หลินซวงเอ๋อร์ไม่ยอมลดละ ยังคงซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขาแต่เยี่ยเป่ยเฉิงไม่ยอมให้นางเข้าใกล้ กดไหล่ของนางเอาไว้ แล้วผลักนางออกไปไกลๆหลินซวงเอ๋อร์พยายามดิ้นรน แต่ก็ไม่สามารถเข้าใกล้เขาได้ จึงรู้สึกโกรธเล็กน้อยจึงหันหลังกลับไป นั่งลงข้างๆแล้วทำหน้าบูดบึ้งอยู่คนเดียวหลินซวงเอ๋อร์โกรธมาก จนร่างเล็กๆสั่นเทาเพราะความโกรธ บวกกับใบหน้าอันเรียวเล็กที่มืดดำ และสีหน้าท่าทางที่ดุร้ายแบบน่ารักของนาง ช่างน่าตลกขบขันเหลือเกินเยี่ยเป่ยเฉิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ แต่ตอนนี้สาวน้อยคนนี้กำลังเกรี้ยวโกรธอยู่ เขาจึงไม่สามารถหัวเราะออกมาได้อย่างเปิดเผย จึงทำได้แค่อดทนแล้วง้อนางเขายื่นมือออกไปยืดร่างกะทัดรัดของนาง จ้องมองนาง และกล่าวแบบกลั้นหัวเราะว่า: "เหตุใดซวงเอ๋อร์ถึงได้ใจแคบเช่นนี้? แค่นี้ก็โกรธแล้วหรือ?"หลินซวงเอ๋อร์ไม่อยากสนใจเขา หันกลับไปอย่างดื้อรั้นและไม่ยอมมองเขาดูเหมือนว่าจะโกรธมากเยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวอย่างยอมเสียหน้าว่า "สวามีผิดไปแล้ว? ซวงเอ๋อร์อย่าโกรธเลยนะ?"หลินซวงเอ๋อร์ทำเสียง "ฮึ่ม"ด้วยความโกรธ แต่ก็ยังเมินเฉยต่อเขาเยี่ยเป่ยเฉิงพูดอย่างจนใจว่า: "เอาล่ะ สวามียอมให้ซวงเอ๋อร์กลั่น
ผ่านไปสักครู่ใหญ่ๆ หลินซวงเอ๋อร์ก็ทนไม่ไหว หัวเราะออกมา หัวเราะจนไหล่เล็กๆของนางสั่นอย่างรุนแรงนางไม่เคยคิดมาก่อนว่า เยี่ยเป่ยเฉิงผู้สูงศักดิ์เย็นชาจะมีด้านที่ดูน่ารักปัญญาอ่อนเช่นนี้"สวามี ท่านช่างปัญญาอ่อนจริงๆ"หลังจากประสบการณ์ในครั้งนี้ หลินซวงเอ๋อร์ก็ไม่กลัวเขาอีกต่อไป อย่างไรเสียหน้าก็มืดดำจนไม่มีชิ้นดีอยู่แล้ว จึงไม่กลัวว่าเขาจะทาบนใบหน้าของนางอีก ดังนั้นนางจึงกล้าหาญมากยิ่งขึ้น นางใช้มือทั้งสองข้างที่เต็มไปด้วยน้ำหมึกทาลงบนใบหน้าของเยี่ยเป่ยเฉิง หัวเราะพร้อมกล่าวว่า: "สวามี หน้าของท่านเหมือนถ่านหินสีดำก้อนหนึ่งเลย"เยี่ยเป่ยเฉิงก้าวเท้าเดินไปใกล้ๆนาง แล้วกล่าวว่า "เพราะซวงเอ๋อร์เป็นคนทำไง "ทันทีที่เขาเข้ามาใกล้ หลินซวงเอ๋อร์ก็รู้สึกว่าความรู้สึกกดดันกำลังถาโถมเข้ามา ทำให้นาง ต้องถอยหลังไปอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งถูกบีบบีงคับให้เข้ามุม ด้านหลังจึงไม่มีที่ให้ถอยแล้ว“ ซวงเอ๋อร์กลัวอะไร? สวามีไม่ได้จะกินเจ้าเสียหน่อย” เยี่ยเป่ยเฉิงกักนางไว้ที่มุมผนัง เมื่อเห็นนางไม่มีทางหลบหนี และมีท่าทางที่ดูตื่นตระหนกเล็กน้อย มุมปากของเขาก็โค้งงอขึ้นหลินซวงเอ๋อร์แค่กลัวว่าเขาจะกินตนเอ
เยี่ยเป่ยเฉิงไม่สามารถต้านทานนางได้ และกลัวว่าจะทำให้นางโกรธเคืองอีกครั้ง จึงทำได้แค่เพียงเกลี้ยกล่อมนางด้วยเสียงอ่อนโยนว่า: "ได้ สวามีรับปากเจ้า แค่อาบน้ำด้วยกัน จะไม่ทำอย่างอื่น ซวงเอ๋อร์วางใจแล้วหรือยัง?"หลินซวงเอ๋อร์ใช้สายตาที่คาดเดาได้ยากมองไปที่เขาคำพูดของเขา เชื่อถือได้แค่ไหน?เยี่ยเป่ยเฉิงเห็นสีหน้าที่ไม่เชื่อของนาง ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะแล้วกล่าวว่า: "สวามีไม่ใช่สัตว์ร้ายเสียหน่อย เหตุใดซวงเอ๋อร์ถึงได้มองสวามีด้วยสีหน้าท่าทางแบบนั้น?"หลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า: "แค่อาบน้ำด้วยกันเฉยๆใช่หรือไม่? สวามีจะต้องรักษาคำพูดนะ? ว่าจะไม่ทำอะไรอย่างอื่น?"เยี่ยเป่ยเฉิงแสร้งทำเป็นโกรธได้สำเร็จแล้วกล่าวว่า " ซวงเอ๋อร์คิดว่าสวามีเป็นอะไร? สวามีเป็นคนที่รักษาคำพูดเสมอ เคยผิดคำสัญญาตั้งแต่เมื่อไหร่? "รักษาคำพูด?พอหลินซวงเอ๋อร์ได้ฟังคำพูดที่คุ้นเคยเหล่านี้แล้ว ก็มักจะรู้สึกว่าเขาพูดคำนี้กับตนมาหลายครั้งแล้ว หลังจากนั้นก็หักหน้าตนเองอย่างรวดเร็วเยี่ยเป่ยเฉิงไม่ให้เวลานางได้ครุ่นคิด เขาเริ่มถอดเสื้อผ้าของนางทันที และกล่าวว่า " ซวงเอ๋อร์ รีบอาบตอนที่น้ำยังร้อนเถิด รีบอาบรีบนอน วันพรุ่งนี้
แม้ว่าอ่างอาบน้ำจะมีขนาดใหญ่ สองคนอยู่คนละฝั่งจะมีพื้นที่เพียงพอพอดี แต่ทันทีที่เยี่ยเป่ยเฉิงเข้ามาจึงทำให้รู้สึกแออัดเล็กน้อยเยี่ยเป่ยเฉิงพูดอย่างจริงจังว่า: " สวามีมาถูหลังให้ซวงเอ๋อร์ "หลินซวงเอ๋อร์ปฏิเสธทันทีว่า: "ไม่ต้องถูแล้ว ข้าอาบเสร็จแล้ว และไม่อยากอาบแล้วด้วย" ขณะที่พูดก็กำลังจะปีนออกจากอ่างอาบน้ำ จู่ๆก็ถูกเยี่ยเป่ยเฉิงคว้าเอวเอาไว้แล้วเอามาไว้ในอ้อมกอด“รีบอะไร? แช่น้ำต่ออีกหน่อยเถิด อุณหภูมิของน้ำกำลังพอดีเลย” เยี่ยเป่ยเฉิงเอานางมานั่งอยู่บนตักของตนเอง และเอาแขนโอบเอวที่เรียวบางของนางเอาไว้ ทำให้ร่างกายของทั้งสองคนแนบชิดกัน“สวามี น้ำนี้ร้อนเกินไป” เดิมทีหลินซวงเอ๋อร์ก็รู้สึกร้อนอยู่แล้ว ตอนนี้ถูกเขากอดเอาไว้จึงทำให้รู้สึกร้อนยิ่งกว่าเดิมอีก ทำให้ร่างกายอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงเยี่ยเป่ยเฉิงยังมีเหงื่อออกที่หน้าผากบางๆ แต่ความร้อนที่ออกมาจากร่างกายของเขา ไม่เกี่ยวข้องกับอุณหภูมิของน้ำร่างกายที่อยู่ในอ้อมแขนทั้งหอมทั้งนุ่มนวล ทำให้เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกว่าปากของเขาแห้งมาก และเลือดในร่างกายก็เดือดพล่านไม่หยุด“สวามี ท่านจะทำอะไร?” เมื่อสัมผัสได้ว่ามือขนาดใหญ่ที่อยู่ใต้น้ำค่อ
น้ำร้อนกระเซ็นไปทั่วพื้น อากาศก็เต็มไปด้วยความร้อนหลังจากผ่านไปสักครู่ใหญ่ๆ หลินซวงเอ๋อร์ก็นอนคว่ำอยู่บนไหล่ของเขาแล้วกระซิบว่า: "สวามี... "เยี่ยเป่ยเฉิงกัดหูของนางเบาๆ แล้วพยายามอย่างเต็มที่เพื่อควบคุมตนเองไม่รู้ว่าใช้เวลานานเท่าไหร่ ในที่สุดเยี่ยเป่ยเฉิงก็ปล่อยนางทั้งที่ความใคร่ยังไม่หมดไปหลินซวงเอ๋อร์เหนื่อยล้าไปตั้งนานแล้ว แม้แต่เรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้นก็ไม่มีเยี่ยเป่ยเฉิงอุ้มนางออกจากอ่างอาบน้ำ เอาชุดนอนที่แขวนอยู่บนฉากกั้นลมมาคลุมที่บนตัวของหลินซวงเอ๋อร์และตนเองหลินซวงเอ๋อร์ไม่มีชุดนอน เยี่ยเป่ยเฉิงจึงให้นางสวมเสื้อผ้าของตนเองนางตัวเล็กกะทัดรัด เมื่อสวมเสื้อบนตัวนาง จึงทำให้ดูหลวมมาก เยี่ยเป่ยเฉิงจึงพันเสื้อผ้าหลวมๆรอบตัวนาง แล้วอุ้มนางกลับไปที่เรือนอวิ๋นซวนหลินซวงเอ๋อร์ซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขา อย่างสะลึมสะลือ แต่มันคงน่าอายเกินไปที่จะออกไปข้างนอกแบบนี้“สวามี…” นางขยุมคอเสื้อของเยี่ยเป่ยเฉิง แล้วพูดกับเขาอย่างอ่อนหวานว่า“ถ้าข้าออกไปข้างนอกแบบนี้มันจะดูน่าเกลียดมาก”เยี่ยเป่ยเฉิงทิ้งร่องรอยไว้ทั่วทั้งร่างกายของนาง เสื้อผ้าที่อยู่บนตัวทั้งหลวมทั้งใหญ่ ขาของนางยังคง
ลูกม้าที่เยี่ยเป่ยเฉิงมอบให้นางนั้นเชื่องมาก แม้ว่ามันจะไม่ได้ตัวใหญ่มาก แต่ก็แข็งแกร่งเป็นที่สุดหลินซวงเอ๋อร์สามารถปีนขึ้นไปเองได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าม้าตัวนี้จะมีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่ก็สามารถวิ่งไปได้อย่างรวดเร็วในขณะที่หลินซวงเอ๋อร์ขี่มันหลินซวงเอ๋อร์ชอบมันเป็นอย่างมาก จนอยากจะเลี้ยงลูกม้าไว้ที่ลานเรือนฝั่งตะวันออกดังนั้น เรือนฝั่งตะวันออกจึงคึกคักมากขึ้นเรื่อยๆนางเลี้ยงเหมาเหมาหรงหรงกระต่ายน้อยสองตัวจนขาวอวบอ้วนแล้ว หลินซวงเอ๋อร์จึงนำพวกมันไปขังไว้ตามลำพังต้าหู่มีร่างกายที่แข็งแรงกำยำ หลินซวงเอ๋อร์จึงไม่กล้าเอามันไปขังไว้กับกระต่ายสองตัว ดังนั้นจึงทำพื้นที่กักขังมันโดยเฉพาะตอนนี้มีม้าน้อยเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งตัว ทำให้ลานจวนที่กว้างขวางดูแคบขึ้นมาเล็กน้อยเยี่ยเป่ยเฉิงจึงสั่งให้คนรื้อถอนห้องหนึ่งห้อง แล้วทำให้เป็นพื้นที่ราบ จากนั้นก็ปลูกดอกไม้บริเวณรอบๆ ทางเดินตรงกลางปูด้วยหินกรวด เพื่อให้หลินซวงเอ๋อร์ใช้เลี้ยงสัตว์เล็กๆเหล่านี้โดยเฉพาะหลินซวงเอ๋อร์ดีใจมาก ทำให้เวลาว่างทุกวันของนางมีสีสันมากขึ้น บางครั้งนางก็จูงต้าหู่วิ่งบริเวณรอบๆลานเรือน หรือไม่ก็ขี่ม้าเล่น และใช้ชีวิตชีว
ฉีหมิงพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็เรียกองครักษ์ที่ติดตามมา และกล่าวว่า: "นี่เป็นของขวัญเล็กๆน้อยๆที่กระหม่อมเตรียมไว้ให้องค์หญิง หวังว่าองค์หญิงจะไม่รังเกียจ"องครักษ์ยื่นกล่องไม้กล่องหนึ่งให้ฮุ่ยอี๋ด้วยความเคารพนบนอบฮุยอี๋มีสีหน้าที่ดีใจ และมีความสุขใจเป็นอย่างมาก แต่เนื่องจากเป็นสตรีจึงต้องรู้จักสำรวมท่าทีเลยไม่อาจแสดงความรู้สึกออกมาได้ จึงทำได้แค่ยิ้มเบาๆและรับกล่องนั้นมา แล้วกล่าวว่า "ขอบใจใต้เท้าฉีมาก"นางแทบอยากจะดูว่าข้างในบรรจุอะไรใจจะขาด แต่ฉีหมิงยังอยู่ที่นั่น นางจึงอายที่จะเปิดมันทันทีฉีหมิงกล่าวว่า "องค์หญิงไม่รังเกียจก็พอแล้ว กระหม่อมเป็นคนหยาบกระด้าง จึงไม่รู้ว่าหญิงสาวชื่นชอบอะไร ดังนั้นจึงเลือกมาแบบสุ่มๆ"ฮุ่ยอี๋กล่าวว่า: " มันเป็นไร ใต้เท้าฉีมีน้ำใจมอบให้ก็พอแล้ว "ทันทีที่ฉีหมิงจากไป ฮุ่ยอี๋ก็อุ้มกล่องของขวัญเข้าไปในกระโจมทันที นางแทบจะรอไม่ไหวที่จะเปิดกล่อง แต่ก็ต้องตกตะลึงเล็กน้อยเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ข้างในข้างในมีเพียงรูปปั้นพระโพธิสัตว์กวนอิมหน้าตาใจดีมีเมตตาหนึ่งองค์วางอยู่ในกล่องเท่านั้นเมื่อนางกำนัลจื่อหลันที่อยู่ข้างๆเห็นสิ่งนี้ ก็อดสงสัยไม่ได้: " องค
ไป๋อวี้ถังก็เตรียมของขวัญให้ฮุ่ยอี๋เช่นกันเพียงแต่ว่าฮุ่ยอี๋ไม่ค่อยสนใจ ของขวัญของเขามากเท่าไหร่นัก จึงให้จื่อหลันเอาของไปวางที่ในกระโจมจื่อหลันถามว่า: "องค์หญิงไม่อยากเห็นสิ่งที่สมุหราชเลขาธิการมอบให้หรือ?"ฮุ่ยอี๋โบกไม้โบกมือ แล้วกล่าวว่า: " เอาวางไว้ตรงนั้นแหละ เขาจะมอบของดีๆอะไรให้ได้ล่ะ? บางทีอาจจะเลือกของแบบสุ่มๆแล้วเอามามอบให้กับข้า "จื่อหลันกล่าวว่า: "ดูเหมือนว่าองค์หญิงจะไม่ค่อยชอบท่านสมุหราชเลขาธิการมากเท่าไหร่นัก? เขาทำให้องค์หญิงขุ่นเคืองใจหรือ?"จื่อหลันจำได้อย่างชัดเจนว่า เมื่อก่อนองค์หญิงชื่นชอบไป๋อวี้ถังมาก ชอบมากจนตั้งเกาะติดเขาทุกเมื่อเชื่อวัน แต่อยู่มาวันหนึ่ง องค์หญิงก็ไม่ค่อยสนใจไป๋อวี้ถังแล้ว จื่อหลันก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด แค่คิดว่าองค์หญิงอาจจะรู้สึกเบื่อแล้วอย่างไรเสีย หญิงสาวที่ชื่นชอบไป๋อวี้ถังก็มีจำนวนไม่น้อย ไป๋อวี้ถังไม่เหมือนฉีหมิง ที่มีใบหน้าที่เย็นชาเหมือนภูเขาน้ำแข็งกับทุกคน เมื่อไป๋อวี้ถังเผชิญหน้ากับหญิงสาวที่งดงามเหล่านั้นก็มักจะพูดคุยหัวเราะได้อย่างสนุกสนาน แต่แค่ไม่รู้ว่าในใจของเขาชื่นชอบคนไหนกันแน่เมื่อได้ยินคำพูดของจื่อหลัน ฮุ่ยอี
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก