ความโกรธในนัยน์ตาของเยี่ยเป่ยเฉิงได้จางหายไปเขาหันกลับมาพูดกับองค์จักรพรรดิว่า: "เมื่อสักครู่นี้กระหม่อมเป็นห่วงพระชายาของตนมาก เพราะนางเป็นคนที่ขี้กลัว และคงจะตกใจมาก กระหม่อมไม่ได้ตั้งใจที่จะตำหนิองค์ชายใหญ่เลย"องค์จักรพรรดิตรัสด้วยรอยยิ้มว่า: " เป็นเช่นนั้นก็ดีแล้ว มันไม่ง่ายเลยที่เจ้าจะไม่คิดเล็กคิดน้อย ข้าหวังว่าการล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วงในวันนี้ ทุกคนจะมีความสุขกันทั่วหน้า"เยี่ยเป่ยเฉิงยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นกลับไปไม่ถึงส่วนลึกของนัยน์ตา"ความเข้าใจผิด" ได้รับการแก้ไขแล้ว ภายในค่ายก็กลับคืนสู่บรรยากาศที่มีชีวิตชีวาเหมือนเดิม ทุกคนยังคงยืนอยู่ในตำแหน่งของตน ฝึกยิงธนูไม่ขาดสาย คิดว่าอีกสักพักเข้าไปในพื้นที่ล่าสัตว์ จะล่าเหยื่อมาสักสองสามตัวทั่วป๋าจิ่นยกริมฝีปากขึ้น และรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมากได้ยินมานานแล้วว่าเยี่ยเป่ยเฉิงโปรดปรานสาวใช้คนหนึ่ง และประคบประหงมราวเอาไว้ในฝ่ามือราวกับว่าเป็นสมบัติอันล้ำค่า แสดงให้เห็นว่าเขารักนางมากแค่ไหนเมื่อนึกถึงตอนที่เยี่ยเป่ยเฉิง กำลังควบม้าอยู่ในสนามรบ ไม่เคยพ่ายแพ้ต่อสงคราม ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา โหดเหี้ยมทารุณ ไม่มีใครในราชสำนักสามารถ
คิดไม่ถึงว่า อาจจะเป็นเพราะลมแรงจนเกินไป ในขณะที่ลูกศรกำลังพุ่งลอยไปก็เปลี่ยนทิศทางเล็กน้อยบังเอิญว่ามีฆ้องอันหนึ่งวางอยู่ข้างเป้าธนูที่อยู่ตรงหน้าเยี่ยเป่ยเฉิงพอดีเนื่องจากทิศทางคาดเคลื่อนกลางคัน ลูกธนูดอกนั้น จึงยิงไปโดนฆ้องอันนั้นอย่างพอดิบพอดีคงจะเป็นเพราะพลังนั้นแข็งแกร่งจนเกินไป หลังจากที่ลูกศรกระทบฆ้องพลังก็ไม่ได้ลดลงเลย แต่มันกลับเปลี่ยนทิศทางด้วยพลังมหาศาล มุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางที่ทั่วป๋าจิ่นยืนอยู่ลูกศรชี้ไปที่ใบหน้าของเขา ได้อย่างพอดิบพอดีทั่วป๋าจิ่นเป็นคนที่มีพื้นฐานการต่อสู้อยู่แล้ว บวกกับเขาได้เตรียมตัวไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ จึงสามารถหันไปด้านข้างได้ทันเวลาในเสี้ยววินาทีสุดท้าย ทำให้ลูกศรเฉียดหูเขาไปเขามองย้อนกลับไป ก็เห็นว่าลูกธนูปักตรงเสาที่ตรงตระหง่านอยู่ทางด้านหลังเขา ด้วยพลังมหาศาล จนเจาะทะลุเสาทันทีเมื่อสักครู่นี้ เขาก็แค่อยากจะทำให้ผู้หญิงคนนั้นตกใจก็เท่านั้น ไม่ได้อยากฆ่านางจริงๆเสียหน่อยแต่ลูกธนูของเยี่ยเป่ยเฉิงดอกนี้ มุ่งตรงเข้ามาเพื่อคร่าชีวิตเขา!ทั่วป๋าจิ่นกำหมัดทั้งข้างเอาไว้แน่น มองเยี่ยเป่ยเฉิงด้วยสีหน้าที่เย็นชาขณะที่เขากำลังจะถาม ก็มีเสียงลม
