สนามล่าสัตว์ของราชวงค์ อยู่ห่างจากเมืองหลวงประมาณหนึ่งร้อยกิโลเมตรสนามล่าสัตว์กว้างขวางมาก ภูเขาเรียงรายสุดลูกหูลูกตา ขอบเขตในการล่าสัตว์กินพื้นที่หลายสิบกิโลเมตร ในนั้นมีสัตว์หายากแปลกตามากมายนอกสนามบล่าสัตว์ ทำเป็นพื้นที่ราบ เพื่อทำเป็นค่ายเพื่อปักกระโจม ตรงใจกลางค่ายจะมีพื้นที่กว้างขวาง และมีเป้ายิงธนูสิบกว่าอันตามแบบแผนที่ทำกันมาก่อนหน้านี้ ก่อนที่จะเริ่มล่าสัตว์ จะต้องอบอุ่นร่างกายก่อน เพื่อเลือกธนูที่เหมาะสมมากที่สุดคนส่วนใหญ่ที่อยู่ตรงนั้นล้วนเรียนรู้ทักษะการยิงธนูมาบ้างแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะยิงไม่เข้าเป้าทุกดอก แต่อย่างน้อยก็มีทักษะการยิงธนูขั้นพื้นฐานที่ดีเหล่าขุนนางที่ประพฤติตนตามกฏเกณฑ์ทั้งหลายต่างก็เปลี่ยนเป็นชุดที่ทะมัดทะแมง และยืนอยู่ในตำแหน่งที่ได้จัดสรรไว้ให้เป้าธนูตั้งอยู่ห่างออกไปร้อยเมตร ระยะห่างนี้จะว่าไกลก็ไม่ไกล จะว่าใกล้ก็ไม่ใกล้ ถ้าอยากจะยิงให้โดนเป้า ถือว่ามีความยากเล็กน้อยเหล่าสตรีทั้งหลายก็พากันยืนแยกออกเป็นสองฝั่ง พวกนางล้วนเป็นสตรีที่อ่อนแอไร้ซึ่งเรี่ยวแรงกำลัง จึงไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมในการล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วงในครั้งนี้ และทำได้แค่อยู่ในค่ายเพื
ในเวลานี้หลินซวงเอ๋อร์ไม่ได้สังเกตเห็นการจ้องมองที่กระตือรือร้นของฉีหมิง นางยืนอยู่ข้างฝูงชนอย่างเงียบๆ ด้วยนัยน์ตาที่เหม่อลอย ไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ในเวลานี้ ทั่วป๋าจิ่นค่อยๆดึงลูกธนูออกมา ลูกธนูเล็งไปที่ตรงกลางเป้าที่อยู่ห่างออกไปร้อยเมตรบังเอิญว่าในเวลานี้ มีลมแรงพัดมาจากบนภูเขา จู่ๆพื้นในค่ายก็เต็มไปด้วยลมทราย ทำให้เสื้อผ้าของทุกคนปลิวว่อน และไม่สามารถลืมตาได้ในสถานการณ์เช่นนี้ ทุกคนจึงไม่สามารถมองเห็นทิศทางได้อย่างชัดเจน ดังนั้นจึงไม่กล้าปล่อยลูกธนูออกไปได้ตามต้องการ จึงพากันผ่อนแรงลง และวางคันธนูลง โดยคิดว่าจะรอให้ลมหยุดก่อนค่อยดึงสายธนูใหม่ และเล็งไปที่เป้าหมายทั่วป๋าจิ่นกลับวางธนูลงได้ไม่ทันเวลา เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย ลูกศรก็เปลี่ยนทิศทางโดยไม่รู้ตัว จากนั้น เขาก็คลายนิ้วมือ ลูกศรก็ลอยพุ่งไปในอากาศ แต่พวกมันกลับไม่ได้มุ่งหน้าไปที่เป้าธนูหลินซวงเอ๋อร์กำลังเหม่ยลอย ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงกรีดร้องจากหญิงสาวที่อยู่ข้างๆ พอหลินซวงเอ๋อร์เงยหน้าขึ้น ก็เห็นลูกธนูพุ่งลอยมาในอากาศ และปลายลูกศรก็พุ่งมาที่ตนเองทันใดนั้นหลินซวงเอ๋อร์ก็เบิกตากว้างขึ้น สมองว่างเปล่าลูกศรนั้นเร
