง?” เจียงหว่านถามเสียงค่อย ส่วนมือก็ยังทำงานอยู่โม่อวิ๋นยังคงช่วยบดยาเงียบๆ เสียงครกบดยาฟังแล้วดังลั่นอยู่ในค่ายทหาร คล้ายจงใจกลบเสียงสนทนาของพวกนาง“เสือตัวนั้นใกล้จะไม่ไหวแล้ว วันนี้หลินซวงเอ๋อร์ยังตามหมอมาดูอีก” โม่อวิ๋นรายงานตามความเป็นจริงเจียงหว่านเลิกคิ้วเล็กน้อย“แล้วกระต่ายสองตัวล่ะ” เจียงหว่านถามเนิบๆโม่อวิ๋นกล่าวตอบ “อาการเดียวกัน หลังกินยาก็ย่ำแย่เต็มที...”เจียงหว่านหยุดมือครู่หนึ่ง จากนั้นก็คัดยาตามปกติอีกครั้ง“ม้าตัวนั้นเป็นอย่างไร?” นางถามต่อโม่อวิ๋นขมวดคิ้ว “เจ้าม้าใจแข็งนัก ไม่ยอมกินอาหารที่บ่าวส่งให้เจ้าค่ะ”เจียงหว่านดูมีอาการตึงเครียดขึ้นหลายวันนี้นางผสมสูตรยาที่ใช้รักษาโรคระบาดอยู่หลายขนาน จากนั้นก็ใช้ผู้ป่วยมาทดลองยา ปรากฏว่าอาการแต่ละคนกลับยิ่งทรุดหนักมากขึ้น ซ้ำมีบางรายเพิ่งมีอาการเบื้องต้นก็ถึงแก่ชีวิตเสียแล้วยาของนางไม่เพียงไร้ประสิทธิภาพในการรักษา ยังไปซ้ำเติมอาการป่วยเสี
เดิมทีนางแทบหมดความหวัง และไม่คาดหวังให้ต้าหู่ตอบโต้นางบ้าง เพียงหวังให้มันดีขึ้นเล็กน้อย ตนจะได้พูดคุยกับมันต่อเท่านั้นแต่นี่กลับเหนือความคาดหมาย จู่ๆ ต้าหู่ก็คลานขึ้นหน้ามา เอาลิ้นมาเลียน้ำที่อยู่ในมือหลินซวงเอ๋อร์ดีใจยิ่ง พลางรีบเอาชามใหญ่ที่รองน้ำให้มันกินต่อน้ำชามใหญ่นั้น ต้าหู่ก็กินจนหมดสิ้นหลินซวงเอ๋อร์ตื่นเต้นดีใจจนยืนขึ้น หันไปกล่าวต่อตงเหมยที่อยู่หลังเรือน “ตงเหมย ต้าหู่กินน้ำได้แล้ว เจ้ารีบไปเอาน้ำแกงกระดูกมาเร็วๆ...”เมื่อได้ยินดังนี้ ตงเหมยก็ดีใจเช่นกัน รีบวิ่งจากหลังเรือนออกมาดู ก็เห็นต้าหู่กำลังกินน้ำอยู่จริง จึงรู้สึกดีใจจนพูดไม่ออก “มัน...มัน...มัน...ดีขึ้นแล้วหรือเจ้าคะ?”หลินซวงเอ๋อร์กล่าวตอบ “เจ้ารีบไปห้องครัวต้มเนื้อมาให้มันชามหนึ่ง ดูว่าพอจะกินได้หรือไม่ หากกินได้ ไม่แน่อาจจะดีขึ้นจริง”“ได้ๆ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” ตงเหมยรีบไปห้องครัวต้มเนื้อทันทีหลินซวงเอ๋อร์ก้มตัวลง พลางลูบหัวของต้าหู่ กล่าวด้วยความห่วงใย “ต้าหู่ เจ้าต้องรีบหายไวๆ นะ”ต้าหู่ทำเสียงฟึดฟัดเล็กน้อย แม้จะไม่ดังมาก แต่ก็ทำให้หลินซวงเอ๋อร์ดีใจยิ่งเมื่อวานมันนอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้น แทบไม่มีแรง