ลูกศรทั้งสามดอกมุ่งหน้าไปที่ทั่วทั่วป๋าจิ่น ถ้าบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญมันคงจะไม่สมเหตุสมผล แต่ถ้าบอกว่าตั้งใจ ก็ไม่มีเหตุผลมาอธิบายอย่างไรเสียไป๋อวี้ถังกับทั่วป๋าจิ่นไม่บาดหมางใจอะไรกัน ดังนั้นคงจะไม่ได้ตั้งใจจะยิงธนูใส่เขา?สีหน้าขององค์จักรพรรดิแย่มากขึ้นเรื่อยๆวันนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?สำหรับฉีหมิงกับเยี่ยเป่ยเฉิง องค์จักรพรรดิมีคำอธิบายอยู่ในใจอยู่แล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะทำโดยตั้งใจ หรือว่าไม่ได้ตั้งใจก็ตาม ถึงอย่างไรก็มีเหตุผลรองรับแต่เหตุใดไป๋อวี้ถังถึงเข้ามาร่วมด้วยล่ะ?องค์จักรพรรดินวดคลึงคิ้วอย่างจนใจ มองไปที่ไป๋อวี้ถังแล้วตรัสว่า "สมุหราชเลขาธิการก็ถูกพายุทรายทำให้สูญเสียการมองเห็นเหมือนกันหรือ?"ไป๋อวี้ถังก้าวไปข้างหน้าด้วย "ความเกรงกลัว"แล้วกล่าวว่า: "กระหม่อมยิงธนูไม่เก่ง เมื่อสักครู่นี้มีลมพัดมา กระหม่อมไม่ควรอยากจะแสดงฝีมือของตนจนเกินไป ควรจะรอให้พายุทรายหยุดก่อนค่อยยิงลูกธนู หากทำให้องค์ชายใหญ่ได้รับบาดเจ็บจริงๆ กระหม่อมคงจะกินไม่ได้นอนไม่หลับ"ทั่วป๋าจิ่นกล่าวเยาะเย้ยว่า: " เจ้าก็รู้ว่าทักษะการยิงธนูของตนเองไม่ดี? ในเมื่อเจ้ารู้ว่าทักษะการยิงธนูของเจ้าไม่ดีเหต
ถ้าเขาโดนลูกยิงเข้าจริงๆ ทั้งสามคนนี้คงจะบอกว่าอีกว่า เป็นเพราะดวงเขาชงกับวันนี้ ไม่เหมาพที่จะออกไปไหน ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขาเลย! ปัดความรับผิดชอบไปจนหมด!เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ แม้ว่าทั่วป๋าจิ่นจะไม่เต็มใจแต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น จึงทำได้แค่ระงับความเจ็บใจเอาไว้องค์จักรพรรดิรู้สึกหงุดหงิดในใจ เมื่อเห็นว่าเวลาใกล้จะถึงเวลาแล้ว ก็ฟังคำแนะนำของไป๋อวี้ถัง ให้ส่งคนส่ง ทั่วป๋าจิ่นที่เกรี้ยวโกรธกลับไปที่พระราชวังทันทีที่ทั่วป๋าจิ่นจากไป การล่าสัตว์ก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการในเวลานี้ ท้องฟ้าก็สว่างแล้ว แสงตะวันทะลุผ่านชั้นเมฆ พอแสงอรุโณทัยอรุณสาดส่องลงมา แผ่นดินทั้งหมดก็เป็นสีทองผ่องอำไพทุกคนพร้อมที่จะออกเดินทาง ม้าที่ขี่นั้นแข็งแกร่งทรงพลัง ซองใส่ธนูก็เต็มไปด้วยลูกธนู และเตรียมพร้อมทุกอย่างอย่างครบครัน พวกเขาถือคันธนูเอาไว้ ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความคาดหวังและความตื่นเต้นป่าแห่งนี้อันตรายมาก เพราะมีสัตว์ดุร้ายหายากและแปลกตาจำนวนนับไม่ถ้วน จึงไม่เหมาะที่จะสตรีจะเข้าไป ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย บรรดาสตรีทั้งหมดจึงอยู่ในค่ายคนที่อยู่ในค่ายจะเตรียมหม้อไฟและเตาย่างเอาไว้ เมื่อผู้ชายกลั