ความโกรธในนัยน์ตาของเยี่ยเป่ยเฉิงได้จางหายไปเขาหันกลับมาพูดกับองค์จักรพรรดิว่า: "เมื่อสักครู่นี้กระหม่อมเป็นห่วงพระชายาของตนมาก เพราะนางเป็นคนที่ขี้กลัว และคงจะตกใจมาก กระหม่อมไม่ได้ตั้งใจที่จะตำหนิองค์ชายใหญ่เลย"องค์จักรพรรดิตรัสด้วยรอยยิ้มว่า: " เป็นเช่นนั้นก็ดีแล้ว มันไม่ง่ายเลยที่เจ้าจะไม่คิดเล็กคิดน้อย ข้าหวังว่าการล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วงในวันนี้ ทุกคนจะมีความสุขกันทั่วหน้า"เยี่ยเป่ยเฉิงยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นกลับไปไม่ถึงส่วนลึกของนัยน์ตา"ความเข้าใจผิด" ได้รับการแก้ไขแล้ว ภายในค่ายก็กลับคืนสู่บรรยากาศที่มีชีวิตชีวาเหมือนเดิม ทุกคนยังคงยืนอยู่ในตำแหน่งของตน ฝึกยิงธนูไม่ขาดสาย คิดว่าอีกสักพักเข้าไปในพื้นที่ล่าสัตว์ จะล่าเหยื่อมาสักสองสามตัวทั่วป๋าจิ่นยกริมฝีปากขึ้น และรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมากได้ยินมานานแล้วว่าเยี่ยเป่ยเฉิงโปรดปรานสาวใช้คนหนึ่ง และประคบประหงมราวเอาไว้ในฝ่ามือราวกับว่าเป็นสมบัติอันล้ำค่า แสดงให้เห็นว่าเขารักนางมากแค่ไหนเมื่อนึกถึงตอนที่เยี่ยเป่ยเฉิง กำลังควบม้าอยู่ในสนามรบ ไม่เคยพ่ายแพ้ต่อสงคราม ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา โหดเหี้ยมทารุณ ไม่มีใครในราชสำนักสามารถ
คิดไม่ถึงว่า อาจจะเป็นเพราะลมแรงจนเกินไป ในขณะที่ลูกศรกำลังพุ่งลอยไปก็เปลี่ยนทิศทางเล็กน้อยบังเอิญว่ามีฆ้องอันหนึ่งวางอยู่ข้างเป้าธนูที่อยู่ตรงหน้าเยี่ยเป่ยเฉิงพอดีเนื่องจากทิศทางคาดเคลื่อนกลางคัน ลูกธนูดอกนั้น จึงยิงไปโดนฆ้องอันนั้นอย่างพอดิบพอดีคงจะเป็นเพราะพลังนั้นแข็งแกร่งจนเกินไป หลังจากที่ลูกศรกระทบฆ้องพลังก็ไม่ได้ลดลงเลย แต่มันกลับเปลี่ยนทิศทางด้วยพลังมหาศาล มุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางที่ทั่วป๋าจิ่นยืนอยู่ลูกศรชี้ไปที่ใบหน้าของเขา ได้อย่างพอดิบพอดีทั่วป๋าจิ่นเป็นคนที่มีพื้นฐานการต่อสู้อยู่แล้ว บวกกับเขาได้เตรียมตัวไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ จึงสามารถหันไปด้านข้างได้ทันเวลาในเสี้ยววินาทีสุดท้าย ทำให้ลูกศรเฉียดหูเขาไปเขามองย้อนกลับไป ก็เห็นว่าลูกธนูปักตรงเสาที่ตรงตระหง่านอยู่ทางด้านหลังเขา ด้วยพลังมหาศาล จนเจาะทะลุเสาทันทีเมื่อสักครู่นี้ เขาก็แค่อยากจะทำให้ผู้หญิงคนนั้นตกใจก็เท่านั้น ไม่ได้อยากฆ่านางจริงๆเสียหน่อยแต่ลูกธนูของเยี่ยเป่ยเฉิงดอกนี้ มุ่งตรงเข้ามาเพื่อคร่าชีวิตเขา!ทั่วป๋าจิ่นกำหมัดทั้งข้างเอาไว้แน่น มองเยี่ยเป่ยเฉิงด้วยสีหน้าที่เย็นชาขณะที่เขากำลังจะถาม ก็มีเสียงลม
ลูกศรทั้งสามดอกมุ่งหน้าไปที่ทั่วทั่วป๋าจิ่น ถ้าบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญมันคงจะไม่สมเหตุสมผล แต่ถ้าบอกว่าตั้งใจ ก็ไม่มีเหตุผลมาอธิบายอย่างไรเสียไป๋อวี้ถังกับทั่วป๋าจิ่นไม่บาดหมางใจอะไรกัน ดังนั้นคงจะไม่ได้ตั้งใจจะยิงธนูใส่เขา?สีหน้าขององค์จักรพรรดิแย่มากขึ้นเรื่อยๆวันนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?สำหรับฉีหมิงกับเยี่ยเป่ยเฉิง องค์จักรพรรดิมีคำอธิบายอยู่ในใจอยู่แล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะทำโดยตั้งใจ หรือว่าไม่ได้ตั้งใจก็ตาม ถึงอย่างไรก็มีเหตุผลรองรับแต่เหตุใดไป๋อวี้ถังถึงเข้ามาร่วมด้วยล่ะ?องค์จักรพรรดินวดคลึงคิ้วอย่างจนใจ มองไปที่ไป๋อวี้ถังแล้วตรัสว่า "สมุหราชเลขาธิการก็ถูกพายุทรายทำให้สูญเสียการมองเห็นเหมือนกันหรือ?"ไป๋อวี้ถังก้าวไปข้างหน้าด้วย "ความเกรงกลัว"แล้วกล่าวว่า: "กระหม่อมยิงธนูไม่เก่ง เมื่อสักครู่นี้มีลมพัดมา กระหม่อมไม่ควรอยากจะแสดงฝีมือของตนจนเกินไป ควรจะรอให้พายุทรายหยุดก่อนค่อยยิงลูกธนู หากทำให้องค์ชายใหญ่ได้รับบาดเจ็บจริงๆ กระหม่อมคงจะกินไม่ได้นอนไม่หลับ"ทั่วป๋าจิ่นกล่าวเยาะเย้ยว่า: " เจ้าก็รู้ว่าทักษะการยิงธนูของตนเองไม่ดี? ในเมื่อเจ้ารู้ว่าทักษะการยิงธนูของเจ้าไม่ดีเหต
ถ้าเขาโดนลูกยิงเข้าจริงๆ ทั้งสามคนนี้คงจะบอกว่าอีกว่า เป็นเพราะดวงเขาชงกับวันนี้ ไม่เหมาพที่จะออกไปไหน ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขาเลย! ปัดความรับผิดชอบไปจนหมด!เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ แม้ว่าทั่วป๋าจิ่นจะไม่เต็มใจแต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น จึงทำได้แค่ระงับความเจ็บใจเอาไว้องค์จักรพรรดิรู้สึกหงุดหงิดในใจ เมื่อเห็นว่าเวลาใกล้จะถึงเวลาแล้ว ก็ฟังคำแนะนำของไป๋อวี้ถัง ให้ส่งคนส่ง ทั่วป๋าจิ่นที่เกรี้ยวโกรธกลับไปที่พระราชวังทันทีที่ทั่วป๋าจิ่นจากไป การล่าสัตว์ก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการในเวลานี้ ท้องฟ้าก็สว่างแล้ว แสงตะวันทะลุผ่านชั้นเมฆ พอแสงอรุโณทัยอรุณสาดส่องลงมา แผ่นดินทั้งหมดก็เป็นสีทองผ่องอำไพทุกคนพร้อมที่จะออกเดินทาง ม้าที่ขี่นั้นแข็งแกร่งทรงพลัง ซองใส่ธนูก็เต็มไปด้วยลูกธนู และเตรียมพร้อมทุกอย่างอย่างครบครัน พวกเขาถือคันธนูเอาไว้ ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความคาดหวังและความตื่นเต้นป่าแห่งนี้อันตรายมาก เพราะมีสัตว์ดุร้ายหายากและแปลกตาจำนวนนับไม่ถ้วน จึงไม่เหมาะที่จะสตรีจะเข้าไป ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย บรรดาสตรีทั้งหมดจึงอยู่ในค่ายคนที่อยู่ในค่ายจะเตรียมหม้อไฟและเตาย่างเอาไว้ เมื่อผู้ชายกลั
ผู้ชายส่วนใหญ่เข้าไปในพื้นที่ล่าสัตว์ เหลือเพียงพ่อครัวและองครักษ์เพียงไม่กี่คนที่อยู่ในค่ายตามการทางปฏิบัติที่ผ่านมา การล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วงจะต้องใช้เวลาทั้งวัน พอถึงช่วงพลบค่ำ บรรดาผู้ชายถึงจะทยอยกลับมาเหล่าสตรีไม่มีอะไรทำ จึงรวมตัวกันกลุ่มละสองสามคน ขี่ม้าไปชมดอกไม้และทิวทัศน์ พบปะพูดคุยกัน ทำให้เวลาผ่านอย่างไม่ยากลำบากมากนักหลินซวงเอ๋อร์อยากจะไปเดินเล่นในป่าที่เยี่ยเป่ยเฉิงพูดถึง แต่นางไม่กล้าไปคนเดียว ดังนั้นจึงคิดที่จะไปกับหญิงสาวคนอื่นๆนางเริ่มพูดคุยกับหญิงสาวคนอื่นๆ แต่นางยังไม่ทันได้เข้าใกล้ บรรดาหญิงสาวคนอื่นๆก็มองนางด้วยสายตาที่ลึกลับซับซ้อนสายตานั้นทำให้นางหยุดเดินในทันทีคำพูดที่ทำให้รู้สึกเจ็บปวดดังก้องปานฟ้าร้อง อยู่ข้างหูหญิงสาวในชุดแดงมองหลินซวงเอ๋อร์ด้วยสายตาที่เย็นชา และกล่าวเยาะเย้ยว่า: "ดูสิ แค่สาวใช้คนหนึ่ง คิดว่าปีนขึ้นไปบนเตียงเจ้านายแล้วจะมีคุณสมบัติที่จะมายืนเคียงข้างพวกเรา นางก็ไม่ดูสถานะของตนเองเลย!"ผู้หญิงอีกคนที่สวมชุดสีเขียวหัวเราะเยาะว่า "ถุย! นังจิ้งจอกชั้นต่ำ ตั้งใจขโมยสามีของคนอื่น ช่างไร้ยางอายจริงๆ!"“ใช่แล้ว ไม่รู้ว่าพ่อแม่ของนางส
ฮุ่ยอี๋กล่าวอย่างฉะฉานว่า: " ในเวลานั้นไทเฮาพยายามเกลี้ยกล่อมเจ้าสุดฤทธิ์ ว่าอย่าไปคาดหวังกับงานสมรสในครั้งนี้มากนัก เพราะท่านลุงเป็นคนที่มีนิสัยเอาแน่เอานอนไม่ได้ ไม่ใช่คนที่รู้จักรักใคร่ทะนุถนอมคนอื่น แต่เจ้ากลับร้องห่มร้องไห้ ยืนกรานจะสมรสกับเขาให้ได้ ไทเฮาไม่รู้ว่าจะจัดการเจ้าอย่างไร จึงให้เสด็จพ่อจัดการเรื่องงานสมรสนี้ให้ "สีหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ในสถานการณ์ที่น่าอับอายสุดขีดเช่นนี้ แม้ว่าพวกนางอยากจะประจบประแจงแต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดต่ออย่างไร ดังนั้นจึงหาข้ออ้างแล้วจากไปคิดไม่ถึงว่าฮุ่ยอี๋จะหักหน้านางต่อหน้าสาธารณชน ใบหน้าของจ้าวชิงชิงประเดี๋ยวซีดประเดี๋ยวเขียว นางมองไปที่ฮุ่ยอี๋สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า: "ฮุ่ยอี๋ เจ้ามีอคติอะไรกับข้าหรือเปล่า?"ฮุ่ยอี๋กล่าวว่า: "ไม่นี่ ข้าแค่พูดความจริงก็เท่านั้น!"“อีกอย่าง องค์หญิงนี้ชอบพูดอะไรต่อหน้า ไม่ชอบพูดให้ร้ายคนอื่นลับหลัง!”สิ่งที่นางพูดมีนัยความหมายบางอย่าง ทำให้จ้าวชิงชิงใจเต้นระรัว และรู้สึกผิดเล็กน้อยฮุ่ยอี๋ยิ้มให้นางเบาๆ ทำท่าทางราวกับว่าไม่เป็นพิษเป็นภัยอะไร: " เจ้ารู้สึกผิดอะไร?หรือว่า ลับหลังแล้วเจ้า
วันที่เจียงหว่านกำลังจะถูกเนรเทศ ในที่สุดเจียงเช่อก็มาหาถึงหน้าประตูเขาคุกเข่าเบื้องหน้าเยี่ยเป่ยเฉิง เว้าวอนขอเยี่ยเป่ยเฉิงปล่อยเจียงหว่านไปขณะที่เดินทางมา เขารับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วเจียงหว่านลอบวางยาพระชายาเยี่ย ใช้ประชาชนที่ติดโรคทดลองยา เข่นฆ่าคนบริสุทธิ์ ผลาญชีวิตคนดุจผักดุจปลา นับเป็นอาชญากรรมอันชั่วร้ายที่สุด......แต่ไม่ว่าอย่างไร เจียงหว่านก็เป็นน้องสาวเขา เป็นคุณหนูหนึ่งเดียวของตระกูลเจียง เจียงเช่อมิอาจนั่งนิ่งดูดาย ปล่อยให้นางไปตายได้“ขอร้องท่านอ๋องไว้ชีวิตนางเถิด เป็นเพราะข้าตามใจนางจนเสียคน หากท่านอ๋องจะลงโทษ โปรดลงที่เจียงเช่อเถิดพะยะค่ะ”เมื่อเห็นเจียงเช่อ สายตาสิ้นหวังของเจียงหว่านพลันมีประกายความหวังขึ้น“พี่......ท่านพี่ ช่วยข้าด้วย ข้าไม่อยากไปแดนเถื่อน ข้าอยากกลับบ้าน ท่านพี่ช่วยข้าด้วย......”เจียงเช่อขมวดคิ้วเขม็งจ้องเจียงหว่าน สายตาแฝงเร้นด้วยแววเกยีดชังเข้าไส้เขารู้ว่าเจียงหว่านต้องโทษตาย ยามนี้แค่เนรเทศ ถือว่าเมตตามากแล้ว แต่เขาเองก็รู้ว่า สถานที่อย่างแดนเถื่อนนั้น มิใช่สถานที่ที่สตรีตัวคนเดียวจะไปได้ การเนรเทศนางไปที่นั่น เท่ากับส่งนางไปขุมนร
“เลือดของนาง...”เจียงหว่านสีหน้าตกตะลึงตอนนั้น ตอนที่ฮุ่ยอี๋มอบยาถอนพิษใส่ในมือนาง นางเคยเอาทิ้งไว้หลายขวด เดิมทีคิดศึกษาส่วนผสมในนั้น ทว่าด้านในกลับมีส่วนผสมยาเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือเลือดมนุษย์...แรกเริ่ม นางคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล! กระทั่งยามนี้นางถึงได้เชื่อความจริง ส่วนประกอบของยานั้น มีเพียงเลือดมนุษย์จริงๆ! ทั้งยังเป็นเลือดของหลินซวงเอ๋อร์! เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ในที่สุดนางก็เข้าใจ!มิน่า...ตอนนั้น นางใช้ยาปริมาณมาก แต่กลับไม่อาจทำให้หลินซวงเอ๋อร์ถึงตาย! ไม่คิดว่าเลือดของนางจะขจัดพิษในร่างนางโดยมองไม่เห็น...ฮุ่ยอี๋เอ่ย “เจ้ายังมีหน้าพูดว่าไม่ได้ฆ่าคนเป็นผักเป็นปลาอีก! เจียงหว่าน เจ้าลืมแล้วหรือว่าเจ้าวางยาซวงเอ๋อร์อย่างไร? เสด็จอาให้อภัยเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ข้าไม่มีวันเกรงใจเจ้า!”คำพูดนี้สองแง่สองง่าม เห็นชัดว่ากำเย้ยหยันเยี่ยเป่ยเฉิงที่ดึงหมาป่าเจ้าเล่ห์เข้าบ้าน!เยี่ยเป่ยเฉิงตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม ไร้ซึ่งแรงโต้กลับยามนี้ เขามิอาจชำระคืนได้ ซวงเอ๋อร์ของเขาไม่มีวันกลับมาอีกต่อไป!สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้ คือทำให้เจียงหว่านชดใช้อย่างสาสมที่สุด ส่วนตัวเขา ชีวิตที่
เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม สายตาที่มองเจียงหว่านเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง ไม่มีความอ่อนโยนเลยสักนิดเขาอยากฆ่านางตั้งนานแล้ว ที่ปล่อยนางรอดมาจนถึงตอนนี้ ก็แค่อยากให้นางได้รับความทรมานจนตายบัดนี้เห็นนางตกยากเช่นนี้ เยี่ยเป่ยเฉิงกลับรู้สึกว่าบทลงโทษแค่นี้ยังมิพอเจียงหว่านถูกทรมานจนเหมือนตายดีกว่าอยู่มานานแล้ว นางรู้ เยี่ยเป่ยเฉิงไม่มีทางปล่อยนางไปง่ายๆ หลังจากคิดดูแล้ว หากตายด้วยน้ำมือของเยี่ยเป่ยเฉิงได้ ก็คงจะดีกว่าตอนนี้ ที่ดูดซับยาเข้าสู่ร่างกายทุกวัน ถูกฝันร้ายหลอกหลอนทุกคืนสุดท้ายก็ไม่สามารถหนีจากพิษและเสียชีวิตลงได้!อย่างไรก็ตาย มิสู้ให้เยี่ยเป่ยเฉิงจบชีวิตนางด้วยมือเขาเอง!เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางก็ยิ้มเยาะ จงใจกล่าวยั่วยุเขา “เยี่ยเป่ยเฉิง เจ้ามีฝีมือแค่นี้หรือ? แน่จริงก็ฆ่าข้าไปเลยสิ!”“ฆ่าข้าให้มันจบๆ ไปเสีย!”เยี่ยเป่ยเฉิงปรายตามองนาง พลางกล่าวอย่างเย็นชา “ตอนนั้น เจ้าก็ทรมานซวงเอ๋อร์เช่นนี้!”เจียงหว่านกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้วอย่างไร!”“ลูกในท้องนางข้าก็เป็นคนทำร้ายเอง! ร่างกายอ่อนแอแบบนั้นของนางต่อไปจะตั้งครรภ์ไม่ได้อีกแล้ว!”“ที่นางฝันร้ายทุกคืน ก็เป็นข้าที่ทำเอง
หลายสิบปีมานี้ นางทำเรื่องชั่วมานับไม่ถ้วน ทุกเรื่อง นางจิตใจสงบ ไม่เคยรู้สึกผิดเลยมีเพียงเจียงหลิง…มีเพียงการตายของเจียงหลิง ทำให้นางยากจะข่มตานอนได้…ตลอดเวลาที่ผ่านมา ในฐานะคุณหนูรอง เจียงหว่านไม่เป็นที่ชื่นชอบของพ่อแม่มาตลอด พี่ชายก็ยิ่งไม่สนใจนาง ทว่าเจียงหลิงกลับได้รับความรักมากมาย…นางอิจฉาเจียงหลิง และแทบอยากทำให้อีกฝ่ายหายไปจากโลกใบนี้แต่เจียงหลิงกลับรักเอ็นดูนางมาตั้งแต่ต้นจนจบ ปกป้องนาง มอบของที่ดีที่สุดในโลกใบนี้ให้แก่นาง…เจียงหลิงเป็นพี่สาวที่ดีต่อนางที่สุดบนโลกใบนี้…ทว่าที่นางต้องการหาใช่แค่พี่สาวอย่างเดียว นางต้องการความรักของทุกคน นางต้องการให้พ่อแม่ พี่ชายรกนางแค่คนเดียว นางอยากครอบครองของที่ดีที่สุดไว้กับตัวเอง ไม่ใช่รอให้คนอื่นมอบให้!ดังนั้น ในคืนวันหิมะตก นางผลักเจียงหลิงตกน้ำ มองนางจมตายทั้งเป็นอยู่ใต้น้ำ หลังจากนั้นนางก็ติดวันเกิดเวลาเกิดของเจียงหลิงบนตุ๊กตาคุณไสย แทงเธอทุกวัน สวดภาวนาทุกคืน นางต้องการให้เจียงหลิงไม่มีโอกาสได้ผุดได้เกิด ไม่หวนกลับมาตลอดกาล!เพราะมีเพียงแค่ทำแบบนี้ นางถึงจะไม่มีโอกาสแก้แค้นตัวเอง!แต่ทำไม…ทำไมตอนนี้นางถึงยังหาตัวเอง
ยาซึมเข้าสู่ร่างกายติดกันหลายวันทำให้เจียงหว่านค่อยๆ เป็นบ้าในห้องที่ปิดสนิท เจียงหว่านหดตัวอยู่บนพื้นเหมือนดินโคลนตัวนางเหม็นมาก ชุดกระโปรงสีรากบัวเปลี่ยนเป็นสกปรกและเก่าองครักษ์ทำให้เส้นเอ็นมือของนางขาด ตรงบาดแผลถูกทาขี้ผึ้งปิดแผลชั้นแล้วชั้นเล่าแม้ขี้ผึ้งปิดแผลจะเป็นยาสำหรับปกปิด ทว่ากลับมีผลดีต่อการหยุดเลือดบาดแผลแข็งตัวจนกลายเป็นสะเก็ดไปแล้ว เพียงแต่ไม่ได้รับการรักษาที่ดีกว่านี้ แม้จะดีขึ้นก็ยังเหลือรอยแผลเป็นอัปลักษณ์เอาไว้ธูปในห้องไม่เคยลดลงเลยทั้งวัน ประกอบกับกระกระตุ้นของต้นคลีเวีย ความคิดต่ำช้าที่อยู่ในตัวนางแทบจะถูกกระตุ้นออกมาทั้งหมดสองตานางแดงก่ำ ดูฉุนเฉียวไม่น้อย กรีดร้องโวยวายอยู่ในห้อง ประหนึ่งคนบ้าคนหนึ่งองครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าห้องไม่สนใจนางสักนิด ได้แต่ทรมานนางไม่ให้นางตายทุกวันความเคียดแค้นฉายออกมาจากในตาเจียงหว่าน เวลานี้ นางได้ปล่อยว่างความหลงใหลต่อเยี่ยเป่ยเฉิงแล้ว ไม่ว่าจะรักมากขนาดไหนก็แปรเปลี่ยนเป็นความชิงชังเข้ากระดูก“เยี่ยเป่ยเฉิง! ปล่อยข้ากลับไป! ปล่อยข้ากลับไปสิ!”“แน่จริงก็ฆ่าข้าเลยสิ!ฆ่าข้าให้มันจบๆ ! ท่านมีสิทธิ์อะไรมาขังข้าไว้เช่นนี
“ได้ยินว่าพ่อแม่ที่เลี้ยงดูเจ้าเสียไปนานแล้ว แล้วเจ้ากับพี่ชายอยู่มาได้อย่างไร?”“แล้วเหตุใดเจ้าจึงขายตัวไปเป็นบ่าวไพร่? หลายปีมานี้ เจ้าคงผ่านความลำบากมิใช่น้อย เคยถูกใครรังแกหรือไม่?”หลินซวงเอ๋อร์พลันเกิดความขมขื่นในจิตใจเดิมที หากไม่เอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้ นางยังพออดทนได้บ้าง แต่เมื่ออวี๋หว่านหนิงถามขึ้นมา นางก็อดรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเสียมิได้นางเม้มปากพลางจ้องมองนิ้วมือตนเอง น้ำตาเริ่มเอ่อล้น พร้อมหยดแหมะลงหลังมือทีละหยดนางอยู่สบายหรือไม่?นางเคยถามตนเองอยู่เช่นกันหลายปีมานี้ นางผ่านเรื่องราวมากมาย สูญเสียบิดามารดา สูญเสียพี่ชายไป กลายเป็นเด็กกำพร้าที่ไร้ญาติขาดมิตรโดยแท้แต่หากคิดดีๆ ชีวิตนางก็เคยอยู่สุขสบายมาช่วงหนึ่งนั่นคือตอนอยู่กับเยี่ยเป่ยเฉิง นางมีความสุขจริงๆในตอนนั้น เยี่ยเป่ยเฉิงเป็นกำลังใจให้นาง ซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ หาของดีมาให้กิน สอนนางเรียนหนังสือ พาไปเดินเล่นท่องทะเลสาบ ให้ความรักต่อนางอย่างชนิดไร้ผู้เทียบเทียม...ในเวลานั้น นางมีความสุขเหลือล้น เป็นความสุขมากที่สุดในชีวิต แม้แต่ฝันก็ยังเป็นฝันหวาน...แต่ต่อมา ทุกอย่างกลับแปรเปลี่ยน ก่อนหน้านี้เคยสุ
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หลินซวงเอ๋อร์แทบชะงักงันไปที่บั้นเอวนางมีปานแดงรูปเสี้ยวจันทร์จริงๆ ท่านแม่บอกว่า มันมีติดตัวมาตั้งแต่นางเกิด เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่บั้นเอว จึงมีน้อยคนที่จะรู้เรื่องนี้“ท่าน...คือแม่ของข้าจริงหรือ?” หลินซวงเอ๋อร์หัวใจเต้นแรง ขอบตาแดงเรื่อขึ้นอวี๋หว่านหนิงยื่นมือมาจับมือของนางไว้ พลางกล่าวเสียวเศร้า “ซวงเอ๋อร์ ข้าคือแม่เจ้าจริงๆ หลายปีนี้ทำให้เจ้าลำบากนัก...”แม่นมซุนอยู่ด้านข้างพลางกล่าวเสริม “องค์หญิง นางคือเสด็จแม่ของท่านจริงๆ หลายปีมานี้ ฮองเฮาไม่เคยเลิกราในการตามหาท่าน เพียงแต่ภาคกลางกว้างขวางนัก พวกท่านเองก็ข่าวคราวเงียบหาย หลายปีนี้ พวกท่านลำบากก็จริง ฮองเฮาก็ไม่ได้สุขสบายใจ...”หลินซวงเอ๋อร์นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ พลันหันไปมองอวี๋หว่านหนิงแล้วกล่าว “ที่จริง ข้าไม่เคยตำหนิท่านเลย เพียงแต่บางครั้งก็เคยคิด ว่าท่านแม่จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้หรือไม่”“ตอนยังเป็นเด็ก ข้าเคยคาดหวังให้นางมาหาบ้าง แต่พอโตขึ้นก็ไม่เห็นนางมาเสียที ข้าจึงภาวนาให้นางอยู่ดีมีสุขแทน แม้จะไม่ได้พบหน้า แต่ขอให้นางยังมีชีวิตอยู่ เป็นความคิดถึงในใจก็เพียงพอแล้ว...”
อวี๋หว่านหนิงรับเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา พลันเกิดความตื้นตันจนไม่รู้ตอบอย่างไรดีทันใดนั้น แม่นมซุนเดินขึ้นมาพร้อมกล่าว “องค์หญิง ที่นี่คือวังหลวงแห่งเป่ยหรง ฮองเฮาทรงตามหาท่านมานาน ทุ่มแทแรงกายแรงใจไม่น้อยกว่าจะหาพบ...”“องค์หญิง?” หลินซวงเอ๋อร์นึกว่าตนหูฝาดไป “ท่านเรียกข้าอยู่หรือ?”นางกล่าวตอบ “พวกท่านจำคนผิดหรือเปล่า ข้าไม่ใช่องค์หญิง ข้าคือหลินซวงเอ๋อร์ต่างหาก”นางเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้ง เติบโตมาจากชนบทแร้นแค้น เป็นเพียงสาวใช้ต่ำต้อยผู้หนึ่งเท่านั้นองค์หญิงอะไรกัน ยังมีวังเป่ยหรงอีก แล้วใครคือฮองเฮา?พวกนางคงจำคนผิดเป็นแน่แม่นมซุนกล่าวตอบ “ไม่ผิดเจ้าค่ะ ไม่มีผิดแน่นอน ท่านก็คือองค์หญิงของเรา องค์หญิงที่พลัดพรากจากฮองเฮาไป...”หลินซวงเอ๋อร์คล้ายกับยังมึนงงอยู่ ความคิดนางเกิดความสับสน ปวดหัวเป็นอย่างมากแม่นมซุนอธิบายต่อ “สมัยที่อดีตฮ่องเต้สวรรคต ฮ่องเต้องค์ใหม่ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ ราชสำนักเป่ยหรงเกิดความวุ่นวาย ตอนนั้นฮองเฮายังมีฐานะเป็นเพียงพระชายาแห่งรัชทายาท นางเสี่ยงอันตรายให้กำเนิดแฝดชายหญิงคู่หนึ่ง เพื่อปกป้องชีวิตของพวกท่านไว้ จึงให้คนสนิทส่งพวกท่านออก
หลินซวงเอ๋อร์เปลือกตากระตุกเล็กน้อย นางก็อยากตื่น แต่ทำอย่างไรก็ไม่อาจตื่นขึ้นมาหน้าอกคล้ายถูกกรีดจนเป็นแผลเหวอะหวะ เหงื่อเย็นในตัวไหลพราก ลำคอคล้ายถูกงูพิษตัวหนึ่งรัดไว้ ยิ่งรัดก็ยิ่งแน่น จนนางใกล้จะหายใจไม่ออกข้างโสตนั้น ได้ยินเสียงคุ้นหูประเดี๋ยวไกลประเดี๋ยวใกล้ ถัดจากนั้น คล้ายมีมืออ่อนโยนลูบไล้ใบหน้านางเบาๆ“เด็กดี หมดเรื่องแล้ว เจ้าปลอดภัยดีแล้ว รีบตื่นมาเถิด ตื่นมาเร็วเข้า...”หลังจากได้ยินเสียงนั้นชัดเจนมากขึ้น ลำคอที่ถูกรัดแน่นก็ค่อยๆ คลายออก นางลืมตาช้าๆ ภาพเบื้องหน้าจากพร่ามัวจนกลายเป็นชัดเจน สิ่งแรกที่เข้าสู่ม่านตาก็คือม่านคลุมเตียงสีม่วงที่อยู่เหนือศีรษะขึ้นไป คล้ายเป็นภาพฝัน เสมือนเป็นแหยักษ์ที่ถูกเหวี่ยงลงมา เพื่อคลุมตัวนางให้อยู่ตรงกลางเตียงนี้เป็นเตียงที่สวยงาม จนแม้แต่เสาเตียงก็เป็นลวดลายที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน หัวเตียงนอกจากจะแกะสลักลายดอกไม้แล้วยังฝังด้วยหยกเจียระไนงดงามและพลอยล้ำค่าอีกชั่วขณะนั้น นางรู้สึกมึนงงยิ่งนี่มันเป็นที่ไหนกัน?“ซวงเอ๋อร์ เจ้ารู้สึกตัวแล้วรึ?” จนกระทั่งข้างหูได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง นางจำได้ว่าตอนอยู่ในความฝัน ได้ยินเสียงนี้จนคุ