เดิมทีหลินซวงเอ๋อร์เพียงหวังจะทดลองดู แต่ไม่คาดคิดว่า รุ่งขึ้นวันที่สอง อาการของเหมาเหมาและหรงหรงต่างดีขึ้นมาก การกินอาหารของต้าหู่ก็เพิ่มปริมาณขึ้นอีกหลายเท่าตัวนางจึงสั่งตงเหมยให้ไปเชิญหมอในวันนั้นกลับมาอีกท่านหมอมาถึงก็ตรวจร่างกายต้าหู่อย่างละเอียดตั้งแต่หัวจรดเท้า กลับพบว่าพิษในตัวเลือนหายโดยไม่ต้องรักษาเลยท่านหมอมีสีหน้าตกใจยิ่ง “ช่างเป็นเรื่องอัศจรรย์นัก ข้าอยู่มาครึ่งค่อนชีวิต นี่เป็นครั้งแรกที่เจอกับเหตุการณ์เช่นนี้”กล่าวพลาง เขาไปตรวจกระต่ายน้อยอีกสองตัว ก็พบว่าพิษในร่างกายหมดไปเช่นกัน คล้ายมีของบางอย่างมาช่วยถอนพิษให้ ท่านหมอมองหน้าหลินซวงเอ๋อร์ พลางกล่าว “แม่นางให้พวกมันกินอะไร พิษในตัวจึงได้สลายไปหมดเช่นนี้?”หลินซวงเอ๋อร์บอกไปตามตรง “ข้าก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด แต่ดูเหมือนพวกมันได้เลียเลือดของข้า แล้วจึงค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ”กล่าวพลาง หลินซวงเอ๋อร์จึงได้เปิดผ้าพันแผลในมือออก พร้อมพูดด้วยความสงสัย “จะเป็นเพราะเลือดของข้า สามารถช่วยถอนพิษในตัวพวกมันหรือไม่?”ท่านหมอรู้สึกคลางแคลงใจยิ่ง“ข้าไม่เคยพบเจอเรื่อประหลาดเช่นนี้มาก่อน ร่างกายแม่นางแตกต่างจากผู้อื่นหร
ตงเหมยคิดอีกที พลางกล่าว “ถ้าอย่างไร บ่าวไปตามท่านอ๋องกลับมาดีหรือไม่เจ้าคะ”หลินซวงเอ๋อร์กล่าวตอบ “อย่าเลย ท่านพี่มีงานรัดตัว เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้อย่าได้ไปรบกวนเขา...”กล่าวจบ ก็พลันมีบ่าวไพร่ผู้หนึ่งมารายงาน“พระชายา ข้างนอกมีคนมาขอพบ บอกว่ามีเรื่องด่วนขอรับ”“หาข้ารึ?” หลินซวงเอ๋อร์สีหน้าข้องใจ นอกจากนางเหยาซื่อแล้ว นางนึกไม่ออกว่าจะมีผู้ใดมาหาอีก และฉีหมิงก็ได้ถูกไป๋อวี้ถังช่วยเหลือไปแล้ว ไม่น่าจะมาหาตนได้บ่าวรายงานต่อ “แม่นางผู้นั้นบอกว่ามาจากในวัง ชื่อว่าจื่อหลันขอรับ”เมื่อได้ยินดังนี้ หลินซวงเอ๋อร์ก็แทบไม่ลังเล วิ่งออกไปต้อนรับทันทีจื่อหลันเป็นคนสนิทของฮุ่ยอี๋ นางมาหาตน ก็แสดงว่าฮุ่ยอี๋อาจเกิดเรื่องอะไรขึ้นทันทีที่เห็นหน้าหลินซวงเอ๋อร์ จื่อหลันก็ร้องไห้โผเข้ามา“พระชายา รีบไปดูองค์หญิงหน่อยเถิด...”จือหลันร้องไห้เสียจนหอบหนัก หลินซวงเอ๋อร์ได้แต่ปลอบใจนางก่อน“เกิดอะไรขึ้น เจ้าอย่าเพิ่งร้องไห้ พูดมาให้รู้เรื่องก่อน องค์หญิงเป็นอะไร?”จื่อหลันปาดน้ำตาบนใบหน้า พลางกล่าวเสียงสะอื้น “องค์หญิงป่วยหนักเจ้าค่ะ ยังถูกกักตัวอยู่ในตำหนักหลวนฟิ่ง ตำหนักใหญ่สั่งการลงมา ห้ามผู
หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าทั่วป๋าจิ่นด้วยความงุนงง “เหตุใดข้าจึงต้องเสียใจ องค์หญิงฮุ่ยอี๋เป็นน้องแท้ๆ ของท่าน ท่านยังเห็นด้วยที่จะกักขังนางไว้ รู้ทั้งรู้ว่านางป่วยอยู่”กล่าวพลาง ภายในตำหนักหลวนเฟิ่งก็มีเสียงไอหนักลอดออกมา ฟังแล้วน่าเป็นห่วงยิ่งหลินซวงเอ๋อร์สีหน้าเปลี่ยน คิดจะก้าวเท้าเข้าไปด้านใน“แม่นางซวงเอ๋อร์โปรดคิดให้ดีก่อน เข้าไปแล้วอาจจะออกมาไม่ได้อีก...”หลินซวงเอ๋อร์ชะงักฝีเท้า หันหน้ามามองเขาทั่วป๋าจิ่นกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์ไม่อยากรู้หรือว่าฮุ่ยอี๋ป่วยเป็นโรคอะไร?”หลินซวงเอ๋อร์ไม่ตอบกลับ พลางเบือนสายตาไปมองจื่อหลัน ก็เห็นนางก้มหน้าลงคล้ายมีพิรุธ ในใจหลินซวงเอ๋อก็พอรู้ถึงความไม่ชอบมาพากล“จื่อหลัน องค์หญิงเป็นอะไรกันแน่” หลินซวงเอ๋อร์ซักถามจื่อหลันยิ่งก้มหน้าต่ำไปอีก คล้ายไม่มีแรงที่จะตอบคำถามของนางทันใดนั้น ทั่วป๋าจิ่นเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน “แม่นางซวงเอ๋อร์อยู่แต่ในจวน ย่อมไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องโรคระบาดรุนแรงในช่วงนี้ เพียงแต่ว่า ที่ข้าแปลกใจก็คือ เยี่ยเป่ยเฉิงก็ไม่ได้บอกเจ้าด้วยรึ?”หลินซวงเอ๋อร์ใบหน้าซีดเผือดลงพลัน“ท่านว่ากระไรนะ...”ทั่วป๋าจิ่นพอใจที่เห็นสีหน้า
หลินซวงเอ๋อร์พยักหน้า พลางกล่าว “ตอนข้าอายุแปดขวบ ที่บ้านเกิดก็เคยเกิดโรคระบาดครั้งหนึ่ง และข้าก็รอดมาจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น รู้ว่าควรต้องป้องกันอย่างไร และรู้ว่าควรจะดูแลองค์หญิงอย่างไร”“แต่ที่ข้าลังเลอยู่ ไม่ใช่เพราะไม่อยากเข้าไปช่วยองค์หญิง แต่กำลังคิดหาหนทางเพื่อช่วยเหลือต่างหาก”เห็นนางเดินเข้าไปโดยแทบไม่เหลียวหลัง ทั่วป๋าจิ่นร้องด้วยความตกใจ “เจ้าคิดดีแน่แล้วรึ? เข้าไปอาจตายพร้อมกับฮุ่ยอี๋ก็เป็นได้”หลินซวงเอ๋อร์หยุดนิ่งที่หน้าประตู แผ่นหลังยืดตรง นางชะงักฝีเท้าเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังก้าวผ่านธรณีประตูไปอย่างแน่วแน่ขณะใกล้จะปิดประตูลง นางกล่าวต่อทั่วป๋าจิ่น “สามีข้ายอมเสียสละตนเองช่วยเหลือชาวบ้าน ข้าก็ทำได้เช่นกัน” กล่าวจบ นางปิดประตูลงแน่นหนา ขวางกั้นผู้ไม่เกี่ยวข้องให้อยู่ข้างนอกหมดจื่อหลันคิดจะตามเข้าไป แต่หลินซวงเอ๋อร์ไม่ยอมเปิดประตูให้นาง พูดกับนางโดยผ่านทางประตู “รบกวนเจ้าช่วยไปบอกตงเหมยที่จวนโหวหย่งอันให้รู้ ว่าข้าสบายดี ระยะนี้คงต้องอยู่ในวังเพื่อดูแลองค์หญิง บอกให้นางไม่ต้องเป็นห่วง หากสามีข้ากลับมา ก็บอกเหตุผลนี้ให้เขารู้เช่นกัน”จื่อหลันกล่าวตอบด้วยความซาบซ
วันที่เจียงหว่านกำลังจะถูกเนรเทศ ในที่สุดเจียงเช่อก็มาหาถึงหน้าประตูเขาคุกเข่าเบื้องหน้าเยี่ยเป่ยเฉิง เว้าวอนขอเยี่ยเป่ยเฉิงปล่อยเจียงหว่านไปขณะที่เดินทางมา เขารับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วเจียงหว่านลอบวางยาพระชายาเยี่ย ใช้ประชาชนที่ติดโรคทดลองยา เข่นฆ่าคนบริสุทธิ์ ผลาญชีวิตคนดุจผักดุจปลา นับเป็นอาชญากรรมอันชั่วร้ายที่สุด......แต่ไม่ว่าอย่างไร เจียงหว่านก็เป็นน้องสาวเขา เป็นคุณหนูหนึ่งเดียวของตระกูลเจียง เจียงเช่อมิอาจนั่งนิ่งดูดาย ปล่อยให้นางไปตายได้“ขอร้องท่านอ๋องไว้ชีวิตนางเถิด เป็นเพราะข้าตามใจนางจนเสียคน หากท่านอ๋องจะลงโทษ โปรดลงที่เจียงเช่อเถิดพะยะค่ะ”เมื่อเห็นเจียงเช่อ สายตาสิ้นหวังของเจียงหว่านพลันมีประกายความหวังขึ้น“พี่......ท่านพี่ ช่วยข้าด้วย ข้าไม่อยากไปแดนเถื่อน ข้าอยากกลับบ้าน ท่านพี่ช่วยข้าด้วย......”เจียงเช่อขมวดคิ้วเขม็งจ้องเจียงหว่าน สายตาแฝงเร้นด้วยแววเกยีดชังเข้าไส้เขารู้ว่าเจียงหว่านต้องโทษตาย ยามนี้แค่เนรเทศ ถือว่าเมตตามากแล้ว แต่เขาเองก็รู้ว่า สถานที่อย่างแดนเถื่อนนั้น มิใช่สถานที่ที่สตรีตัวคนเดียวจะไปได้ การเนรเทศนางไปที่นั่น เท่ากับส่งนางไปขุมนร
“เลือดของนาง...”เจียงหว่านสีหน้าตกตะลึงตอนนั้น ตอนที่ฮุ่ยอี๋มอบยาถอนพิษใส่ในมือนาง นางเคยเอาทิ้งไว้หลายขวด เดิมทีคิดศึกษาส่วนผสมในนั้น ทว่าด้านในกลับมีส่วนผสมยาเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือเลือดมนุษย์...แรกเริ่ม นางคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล! กระทั่งยามนี้นางถึงได้เชื่อความจริง ส่วนประกอบของยานั้น มีเพียงเลือดมนุษย์จริงๆ! ทั้งยังเป็นเลือดของหลินซวงเอ๋อร์! เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ในที่สุดนางก็เข้าใจ!มิน่า...ตอนนั้น นางใช้ยาปริมาณมาก แต่กลับไม่อาจทำให้หลินซวงเอ๋อร์ถึงตาย! ไม่คิดว่าเลือดของนางจะขจัดพิษในร่างนางโดยมองไม่เห็น...ฮุ่ยอี๋เอ่ย “เจ้ายังมีหน้าพูดว่าไม่ได้ฆ่าคนเป็นผักเป็นปลาอีก! เจียงหว่าน เจ้าลืมแล้วหรือว่าเจ้าวางยาซวงเอ๋อร์อย่างไร? เสด็จอาให้อภัยเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ข้าไม่มีวันเกรงใจเจ้า!”คำพูดนี้สองแง่สองง่าม เห็นชัดว่ากำเย้ยหยันเยี่ยเป่ยเฉิงที่ดึงหมาป่าเจ้าเล่ห์เข้าบ้าน!เยี่ยเป่ยเฉิงตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม ไร้ซึ่งแรงโต้กลับยามนี้ เขามิอาจชำระคืนได้ ซวงเอ๋อร์ของเขาไม่มีวันกลับมาอีกต่อไป!สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้ คือทำให้เจียงหว่านชดใช้อย่างสาสมที่สุด ส่วนตัวเขา ชีวิตที่
เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม สายตาที่มองเจียงหว่านเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง ไม่มีความอ่อนโยนเลยสักนิดเขาอยากฆ่านางตั้งนานแล้ว ที่ปล่อยนางรอดมาจนถึงตอนนี้ ก็แค่อยากให้นางได้รับความทรมานจนตายบัดนี้เห็นนางตกยากเช่นนี้ เยี่ยเป่ยเฉิงกลับรู้สึกว่าบทลงโทษแค่นี้ยังมิพอเจียงหว่านถูกทรมานจนเหมือนตายดีกว่าอยู่มานานแล้ว นางรู้ เยี่ยเป่ยเฉิงไม่มีทางปล่อยนางไปง่ายๆ หลังจากคิดดูแล้ว หากตายด้วยน้ำมือของเยี่ยเป่ยเฉิงได้ ก็คงจะดีกว่าตอนนี้ ที่ดูดซับยาเข้าสู่ร่างกายทุกวัน ถูกฝันร้ายหลอกหลอนทุกคืนสุดท้ายก็ไม่สามารถหนีจากพิษและเสียชีวิตลงได้!อย่างไรก็ตาย มิสู้ให้เยี่ยเป่ยเฉิงจบชีวิตนางด้วยมือเขาเอง!เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางก็ยิ้มเยาะ จงใจกล่าวยั่วยุเขา “เยี่ยเป่ยเฉิง เจ้ามีฝีมือแค่นี้หรือ? แน่จริงก็ฆ่าข้าไปเลยสิ!”“ฆ่าข้าให้มันจบๆ ไปเสีย!”เยี่ยเป่ยเฉิงปรายตามองนาง พลางกล่าวอย่างเย็นชา “ตอนนั้น เจ้าก็ทรมานซวงเอ๋อร์เช่นนี้!”เจียงหว่านกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้วอย่างไร!”“ลูกในท้องนางข้าก็เป็นคนทำร้ายเอง! ร่างกายอ่อนแอแบบนั้นของนางต่อไปจะตั้งครรภ์ไม่ได้อีกแล้ว!”“ที่นางฝันร้ายทุกคืน ก็เป็นข้าที่ทำเอง
หลายสิบปีมานี้ นางทำเรื่องชั่วมานับไม่ถ้วน ทุกเรื่อง นางจิตใจสงบ ไม่เคยรู้สึกผิดเลยมีเพียงเจียงหลิง…มีเพียงการตายของเจียงหลิง ทำให้นางยากจะข่มตานอนได้…ตลอดเวลาที่ผ่านมา ในฐานะคุณหนูรอง เจียงหว่านไม่เป็นที่ชื่นชอบของพ่อแม่มาตลอด พี่ชายก็ยิ่งไม่สนใจนาง ทว่าเจียงหลิงกลับได้รับความรักมากมาย…นางอิจฉาเจียงหลิง และแทบอยากทำให้อีกฝ่ายหายไปจากโลกใบนี้แต่เจียงหลิงกลับรักเอ็นดูนางมาตั้งแต่ต้นจนจบ ปกป้องนาง มอบของที่ดีที่สุดในโลกใบนี้ให้แก่นาง…เจียงหลิงเป็นพี่สาวที่ดีต่อนางที่สุดบนโลกใบนี้…ทว่าที่นางต้องการหาใช่แค่พี่สาวอย่างเดียว นางต้องการความรักของทุกคน นางต้องการให้พ่อแม่ พี่ชายรกนางแค่คนเดียว นางอยากครอบครองของที่ดีที่สุดไว้กับตัวเอง ไม่ใช่รอให้คนอื่นมอบให้!ดังนั้น ในคืนวันหิมะตก นางผลักเจียงหลิงตกน้ำ มองนางจมตายทั้งเป็นอยู่ใต้น้ำ หลังจากนั้นนางก็ติดวันเกิดเวลาเกิดของเจียงหลิงบนตุ๊กตาคุณไสย แทงเธอทุกวัน สวดภาวนาทุกคืน นางต้องการให้เจียงหลิงไม่มีโอกาสได้ผุดได้เกิด ไม่หวนกลับมาตลอดกาล!เพราะมีเพียงแค่ทำแบบนี้ นางถึงจะไม่มีโอกาสแก้แค้นตัวเอง!แต่ทำไม…ทำไมตอนนี้นางถึงยังหาตัวเอง
ยาซึมเข้าสู่ร่างกายติดกันหลายวันทำให้เจียงหว่านค่อยๆ เป็นบ้าในห้องที่ปิดสนิท เจียงหว่านหดตัวอยู่บนพื้นเหมือนดินโคลนตัวนางเหม็นมาก ชุดกระโปรงสีรากบัวเปลี่ยนเป็นสกปรกและเก่าองครักษ์ทำให้เส้นเอ็นมือของนางขาด ตรงบาดแผลถูกทาขี้ผึ้งปิดแผลชั้นแล้วชั้นเล่าแม้ขี้ผึ้งปิดแผลจะเป็นยาสำหรับปกปิด ทว่ากลับมีผลดีต่อการหยุดเลือดบาดแผลแข็งตัวจนกลายเป็นสะเก็ดไปแล้ว เพียงแต่ไม่ได้รับการรักษาที่ดีกว่านี้ แม้จะดีขึ้นก็ยังเหลือรอยแผลเป็นอัปลักษณ์เอาไว้ธูปในห้องไม่เคยลดลงเลยทั้งวัน ประกอบกับกระกระตุ้นของต้นคลีเวีย ความคิดต่ำช้าที่อยู่ในตัวนางแทบจะถูกกระตุ้นออกมาทั้งหมดสองตานางแดงก่ำ ดูฉุนเฉียวไม่น้อย กรีดร้องโวยวายอยู่ในห้อง ประหนึ่งคนบ้าคนหนึ่งองครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าห้องไม่สนใจนางสักนิด ได้แต่ทรมานนางไม่ให้นางตายทุกวันความเคียดแค้นฉายออกมาจากในตาเจียงหว่าน เวลานี้ นางได้ปล่อยว่างความหลงใหลต่อเยี่ยเป่ยเฉิงแล้ว ไม่ว่าจะรักมากขนาดไหนก็แปรเปลี่ยนเป็นความชิงชังเข้ากระดูก“เยี่ยเป่ยเฉิง! ปล่อยข้ากลับไป! ปล่อยข้ากลับไปสิ!”“แน่จริงก็ฆ่าข้าเลยสิ!ฆ่าข้าให้มันจบๆ ! ท่านมีสิทธิ์อะไรมาขังข้าไว้เช่นนี
“ได้ยินว่าพ่อแม่ที่เลี้ยงดูเจ้าเสียไปนานแล้ว แล้วเจ้ากับพี่ชายอยู่มาได้อย่างไร?”“แล้วเหตุใดเจ้าจึงขายตัวไปเป็นบ่าวไพร่? หลายปีมานี้ เจ้าคงผ่านความลำบากมิใช่น้อย เคยถูกใครรังแกหรือไม่?”หลินซวงเอ๋อร์พลันเกิดความขมขื่นในจิตใจเดิมที หากไม่เอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้ นางยังพออดทนได้บ้าง แต่เมื่ออวี๋หว่านหนิงถามขึ้นมา นางก็อดรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเสียมิได้นางเม้มปากพลางจ้องมองนิ้วมือตนเอง น้ำตาเริ่มเอ่อล้น พร้อมหยดแหมะลงหลังมือทีละหยดนางอยู่สบายหรือไม่?นางเคยถามตนเองอยู่เช่นกันหลายปีมานี้ นางผ่านเรื่องราวมากมาย สูญเสียบิดามารดา สูญเสียพี่ชายไป กลายเป็นเด็กกำพร้าที่ไร้ญาติขาดมิตรโดยแท้แต่หากคิดดีๆ ชีวิตนางก็เคยอยู่สุขสบายมาช่วงหนึ่งนั่นคือตอนอยู่กับเยี่ยเป่ยเฉิง นางมีความสุขจริงๆในตอนนั้น เยี่ยเป่ยเฉิงเป็นกำลังใจให้นาง ซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ หาของดีมาให้กิน สอนนางเรียนหนังสือ พาไปเดินเล่นท่องทะเลสาบ ให้ความรักต่อนางอย่างชนิดไร้ผู้เทียบเทียม...ในเวลานั้น นางมีความสุขเหลือล้น เป็นความสุขมากที่สุดในชีวิต แม้แต่ฝันก็ยังเป็นฝันหวาน...แต่ต่อมา ทุกอย่างกลับแปรเปลี่ยน ก่อนหน้านี้เคยสุ
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หลินซวงเอ๋อร์แทบชะงักงันไปที่บั้นเอวนางมีปานแดงรูปเสี้ยวจันทร์จริงๆ ท่านแม่บอกว่า มันมีติดตัวมาตั้งแต่นางเกิด เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่บั้นเอว จึงมีน้อยคนที่จะรู้เรื่องนี้“ท่าน...คือแม่ของข้าจริงหรือ?” หลินซวงเอ๋อร์หัวใจเต้นแรง ขอบตาแดงเรื่อขึ้นอวี๋หว่านหนิงยื่นมือมาจับมือของนางไว้ พลางกล่าวเสียวเศร้า “ซวงเอ๋อร์ ข้าคือแม่เจ้าจริงๆ หลายปีนี้ทำให้เจ้าลำบากนัก...”แม่นมซุนอยู่ด้านข้างพลางกล่าวเสริม “องค์หญิง นางคือเสด็จแม่ของท่านจริงๆ หลายปีมานี้ ฮองเฮาไม่เคยเลิกราในการตามหาท่าน เพียงแต่ภาคกลางกว้างขวางนัก พวกท่านเองก็ข่าวคราวเงียบหาย หลายปีนี้ พวกท่านลำบากก็จริง ฮองเฮาก็ไม่ได้สุขสบายใจ...”หลินซวงเอ๋อร์นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ พลันหันไปมองอวี๋หว่านหนิงแล้วกล่าว “ที่จริง ข้าไม่เคยตำหนิท่านเลย เพียงแต่บางครั้งก็เคยคิด ว่าท่านแม่จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้หรือไม่”“ตอนยังเป็นเด็ก ข้าเคยคาดหวังให้นางมาหาบ้าง แต่พอโตขึ้นก็ไม่เห็นนางมาเสียที ข้าจึงภาวนาให้นางอยู่ดีมีสุขแทน แม้จะไม่ได้พบหน้า แต่ขอให้นางยังมีชีวิตอยู่ เป็นความคิดถึงในใจก็เพียงพอแล้ว...”
อวี๋หว่านหนิงรับเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา พลันเกิดความตื้นตันจนไม่รู้ตอบอย่างไรดีทันใดนั้น แม่นมซุนเดินขึ้นมาพร้อมกล่าว “องค์หญิง ที่นี่คือวังหลวงแห่งเป่ยหรง ฮองเฮาทรงตามหาท่านมานาน ทุ่มแทแรงกายแรงใจไม่น้อยกว่าจะหาพบ...”“องค์หญิง?” หลินซวงเอ๋อร์นึกว่าตนหูฝาดไป “ท่านเรียกข้าอยู่หรือ?”นางกล่าวตอบ “พวกท่านจำคนผิดหรือเปล่า ข้าไม่ใช่องค์หญิง ข้าคือหลินซวงเอ๋อร์ต่างหาก”นางเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้ง เติบโตมาจากชนบทแร้นแค้น เป็นเพียงสาวใช้ต่ำต้อยผู้หนึ่งเท่านั้นองค์หญิงอะไรกัน ยังมีวังเป่ยหรงอีก แล้วใครคือฮองเฮา?พวกนางคงจำคนผิดเป็นแน่แม่นมซุนกล่าวตอบ “ไม่ผิดเจ้าค่ะ ไม่มีผิดแน่นอน ท่านก็คือองค์หญิงของเรา องค์หญิงที่พลัดพรากจากฮองเฮาไป...”หลินซวงเอ๋อร์คล้ายกับยังมึนงงอยู่ ความคิดนางเกิดความสับสน ปวดหัวเป็นอย่างมากแม่นมซุนอธิบายต่อ “สมัยที่อดีตฮ่องเต้สวรรคต ฮ่องเต้องค์ใหม่ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ ราชสำนักเป่ยหรงเกิดความวุ่นวาย ตอนนั้นฮองเฮายังมีฐานะเป็นเพียงพระชายาแห่งรัชทายาท นางเสี่ยงอันตรายให้กำเนิดแฝดชายหญิงคู่หนึ่ง เพื่อปกป้องชีวิตของพวกท่านไว้ จึงให้คนสนิทส่งพวกท่านออก
หลินซวงเอ๋อร์เปลือกตากระตุกเล็กน้อย นางก็อยากตื่น แต่ทำอย่างไรก็ไม่อาจตื่นขึ้นมาหน้าอกคล้ายถูกกรีดจนเป็นแผลเหวอะหวะ เหงื่อเย็นในตัวไหลพราก ลำคอคล้ายถูกงูพิษตัวหนึ่งรัดไว้ ยิ่งรัดก็ยิ่งแน่น จนนางใกล้จะหายใจไม่ออกข้างโสตนั้น ได้ยินเสียงคุ้นหูประเดี๋ยวไกลประเดี๋ยวใกล้ ถัดจากนั้น คล้ายมีมืออ่อนโยนลูบไล้ใบหน้านางเบาๆ“เด็กดี หมดเรื่องแล้ว เจ้าปลอดภัยดีแล้ว รีบตื่นมาเถิด ตื่นมาเร็วเข้า...”หลังจากได้ยินเสียงนั้นชัดเจนมากขึ้น ลำคอที่ถูกรัดแน่นก็ค่อยๆ คลายออก นางลืมตาช้าๆ ภาพเบื้องหน้าจากพร่ามัวจนกลายเป็นชัดเจน สิ่งแรกที่เข้าสู่ม่านตาก็คือม่านคลุมเตียงสีม่วงที่อยู่เหนือศีรษะขึ้นไป คล้ายเป็นภาพฝัน เสมือนเป็นแหยักษ์ที่ถูกเหวี่ยงลงมา เพื่อคลุมตัวนางให้อยู่ตรงกลางเตียงนี้เป็นเตียงที่สวยงาม จนแม้แต่เสาเตียงก็เป็นลวดลายที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน หัวเตียงนอกจากจะแกะสลักลายดอกไม้แล้วยังฝังด้วยหยกเจียระไนงดงามและพลอยล้ำค่าอีกชั่วขณะนั้น นางรู้สึกมึนงงยิ่งนี่มันเป็นที่ไหนกัน?“ซวงเอ๋อร์ เจ้ารู้สึกตัวแล้วรึ?” จนกระทั่งข้างหูได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง นางจำได้ว่าตอนอยู่ในความฝัน ได้ยินเสียงนี้จนคุ