ผู้ชายส่วนใหญ่เข้าไปในพื้นที่ล่าสัตว์ เหลือเพียงพ่อครัวและองครักษ์เพียงไม่กี่คนที่อยู่ในค่ายตามการทางปฏิบัติที่ผ่านมา การล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วงจะต้องใช้เวลาทั้งวัน พอถึงช่วงพลบค่ำ บรรดาผู้ชายถึงจะทยอยกลับมาเหล่าสตรีไม่มีอะไรทำ จึงรวมตัวกันกลุ่มละสองสามคน ขี่ม้าไปชมดอกไม้และทิวทัศน์ พบปะพูดคุยกัน ทำให้เวลาผ่านอย่างไม่ยากลำบากมากนักหลินซวงเอ๋อร์อยากจะไปเดินเล่นในป่าที่เยี่ยเป่ยเฉิงพูดถึง แต่นางไม่กล้าไปคนเดียว ดังนั้นจึงคิดที่จะไปกับหญิงสาวคนอื่นๆนางเริ่มพูดคุยกับหญิงสาวคนอื่นๆ แต่นางยังไม่ทันได้เข้าใกล้ บรรดาหญิงสาวคนอื่นๆก็มองนางด้วยสายตาที่ลึกลับซับซ้อนสายตานั้นทำให้นางหยุดเดินในทันทีคำพูดที่ทำให้รู้สึกเจ็บปวดดังก้องปานฟ้าร้อง อยู่ข้างหูหญิงสาวในชุดแดงมองหลินซวงเอ๋อร์ด้วยสายตาที่เย็นชา และกล่าวเยาะเย้ยว่า: "ดูสิ แค่สาวใช้คนหนึ่ง คิดว่าปีนขึ้นไปบนเตียงเจ้านายแล้วจะมีคุณสมบัติที่จะมายืนเคียงข้างพวกเรา นางก็ไม่ดูสถานะของตนเองเลย!"ผู้หญิงอีกคนที่สวมชุดสีเขียวหัวเราะเยาะว่า "ถุย! นังจิ้งจอกชั้นต่ำ ตั้งใจขโมยสามีของคนอื่น ช่างไร้ยางอายจริงๆ!"“ใช่แล้ว ไม่รู้ว่าพ่อแม่ของนางส
ฮุ่ยอี๋กล่าวอย่างฉะฉานว่า: " ในเวลานั้นไทเฮาพยายามเกลี้ยกล่อมเจ้าสุดฤทธิ์ ว่าอย่าไปคาดหวังกับงานสมรสในครั้งนี้มากนัก เพราะท่านลุงเป็นคนที่มีนิสัยเอาแน่เอานอนไม่ได้ ไม่ใช่คนที่รู้จักรักใคร่ทะนุถนอมคนอื่น แต่เจ้ากลับร้องห่มร้องไห้ ยืนกรานจะสมรสกับเขาให้ได้ ไทเฮาไม่รู้ว่าจะจัดการเจ้าอย่างไร จึงให้เสด็จพ่อจัดการเรื่องงานสมรสนี้ให้ "สีหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ในสถานการณ์ที่น่าอับอายสุดขีดเช่นนี้ แม้ว่าพวกนางอยากจะประจบประแจงแต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดต่ออย่างไร ดังนั้นจึงหาข้ออ้างแล้วจากไปคิดไม่ถึงว่าฮุ่ยอี๋จะหักหน้านางต่อหน้าสาธารณชน ใบหน้าของจ้าวชิงชิงประเดี๋ยวซีดประเดี๋ยวเขียว นางมองไปที่ฮุ่ยอี๋สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า: "ฮุ่ยอี๋ เจ้ามีอคติอะไรกับข้าหรือเปล่า?"ฮุ่ยอี๋กล่าวว่า: "ไม่นี่ ข้าแค่พูดความจริงก็เท่านั้น!"“อีกอย่าง องค์หญิงนี้ชอบพูดอะไรต่อหน้า ไม่ชอบพูดให้ร้ายคนอื่นลับหลัง!”สิ่งที่นางพูดมีนัยความหมายบางอย่าง ทำให้จ้าวชิงชิงใจเต้นระรัว และรู้สึกผิดเล็กน้อยฮุ่ยอี๋ยิ้มให้นางเบาๆ ทำท่าทางราวกับว่าไม่เป็นพิษเป็นภัยอะไร: " เจ้ารู้สึกผิดอะไร?หรือว่า ลับหลังแล้วเจ้า
หลินซวงเอ๋อร์รู้ว่าตนเองไม่เป็นที่ชื่นชอบของคนอื่น ดังนั้นนางจึงไม่ไปประจบประแจงให้เสียเวลา ตอนที่รู้สึกเบื่อ นางก็จะขี่ม้าไปบริเวณรอบๆค่ายเนื่องจากลูกม้ามีขนาดเล็ก นางกลัวว่ามันจะเหนื่อย ดังนั้นทุกครั้งที่นางขี่ม้าไปได้หนึ่งรอบ นางจะกระโดดลงจากหลังม้า และเดินจูงลูกม้าเล่นหลังจากเดินไปได้สักสองสามรอบ นางก็กลัวว่ามันจะหิว จึงจูงลูกม้าไปที่ทุ่งหญ้าแล้วปล่อยให้มันกินหญ้าพอลูกม้ากินหญ้าเสร็จแล้ว นางก็กลัวว่ามันจะกระหาย จึงพามันไปทุกที่เพื่อหาน้ำดื่มหลังจากทำเช่นนี้อยู่หลายครั้ง ลูกม้าเต็มไปด้วยอาหารและน้ำ จนท้องของมันก็ปูดนูนออกมาหลินซวงเอ๋อร์ไม่เคยเลี้ยงม้ามาก่อนเลย ไม่ต้องพูดถึงลูกม้าที่ตัวเล็กและน่ารักขนาดนี้ เมื่อมองดูท้องที่ปูดนูนของมัน หลินซวงเอ๋อร์ก็รู้สึกวุ่นวายใจเล็กน้อยนางไม่ควรให้อาหารมันมากจนเกินไปคนถ้ารับประทานอาหารมากเกินไปจะรู้สึกง่วงนอน สัตว์ก็เช่นกันลูกม้าเต็มไปด้วยอาหารและน้ำ มันนอนอยู่บนพื้นและไม่อยากขยับตัวเดิมทีหลินซวงเอ๋อร์ก็รู้สึกเบื่อหน่ายอยู่แล้ว เยี่ยเป่ยเฉิงเป็นคนมอบม้าตัวนี้ให้นางเอาไว้ขี่เล่น ตอนนี้มันโดดงานนอนอยู่บนพื้น หลินซวงเอ๋อร์จึงรู้สึก
ทุกคมองตามเสียงนั้นไป ก็เห็นหลินซวงเอ๋อร์เบียดเสียดฝูงชนมาที่ตรงหน้าจื่อหลันจื่อหลันรู้สึกร้อนใจมาก พูดออกมาโดยที่ไม่ได้คิดอะไรว่า: "กินแค่ซาลาเปาเนื้อแกะ และดื่มซุปบ๊วยเปรี้ยวไปครึ่งชาม"หลินซวงเอ๋อร์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า "เจ้าให้ข้าเข้าไปดูองค์หญิงได้ไหม?"จื่อหลันยังไม่ทันได้ตอบตกลง จ้าวชิงชิงก็เยาะเย้ยว่า: " หลินซวงเอ๋อร์! เจ้ามายุ่งวุ่นวายอะไร? พวกข้ายังทำอะไรไม่ได้เลย เจ้าจะมาดึงดันแก้ไขปัญหาไปเพื่ออะไร?"ในสายตาของจ้าวชิงชิง หลินซวงเอ๋อร์มาจากชนชั้นที่ต่ำต้อย แม้แต่ตัวอักษรก็อ่านไม่ออก และเป็นเศษสวะที่ไร้ค่าคนหนึ่ง!อย่างไรก็ตาม ทันทีที่พูดจบ เสียงที่อดกลั้นความเจ็บปวดของฮุ่ยอี๋ก็ดังมาจากในกระโจม: " จื่อหลัน... ให้นางเข้ามา!"เมื่อได้รับอนุญาตจากฮุ่ยอี๋ ก็ไม่มีใครกล้าห้ามนางอีกจื่อหลันเปิดม่านกระโจม เชิญหลินซวงเอ๋อร์เข้าไปในกระโจมทุกคนก็อยากจะเข้าไปดูสถานการณ์เช่นกัน แต่จื่อหลันให้พวกนางอยู่ข้างนอกทั้งหมด: "องค์หญิงอนุญาตให้นางเข้าไปเท่านั้น พวกเจ้ารออยู่ข้างนอกเถิด"ภายในกระโจม ฮุ่ยอี๋นอนอยู่บนเตียง ด้วยสีหน้าที่ซีดเซียว หน้าผากเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็น
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก